ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาษาซาอุ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ภาษาซาอุ
โดย : กาหลิบ

ความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นกรณีประวัติศาสตร์ที่มีความแปลกประหลาดมากที่สุดกรณีหนึ่ง เพราะเกิดขึ้นจากคดีขโมยเพชร การดำเนินคดีที่ยอกย้อน ยักยอก และยืดเยื้อยาวนาน การสังหารนักการทูตอย่างโหดร้ายทารุณ มาตรการโต้ตอบทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รุนแรง ฯลฯ ที่ไม่อาจแก้ไขได้จนบัดนี้

ล่าสุดนี้ รัฐบาลปัจจุบันของไทยยังเพิ่มความขัดแย้งขึ้นอีก เมื่อเออออกับมติแต่งตั้ง พลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภาค ๕ ผู้ต้องหาร่วมกับพวกทั้งห้าในการคดีการหายตัวของ นายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓ ให้เป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนใหม่

คดีที่กำลังระเบิดใส่หน้าท่านว่าที่คนนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่าหลักฐานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรวบรวมมานั้นเพียงพอและมีคำสั่งฟ้องแล้ว

แม้แต่ศาลก็นัดสืบพยานกันในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ นี้แล้วด้วย

แต่มาบัดนี้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจ ก็ออกมาพูดอย่างชัดเจนเป็นสาธารณะว่าคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยฯ พบว่าพลตำรวจโทสมคิดฯ ไม่มีความผิดและจะเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นคือให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งที่มาตรา ๙๕ ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ บอกไว้ชัดเจนเป็นภาษาไทยว่าหลักปฏิบัติต่อตำรวจผู้เป็นจำเลยในคดีอาญาหรือคดีที่มีความผิดร้ายแรงนั้นจะต้องทำอย่างไร

ไม่ได้บอกให้ช่วยกันล้างความผิดและรีบเลื่อนตำแหน่งเป็นบำเหน็จรางวัลให้แน่

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียจึงออกแถลงการณ์ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า “...รู้สึกแปลกใจต่อความขัดแย้งระหว่างความหมายที่ชัดเจนใน พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ กับการปฏิบัติของคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ...” และ “...ความทุ่มเทของทั้งสองประเทศในการสะสางคดีที่คงค้างในปัจจุบันเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศโดยตรงเกรงว่าจะประสบความล้มเหลว...”

หลังจากออกฉบับแรกไปเมื่อ ๓ กันยายน ๒๕๕๓ อีกสามวันต่อมาในวันที่ ๖ ก็ออกอีกหนึ่งฉบับด้วยน้ำเสียงและเนื้อหาที่ “แรง” กว่าเดิม

สถานเอกอัครราชทูตฯ รู้สึก “...กังขาว่าการแต่งตั้ง พลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม ไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมายไทย แต่ยังขัดขวางโอกาสที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมด้วย...”

และ “...ซาอุดีอาระเบียคาดหวังจะได้เห็นความโปร่งใส ยุติธรรม และการไม่แทรกแซงคดีนี้...”

ตามภาษาและท่าทีทางการทูต แถลงการณ์ฉบับแรกและฉบับที่สองซึ่งห่างกันเพียงสามวัน และเนื้อความในฉบับหลังที่ชี้ถึงพฤติกรรม “ขัดขวาง” กระบวนการยุติธรรมของทางการไทย และดักคอว่าอาจจะมีการ “แทรกแซงคดี” นั้น คือการแสดงออกที่ชัดเจนโดยไม่ต้องตีความว่าซาอุดีอาระเบียเข้าใจซาบซึ้งทีเดียวว่าเกิดอะไรขึ้นในห้วงเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้

และหนักใจขนาดไหนที่จะคบค้าสมาคมกับไทยต่อไป

คิดแบบใจเขาใจเราดูบ้าง ถ้าคนของเราถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือคนเลวของประเทศอื่น แล้วพบว่ารัฐบาลของประเทศนั้นๆ ปกป้องคนเลวและแต่งตั้งคนเลวคนนั้นให้ดำรงตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้น ทั้งที่เราประท้วงต่อต้านอย่างชัดแจ้งมาโดยตลอด เราจะรู้สึกอย่างไร จะอยากคบกับประเทศนั้นต่อไปหรือไม่

นี่ล่ะครับคือความเห็นแก่ตัว ใจดำ และโลกแคบของผู้มีอำนาจในเมืองไทยปัจจุบัน ไม่สนใจใครอีกแล้วในโลกนี้ นอกจากตัวเองและผลประโยชน์โดยตรงของตน ขนาดคนชั่วที่ตัวเองใช้ไปฆ่าฟันและทำลายล้างศัตรูทางการเมืองอย่างผิดกฎหมายก็ส่งเสริมได้อย่างหน้าด้านๆ

ไม่ต้องเอา กอ.รมน. มาเตรียมการปิดประเทศอย่างพม่าหรอกครับ เดี๋ยวนี้แค่หาคนที่เขาอยากคบไทยก็ยากแล้ว.

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น