ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำต่อคำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร : ซีรีส์เกร็ดชีวิต ตอนที่ 1


โดย : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา : รายการ ทอล์ก อะราวด์ เดอะ เวิลด์ #22
เรียบเรียงจากการออกอากาศ วันอังคารที่ 26 มกราคม 2553

**************************************************************************

เกร็ดชีวิต : ตอนที่ 1

พี่น้องครับ ผมจำเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้จะขอใช้รายการนี้เล่าชีวิต จำเป็นต้องเล่าซ้ำเพราะว่าคนรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้เรื่องชีวิตผม เพราะผมเห็นในทวิตเตอร์ที่เข้ามาโจมตีผม บางรายก็พวกแต่งตั้ง บางรายเป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาไม่รู้ว่าครอบครัวผมทำมาหากินจนร่ำรวยแล้วค่อยเข้าสู่การเมือง ไม่ใช่มาร่ำรวยจากการเมือง แต่เราก็มีค่าใช้จ่ายกับการเมืองพอสมควรเนื่องจากว่าไม่ต้องการเห็นคนของพรรคไปทำอะไรไม่ดี ก็พยายามใช้จ่ายตรงนี้ แต่ขณะนี้คนรุ่นใหม่บางทีก็ไม่เข้าใจ หาว่าผมไปโกงมาได้ยังไงตั้ง 76,000 ล้าน

เงิน 76,000 ล้านเป็นเงินที่ประกาศล่วงหน้าก่อนเป็นนักการเมือง เพราะฉะนั้นจะยึดเงินที่ประกาศไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าสู่การเมืองผมยังไม่เห็นที่ไหนในโลกเขาทำกัน แต่วันนี้คนที่เป็นปฏิปักษ์กับผมและไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม ไร้ซึ่งหลักธรรม หลักของชีวิต ผมเกลียดใครก็แล้วแต่ผมทำไม่ได้เพราะว่าหลักธรรม เมตตาธรรม หรือหลักของสิ่งที่เป็นความถูกต้อง ผมไปเห็นรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาที่เขาขนเงินเป็นล้านๆไปช่วยอุ้มแบงก์ อุ้มสถาบันการเงินทั้งหลายที่ล้มไป ที่เขาไปฟ้องเอาเงินคืนจากผู้บริหารว่าผู้บริหารได้โบนัสเยอะแยะไปขอคืนนั้น ไม่มีหรอกครับ เพราะเขาถือว่าถ้าทำผิดกฎหมายก็ว่าผิดไป แต่ทางแพ่งถือว่าเป็นลูกจ้างมากินเงินเดือนและทำงาน เมื่อทำงานแล้วกำไรก็ไม่ได้ยกให้เขา แต่ขาดทุนจะไปเอาที่เขามันก็ไม่ใช่ครับ
ก็เหมือนกัน ผมบริหารงานเป็นนายกรัฐมนตรีมา คุณไม่เห็นว่าผมมีความดีเลยหรือ หรือเห็นว่าทำชั่วตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ผมแก้ปัญหายังไง ผมชำระหนี้ IMF ล่วงหน้าก่อน 2 ปีได้ โจมตีผมเรื่องน้ำมันก็ไม่เห็นบอกว่าผมทำความดีเลย แต่บอกว่าปล่อยเงินกู้ทำให้ประเทศเสียหายโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมและยุติธรรม ขอใช้เวลากับรายการนี้ และจะฟังกระแสตอบรับว่าท่านฟัง 1 ชั่วโมง ผมต้องถามพี่น้องว่าอยากฟังไหม

จริงๆแล้วที่จะเล่าให้ฟังเนี่ยจะไม่เล่าเพื่อโฆษณาตนเอง แต่อยากให้เข้าใจว่าชีวิตผมเป็นชีวิตที่ต่อสู้มาอย่างมีสีสัน เพื่อให้เป็นประโยชน์ในช่วงวิกฤตนี้ว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านไหม ผมเป็นคนเกิดบ้านนอก ชนบทแท้ครับ ผมเกิดที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมือง 13 กิโลเมตร สมัยก่อนเริ่มต้นเท่าที่จำความได้พ่อแม่ผมก็ต้องมาต้มน้ำ ผมก็ตื่นพร้อมแม่ โดยแม่ขายผ้าในตลาด ระหว่างแม่รอพ่อลงมาผมก็ต้องไปกับคนงานที่บ้าน 1 คน เข็นรถใส่ผ้าไปขาย ผมนั่งหน้ากระบะ เข็นไปวางผ้าเรียงรอไว้ ผมก็เฝ้าผ้ารอแม่ คนงานก็กลับมาที่บ้านเพื่อมาช่วยพ่อ พอแม่ไปถึงผมก็มาช่วยล้างแก้ว ถุงพลาสติกไม่มี เสร็จแล้วก็ใช้เชือกทำเป็นหูหิ้ว เพราะใช้กระป๋องเจาะรูเพื่อใส่กาแฟ โอเลี้ยง บางทีก็ต้องโม่กาแฟทั้งๆที่ตัวยังเล็ก ทำอย่างนี้ทุกวันก่อนไปโรงเรียน

