ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
คำต่อคำ 2 พยานแฉ “สุเทพ” กล่าวหาจ้างให้การเท็จ ยุบไทยรักไทย
ที่มา : เว็บไซต์โลกวันนี้
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตรองผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ได้นำนายสุขสันต์ ไชยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นพยานปากเอกคดียุบพรรคไทยรักไทย ร่วมแถลงข่าวถึงเบื้องหลังการยุบพรรคไทยรักไทย โดยระบุว่าได้ให้การเท็จในคดีดังกล่าว พร้อมทั้งกล่าวหาว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้จ้างวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นประเด็นทางการเมือง ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญาณ และฟังการชี้แจงจากผู้ได้รับผลกระทบคือนายสุเทพ ประกอบการพิจารณาด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
พล.อ.พัลลภ :
ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่มาตามคำเชิญเพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับคนพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีกลาโหม โดยสองพยานปากเอกที่จะนำมาชี้แจงในวันนี้ ทั้งสองคนได้ให้การเท็จต่อศาล จนนำมาสู่การยุบพรรคไทยรักไทย
แต่วันนี้เขาทั้งสองได้สำนึกผิด จึงได้มาพบเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ แม้ว่าตัวเองจะติดคุกโดยการเป็นพยานเท็จ หรือแม้จะตายเขาก็ยอม สองคนนี้คือ นายสุขสันต์ ไชยเทพ ผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัครแบบเขต พรรคพัฒนาชาติไทยนายสุขสันต์ : ผมทั้งสองคนสำนึกผิด อยากกราบขอโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 ท่าน และรวมถึงสมาชิกพรรคไทยรักไทยทุกคน
ตามที่ผมและนายชวการ ได้ให้การต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นพยานให้กับอัยการสูงสุด (อสส.) และให้การกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จนเป็นเหตุให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยนั้น ผมขอเรียนว่า ผมและนายชวการ ถูกจ้างวานให้การเท็จ ถูกจ้างวานให้เป็นตัวละคร โดยผู้จ้างวาน คือ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งรายละเอียดผมจะขอเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกันดังนี้
เริ่มตั้งแต่เมื่อเช้าวันที่ 4 มีนาคม 49 มีคนซึ่งผมรู้จักดี มาพบผมที่โรงแรมกานต์มณี โดยบอกว่า ถ้าอยากได้เงินสนับสนุนการเลือกตั้งให้พาหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย หัวหน้าพรรคเล็ก 2-3 พรรคไปพบนายสุเทพ ซึ่งในขณะนั้น ผมกับพวก กำลังจัดทำเอกสารให้กับผู้สมัครเขตวันสุดท้ายในการสมัคร คือวันที่ 8 มีนาคม 49
ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 49 หลังจากส่งผู้สมัครเรียบร้อยแล้ว ผมกับคุณชวการ ก็ได้เข้าไปพบกับคุณสุเทพที่พรรคประชาธิปัตย์ ตามที่นัดหมายกันไว้ ประมาณสี่ทุ่มกว่า โดยคนนำเข้าไปพบ ก็เป็นคนเดิมที่ติดต่อกับผมที่โรงแรมกานต์มณี
เมื่อพบกัน คุณสุเทพขอร้องขอความร่วมมือ ให้ผมช่วยทำงานร่วมกัน โดยเป้าหมายอยู่ที่การยุบพรรคไทยรักไทยเป็นหลัก แนวทางการทำงานนั้น1.ให้ร่วมแถลงข่าวว่า พรรคไทยรักไทย จ้างวานให้ส่งผู้สมัคร เหมือนกับพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ที่คุณสุเทพได้นำแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ในวันที่ 8 มีนาคม 492.ให้ยืนยันต่อ กกต. อสส. และคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าพรรคไทยรักไทยเป็นผู้จ้างวานพวกผม ส่งผู้สมัครลงสมัครโดยมีเงื่อนไขในการทำงานและข้อตกลงในสัญญาคือ
