ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์
โดย กาหลิบ
*************************************************************************
กลับมาแล้วครับ!
ผมกาหลิบ...ผู้เคยโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษของ “โลกวันนี้รายวัน” และจู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้ขอหวนกลับมาคารวะท่านผู้อ่านที่รักและเคารพทุกๆ ท่านด้วยจิตใจดวงเดิมจริงแท้ไม่แปรผัน
ในห้วงเวลาที่แล้วมา กาหลิบเริ่มชี้ถึงรอยปริร้าวของสังคมไทยที่กำลังถ่างกว้างขึ้นทุกวัน เพราะการกระทำของคนบางคนที่ถืออำนาจรัฐไทยไว้ในมือ เหมือนของเล่น หรือรีโมทคอนโทรล และสำแดงฤทธิ์เดชของตัวเองผ่านเครือข่ายอำนาจในสังคมไทยที่จัดตั้งมานานหลายสิบปีจนอยู่มือ
มาห้วงเวลานี้ รอยปริร้าวได้กลายเป็นรอยแยกอันยิ่งใหญ่ในสังคมไทย แตกและแยกอย่างไม่มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ใดๆ จะเทียบเคียงได้ สังคมอุปถัมภ์ของไทย ภายใต้มูลนาย ไพร่ และทาสที่เคยเกิดภาพลวงตาว่าอยู่กันได้อย่าง “โนพร็อบเบล้ม” บัดนี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาดในทางใจ ส่วนจะแยกกันทางกายต่อไปอย่างไรยังไม่รู้ได้
รู้แต่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
เพื่อนฝูงถามกาหลิบมาตลอดว่า ทำไมเมืองไทยเป็นถึงขนาดนี้ได้ และจะมีทางออกอย่างไรหรือไม่
กาหลิบก็ได้แต่เอาผลที่ตัวเองสังเกตในห้วงเวลาที่ผ่านมานี้มาเป็นคำตอบขั้นต้น และบอกให้สหายทั้งหลายเอาสิ่งเหล่านี้ผสมกันอย่างที่เขาชอบเรียกกันว่าวิเคราะห์
อย่างแรกคือความโหดเหี้ยมเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจสูงสุด
อย่างที่สองคือการแก่งแย่งแข่งขันในระบอบขุนนางไทย
อย่างที่สามคือพรรคการเมืองสันดานโจรที่ทำตัวเป็นขี้ข้าสวามิภักดิ์
อย่างที่สี่คือสื่อมวลชน นักวิชาการ ข้าราชการ ที่เรียกรวมๆ ว่าประชาสังคม เอาเข้าจริงทำตัวเป็น “ข้าสังคม”
และอย่างที่ห้าคือประชาชนผู้หูตาสว่าง และสำนึกได้ในบัดดลว่าข้าถูกเอาเปรียบมาตลอดชีวิตของข้าและโคตรตระกูล จนตัดสินใจลุกขึ้นสู้กับเครือข่ายปิศาจฆาตกร
กาหลิบได้แต่บอกแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า จงเอาองค์ประกอบทั้งห้านี้มาบวกกันเถิด แล้วจะสงเคราะห์ได้เองว่าความวุ่นวายจลาจลเมืองไทยในขณะนี้ มันควรจะเกิดมาเสียนานแล้ว อย่างที่ฝรั่งมังค่าเขาเรียกว่า long overdue
มาเกิดเดี๋ยวนี้ออกจะช้าไปหน่อยด้วยซ้ำ
ถามว่าศาสนาพุทธซึ่งเป็นกระแสหลักทางสังคมและวัฒนธรรมเล่า ช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ ก็ต้องตอบว่าใครที่มีจริตพุทธและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น เขาก็รอดอยู่แล้ว แต่มวลชนส่วนมากที่ยังห่างไกล เขาไม่ได้ประโยชน์โภชย์ผลเต็มที่เพราะพุทธศาสนจักรในเมืองไทยเองก็ถูกครอบงำด้วยเครือข่ายปิศาจเหมือนกัน
ครับ ที่เขาเรียกว่าการปกครองคณะสงฆ์นั่นไง ไล่ขึ้นไปจะพบว่าอำนาจล้นพ้นที่สร้างพระก็ได้ สึกพระก็ได้ ทำพระชาวบ้านให้เป็นพระขุนนางแบบยศช้างขุนนางพระ (จนเสียพระ) ก็ได้ หรือคอยทำลายพระดีๆ ที่คอยให้สติผู้คนด้วยธรรมะจนได้รับความนิยมยกย่องและกลายเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาก็ได้ มันสถิตอยู่ในไม่กี่ที่หรอกครับ เผลอๆ จะมีแค่หลักเดียวเสียด้วยซ้ำ
แถมยังเป็นหลักเสื่อมเสียอีก
เวทีเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์นั้นทำความดีต่อขบวนประชาธิปไตยไว้หลายอย่าง แต่โดดเด่นที่สุดในความคิดของกาหลิบคือการชูเรื่องไพร่ขึ้นมา จนมวลชนต่างคุ้นเคยกับคำว่าไพร่ และเข้าใจทันทีว่าชะตากรรมของไพร่มันก็อย่างที่เห็นอยู่นี้
จะกล่าวหาว่าร้ายอย่างไรก็ได้
เอาตัวไปโยนใส่คุกก็ได้
ลากเอาอาวุธสงครามมายิงหัวเราเหมือนชีวิตไม่มีราคาค่างวดก็ได้
เสียอยู่นิดเดียวที่แกนนำในขณะนั้นยกไพร่ขึ้นคู่กับคำว่า “อำมาตย์” จนคนส่วนหนึ่งพลอยเข้าใจว่าสงครามประชาชนของคนชาติไพร่ที่เราต่างเข้าร่วมกันในขณะนี้ เป็นการต่อสู้กับขุนนางระดับต่างๆ เท่านั้น ยังจำได้ว่าแกนนำบางคนถึงกับพร่ำพูดอยู่เสมอ “เราจะต่อสู้เฉพาะพลเอกเปรมลงมาเท่านั้น”
แท้ที่จริงแล้วคำว่าไพร่ไม่ได้เข้าคู่กับอำมาตย์หรือขุนนาง มันคู่กับอีกคำหนึ่งที่แสดงความใหญ่ขึ้นไปอีก
ถ้าไม่จับคู่ให้ถูกต้อง สงครามครั้งนี้จะผิดทางตั้งแต่ต้น
ไม่ต้องพูดถึงโอกาสแห่งชัยชนะเลยด้วยซ้ำ
กะจะไปถึงเชียงใหม่ อย่าพูดว่าเอาแค่อยุธยาสิครับ
กาหลิบจึงขอปักธงไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์
มวลชนผู้ตาสว่างทุกๆ ท่านครับ โปรดนำธงของท่านมาปักร่วมกันจนเกิดเป็นเรือธงขึ้นเถิด.
--------------------------------------------------------------------------------
ผมกาหลิบ...ผู้เคยโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษของ “โลกวันนี้รายวัน” และจู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้ขอหวนกลับมาคารวะท่านผู้อ่านที่รักและเคารพทุกๆ ท่านด้วยจิตใจดวงเดิมจริงแท้ไม่แปรผัน
ในห้วงเวลาที่แล้วมา กาหลิบเริ่มชี้ถึงรอยปริร้าวของสังคมไทยที่กำลังถ่างกว้างขึ้นทุกวัน เพราะการกระทำของคนบางคนที่ถืออำนาจรัฐไทยไว้ในมือ เหมือนของเล่น หรือรีโมทคอนโทรล และสำแดงฤทธิ์เดชของตัวเองผ่านเครือข่ายอำนาจในสังคมไทยที่จัดตั้งมานานหลายสิบปีจนอยู่มือ
มาห้วงเวลานี้ รอยปริร้าวได้กลายเป็นรอยแยกอันยิ่งใหญ่ในสังคมไทย แตกและแยกอย่างไม่มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ใดๆ จะเทียบเคียงได้ สังคมอุปถัมภ์ของไทย ภายใต้มูลนาย ไพร่ และทาสที่เคยเกิดภาพลวงตาว่าอยู่กันได้อย่าง “โนพร็อบเบล้ม” บัดนี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาดในทางใจ ส่วนจะแยกกันทางกายต่อไปอย่างไรยังไม่รู้ได้
รู้แต่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
เพื่อนฝูงถามกาหลิบมาตลอดว่า ทำไมเมืองไทยเป็นถึงขนาดนี้ได้ และจะมีทางออกอย่างไรหรือไม่
กาหลิบก็ได้แต่เอาผลที่ตัวเองสังเกตในห้วงเวลาที่ผ่านมานี้มาเป็นคำตอบขั้นต้น และบอกให้สหายทั้งหลายเอาสิ่งเหล่านี้ผสมกันอย่างที่เขาชอบเรียกกันว่าวิเคราะห์
อย่างแรกคือความโหดเหี้ยมเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจสูงสุด
อย่างที่สองคือการแก่งแย่งแข่งขันในระบอบขุนนางไทย
อย่างที่สามคือพรรคการเมืองสันดานโจรที่ทำตัวเป็นขี้ข้าสวามิภักดิ์
อย่างที่สี่คือสื่อมวลชน นักวิชาการ ข้าราชการ ที่เรียกรวมๆ ว่าประชาสังคม เอาเข้าจริงทำตัวเป็น “ข้าสังคม”
และอย่างที่ห้าคือประชาชนผู้หูตาสว่าง และสำนึกได้ในบัดดลว่าข้าถูกเอาเปรียบมาตลอดชีวิตของข้าและโคตรตระกูล จนตัดสินใจลุกขึ้นสู้กับเครือข่ายปิศาจฆาตกร