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เรียนโรงเรียน แต่เรียนเป็นอุบาสิกาวัดโรงธรรมสันกำแพง มีครูคนหนึ่งชื่อครูควาย เป็นคนอุตรดิตถ์มาอยู่เชียงใหม่ เป็นคนฉลาดมาก เข้าใจว่าคงจบแค่ ม.6 ธรรมดา แต่ฉลาด เก่งมาก ฉะฉาน เดือนหนึ่งจ่าย 10 บาทค่าเรียน แกก็มาสอนเป็นคนๆ ถ้าใครสนใจแกก็สอนนานหน่อย ใครไม่สนก็ผลัดกันมา เรียนตั้งแต่บวก ลบ คูณ หาร ผมจำความได้ว่า 3 วันสุดท้ายก่อนเข้า ป.1 แกสอนหารยาว เป็นการเรียนที่ทำให้ผมรู้จักวิธีคิด เพราะแกพูดเก่ง ชวนพูด ชวนคุย ชวนคิด และทำให้ทุกคนมานั่งฟังที่ดี เป็นผู้สอนที่ดี หลังจากนั้นผมชอบเลข ญาติผมเจอผมก็จะเรียกไปถามเลขในใจ ถามเรื่อยๆเหมือนให้เราถูกฝึกสมอง ให้คิดเป็น ให้เข้าใจ คณิตศาสตร์เป็นอะไรที่ทำให้คิดเก่ง

ป.3 ย้ายจากร้านขายกาแฟมาทำสวน ย่าให้ที่คุณพ่อมาเพื่อให้ไปทำสวน ตรงนี้ไม่ได้เรียนรู้เยอะ สมัยก่อนตู้เย็นใช้น้ำมันก๊าดจุดนะครับ เป็นตู้เย็นตู้เดียวในสันกำแพงเพื่อมาทำมาหากิน แช่โค้กขายเย็นๆ ทำให้คนสนใจมาก ก็ช่วยกันทำมาหากินอย่างนี้ แล้ววันที่ล็อตเตอรี่ออกก็ขายเรียงเบอร์ ฝึกคิด ฝึกทำ ฝึกใช้สมองตั้งแต่เด็กๆ มีการพูดจาคุยกัน ใช้งานกันตั้งแต่เด็ก ไม่ประคบประหงม แล้วก็ให้เด็กฝึกทำงานตั้งแต่เด็ก ผมจบ ป.3 ที่สันกำแพงแต่ไปซ้ำ ป.3 ที่มงฟอร์ต ตอนเช้ามีข้าวเหนียวหมูปิ้งขึ้นสองแถวไปโรงเรียนต้องจ่ายเดือนละ 25 บาท เบียดกันแน่น ไปส่งโรงเรียนทุกวันเช้าเย็น ช่วงนั้นที่บ้านสวนพ่อผมก็ขุดท้องร่องขึ้นมา ดินก็เอามาทำสวน ปลูกกล้วย ปลูกดอกไม้ด้วย ผมก็เอาใบตองลนเพื่อไม่ให้มันกรอบแล้วก็เอาไปขาย ที่สวนมีบ่อสำหรับเลี้ยงปลา

นี่คือชีวิตที่อยู่มาอย่างนี้จนถึง ม.4 ผมเพิ่งเคยเข้ากรุงเทพฯเป็นครั้งแรกเพราะญาติคุณย่าท้าผมว่าถ้าผมสอบได้เกิน 80% สอบได้เลขตัวเดียว ผมสอบได้ที่ 4 ญาติซื้อตั๋วรถไฟให้ไป 4 วัน มีญาติอยู่ที่เขาสามร้อยยอดเขาก็เลยพาผมไปด้วย ไปหัวหิน ไปพัทยาตอน 10 ขวบ ตื่นตาตื่นใจได้ไปดูโน่น ดูนี่ ทำให้ผมได้อยู่ต่างบ้าน เรียนรู้ พอกลับไปสันกำแพงตอนเด็กๆผมเป็นเจ้าของถนน เอาสเกตมาเล่น ตีแบดฯ ผมเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก เล่นทุกหน้า หน้าฝนเล่นบาสฯ ร้อนฟุตบอล หนาวแบดฯ กลางคืนสเกต ชอบออกกำลังตั้งแต่เด็ก ไม่เช่นนั้นวันนี้ไม่เป็นอย่างนี้หรอก

