ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คำต่อคำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร : เกร็ดชีวิต ตอนที่ 5
โดย : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา : ทอล์ค อะราวด์ เดอะ เวิลด์ # 26
เรียบเรียงจากการออกอากาศวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.พ. 53
*******************************************************************************
ตอนที่ 5
สวัสดีครับ วันนี้พบกันเช่นเดิม วันนี้จะเล่าต่อในช่วงชีวิตผมพักการเมือง หลังจากที่ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังธรรม ในปี 39 พ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ ของคุณบรรหารฯ คุณบรรหารฯ ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ ผมมีช่วงพักการเมืองอยู่ 2-3 ช่วง
ช่วงแรก คือ ลาออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศ และยังไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ว่างอยู่ 4 เดือน หลังจากนั้นก็ไปเป็นรองนายกฯ อยู่ประมาณ 1 ปีกับคุณบรรหาร หลังจากนั้นก็เป็นส.ส.ฝ่ายค้านอยู่พักหนึ่ง จนมาถึงคุณบรรหารฯ ยุบสภา ช่วงนั้นก็ไม่ลงเลือกตั้ง ว่างอีกระยะหนึ่ง จนท่านชวลิตฯ เรียกไปเป็นรองนายกฯ อยู่ 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.) หลังจากนั้นก็ว่างต่อจนถึงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่ผมว่างจากการเมือง
ผมรู้จักสนธิ ลิ้มทองกุล ตอนไหน?
ผมเจอคุณสนธิครั้งแรกที่บ้านของคุณไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือที่เรียกว่า “โป๊ยเสี่ย” ซึ่งเป็นลูกของคุณอุเทนฯ ประธานของมหานครทรัส (ผู้เคยกู้เงินจากมหานครทรัสมาซื้อตึกแถวที่ราชวัตร) ผมเป็นลูกหนี้เขา เข้าใจว่าคุณสนธิก็คงเป็นลูกหนี้เขาเหมือนกัน มีการแนะนำให้รู้จักกัน ตอนนั้นคุณสนธิทำหนังสือผู้จัดการ เป็นเล่มเล็กๆ คล้ายๆ พ็อกเก็ตบุ๊คส์ เลยรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้ติดต่อกัน
มาอีกทีหนึ่ง ผมมาทำธุรกิจแล้ว คุณสนธิก็ขอให้ไปลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการบ้าง มารู้จักมากหน่อยก็ตอนที่บริษัท IEC คือบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย ปูนฯ ปรับโครงสร้างของตัวเองเลยขายบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับสายธุรกิจหลักของตัวเอง หนึ่งในบริษัทที่จะขายออกก็คือ IEC คุณสนธิก็รวบรวมคนที่เป็นผู้บริหารภายใน เพื่อทำฝ่ายจัดการขอซื้อออก ระหว่างที่คุณสนธิเจรจาอยู่ก็บอกผมว่าอย่าไปยุ่ง อย่าไปเจรจา แล้วยังไงมาถือหุ้นร่วมกัน
ในที่สุดคุณสนธิก็ให้ผมถือหุ้นร่วม 10% สาเหตุเพราะตอนนั้นผมทำโทรศัพท์มือถือ AIS แล้ว และ IEC เป็นตัวแทนขายโทรศัพท์มือถือโนเกีย เพราะเขาต้องมาขายเข้าในเน็ตเวิร์คของ AIS ถือว่าเป็นการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เขาก็เอาหุ้นมาขายและให้ผมถือหุ้น 10% แล้วก็เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์มีกำไร ในที่สุดผมก็ขายหุ้นทิ้ง ก็รู้จักกันตอนนั้น เพราะต้องนั่งร่วมประชุมกัน เป็นกรรมการกัน
หนึ่งในกรรมการตอนนั้นก็มี คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มานั่งเป็นกรรมการด้วย พักหนึ่งผมก็ขายหุ้นหมดไป หลังจากนั้นคุณสมคิดก็มากินเงินเดือนเป็นที่ปรึกษาบริษัท ชินฯ นี่เป็นที่มา
ตอนนั้นผมทำ IBC คุณสนธิทำผู้จัดการรายวัน ผมเลยมาทำการตลาดประเภทลดแลกแจกแถม ตอนนั้นยังไม่เข้าการเมือง ผมคิดว่าถ้าใครเป็นสมาชิก IBC ผมจะแถมหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้ คุณสนธิก็ขายสมาชิกแบบเหมาให้ IBC ถูกหน่อย เพราะ IBC ก็จะช่วยทำการตลาดให้หนังสือผู้จัดการแพร่ไป เราก็มาขายให้กับผู้บอกรับสมาชิกของ IBC เคเบิ้ลทีวีในวันนี้ ซึ่งวันนี้กลายเป็น UBC
แต่ตอนที่เป็น IBC นั้น ผมกับคุณสนธิก็มาทำธุรกิจ ช่วยซึ่งกันและกัน เขาขายให้ผมถูกกว่าราคาท้องตลาด ผมก็เอาของเขาไปแจก จึงทำให้นสพ.ผู้จัดการเป็นที่แพร่หลาย นี่คือความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ไม่มีปัญหาอะไร
คุณทนง พิทยะ เป็นใคร?
