ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เริ่มยกระดับ โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เริ่มยกระดับ

โดย กาหลิบ

บ่ายวันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ มวลชนนับหมื่นหลั่งไหลเข้าไปในห้องประชุมคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อฟังการอภิปรายโดยวิทยากร ๔ คนคือ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ดร.ณัฐพล ใจจริง ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และผู้ดำเนินการอภิปราย แต่ที่ดึงดูดผู้คนได้มากที่สุดน่าจะเป็นหัวข้อของการอภิปรายนั้นเอง

...สถาบันกษัตริย์ - รัฐธรรมนูญ - ประชาธิปไตย”

ไม่ได้ยินบ่อยนักภายในรัฐที่ถือตามทฤษฎีที่ว่า กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกับราษฎรทั้งหลาย

ผู้ฟังในวันนั้นจึงเดินทางไปร่วมด้วยหัวใจที่กระตือรือร้น และผลที่ปรากฎขึ้นก็คือไม่ผิดหวัง

วิทยากรทุกท่านในวันนั้นตลอดจนผู้ดำเนินรายการ นำเสนอข้อมูล บทวิเคราะห์ และข้อเสนอที่ตรงกับหัวข้อและตรงกับความกระหายใคร่รู้ของผู้ฟัง ไม่มีใครโฆษณาเกินจริง หรือลดเลี้ยวไปมาเพื่อความปลอดภัยของผู้พูด 

ใครฟังอย่างตั้งใจในวันนั้นจะสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของผู้รู้กลุ่มหนึ่งที่ประสงค์จะช่วยหาทางออกให้แก่วิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของรัฐไทย

ถ้าคนบ้าที่ไหนไล่ตามที่ยัดเยียดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับคนบนเวทีหรือผู้จัดในวันนั้น ก็เท่ากับปิดไฟดวงน้อยที่หลงเหลืออยู่ให้มันมืดมิดไปทั้งบ้านเมือง เมืองไทยจะหล่นสู่หลุมพรางที่อาจจะไม่มีทางออกยกเว้นในภายหลังความเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดจำหน้าตัวเองไม่ได้ 

ใครสนใจในเนื้อหาสาระของการอภิปรายคงจะหาฟังหรืออ่านกันได้ เราคงจะไม่ใส่ไว้ในเนื้อที่นี้ แต่อยากตราเอาไว้ว่า เมื่อมองย้อนหลังกลับมาคำอภิปรายที่ทรงคุณค่าในระดับบ้านเมืองครั้งนี้จะถูกมองว่าเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญในการปฏิวัติประชาธิปไตยไทย ไม่ใช่เพียงนิทรรศการทางปัญญาที่ถ่ายทอดกันไปมาในหมู่นักวิชาการไม่กี่คน 

ผู้พูดในวันนั้นตกผลึก ผู้ฟังในวันนั้นก็หลากหลายกลุ่มสังคมและเดินทางมาร่วมฟังอย่างคนตาสว่าง ในใจอยากเข้าใจเมืองไทยของตัวเองให้มันชัดเจนพอที่จะไม่เหลียวหลังอีกต่อไป

งานวันนั้นถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญครั้งหนึ่งของขบวนปฏิวัติ ใครที่ไม่ได้ไปรีบหาแถบเสียงและภาพมาวิสัชนากันโดยด่วนเถิด ก่อนจะตกขบวน

นักวิชาการทั้ง ๔ ท่านในวันนั้นไม่ใช่คนหน้าใหม่ในขบวนประชาธิปไตย แต่วันนั้นท่านประกาศชัดเจนว่าแต่ละคนเป็นนักปฏิวัติประชาธิปไตยในขณะเดียวกันด้วย

นักประชาธิปไตยกับนักปฏิวัติประชาธิปไตย ในวันนี้มีความแตกต่างกันมาก

นักประชาธิปไตยตามประเพณีนิยม มักนั่งรอเวลาและวิพากษ์คนอื่นๆ ไปด้วยว่าใจร้อนและนำอันตรายมาสู่เพื่อนฝูง หรือไม่ก็วิจารณ์อีกสุดโต่งหนึ่งว่างอมืองอเท้าไม่ยอมทำอะไร ในขณะที่ตนเองมองไม่เห็นหรือใจไม่กล้ายอมรับว่านี่คือสถานการณ์ปฏิวัติไปแล้ว 

นักปฏิวัติประชาธิปไตยต้องไม่หลงกลระบอบเผด็จการโบราณอีกต่อไป และไม่เสียเวลาฟังคำพร่ำบ่นของนักประชาธิปไตยประเพณี แต่ต้องยืนหยัดปฏิเสธกลไกของระบอบปัจจุบันทุกอย่างตามยุทธศาสตร์ปฏิวัติ กลไกเหล่านี้อาจรวมถึงการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่มีฐานะเป็นเพียงสภากาแฟของนักเลือกตั้ง ระบบรัฐบาลและราชการปัจจุบัน ตลอดจนกระบวนการปรองดองที่ไร้ความจริงใจไร้ความหมาย

ผู้ที่จะก้าวเดินด้วยกันจากนี้ไปต้องตั้งทัศนะในเชิงระบอบ ไม่ใช่ระบบเล็กๆ น้อยๆ ที่ปฏิรูปไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกินยาระงับประสาทชั่วครั้งชั่วคราว  

การอภิปราย “สุธาชัย-สมศักดิ์-ณัฐพล-วรเจตน์” ในวันนั้น เป็นส่วนแรกๆ ของการเดินบนถนนสายใหม่ที่คนไทยยังไม่เคยเดินอย่างจริงจังและด้วยความมั่นใจมาก่อน

ถนนสายนี้มีหลายเลน รอให้มวลชนเดินและวิ่งมาสมทบกันได้มากมายทั้งประเทศ

ทั้งหมดนี้คืออีกไม่นานนัก.

-----------------------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น