จนผมอายุ 15 ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ผมต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปเก็บตังค์ค่าเช่า ชีวิตผมสัมผัสคนชนบทมาตลอด ทำงานช่วยพ่อแม่ เรียนหนังสือมาตลอด โชคดีเรียนเก่ง ขยันทำการบ้าน เท่ากับว่าไม่ต้องท่องหนังสือทำให้เราเข้าใจ ทำการบ้านด้วยตัวเอง มีเวลาเหลือตอนนั้นพ่อไปทำรถเมล์ กระเป๋าลงเวรกัน 4 ทุ่ม ผมต้องไปนั่งนับเหรียญ เช็กตั๋วว่าใครรับไปเท่าไร ขายเท่าไร พ่อผมก็ใจสู้ทำทุกเรื่อง ทำหลายอย่างก็โดนโกง มาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร มีลูกน้องพ่อคนหนึ่งหวังดีกับพ่อให้อยู่เชียงใหม่เพราะพ่อไว้ใจผมที่สุด แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร เรื่องทรัพย์สินหาใหม่ได้ แต่ความรู้ถ้าไม่มีวันหน้าก็ไม่รู้ทำมาหากินยังไง ผมไปเรียนดีกว่า แล้วพี่ก็ช่วยพ่อละกัน ผมก็เลยไปเป็นนักเรียนเตรียมทหาร

ผมสอบเข้า 2 ปี ปีแรกตกหล่น ผมเรียนเตรียมทหารรุ่น 5 มาเป็นนักเรียนตำรวจ 2 ปี ฐานะทางบ้านก็ยังโอเค พอมาเป็นนักเรียนตำรวจก็ลำบาก จนจบนักเรียนตำรวจได้เงินเดือน 1,300 กว่าบาท ผมไปเช่าบ้านอยู่แถวเกียกกาย มีเตียงตัวหนึ่ง ตู้ตัวหนึ่ง มีพระวางไว้หลังตู้เสื้อผ้าให้สูงหน่อย อาบน้ำก็ใช้รวมกัน ทางบ้านฐานะไม่ดีผมก็ต้องช่วยตัวเองมากหน่อย บังเอิญว่าผมได้พบคุณหญิงตอนจบปี 1 กำลังขึ้นปี 2 คุณหญิงก็ไปเรียนเมืองนอกเพราะว่าไปเรียนภาษาอังกฤษอยู่เมืองนอก 1 ปี ผมอยู่ปี 4 ก็ตั้งใจว่าอยากไปเรียนเมืองนอก ตอนผมไปเรียนก็คิดว่าผมชอบวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ ไปเรียนตำรวจ สาเหตุที่เลือกตำรวจเพราะว่าแถวบ้านเป็นทหารบก ทหารอากาศ ผมมาจากเชียงใหม่ว่ายน้ำไม่แข็งเลยเรียนตำรวจ ก็ติด ผมเป็นหัวหน้าชั้นปี 1 ผมได้ทุน ก.พ. ไปเรียนปริญญาโท ให้เดือนละ 160 ดอลลาร์ แม่ให้เงินมาพันเหรียญไปซื้อรถมือ 2 แต่ว่าผมเอาเงินที่แม่ให้มาไปดาวน์ ผ่อนรถเบนซ์อีกเดือนละ 80 ดอลลาร์

ไปตอนแรกภาษาอังกฤษยังไม่ดี ลงแค่ 3 วิชาเลยไปทำงาน ผมชอบทำอาหาร ตอนหลังมาให้เป็นผู้ช่วยกุ๊กทำอาหารเช้าที่โรงแรม พอได้ตังค์ก็เอามาผ่อนรถ ผมเรียนปริญญาโท 1 ปี 4 เดือน ซัมเมอร์ผมไม่เรียนเลย ไปเที่ยวเพราะอยากมีประสบการณ์กับอเมริกา ก็กลับมา คุณหญิงยังไม่กลับ ผมกลับมาก่อนมาปรับยศเป็น “ร้อยตำรวจเอก” เงินเดือน 1,800 บาท สักพักคุณหญิงก็กลับ กลับมาไม่นานก็แต่งงาน บ้านไม่มีอยู่เลยไปอยู่บ้านคุณหญิง เลยชวนไปเรียนปริญญาเอก คุณหญิงไปเป็นแม่บ้าน ผมไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือดี ตอนเรียนปริญญาโทก็เป็น 14 ต.ค. 16 ปริญญาเอก 6 ต.ค. 19 ไปรู้ข่าวตอนอยู่เมืองนอก มีพฤษภาทมิฬที่อยู่เมืองไทย
ตอนจบโทคิดว่าแต่งงานก่อนดีกว่าไปอยู่เมืองนอก เพราะว่าเราไม่มีบ้าน ปรึกษากับคุณหญิงว่าพอไปเรียนจบเอกร้อยล้านน่าจะหาได้ ตั้งใจกันว่าไปเรียนกันก่อน ระหว่างเรียนยังอยู่หอพัก ได้อยู่ร่วมกัน ไปหากินเอาดาบหน้าเผื่อมีงานทำเก็บเงินเก็บทองบ้าง ผมเลยตัดสินในแต่งงานแล้วไปเรียนเมืองนอก พ่อตาช่วยเดือนละ 100 ดอลลาร์ ผมก็เอาเงินเดือนของตัวเองรวมกับเงินที่พ่อตาให้เป็น 1,900 ดอลลาร์ ไปเรียนหนังสือกับทำงานกัน คุณหญิงทำงานรับจ้างเลี้ยงเด็กเล็กเพราะภาษายังไม่แข็งแรง มีเวลาน้อยเลยไปรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าๆ ไปมัดหนังสือพิมพ์ เรียนเอก 2 ปี 8 เดือนจบเพราะว่าอยากจบ เนื่องจากเรารู้ว่าเราเรียนพ่อแม่ก็ลำบาก นานๆแม่ส่งตังค์ไปให้ครั้งหนึ่ง ได้ไปซื้อของกินของดีๆบ้าง อยู่กันอย่างประหยัด นี่คือชีวิตที่ต้องสู้มา