1.คุณสุเทพจะดูแลความปลอดภัยให้ผมและครอบครัว
2.จะช่วยเหลือในทางคดีไม่ให้ได้รับโทษใดๆทั้งสิ้น
3.จะให้เงินค่าจ้างคนละ 15 ล้านบาท เป็นเรื่องจริง และ
4.ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่จะส่งสมัคร ส.ส. ให้ได้เป็น ส.ส. หรือถ้าหากพรรคได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ก็จะได้รับตำแหน่งทางการเมือง เหมือนกับคำให้การที่ คุณธติมา ภาวลี ได้ให้การไว้กับตุลาการรัฐธรรมนูญในการให้การในครั้งนั้น และถ้าหากไม่ให้ความร่วมมือ หรือเข้าทำงานร่วม พวกผมจะถูกดำเนินคดีอาญา เรื่องของการปลอมแปลงเอกสาร และการแก้ไขข้อมูลของ กกต. และพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้คนไปแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เรื่องการแก้ไขข้อมูล ผมเรียนให้สื่อได้ทราบว่า พรรคของพวกผม ได้มีการแก้ไขตั้งแต่ปี 48 ที่มีการเลือกตั้ง ผมแก้ไขให้คุณทนง ศิริปรีชาพงษ์ กับคุณสุทีป นาแก เขต 4 ก็ส่งลงสมัคร ตอนนั้นผมกับคุณชวการไม่มีทางเลือกในขณะนั้น เพราะเข้าไปอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ คุยกันถึงตี 2 จึงยินยอมด้วยความจำเป็น และได้ต่อรองกับคุณบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรค ก่อน แต่คุณสุเทพบอกว่า ไม่ต้อง ผมไปด้วย ไปคืนนี้เลย คุณสุเทพให้เหตุผลว่า ผมกับคุณชวการไปพูด เขาไม่เชื่อหรอก ต้องให้ผมไปพูดเอง จึงนั่งรถโฟล์คตู้สีดำ เลขทะเบียนหมายเลข 7 กรุงเทพฯ
เมื่อถึงบ้านคุณบุญทวีศักดิ์ ก็เป็นเวลาตี 2 ของวันที่ 16 มีนาคม 49 คุยกันอยู่ถึงตี 4 ผมจึงเชิญคุณบุญทวีศักดิ์ไปคุยกับคุณสุเทพในรถตู้ และผมกับคุณชวการก็อยู่ด้วย ในระหว่างการพูดคุยนั้น คุณสุเทพได้บอกคุณบุญทวีศักดิ์ว่า คุณสุขสันต์และคุณชวการได้รับปากทำงานร่วมกันกับคุณสุเทพไปแล้ว โดยข้อตกลงเงื่อนไขที่ผมได้เรียนไปแล้วว่า หากคุณบุญทวีศักดิ์ร่วมทำงานผม (สุเทพ) ก็จะยินยอมจ่ายเงินให้ 15 ล้านบาท ตามที่คุณบุญทวีศักดิ์ได้ให้การกับทาง กกต. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว
แต่คุณบุญทวีศักดิ์ได้บอกคุณสุเทพว่า เอาไว้คิดดูก่อน พรุ่งนี้เช้าจะให้คำตอบ หลังจากนั้น ไม่สามารถติดต่อคุณบุญทวีศักดิ์ได้เลย จนถึงวันที่ 18 มีนาคม 49 คุณสุเทพได้ให้ผมและคุณชวการไปพบด่วน ที่พรรคประชาธิปัตย์ และให้ไปรับเงินล่วงหน้าก่อนคนละ 1 ล้านบาท และรีบจัดให้มีการแถลงข่าวใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ว่า พล.อ.ธรรมรักษ์เป็นคนจ้าง ในวันนั้นเลย
หลังจากแถลงข่าวเสร็จ คุณสุเทพให้คนมารับผมและคุณชวการ เดินทางไปสุราษฎร์ธานี และทีนี้ในระหว่างพักอยู่ที่สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ผมกับคุณชวการอยู่ในความควบคุมของนายสุเทพโดยตลอด แม้กระทั่งการไปให้การกับ กกต. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีคนควบคุมไปตลอด ขณะนั้น ผมและคุณชวการไม่สามารถให้การเป็นอย่างอื่นได้
