ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 1 ระบอบอะไรก็ไม่รู้?
ระบอบอะไรก็ไม่รู้?
หมู่นี้ผมออกจะเขินๆ เวลาเดินทางไปต่างประเทศ เพราะไปแล้วก็จะถูกรุมถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทยในขณะนี้
งานมีก็ต้องไปล่ะครับ จะเป็นเรื่องการณรงค์หาเสียงให้คุณสุรเกียรติ์เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่ราชการ หรือไปสอนไปบรรยายตามปกติของผมก็ตาม แต่พอใครวกเข้ามาเรื่องนี้ผมก็จะทำเท่ ยักไหล่ปรายตา ทำปากแบะๆ พองาม และบอกอย่างกร่างๆ ว่าประชาธิปไตยในระยะฟักตัวก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าห่วงใยอะไรให้มากนักเลย
ไอ้คนที่ติดตามเหตุการณ์ใกล้ชิดหน่อยก็จะทำรู้ดี ย้อนว่าระยะฟักตัวอะไรกัน ประชาธิปไตยไทยมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นับมาถึงวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ก็ปาเข้าไป ๗๔ ปีแล้วนะ
ผมก็จะถือโอกาสเดินหนีไปเลย
จะยืนอยู่ตรงนั้นยังไงกันล่ะครับ ในเมื่อผมตอบเขาไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
รัฐบาลประกอบขึ้นด้วยพรรคที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎร มากกว่าเสียงของรัฐบาลประชาธิปไตยทุกแห่งในย่านนี้ ยกเว้นสิงคโปร์ ที่มีฝ่ายค้านเป็นแค่ดอกไม้ประดับผนัง นายกรัฐมนตรีสัญญาอะไรไว้เยอะแยะก่อนจะเป็นรัฐบาล จนหลายคนปรามาสว่าเป็นราคาคุย ในที่สุดก็ลงมือทำทุกอย่างตามนั้น
บางอย่างทำได้ดี บางอย่างก็งั้นๆ ยังไม่ชัดว่าจะออกมาเป็นหมู่หรือจ่า แต่ก็ทำ
มีเลือกตั้งใหม่ ก็ส่งผู้สมัครลง พรรคการเมืองฝั่งตรงกันข้ามเกิดตัดสินใจคว่ำบาตร แสดงความรังเกียจรังงอนไม่ยอมลงเลือกตั้งด้วย ก็เดินหน้าต่อไป ประกาศเสียงดังว่าเพราะเชื่อในประชาธิปไตย
กำลังกลายเป็นผู้ร้าย เพราะคนที่เกลียดชังเขาทั้งพ่นทั้งป้ายสีอย่างเมามัน
คณะกรรมการการเลือกตั้งเหลืออยู่ ๓ คน เสียชีวิตไปหนึ่ง ลาออกไปหนึ่ง เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกับศาล จนศาลท่านสงเคราะห์ว่าเป็นความผิด ในที่สุดก็เผชิญกับชะตากรรมอย่างที่เมื่อแรกรับราชการนั้นไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอ
ติดคุกเชิงสัญลักษณ์ไปหลายคืน
กองเชียร์ของแต่ละฝ่ายทนไม่ได้ ไปส่งเสียงอื้ออึงอยู่หน้าศาล จนเกิดเหตุผลักกันไปมาเล็กน้อย ขณะนี้กลายเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญประหนึ่งว่าได้พยายามทำลายอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการตุลาการนั่นเทียว
ทุกคนเลยกลัวศาลกันหัวหด ขนาดชูวิทย์ยังจ๋อย
และที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือปริมาณข่าวลือและข่าวร้ายต่างๆ ในทางการเมือง มันล้นมันหลั่งท่วมตาท่วมหู ปรากฏอยู่ในสื่อทุกประเภทตั้งแต่โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี่ล่ะครับที่กำลังผลักการเมืองให้เดินไปข้างหน้า แต่ทิศทางใดก็ไม่รู้
เหมือนคนปิดตาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพราะมีอะไรดุนหลังมา ลืมตามมาอีกทีอาจจะยืนอยู่บนปากเหวลึก อาจจะถอยไม่ทันเสียแล้วก็ได้
ใครคนหนึ่งพูดเข้าหูว่าเพราะวัฒนธรรมไทยตั้งอยู่บนฐานของความหมั่นไส้ และความหมั่นไส้มันไม่มีเหตุผลหรอก เหตุต่างๆ ที่ยกขึ้นมาด่าประณามกันนั้น ส่วนใหญ่ก็เลือกขึ้นมาจากความคิดเห็นที่ตัวเห็นด้วย ไม่ใช่จากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ พูดง่ายๆ คือตั้งธงไว้ก่อนแล้วเลือกเหตุผลมาประกอบทีหลัง
มันก็รับกันดีทุกทีไป
เหมือนนอสตราดามุสที่คนฮือฮากันว่าแม่นเหลือกำลัง ทายฮิตเลอร์ออกมาเป็นฮิตเลอร์เกือบจะไม่มีผิดเพี้ยน ปรากฏว่าอาจจะเขียนขึ้นมาหลังเหตุการณ์แล้วทำทีว่าเขียนไว้ก่อน จนกลายเป็นคนพยากรณ์แม่น
เหมือนไปให้สัมภาษณ์โทรทัศน์อย่างผู้มีอำนาจ แล้วบังคับให้ถามตรงกับคำตอบที่เตรียมไว้ เพราะเดี๋ยวจะตอบไม่ถูก
เหมือนมีประจำเดือนแล้วจึงเลือกกระโปรงสีเข้มๆ เพื่อกันไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าชอบสีนั้นเป็นพิเศษ
ระบอบประชาธิปไตยที่เราท่านเคยรู้จักมันกลับข้างกันนะครับ เลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนพูดก่อนว่าต้องการอะไรแบบไหน แล้วใครจะเข้ามาว่าราชการบริหารบ้านเมืองอะไรก็จงเดินอยู่ในกรอบนั้น มากน้อยอย่างไรก็ตัดสินกันด้วยหลักประชาธิปไตย
ไม่ใช่สภาพการณ์ที่ถามแล้วไม่ได้คำตอบที่พึงใจอย่างนี้
ระบอบประชาธิปไตยพังแล้วหรือ? ไม่รู้
รัฐสภาไม่ต้องมีแล้วหรือ? ไม่แน่ใจ
รัฐบาลต้องมีหรือไม่ในบ้านเมืองนี้? ขอคิดดูก่อน
ก็เลยต้องถามตอนท้ายว่า นี่คือระบอบอะไร?
คำตอบทันควันคือ “ไม่ตอบ”
---------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น