พอจบปริญญาเอกก็กลับบ้าน มีรถที่ใช้อยู่เมืองนอกกลับมาด้วยคันหนึ่ง กับคุณหญิงคันหนึ่ง ขายไปก็ได้ทุนคืน ได้ตังค์กลับมา 200,000 บาท แต่ภาษีที่เอารถมาต้องเสีย 400,000 บาท เลยต้องไปยืมมาเสียภาษี ผมเองกลับมาก็ยังอาศัยบ้านพ่อตาอยู่ พ่อตาแม่ยายแยกกันอยู่ ผมก็ไปเบียดเบียนห้องผัวเมียอยู่ด้วยกัน นอกนั้นเขาก็อยู่ด้วยกัน นั่งคิดว่าทำไมเราถึงจะมีบ้าน ไม่มีตังค์มีแต่รถ ลูกก็เพิ่งได้ 5 เดือนกว่า จะทำยังไงดี คิดดิ้นรนว่าจะทำยังไงดี ผมจะเล่าให้พี่น้องฟังว่าใครมีปัญหาเรื่องดิ้นรนบ้าง พอดีมีเปิดรับครูสอนภาษาอังกฤษที่หนึ่ง รับผู้จัดการโรงแรม ผมก็กลางวันไปทำงาน กลางคืนก็ทำงานเพื่อผ่อนบ้าน อยากซื้อบ้านของตัวเอง มีลูกมีเมียแล้ว พยายามไปหางาน พอดีมีประสบการณ์ทำโรงแรมมาก่อน

ครอบครัวคุณหญิงเป็นข้าราชการ ก็ไม่รู้จักใคร ผมก็ไม่รู้จักใคร ผมสร้างตัวขึ้นมาทีละขั้น ตัดสินใจว่าญาติพี่น้องมีธุรกิจผ้าไหม ถ้าเราหยิบมาก่อนโดยที่ยังไม่จ่ายตังค์น่าจะได้ เลยไปขอเซ้งร้านท่านคิด 50,000 บาท เพราะรู้จักกับพ่อตา จ่ายล่วงหน้า 50,000 บาท ไม่ต้องเก็บค่าเซ้ง ขึ้นแชร์ก็ไม่รู้จักใคร รู้จักนักธุรกิจเล็กๆอยู่ 5 คนก็ขึ้นได้แค่ 6 มือทั้งตัวเอง ความที่ไม่รู้จักใครจริงๆก็เริ่มต้นอย่างนั้น ตังค์ก็ไม่มีหมุนเวียน ผมไปเช่าสินค้าที่แปะโป้งมาวางขาย พอเปิดร้านขาย “โอ๊ค” (พานทองแท้) ก็ยังตัวเล็กๆ นั่งรถเข็นอยู่เลย คุณหญิงก็เอาโอ๊คไปเฝ้าร้านทุกวันแต่ขายไม่ได้เลย ดีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากเนื่องจากว่าคนกันเองขายเอง ผมก็คิดว่าจะทำยังไงดี บอกคุณหญิงว่าเฝ้าร้านนะจะหาอย่างอื่นทำ อย่างนี้ไปไม่รอดแน่

จากนั้นผมเข้าไปหาเพื่อน ไปไฟว์สตาร์ นั่งดูหนังบังเอิญว่ามีเรื่องหนึ่งสายเหนือยังขายใครไม่ได้ พระเอก นางเอกยังใหม่ ผมไปดูหนังเรื่องบ้านทรายทองของรุจน์ รณภพ ไปดูครั้งแรกไม่เคยซื้อหนังมาก่อน เพื่อนก็เชียร์ให้ซื้อบอกหนังดี ผมก็ต่อรองเขา 1 ล้านบาท แถมให้สายสระบุรี ให้ฟิล์มมา เบนซ์พวงมาลัยซ้ายผมนั่นแหละเอาไปให้พรรคพวกขอโอนลอยให้เขา แลกเช็คมา 1 ล้านบาทเพื่อเอามาจ่ายค่าหนัง ก็เสี่ยงนะครับแต่เราดูแล้วว่าหนังเขาก็มีโอกาส ถ้าฟลุคก็มีกำไรเลย คุณรุจน์ก็เชียร์ให้ซื้อ สรุปแล้วหนังเรื่องนี้ได้มาล้านกว่าๆ ตั้งแต่นั้นมามีรถคัน มีเงินล้านแล้วก็ไปซื้อหนังต่ออีกเรื่อง เข้าใจว่าเรื่องยอดตลกของเด่น ดอกประดู่ ได้กำไร 300,000 บาท

