คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ยึดสนามหลวง
โดย กาหลิบ
ในที่สุดก็แจ่มแจ้งต่อคนทั้งหลาย โครงการที่กรุงเทพมหานครเรียกเสียสวยหรูว่าการปรับปรุงภูมิทัศน์ของทุ่งพระเมรุหรือสนามหลวงของคนไทยทั่วประเทศ ที่ทำให้ต้องปิดสนามหลวงไปถึงหนึ่งปีเต็มๆ ที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงคือแผนการยึดสนามหลวงไปจากประชาชน และเปลี่ยนเจตนารมณ์ของประชาชนให้กลายเป็นผลประโยชน์ของชนชั้นนำของไทยโดยอ้าง “กฎหมาย” มาปล้นเวทีสาธารณะทางการเมืองแห่งนี้เอาดื้อๆ
บัดนี้สนามหลวงกลายสภาพเป็น “โบราณสถาน” ไปเสียแล้ว จึงอยู่ภายใต้กฎหมายโบราณสถานที่กรมศิลปากรมีอำนาจบังคับใช้ นั่นแปลว่า ใครก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่า “ละเมิด” โบราณสถานที่มีชื่อว่าสนามหลวง จะมีความผิดขนาดหนัก หนักขนาดถูกจำคุก ๑๐ ปีและถูกปรับได้ถึง ๑ ล้านบาทนั่นเลย
กรุงเทพมหานครแถลงสำทับว่า เขาจะติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิดหรือ CCTV จำนวน ๔๒ ตัวรอบบริเวณสนามหลวง จะจ้างเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิ่มอีก ๗๐ อัตรามาคอยลาดตระเวน ประชาชนคนธรรมดาได้รับ “อนุญาต” ให้เดินผ่านถนนคั่นกลางสนามหลวงได้ แต่ถ้า “บุกรุก” เข้าไปในพื้นที่ข้างเคียงก็แสดงว่าบุกรุกโบราณสถาน รัฐไทยโดยกรุงเทพมหานครก็จะมาลากตัวไปชำระโทษอย่างรุนแรงต่อไป
ที่สำคัญคือกรุงเทพมหานครประกาศอย่างไม่กลัวฟ้าดินหรือจะอยากให้ฟ้าดินได้ยินก็ไม่ทราบได้ว่า ความเป็นเวทีสาธารณะทางการเมืองของสนามหลวงได้สิ้นสุดยุติลงแล้ว ต่อไปใครจะมาใช้พื้นที่เพื่อ การแสดงออกทางการเมืองของตน ไม่ว่าพรรคการเมือง กลุ่มพลังประชาธิปไตย หรือตัวบุคคลผู้มีสิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญใดๆ ก็ตาม ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
นึกถึงภาพประชาชนและกลุ่มพลังที่ตระหนักในสิทธิความเป็นคนของตัวเอง ที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจเผด็จการและเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยในแผ่นดิน อย่างเมื่อคราวรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่เป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งของขบวนประชาธิปไตยที่เติบใหญ่เรื่อยมา ก็จะสะท้อนใจและซึมซาบในความหมายของการยึดสนามหลวงครั้งนี้
สนามหลวงคือเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนคนเดินดิน คือสถานที่ที่มนุษย์ผู้มีจิตสำนึกทางการเมืองถือเป็นเวทีที่ยืนยันความเป็นคนของตน โดยเฉพาะในระบอบไทยที่อ้างกันว่า พิเศษ มีเอกลักษณ์ ก็ได้ใช้สนามหลวงซึ่งตั้งอยู่ข้างพระบรมมหาราชวังอันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ไทยมาตลอด
การยึดสนามหลวงแล้วเอาไปปิด ก็เท่ากับปิดช่องทางสื่อสารระหว่างสถาบันโบราณและสถาบันร่วมสมัยอย่างสถาบันประชาชน ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
โง่เขลา หรือ เจตนาจะสร้างเหตุจูงใจให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ บอกยาก
รู้แต่ว่า คำสั่งยึดสนามหลวงมาจากแหล่งอำนาจที่เหนือกว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่าง ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร และรองผู้ว่าราชการฯ คนที่ออกมาแถลงข่าวมากนัก ใครรู้สึกขัดเคืองใจในเรื่องนี้ โปรดระบายถ่ายทอดอารมณ์ของตนในระดับที่เหนือขึ้นไป
อย่ามาอ้างว่าสนามหลวงเต็มไปด้วยปัญหาจึงต้องปิด เพราะไม่ว่าการค้าประเวณีหญิงชาย ยาเสพติดและสารเสพติด การหลอกลวงนานาประเภท ฯลฯ แก้ได้ด้วยการบริหารและการเคารพสิทธิที่เท่าเทียมกัน หรือเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างขั้นต้นที่จะบอกว่า เมื่อไม่พอใจประชาชนบางกลุ่มก็เลยให้ทหารออกมารัฐประหารยึดมันทั้งเมือง เพื่อจะบอกโดยนัยว่าบ้านเมืองเป็นของใคร
สนามหลวงหลังถูกยึดอำนาจคงได้รับงบประมาณจากภาษีของประชาชนมาตกแต่งจน “งดงาม” แบบราชการ แล้วเอาไปเป็นข้ออ้างตื้นๆ แคบๆ ได้ว่า เห็นไหม ยึดคืนมาเป็นของรัฐแล้วสนามหลวงดีขึ้น
เจตนาสำคัญคือเพื่อให้ลืมว่าเดิมทีประชาชนเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนั้นโดยพฤตินัย
เจตนาที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคงอยากให้ลืมกันไปเลยว่าประเทศนี้เป็นของประชาชน ใครที่มันชอบอ้างลัทธิประชาธิปไตยมายืนยันสิทธิประชาชน ก็พรากมันเสียจากสิทธินั้น มันจะได้สำนึกว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีประชาธิปไตย ยกเว้นประชาธิปไตยใส่หน้ากากที่เอาไว้โฆษณาชวนเชื่อกับโลกอารยะ
การยึดสนามหลวงครั้งนี้คือการรัฐประหารโดยใช้กฎหมายเข้าอ้าง เพราะเป็นการปล้นสิทธิของประชาชนในการแสดงออกทางการเมืองโดยเสรี
เขาคงนึกว่าการประกาศสงครามกับมวลชนเท่าที่ผ่านมายังไม่พอ.
----------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PNกดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
ชอบอ่านบทความของคุณจักรภพมากค่ะ อยากให้ปรับพื้นให้สีอ่อนลง เพื่อให้อ่านได้ชัดเจนขึ้น พื้นสีเทา ตัวหนังสือสีดำ ทำให้อ่านยาก ต้องเพ่งมาก
ตอบลบคุณคือผู้ใช้ชื่อว่า สนามหลวง 2008 ใช่มั๊ย
ตอบลบ