การที่ผมกับคุณชวการ มาเปิดเผยความจริงทั้งหมดในวันนี้ คุณสุเทพไม่ได้ดำเนินการตามสัญญาที่ให้ไว้กับพวกผม เรื่องเงิน เรื่องตำแหน่งทางการเมือง เรื่องเป็น ส.ส. ไม่ได้ไม่เป็นไร แต่พวกผมต้องมาโดนคดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติและส่งศาลฎีกา และวันที่ 14 พฤศจิกายน 52 นี้ จะส่งศาลอาญาร่วมกับ พล.อ.ธรรมรักษ์
ซึ่งแสดงว่า พวกผมถูกหลอกใช้งาน ให้เป็นเครื่องมือ ซึ่งคนเราศักดิ์ศรียอมกันไม่ได้ เมื่อมาโกหกกัน พวกผมต้องอยู่ลำบากแบบหลบๆซ่อนๆ ติดต่อไม่ได้เลย
นายชวการ :
ประเด็นหลักๆ คือ การลงเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 49 นั้น ทางพรรคพัฒนาชาติไทย ได้ดำเนินการตามแนวทางของพรรค เพราะเราเห็นเป็นโอกาส เมื่อพรรคฝ่ายค้านบอยคอต เมื่อสังคมไม่เอาพรรคไทยรักไทย โอกาสน่าจะตกอยู่กับพรรคเล็ก และก็เห็นได้ว่า พรรคคนปลดหนี้ได้ ส.ส. ในภาคใต้ ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นในการส่งผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยเลย
ประการที่ 2 เป็นความจริง ที่คุณสุขสันต์ได้พูดว่า คนของผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดต่อพร้อมเสนอตัวเลขค่าใช้จ่าย 7 หลักในวันที่ 4 มีนาคม 49 ซึ่งวันนั้น เรากำลังยุ่งอยู่กับการจัดตัว เราก็เลยขอผัดผ่อนและเป็นความจริงเช่นเดียวกัน ที่เราได้รับการติดต่ออีกครั้ง พร้อมกับนำข่าวภายใต้การนัดหมายของผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ในคืนวันที่ 15 มีนาคม 49 เพื่อเข้าไปพบคุณสุเทพที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เราเข้าไป เพราะเราคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนภายใต้หลักการของการเลือกตั้งโดยปรกติ แต่เมื่อเข้าไปและพบข้อเท็จจริงว่า เป้าหมายที่แท้จริง คือการยุบพรรคไทยรักไทยให้ได้ โดยคาดหวังว่า เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์จะมีโอกาสกลับเข้ามาเป็นรัฐบาล
เพราะฉะนั้นในคืนวันที่ 15 มีนาคม 49 ผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพวก ได้มีการวางแผนกำหนดเป้าหมาย และยื่นข้อเสนอจริงตามที่คุณสุขสันต์แจ้งให้ทราบแล้ว และยังไม่พอ ยังเดินทางไปพบกับหัวหน้าพรรคจริง เสนอค่าตอบแทนให้จริงด้วย ตัวของคุณสุเทพจริง ทั้งผมและคุณสุขสันต์ รวมทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์บางท่านรับรู้ด้วยตลอดเวลา
ในส่วนของผมนั้น ขอเรียนว่า ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมโยง ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 49 โดยกล่าวว่า ผมได้ร่วมวางแผนกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ เรื่องการตัดต่อพันธุกรรมนั้น ขอเรียนว่า ไม่เป็นความจริง ผมไม่เคยวางแผนร่วมกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่เคยพบกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่เคยเหยียบเข้าไปภายในพรรคไทยรักไทย ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ในคืนวันที่ 2 มีนาคม 49 เลย
ส่วนภาพวงจรปิดที่คุณสุเทพนำมาให้ผมดู ในเวลาที่ถูกควบคุมตัวที่ภูเก็ตนั้น เป็นภาพที่ผมไปปรากฏตัวจริง แต่ไปเพราะติดรถไปกับเพื่อนที่ชื่อทวี สุวรรณภัทร ซึ่งเป็นนักข่าว เข้าไปทำธุระส่วนตัวในกระทรวงกลาโหมเท่านั้น