พอดีพ่อตามีบ้านอยู่ท้ายซอยโชคชัย 4 เป็นบ้านชั้นเดียวเล็กๆ เวลาฝนตกลำบากก็เลยขอพ่อ ผมก็เลยเอาตังค์ที่ได้มาแต่งบ้าน มาอยู่บ้านหลังนี้ 6 ปีจนน้องเอม (พิณทองทา) คลอด อยู่บ้านนี้จนน้องเอมได้ 4 ขวบโดยประมาณ ตอนหลังความที่ตั้งเนื้อตั้งตัวได้บ้านที่ลาดพร้าวเราก็ปิดไว้ไม่ได้ทำอะไร เพราะเราย้ายไปบ้านใหม่ ตอนนั้นยังไม่รวยนะครับ มีตังค์ได้สักพักหนังก็เริ่มขาดทุน เงินเริ่มหมด ความที่ผมมีมนุษยสัมพันธ์ดี มียศ ไปสร้างสัมพันธ์กับผู้จัดการแบงก์ ตอนหลังมาคุณหญิงบอกว่าเธอมีความรู้ ผมก็เลยบอกว่าจะทำยังไงเพราะเงินหมุนไม่มี มีหนี้สินอีก ตอนนั้นเช็คผมเริ่มเด้งแล้ว คนที่รับเช็คผมก็ไปขายต่อ เช็คขายเช็ค ก็ไปขายให้กับวงการหนัง

มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนผมมีที่ราชวัตรขอเอาโรงหนังตรงนี้ เขาเป็นหนี้แบงก์ ผมก็อยากมีหลักทรัพย์ สมัยก่อนก็ไม่รู้ คิดเรื่องนี้ไม่เก่งพอ เขาก็มานั่งคุยกัน มีอยู่วันหนึ่งบอกว่าผมขอกู้เงินได้ไหม ผมจะเอาโรงหนัง ตึกแถวที่ราชวัตรมาเข้าแบงก์ เขาก็นั่งมองหน้าผมเพราะเป็นคนจีน ชอบดูโหงวเฮ้ง นั่งมองหน้าผมเสร็จแล้วก็บอกว่า อั๊วขอ 18.5 ล้านบาท ก็เลยได้เป็นเจ้าของที่ราชวัตร ต้นกำเนิดของกลุ่มชินคอร์ป ที่สุดก็เป็นหนี้อีก แต่เป็นความแพ่งผมก็ยังไม่จ่าย จ่ายที่เป็นอาญาก่อน แล้วผมก็บอกว่า เฮ้ย...อั๊วไม่ชักดาบแน่แต่ขอเวลาหน่อย คุณหญิงเลยบอกว่าเธอมีความรู้ เธอไปทำธุรกิจที่มีความรู้ดีกว่า ที่สุดคุณหญิงถามว่าหนี้ทั้งหมดเท่าไร ผมบอกว่าถ้าเราได้ 10 ล้านบาทเราหายใจไปสู่ธุรกิจใหม่ได้

ช่วงนั้นต้องยอมรับว่าเหนื่อยแล้วต้องพัก ไม่งั้นไม่ไหว จำไว้เลยนะครับเวลาเครียด เหนื่อยต้องพัก ไม่งั้นสู้ไม่ไหว เวลานอนต้องนอนให้หลับ ตาลืมแล้วค่อยคิด นี่ผมทำมาตลอดอย่างสม่ำเสมอ จนสุดท้ายผมไปทำคอมพิวเตอร์ ระหว่างนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ย้ายเงินหนีดอกเบี้ยแพงจากธนาคารไปจำนวนหนึ่ง เสร็จแล้วไม่รู้ทำไงก็เลยทุบโรงหนัง ธนาคารโกรธมากว่าทุบไม่บอก ก็ไปนั่งอธิบายให้ผู้ใหญ่ฟัง ประกาศสร้างคอนโดมิเนียม ยังมีแค่ 3-4 แห่งใกล้เขตพระราชฐานสร้างได้ไม่เกิน 21 ชั้น ที่สุดสร้าง 7 ชั้น กำไรหายไปเลยนะ ประกาศขาย โฆษณาไป มีทั้งหมด 90 ห้อง ค่าโฆษณากินหมดก็เลยหยุดขาย มีคนซื้อไปสัก 10 กว่าห้อง ไม่ได้ทุนเลย