กาหลิบได้แต่บอกแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า จงเอาองค์ประกอบทั้งห้านี้มาบวกกันเถิด แล้วจะสงเคราะห์ได้เองว่าความวุ่นวายจลาจลเมืองไทยในขณะนี้ มันควรจะเกิดมาเสียนานแล้ว อย่างที่ฝรั่งมังค่าเขาเรียกว่า long overdue
มาเกิดเดี๋ยวนี้ออกจะช้าไปหน่อยด้วยซ้ำ
ถามว่าศาสนาพุทธซึ่งเป็นกระแสหลักทางสังคมและวัฒนธรรมเล่า ช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ ก็ต้องตอบว่าใครที่มีจริตพุทธและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น เขาก็รอดอยู่แล้ว แต่มวลชนส่วนมากที่ยังห่างไกล เขาไม่ได้ประโยชน์โภชย์ผลเต็มที่เพราะพุทธศาสนจักรในเมืองไทยเองก็ถูกครอบงำด้วยเครือข่ายปิศาจเหมือนกัน
ครับ ที่เขาเรียกว่าการปกครองคณะสงฆ์นั่นไง ไล่ขึ้นไปจะพบว่าอำนาจล้นพ้นที่สร้างพระก็ได้ สึกพระก็ได้ ทำพระชาวบ้านให้เป็นพระขุนนางแบบยศช้างขุนนางพระ (จนเสียพระ) ก็ได้ หรือคอยทำลายพระดีๆ ที่คอยให้สติผู้คนด้วยธรรมะจนได้รับความนิยมยกย่องและกลายเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาก็ได้ มันสถิตอยู่ในไม่กี่ที่หรอกครับ เผลอๆ จะมีแค่หลักเดียวเสียด้วยซ้ำ
แถมยังเป็นหลักเสื่อมเสียอีก
เวทีเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์นั้นทำความดีต่อขบวนประชาธิปไตยไว้หลายอย่าง แต่โดดเด่นที่สุดในความคิดของกาหลิบคือการชูเรื่องไพร่ขึ้นมา จนมวลชนต่างคุ้นเคยกับคำว่าไพร่ และเข้าใจทันทีว่าชะตากรรมของไพร่มันก็อย่างที่เห็นอยู่นี้
จะกล่าวหาว่าร้ายอย่างไรก็ได้
เอาตัวไปโยนใส่คุกก็ได้
ลากเอาอาวุธสงครามมายิงหัวเราเหมือนชีวิตไม่มีราคาค่างวดก็ได้
เสียอยู่นิดเดียวที่แกนนำในขณะนั้นยกไพร่ขึ้นคู่กับคำว่า “อำมาตย์” จนคนส่วนหนึ่งพลอยเข้าใจว่าสงครามประชาชนของคนชาติไพร่ที่เราต่างเข้าร่วมกันในขณะนี้ เป็นการต่อสู้กับขุนนางระดับต่างๆ เท่านั้น ยังจำได้ว่าแกนนำบางคนถึงกับพร่ำพูดอยู่เสมอ “เราจะต่อสู้เฉพาะพลเอกเปรมลงมาเท่านั้น”
แท้ที่จริงแล้วคำว่าไพร่ไม่ได้เข้าคู่กับอำมาตย์หรือขุนนาง มันคู่กับอีกคำหนึ่งที่แสดงความใหญ่ขึ้นไปอีก
ถ้าไม่จับคู่ให้ถูกต้อง สงครามครั้งนี้จะผิดทางตั้งแต่ต้น
ไม่ต้องพูดถึงโอกาสแห่งชัยชนะเลยด้วยซ้ำ
กะจะไปถึงเชียงใหม่ อย่าพูดว่าเอาแค่อยุธยาสิครับ
กาหลิบจึงขอปักธงไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์
มวลชนผู้ตาสว่างทุกๆ ท่านครับ โปรดนำธงของท่านมาปักร่วมกันจนเกิดเป็นเรือธงขึ้นเถิด.
--------------------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ถูกต้องครับท่านกาหลิบ
ตอบลบยินดีต้อนรับการกลับมาค่ะ และอยากเชิญเสื้อแดงและยังไม่แดงมาร่วมตาแจ้งที่นี่ค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนห้ามโจมตี"พระมหากษัตริย์"เด็จขาด ไม่งั้นเลิกคุยหากไม่รู้จริงห้ามพูด .. "อาข่า"
ตอบลบเปิดหน้าคุยกันอย่างสร้างสรรค์ โปรดกรุณาพิจรณา ..
ตอบลบขอร่วมปักธงด้วยคน ธงของฉันมีเลือดแค้นของชาวไพร่เลอะอยู่ด้วย
ตอบลบเพราะเราสู้อยู่กับใครน่ะสิ อภิสิทธิ์ถึงได้เหิมเกริมเมามันกับการตามล่าตามล้างประชาชนชาวไพร่อยู่อย่างนี้ไง แต่เชื่อเถอะไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เดี๋ยวนี้ประชาชนตาสว่างกันแล้ว---คงอีกไม่นาน ไม่นานหรอก เชื่อเถอะ อำนาจที่พิกลพิการมันจะเสื่อมในที่สุด
ตอบลบโปรดติดตามตอนต่อไป อีกไม่นาน ทุกอย่างจะเปิดเผย อีกไม่นาน เลือดแค้นจะได้รับการสะสาง ด้วยมือแห่งไพร่
ตอบลบสักวันความจริงจะปรากฏครับ
ตอบลบ