ในวันนั้นผมไม่ได้พบกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ผมไม่เคยรู้จักกับท่าน นอกจากผ่านสื่อ และที่สำคัญ คือไม่มีการรับเงินใดๆ จาก พล.อ.ธรรมรักษ์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 49 เพื่อไปใช้ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง
วันที่ 3 มีนาคม ถ้าไปตรวจสอบจะพบว่า วันนั้นเป็นการสมัครปาร์ตี้ลิสต์ พรรคพัฒนาชาติไทยส่งผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไข และเงินค่าใช้จ่ายในการสมัครปาร์ตี้ลิสต์ มันไม่มาก และเป็นเงินที่เรารวบรวมกันเองเพราะฉะนั้นภาพที่นำมาใช้ จึงเรียกว่า การตัดต่อข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย
นี่คือความจริงที่สังคมจะต้องรับรู้ และที่สำคัญ หลังยุบพรรคไทยรักไทยแล้ว ผมเองอยู่อย่างลำบาก ไม่ได้รับการดูแลเหลียวแล ตอนที่จะให้เราร่วมมือ เขาก็บอกว่า ทำเพื่อชาติเถอะ แม้สังคมจะเข้าใจผิดเราก็ต้องเสียสละเพื่อชาติ เพื่อให้วิกฤตมันจบ แต่ในความเป็นจริง เป็นการแก้ไขวิกฤตด้วยวิธีที่สกปรก บิดเบือนใส่ความ ให้การเท็จ เสริมแต่งข้อเท็จจริง จนนำไปสู่กระบวนการที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเบี่ยงเบนนั้น ผมเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
สุดท้าย เมื่อเราขอให้ช่วยดูแลเรื่องคดีความที่เราถูกกล่าวหาจาก ป.ป.ช. เรากำลังถูกฟ้องคดีอาญา คนที่เคยบอกว่าช่วยชาติ กำลังจะติดคุก เพราะการช่วยชาติที่เกิดจากการไม่เอาใจใส่ดูแล ผมจำเป็นต้องออกมาบอกความจริงทั้งหมด ให้สังคมได้รับรู้ว่า กระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งแต่มีนาคม 49 จนสะสมเป็นวิกฤตขณะนี้ เกิดจากกระบวนการที่ไร้จริยธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้มีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบัน ภายใต้แผนสมรู้ร่วมคิดกับนักการเมืองอีสานบางคน และทหารบางกลุ่ม เพื่อทำให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบ
เพราะครั้งนั้น เขาบอกแต่เพียงว่ายุบพรรค กรรมการไม่ตัดสิทธิ แล้วเราก็มาลงเลือกตั้งกันใหม่ เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ผลที่เกิดมันไม่ใช่ ผมและคุณสุขสันต์ สำนึกเสียใจตลอดเวลา นี่คือทฤษฎีเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เสร็จภารกิจเอามันไปไว้ไกลๆ อย่าให้มันเข้ามาใกล้ แล้วปล่อยมันให้ติดคุกซะ
ผมยังไม่ทราบว่า การที่ผมมาเปิดเผย จะถูกคนของพรรคประชาธิปัตย์ฟ้องอีกกี่สิบคดี ผมยอมครับ ผมรู้ว่าผมมีส่วนผิด ผมจะพึ่งกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ถูกเบี่ยงเบน และฝากประชาชนว่า วันหนึ่ง หากผมไม่สามารถประกันตัวได้ เพราะการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนใดก็ตาม หากผมต้องถูกกระทืบตายในคุก ผมมีศัตรูอยู่แค่กลุ่มเดียว คือผู้ที่มีอำนาจรัฐในปัจจุบัน
ที่จำเป็นต้องมาเปิดเผยครั้งนี้ แม้รู้ว่าเสี่ยง แม้รู้ว่าเป็นอันตราย แม้รู้ว่าต้องเป็นศัตรู แต่ต้องการให้สังคมและประชาชนรู้ว่า แท้ที่จริงใครกันแน่ เป็นตัวการ และใครคือผู้ที่ต้องรับผลจากการกระทำที่ฉ้อฉล บิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ท้ายที่สุด ผมขอกราบขอโทษต่ออดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยทุกคนที่การกระทำของผมทำให้ท่านต้องได้รับผลกระทบ และขอเรียกร้องว่า อดีตสมาชิกไทยรักไทยทั้งหมด ควรออกมาเรียกร้องทวงสิทธิความเป็นธรรม ความชอบธรรมคืนจากระบบที่ถูกบิดเบือน