ไปทำเรื่องคอมพิวเตอร์เนี่ยล่ะ จะเล่าให้ฟังว่าผมเอาตัวรอดมาได้ยังไง ถืออย่างนี้ว่าเจ๊งแสนทำล้าน เจ๊งล้านทำสิบล้าน ไม่งั้นใช้หนี้ไม่ได้ จะเล่าให้ฟังในตอนต่อไปเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้ว่า กว่าจะเป็นผมวันนี้ชีวิตต่อสู้ลำบาก เสี่ยงคุกมา

ตอนนี้ทุกคนลำบาก ผมเชื่อว่าผมลำบากกว่าเยอะสมัยก่อนเพราะไม่มีเครดิต ไม่มีพวก วันนี้สวัสดีครับ


******************************************************************************
ฉบับแปลภาษาอังกฤษ
Chapter 1 (Tuesday, January 26, 2010)
******************************************************************************

“I Built My Life”
by Dr. Thaksin Shinawatra (Prime Minister of Thailand, 2001-2006)

Chapter 1 (Tuesday, January 26, 2010)

A lot of my self-appointed enemies are now working so hard in branding me a figure of corruption. Thai media in the likes of The Nation, The Manager Group, Naewna, Thaipost. All of them are busily doing “negative campaign” hoping to influence the court soon to judge me and my family of the seized 76,000 million Baht, which is the fruit of my life’s work. Influencing the court is indeed a violation of the court’s jurisdiction. But they still do. That is precisely why I must ask you to allow me to use a portion of this show to tell you of my life struggle, as some people, especially those of the new generations, do not know what is true and what is pure fiction. They must know that I and my family have been wealthy long before our entrance to politics, and politics have never been a tool or a source of our wealth.

Such seizure, deemed “robbery” by some, is against all principles of ethics and morality. These people are in total lack of life principle. I may dislike someone intensely, but I have never gone after the person beyond these principles. Look what happens in the US. The government is financing in great amount the struggling financial and insurance corporations. One must look at the bright and gloomy sides to understand the overall. Have I been bad from day one, when I assumed Thailand’s premiership, to the very last? My premiership has absolutely nothing to claim credits for, hasn’t it? Our loan to Myanmar, to cite just one such accusation, is portrayed as my financing them so they could buy products sold to them by my family companies. How about those concessions they granted to PTT (Thailand’s Petroleum) along the years? Don’t they count as a merit to obtain such loan?

This is my way of explaining to all of you, the fair-minded international citizens, of the truth betrayed nowadays in Thailand. If you like it, I will consider expanding the show into 2 hours. It is not my self-advertising. Rather my life anecdotes. I will tell all. My colorful fights in my working life. Hope it help you in your own tough times right now.

I was born in the country, San Kampang, Chiangmai, away from what you would call an urban life. The nearest town was 13 kilometres away, with big trees on the 2 long road sides. My father had a motorcycle and struggled to make ends meet. At the age of 3-4, I started my memories of his and my mother’s hard works. He opened a small, country-style coffee corner. My mom woke up first, along with me, and boiled the water for dad. He would come down and start selling. By that time, my mom went to the open market for her business of selling clothes. Before she arrived, I would get there with a helper of hers. I was a little one so I sat in the frontal part of a wooden cart we used for clothes. I would just sit there, watching out for our products, till my mom showed up. I went back home and helped cleaning coffee glasses. Sometimes I did it on the stretch of my toes, as I was so small. This became my routine before going out to school.

There was no such thing as kindergarten at the time. However, there was a volunteer at the Rongtham Temple by the name of “Kru Kwai” (Teacher Buffalo) from Uttaradit. She was not highly-educated, but she was one superb teacher. Parents paid her 80 Baht per month to teach their children. I was a student of hers. She would give us an individual session. Interested students got a longer session. From basic Thai language to Mathematics. Kru Kwai was an excellent Math teacher. I learned plus, minus, times, divided. Pretty advanced for a child that age. I believe Kru Kwai was responsible for my progressive and interactive thinking process, which benefits me in later years.

My family helped here, too. Senior family members always challenged me, teasingly, to do Math. They would keep asking my all those Math puzzles until I was cornered. Math helps you think.

When I was in Grade 3, my dad changed from a coffee shop business to farming. My granny gave him a piece of land and he turned it into a fruit field. I learned a lot here. Dad was not highly-educated, but he was fond of new technologies. He went to Thammasat, which was then an open university much like Ramkanheang today. I remember that our little coffee shop had a refrigerator. It was oil-generated. The only one in that area. The fridge attracted a lot of people. We sold soda water and my mom’s frozen foodstuffs. I helped them selling “Wanyen” or an ice stick with a bit of sweet syrup, one “Slung” (one cent) a piece. Same as lottery results. One Slung a sheet also. My dad grew oranges and bananas. I sold banana leaves (people used them as today’s plastic bags) and flowers attached on banana’s trunk. Money from that was used to buy food back home. I grew up all my life like this, making a living with hard works.

At the time I enrolled at Montford, which was and is a famous school. I was forced to repeat Grade 3 because the first 2 Shinawatra boys’ academic performance was so poor they thought the third one must be as bad.