คุณท้อง เป็นคนอยู่แบงก์ทหารไทย ไปช่วยคุณสนธิอยู่พักหนึ่งตอนที่ออกจากแบงก์ทหารไทย ตอนหลังก็มาช่วยบริษัทผม มาเป็นรองผม คนเคยทำงานร่วมกันทั้งนั้นครับ รู้มือกันว่าคนไหนทำงานดีไม่ดีอย่างไร เลยชวนกันมาทำงานต่อตอนเข้าการเมือง เพื่อจะได้ทำงานให้เป็นประโยชน์และเข้าขากัน
ในช่วงที่พักงานการเมืองไปชั่วขณะหนึ่ง ตอนที่ผมออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว ช่วงนั้นก็มีการประชุมผู้บริหารของกลุ่มชินฯ ปรากฏว่าช่วงนั้นกลุ่มชินฯ ไปเอาข้าราชการบ้าง คนที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจบ้าง มาทำงานอยู่หลายคน
พอผมออกมาอยู่การเมืองพักหนึ่งก็ปรากฏว่ามีการเอาระเบียบของราชการมาใช้กับธุรกิจ เพราะตัวผู้บริหารมาจากราชการหลายคน ความที่ผมอยากจะเข้าการเมืองก็ไปดึงคนมาช่วย เขาก็เอาระเบียบข้าราชการมาใช้กับบริษัท
พอผมพักการเมือง ผู้บริหารก็มาบ่นว่าทำไมบริษัทเราเดินช้า งานก็ไม่ค่อยเดิน ปรากฏว่าคนไม่จัดสินใจ นี่คือกติกาของระบบราชการ ทุกอย่างมีระเบียบ ต้องผ่านขั้นตอนยาวเหยียด ต้องอนุมัติเป็นชั้นๆ ข้างล่างเห็นผู้ใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจข้างล่างก็ไม่กล้าตัดสินใจ เวลามีเรื่องอะไรก็เสนอเพื่อโปรดพิจารณาๆ มาเป็นชั้นๆ สมมุติว่ามี 5 ชั้นก็เลยไม่รู้ว่าจ้างมาทำไมอีกตั้ง 4 คน เพราะคนตัดสินใจคือคนที่ 5 นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหาของระบบราชการ
ผมฟังดูก็บอกว่าขอไปบรรยาย เชิญประชุมตั้งแต่ระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปจนถึงผู้จัดการฝ่าย ประมาณ 500 คน ผมบรรยายถึงเรื่ององค์กรในอนาคต ซึ่งสมัยนั้นเป็นองค์กรเครือข่าย ไม่ใช่องค์กรแบบขึ้นสายตรงอย่างนี้ คนเดียวรายงานหลายสาย แต่ละสายก็เชื่อมโยงกันไปเชื่อมโยงกันมาเป็นองค์กรแบบ Networking Organization ผมเลยบอกว่าถ้าองค์กรแบบนี้ การตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ระดับล่างมีความสำคัญสูง นั่นคือไปอ่านหนังสือของ บิลล์เกต เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ
บิลล์เกต บอกว่าต้องให้คนงานมีความรู้ ตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นคนที่ตัดสินใจได้ในระดับหนึ่งระเบียบข้าราชการใช้ไม่ได้เลย ระเบียบมันเยอะมาก ตอนผมออกจากบริษัทไประเบียบจากบางๆ เพิ่มขึ้นมาหนาเป็นปึก คนไม่ต้องทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นระเบียบ เพราะผมมีคนที่ขยันมาก เขียนระเบียบทุกวัน ปรากฏไม่เวิร์ค ผมเลยต้องบอกว่าถ้าใครสามารถฝ่าฝืนระเบียบบริษัทแล้วพิสูจน์ได้ว่าการฝ่าฝืนนั้นเป็นผลดีต่อบริษัท ควรจะต้องให้รางวัลคนนั้น