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตรองผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ได้นำนายสุขสันต์ ไชยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นพยานปากเอกคดียุบพรรคไทยรักไทย ร่วมแถลงข่าวถึงเบื้องหลังการยุบพรรคไทยรักไทย โดยระบุว่าได้ให้การเท็จในคดีดังกล่าว พร้อมทั้งกล่าวหาว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้จ้างวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นประเด็นทางการเมือง ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญาณ และฟังการชี้แจงจากผู้ได้รับผลกระทบคือนายสุเทพ ประกอบการพิจารณาด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
พล.อ.พัลลภ :
ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่มาตามคำเชิญเพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับคนพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีกลาโหม โดยสองพยานปากเอกที่จะนำมาชี้แจงในวันนี้ ทั้งสองคนได้ให้การเท็จต่อศาล จนนำมาสู่การยุบพรรคไทยรักไทย
แต่วันนี้เขาทั้งสองได้สำนึกผิด จึงได้มาพบเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ แม้ว่าตัวเองจะติดคุกโดยการเป็นพยานเท็จ หรือแม้จะตายเขาก็ยอม สองคนนี้คือ นายสุขสันต์ ไชยเทพ ผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัครแบบเขต พรรคพัฒนาชาติไทยนายสุขสันต์ : ผมทั้งสองคนสำนึกผิด อยากกราบขอโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 ท่าน และรวมถึงสมาชิกพรรคไทยรักไทยทุกคน
ตามที่ผมและนายชวการ ได้ให้การต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นพยานให้กับอัยการสูงสุด (อสส.) และให้การกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จนเป็นเหตุให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยนั้น ผมขอเรียนว่า ผมและนายชวการ ถูกจ้างวานให้การเท็จ ถูกจ้างวานให้เป็นตัวละคร โดยผู้จ้างวาน คือ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งรายละเอียดผมจะขอเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกันดังนี้
เริ่มตั้งแต่เมื่อเช้าวันที่ 4 มีนาคม 49 มีคนซึ่งผมรู้จักดี มาพบผมที่โรงแรมกานต์มณี โดยบอกว่า ถ้าอยากได้เงินสนับสนุนการเลือกตั้งให้พาหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย หัวหน้าพรรคเล็ก 2-3 พรรคไปพบนายสุเทพ ซึ่งในขณะนั้น ผมกับพวก กำลังจัดทำเอกสารให้กับผู้สมัครเขตวันสุดท้ายในการสมัคร คือวันที่ 8 มีนาคม 49
ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 49 หลังจากส่งผู้สมัครเรียบร้อยแล้ว ผมกับคุณชวการ ก็ได้เข้าไปพบกับคุณสุเทพที่พรรคประชาธิปัตย์ ตามที่นัดหมายกันไว้ ประมาณสี่ทุ่มกว่า โดยคนนำเข้าไปพบ ก็เป็นคนเดิมที่ติดต่อกับผมที่โรงแรมกานต์มณี
เมื่อพบกัน คุณสุเทพขอร้องขอความร่วมมือ ให้ผมช่วยทำงานร่วมกัน โดยเป้าหมายอยู่ที่การยุบพรรคไทยรักไทยเป็นหลัก แนวทางการทำงานนั้น1.ให้ร่วมแถลงข่าวว่า พรรคไทยรักไทย จ้างวานให้ส่งผู้สมัคร เหมือนกับพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ที่คุณสุเทพได้นำแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ในวันที่ 8 มีนาคม 492.ให้ยืนยันต่อ กกต. อสส. และคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าพรรคไทยรักไทยเป็นผู้จ้างวานพวกผม ส่งผู้สมัครลงสมัครโดยมีเงื่อนไขในการทำงานและข้อตกลงในสัญญาคือ