My very first visit to Bangkok was when I was in Grade 4. A cousin bet me to obtain 80% or over on my academic report. The reward was to take me to Bangkok. I got 84%. I traveled to Bangkok with my granny and we stayed for 4 days. On the way, we stopped at Kao Samroyyod (the Mountain of 300 Peaks), where my now well-publicized photograph among pineapples was taken. It was owned by my dad’s friend, who sold him tractors for our farm. With 400 Baht given by my granny, so much at the time, I bought some toys back home. One of them was roller-skate shoes, the wheel kind. We the kids played them at night when the road was empty. I played with these toys. I got into sports of every kind. We played all seasons, even when it rained.

Dad changed his work again. He was now a compradore of the Nakorn Luang Thai Bank. A compradore at the time screened loans giving out to the applicants. Eventually, he took over some troubled businesses from his clients. I remembered one called “Charoenchai”, a Honda motorcycle agent. I went everywhere to collect monthly payments from our clients, 100 Baht per month a piece. My life had always been close to people’s real life. I understand them well. My study was also prospering. I didn’t spend so much time reading my textbooks. But I did my homework, and that helped me understand it even better. Dad got involved in several businesses this way. Then he was cheated by business partners. The family fortune started sinking. It was the beginning of our rough time. One of my dad’s helpers asked me to stop school and came to work full-time to revive the business. I told him no. “Money and properties can be earned back. But without knowledge, we will be lost”. Those were my words to him.

I attended the national military cadet school at the time, which took 2 years. Before getting accepted, I wasted the first year because of a health result. They declared I had a spot in my lung. It was later proven a shadow of a rip or bone. By that time, the family’s financial situation got worsened. After graduation, I received a salary of 1,300 Baht or so. I rented a small room around a Bangkok’s area of Kiak Kai at 300 Baht per month. There were a bed and a small closet and that was it. Toilet was pool with other renters. I had to place my Buddha image on top of the closet, which was the highest location in the room. I lived like that until I obtained a government scholarship for a Master’s Degree. My family could no longer support me financially.

I was in love when I was between Year 1 to 2. Pojaman, who eventually became my beloved wife, and I started our relationship since then. A few years before my graduation, she went abroad for language study. I was tempted to come with her. At the time I was first in my police-cadet class and student leader. I chose police because no Shinawatra was in the police force before. We were present in the Army and the Air Force. Navy was never a choice for a boy from the mountainous north, since he was hardly a good swimmer. Now, this police-cadet scholar wanted to further his study in the US.

It was my desire to go to the Massachusetts Institute of Technology (MIT). I got accepted. But the government salary of a scholar at $160 a month couldn’t allow it. I went instead to another institution. My mom gave another $1,000 of the family’s hard-earned money. As a young man, I had needs and wanted more money. Wanting a sporting car, Free Bird, I took an extra job at KFC, selling fried chicken. My senior Thai friends, Chidchai (Wannasathit, later a Ph.D., Drugs Suppression Chief, Deputy Police Commander, and Deputy Prime Minister) and Wichienchote (Sukchotirat, later a Ph.D., Deputy Permanent Secretary of the Justice Ministry and Government Spokesman) all worked. Chidchai was at UPS, doing the hard labor of loading boxes and all. Wichienchote waited tables at a hotel and he asked me to join him. I did. Eventually, I was also working in the hotel’s breakfast kitchen since I loved cooking. With little extra money, Pojaman soon joined me. We went out sometimes. My Master’s Degree took 1 year and 4 months to complete. It was longer than I should because I decided not to take summer courses but rather took a long drive around the US. Anyway, I was a straight A student. A in all courses.

I returned to Thailand alone because my love was still pursuing her degree. My rank was adjusted based on the new degree into Police Captain, with 1,800 Baht per month. Soon Pojaman came back and we were married. We had no home of our own. Not enough money for that. We then stayed with my wife’s parents until we decided that I should pursue my Ph.D. in the US. We returned to the US. I went to school. She didn’t. As fate would have it, I was away from Thailand at the times of our two major political riots: October 14 of 1973 and October 6, 1976. I only got news from here and there about what had happened. Even the May Incident of 1992, I was again out of the country.

The life of Bangkok Bank’s founder, the billionaire Chin Sophonpanich, inspired me to enrich myself in business. “If a person with only Grade 4 of educational background can do it,” I said to myself and my wife. “I as a Ph.D. pursuer must be able to earn some 100 million Baht in life”. We went to the US this time with that determination. Remember that my family, all 9 brothers and sisters, were all poor. My youngest sister Yinglak, currently AIS President, was only 9 years old. My father-in-law, who was then Commander of Bangkok Police’s Southern Area, contributed $100 a month for us. I combined it with $90, my police salary at home, and went off. My wife found a babysitting job for small children and a sales clerk at a department store. I studied hard, and also worked. My job was to fold newspaper and deliver them to home. Sometimes I missed out and had to recollect them. Some vicious dogs chased me with vengeance. Finally, a doctorate degree was obtained after 2 years and 8 months. My oldest son Oak was born in the US. When we carried him back with us, he was barely 5 months old.

We had 2 cars in the US: my left-steering wheel Mercedes Benz and my wife’s Volvo. The Volvo was sold as we wanted to keep the Mercedes. The problem was we couldn’t afford the tax. Our entire saving at the time was 200,000 Baht, but the tax was posted at 400,000 Baht. A loan was sought. We returned again to the home of my wife’s parents, who has 4 children. My wife and I was given a room. The others had to share. Every morning I went through every page of Bangkok Post’s Classified. I was so preoccupied with an extra income or more. I almost took a job as English instructor, somewhere in Nanglerng, and a job as Night Manager of a hotel. What choice did I have? No investment money. No network of friends in business. My wife’s family background was also governmental. No connection to business world, whatsoever. I built myself up one step at a time.

My family has had a silk business. We obtained some commodities without having to pay first. But we needed to open a shop. I joined a business group whose 5 members invested 10,000 Baht each. We took turn taking the whole sum of 50,000 Baht for business use. This was how I got started. I paid the rent to General Witoon Yasawat, who owned a hotel called Trocadero, where my rental shop was. My wife with our little boy baby went to the store everyday. Business was not good. We ended having boiled eggs for dinner everyday. Without the burden of payment for silk products, we were still in the red. I told my wife to mind the store and went out looking for other ways to survive.

Came another month, I found myself at a leading Thai film production company: Five Stars Promotion. My friend, Kiat Iampungporn, suggested that I purchased the right of his film to show at the cinema of the northern territory. The movie in question was one of the most popular ones: Ban Saithong (“The Saithong House”). The main female character was Pojaman, who bore my wife’s name. I thought of it as a good sign. Director Ruj Ronapop was also in support. So was Pracha Maleenont, Channel 3’s owner, whose friendship with me started there. We agreed. But the right fee was 1 million Baht, which I didn’t have. The Mercedes was put as a collateral so we had enough money to pay. Looking back, it was so risky.

The risk paid off. Within 1 month, we earned back one million Baht. The Mercedes returned to be ours. Another month was another 1.3 million, which was pure profit for me. It was the first time we touched upon that kind of sum. I went on to another film “Yod Talok” (“Super Funny”), played by Den Dokpradoo. This time, 300,000 Baht in profit. We went on to buy a house of our own. My wife asked to have a house in Chokechai 4, Ladprao, which belonged to my father-in-law. She got her wish. We then spent some money preparing the house and moved in for 6 years. This was where several businesses were conceived. My second baby girl was born here. With more success, we moved to a new house in Bangplad. Heard that a man came digging at the Ladprao house which was shut down. He claimed to get some dirt of a successful house to put among his own at a factory, so he too could be rich. Later, the movie business was in decline. Some were in red. My wife advised me to start a business which would rely on my own knowledge, instead of taking risks.

I was again in financial troubles. Bounced cheques started to appear. I became used to issuing pre-dated cheques. The middle man sold it at 5% interest rate. I was responsible for that. There were times I couldn’t even manage to pay the interest. They sued me. I went to court. Paying back and going to court in switching. I was sometimes close to put in jail. It was like drowning in a vast sea, but we managed to survive, barely so.

In Bangkok’s area of Rachawat, there was a movie house called “Dusit Theatre”. It was put out for sales. I wanted to own a piece of property. I went to “Maha Nakorn Trust” and asked for 18 million Baht (Actually, it was 18.5 million, but 500,000 Baht was spent on accommodation of the deal). I met the top person of the trust on Monday. He looked at me for a long time and granted it, at the interest rate of 21%. I asked him why he granted it. He said he mastered in the Chinese art of reading faces, and he found me never to go bankrupt on him. It was an old-fashioned way of doing business. I went along with it, too, but also with knowledge and information.

With the money, I owned several units of building there. Our plan was to sell 90 units for a big profit. Interest rate was so high and on my back all the time. I paid 325,000 Baht every month. Fridays were days of high pressure. Any Friday I talked the rate down to 300,000 Baht, it was a course for celebration. I packed up my family and we were off to Pataya. I needed a break to reduce my great tension. You must give yourself a break whenever you become too intense and stressful. You must sleep well. Closing eyes to rest and opening eyes to fight on. But the building construction hit a major roadblock. Interior Minister General Siddhi Jiraroj issued a ministerial order that all buildings near the royal palace must not exceed 21 metres in height. My 15 floors were reduced to 7 floors. A big chunk of profit went out the door. Even worse, the sales of buildings were eaten up by advertising cost. We decided to stop selling and bought back the sold units. My wife and I determined to go for a new direction, so our lives could stay afloat. She sought out 10 million Baht and handed it to me to embark on a new business: computer sales. It was Pojaman who asked me to march ahead with the business, and she would deal with the debts and financial problems it had caused.

That is the story for next time.

--------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น