1.คุณสุเทพจะดูแลความปลอดภัยให้ผมและครอบครัว
2.จะช่วยเหลือในทางคดีไม่ให้ได้รับโทษใดๆทั้งสิ้น
3.จะให้เงินค่าจ้างคนละ 15 ล้านบาท เป็นเรื่องจริง และ
4.ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่จะส่งสมัคร ส.ส. ให้ได้เป็น ส.ส. หรือถ้าหากพรรคได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ก็จะได้รับตำแหน่งทางการเมือง เหมือนกับคำให้การที่ คุณธติมา ภาวลี ได้ให้การไว้กับตุลาการรัฐธรรมนูญในการให้การในครั้งนั้น และถ้าหากไม่ให้ความร่วมมือ หรือเข้าทำงานร่วม พวกผมจะถูกดำเนินคดีอาญา เรื่องของการปลอมแปลงเอกสาร และการแก้ไขข้อมูลของ กกต. และพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้คนไปแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เรื่องการแก้ไขข้อมูล ผมเรียนให้สื่อได้ทราบว่า พรรคของพวกผม ได้มีการแก้ไขตั้งแต่ปี 48 ที่มีการเลือกตั้ง ผมแก้ไขให้คุณทนง ศิริปรีชาพงษ์ กับคุณสุทีป นาแก เขต 4 ก็ส่งลงสมัคร ตอนนั้นผมกับคุณชวการไม่มีทางเลือกในขณะนั้น เพราะเข้าไปอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ คุยกันถึงตี 2 จึงยินยอมด้วยความจำเป็น และได้ต่อรองกับคุณบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรค ก่อน แต่คุณสุเทพบอกว่า ไม่ต้อง ผมไปด้วย ไปคืนนี้เลย คุณสุเทพให้เหตุผลว่า ผมกับคุณชวการไปพูด เขาไม่เชื่อหรอก ต้องให้ผมไปพูดเอง จึงนั่งรถโฟล์คตู้สีดำ เลขทะเบียนหมายเลข 7 กรุงเทพฯ
เมื่อถึงบ้านคุณบุญทวีศักดิ์ ก็เป็นเวลาตี 2 ของวันที่ 16 มีนาคม 49 คุยกันอยู่ถึงตี 4 ผมจึงเชิญคุณบุญทวีศักดิ์ไปคุยกับคุณสุเทพในรถตู้ และผมกับคุณชวการก็อยู่ด้วย ในระหว่างการพูดคุยนั้น คุณสุเทพได้บอกคุณบุญทวีศักดิ์ว่า คุณสุขสันต์และคุณชวการได้รับปากทำงานร่วมกันกับคุณสุเทพไปแล้ว โดยข้อตกลงเงื่อนไขที่ผมได้เรียนไปแล้วว่า หากคุณบุญทวีศักดิ์ร่วมทำงานผม (สุเทพ) ก็จะยินยอมจ่ายเงินให้ 15 ล้านบาท ตามที่คุณบุญทวีศักดิ์ได้ให้การกับทาง กกต. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว
แต่คุณบุญทวีศักดิ์ได้บอกคุณสุเทพว่า เอาไว้คิดดูก่อน พรุ่งนี้เช้าจะให้คำตอบ หลังจากนั้น ไม่สามารถติดต่อคุณบุญทวีศักดิ์ได้เลย จนถึงวันที่ 18 มีนาคม 49 คุณสุเทพได้ให้ผมและคุณชวการไปพบด่วน ที่พรรคประชาธิปัตย์ และให้ไปรับเงินล่วงหน้าก่อนคนละ 1 ล้านบาท และรีบจัดให้มีการแถลงข่าวใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ว่า พล.อ.ธรรมรักษ์เป็นคนจ้าง ในวันนั้นเลย
หลังจากแถลงข่าวเสร็จ คุณสุเทพให้คนมารับผมและคุณชวการ เดินทางไปสุราษฎร์ธานี และทีนี้ในระหว่างพักอยู่ที่สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ผมกับคุณชวการอยู่ในความควบคุมของนายสุเทพโดยตลอด แม้กระทั่งการไปให้การกับ กกต. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีคนควบคุมไปตลอด ขณะนั้น ผมและคุณชวการไม่สามารถให้การเป็นอย่างอื่นได้
การที่ผมกับคุณชวการ มาเปิดเผยความจริงทั้งหมดในวันนี้ คุณสุเทพไม่ได้ดำเนินการตามสัญญาที่ให้ไว้กับพวกผม เรื่องเงิน เรื่องตำแหน่งทางการเมือง เรื่องเป็น ส.ส. ไม่ได้ไม่เป็นไร แต่พวกผมต้องมาโดนคดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติและส่งศาลฎีกา และวันที่ 14 พฤศจิกายน 52 นี้ จะส่งศาลอาญาร่วมกับ พล.อ.ธรรมรักษ์
ซึ่งแสดงว่า พวกผมถูกหลอกใช้งาน ให้เป็นเครื่องมือ ซึ่งคนเราศักดิ์ศรียอมกันไม่ได้ เมื่อมาโกหกกัน พวกผมต้องอยู่ลำบากแบบหลบๆซ่อนๆ ติดต่อไม่ได้เลย
นายชวการ :
ประเด็นหลักๆ คือ การลงเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 49 นั้น ทางพรรคพัฒนาชาติไทย ได้ดำเนินการตามแนวทางของพรรค เพราะเราเห็นเป็นโอกาส เมื่อพรรคฝ่ายค้านบอยคอต เมื่อสังคมไม่เอาพรรคไทยรักไทย โอกาสน่าจะตกอยู่กับพรรคเล็ก และก็เห็นได้ว่า พรรคคนปลดหนี้ได้ ส.ส. ในภาคใต้ ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นในการส่งผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยเลย
ประการที่ 2 เป็นความจริง ที่คุณสุขสันต์ได้พูดว่า คนของผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดต่อพร้อมเสนอตัวเลขค่าใช้จ่าย 7 หลักในวันที่ 4 มีนาคม 49 ซึ่งวันนั้น เรากำลังยุ่งอยู่กับการจัดตัว เราก็เลยขอผัดผ่อนและเป็นความจริงเช่นเดียวกัน ที่เราได้รับการติดต่ออีกครั้ง พร้อมกับนำข่าวภายใต้การนัดหมายของผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ในคืนวันที่ 15 มีนาคม 49 เพื่อเข้าไปพบคุณสุเทพที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เราเข้าไป เพราะเราคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนภายใต้หลักการของการเลือกตั้งโดยปรกติ แต่เมื่อเข้าไปและพบข้อเท็จจริงว่า เป้าหมายที่แท้จริง คือการยุบพรรคไทยรักไทยให้ได้ โดยคาดหวังว่า เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์จะมีโอกาสกลับเข้ามาเป็นรัฐบาล
เพราะฉะนั้นในคืนวันที่ 15 มีนาคม 49 ผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพวก ได้มีการวางแผนกำหนดเป้าหมาย และยื่นข้อเสนอจริงตามที่คุณสุขสันต์แจ้งให้ทราบแล้ว และยังไม่พอ ยังเดินทางไปพบกับหัวหน้าพรรคจริง เสนอค่าตอบแทนให้จริงด้วย ตัวของคุณสุเทพจริง ทั้งผมและคุณสุขสันต์ รวมทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์บางท่านรับรู้ด้วยตลอดเวลา
ในส่วนของผมนั้น ขอเรียนว่า ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมโยง ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 49 โดยกล่าวว่า ผมได้ร่วมวางแผนกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ เรื่องการตัดต่อพันธุกรรมนั้น ขอเรียนว่า ไม่เป็นความจริง ผมไม่เคยวางแผนร่วมกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่เคยพบกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่เคยเหยียบเข้าไปภายในพรรคไทยรักไทย ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ในคืนวันที่ 2 มีนาคม 49 เลย
ส่วนภาพวงจรปิดที่คุณสุเทพนำมาให้ผมดู ในเวลาที่ถูกควบคุมตัวที่ภูเก็ตนั้น เป็นภาพที่ผมไปปรากฏตัวจริง แต่ไปเพราะติดรถไปกับเพื่อนที่ชื่อทวี สุวรรณภัทร ซึ่งเป็นนักข่าว เข้าไปทำธุระส่วนตัวในกระทรวงกลาโหมเท่านั้น
ในวันนั้นผมไม่ได้พบกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ผมไม่เคยรู้จักกับท่าน นอกจากผ่านสื่อ และที่สำคัญ คือไม่มีการรับเงินใดๆ จาก พล.อ.ธรรมรักษ์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 49 เพื่อไปใช้ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง
วันที่ 3 มีนาคม ถ้าไปตรวจสอบจะพบว่า วันนั้นเป็นการสมัครปาร์ตี้ลิสต์ พรรคพัฒนาชาติไทยส่งผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไข และเงินค่าใช้จ่ายในการสมัครปาร์ตี้ลิสต์ มันไม่มาก และเป็นเงินที่เรารวบรวมกันเองเพราะฉะนั้นภาพที่นำมาใช้ จึงเรียกว่า การตัดต่อข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย
นี่คือความจริงที่สังคมจะต้องรับรู้ และที่สำคัญ หลังยุบพรรคไทยรักไทยแล้ว ผมเองอยู่อย่างลำบาก ไม่ได้รับการดูแลเหลียวแล ตอนที่จะให้เราร่วมมือ เขาก็บอกว่า ทำเพื่อชาติเถอะ แม้สังคมจะเข้าใจผิดเราก็ต้องเสียสละเพื่อชาติ เพื่อให้วิกฤตมันจบ แต่ในความเป็นจริง เป็นการแก้ไขวิกฤตด้วยวิธีที่สกปรก บิดเบือนใส่ความ ให้การเท็จ เสริมแต่งข้อเท็จจริง จนนำไปสู่กระบวนการที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเบี่ยงเบนนั้น ผมเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
สุดท้าย เมื่อเราขอให้ช่วยดูแลเรื่องคดีความที่เราถูกกล่าวหาจาก ป.ป.ช. เรากำลังถูกฟ้องคดีอาญา คนที่เคยบอกว่าช่วยชาติ กำลังจะติดคุก เพราะการช่วยชาติที่เกิดจากการไม่เอาใจใส่ดูแล ผมจำเป็นต้องออกมาบอกความจริงทั้งหมด ให้สังคมได้รับรู้ว่า กระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งแต่มีนาคม 49 จนสะสมเป็นวิกฤตขณะนี้ เกิดจากกระบวนการที่ไร้จริยธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้มีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบัน ภายใต้แผนสมรู้ร่วมคิดกับนักการเมืองอีสานบางคน และทหารบางกลุ่ม เพื่อทำให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบ
เพราะครั้งนั้น เขาบอกแต่เพียงว่ายุบพรรค กรรมการไม่ตัดสิทธิ แล้วเราก็มาลงเลือกตั้งกันใหม่ เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ผลที่เกิดมันไม่ใช่ ผมและคุณสุขสันต์ สำนึกเสียใจตลอดเวลา นี่คือทฤษฎีเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เสร็จภารกิจเอามันไปไว้ไกลๆ อย่าให้มันเข้ามาใกล้ แล้วปล่อยมันให้ติดคุกซะ
ผมยังไม่ทราบว่า การที่ผมมาเปิดเผย จะถูกคนของพรรคประชาธิปัตย์ฟ้องอีกกี่สิบคดี ผมยอมครับ ผมรู้ว่าผมมีส่วนผิด ผมจะพึ่งกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ถูกเบี่ยงเบน และฝากประชาชนว่า วันหนึ่ง หากผมไม่สามารถประกันตัวได้ เพราะการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนใดก็ตาม หากผมต้องถูกกระทืบตายในคุก ผมมีศัตรูอยู่แค่กลุ่มเดียว คือผู้ที่มีอำนาจรัฐในปัจจุบัน
ที่จำเป็นต้องมาเปิดเผยครั้งนี้ แม้รู้ว่าเสี่ยง แม้รู้ว่าเป็นอันตราย แม้รู้ว่าต้องเป็นศัตรู แต่ต้องการให้สังคมและประชาชนรู้ว่า แท้ที่จริงใครกันแน่ เป็นตัวการ และใครคือผู้ที่ต้องรับผลจากการกระทำที่ฉ้อฉล บิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ท้ายที่สุด ผมขอกราบขอโทษต่ออดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยทุกคนที่การกระทำของผมทำให้ท่านต้องได้รับผลกระทบ และขอเรียกร้องว่า อดีตสมาชิกไทยรักไทยทั้งหมด ควรออกมาเรียกร้องทวงสิทธิความเป็นธรรม ความชอบธรรมคืนจากระบบที่ถูกบิดเบือน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น