ฝ่ายบริหารเมื่อฟังเสร็จก็ไปตั้งรางวัล ปรากฏว่าตอนหลังระเบียบบริษัทจากหนาๆ ลดลงมาเหลือนิดเดียว งานก็คล่องเหมือนเดิม หลักคือต้องมีระบบมีไกด์ไลน์จริง แต่ไม่ใช่มีระเบียบยาวเหยียด พูดมายาวเพื่อจะบอกว่าต้องมีการปรับปรุงหลักการบริหารตลอดเวลา
อีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังก็คือ ตอนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ช่วงทีมีการลดค่าเงินบาท ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตั้งพรรคการเมือง ยังไม่ได้เป็นรองนายกฯ ของพล.อ.ชวลิตฯ ทางผู้บริหารก็ปรึกษาผมว่าบริษัทก็ลำบากเหมือนกัน เศรษฐกิจอย่างนี้จะทำยังไงดี ผมเลยบอกว่าให้ไปนั่งวิเคราะห์กัน เอาวิชาที่เรียกว่า บอสตันโมเดล คือบริษัทที่บอสตัน คอนเซ้าท์ติ้งกรุ๊ปเป็นคนคิดทฤษฎีนี้ขึ้นมา ว่าธุรกิจทุกธุรกิจแยกเป็น 4 ประเภท
ประเภทที่ 1 เรียกว่า แคชคาว หมายความว่าเป็นวัวที่ผลิตนมให้ นั่นคือธุรกิจที่มีกำไรและไม่ต้องลงทุนเพิ่ม หรือลงทุนเพิ่มเล็กน้อยมากแต่มีกำไร มีเม็ดเงินเหลือออกมาตลอดเวลา เรียกว่า “วัวนม”
ประเภทที่ 2 เรียกว่า Star แปลว่าดาวรุ่ง ในทางบัญชีมีกำไรแต่ยังต้องใส่เงินเข้าไปเรื่อยๆ เพราะต้องขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ประเภทที่ 3 เป็นธุรกิจที่ขาดทุนและต้องเติมเงินอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าเป็น Dog คือหมายความว่าเอามากินก็ไม่ได้แต่เปลืองเหลือเกิน
ประเภทที่ 4 คือธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่แต่ยังไม่ทันไปไหน ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย เรียกว่า Baby
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจทั้งหลายที่มีธุรกิจหลายอย่างหลายประเภทต้องมานั่งคิด ว่า วันนี้ตัวไหนที่เป็น cash cow หรือเป็นตัวที่มีกำไรแล้วไม่ต้องลงทุนเพิ่มหรือลงทุนแต่น้อยให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ธุรกิจที่ 2 เป็นธุรกิจที่มีกำไรแต่ยังต้องเติมลงไปอีก คือ Star ก็เก็บไว้ แต่ธุรกิจประเภทที่ 3 ที่เรียกว่า Dog คือขาดทุนตลอดเวลาแล้วยังต้องเติมเงินเข้าไปเรื่อย ให้ขายทิ้งเสียหรือปิดกิจการเสีย เพราะมันจะได้ไม่เลือดไหลออกตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่งในเวลานี้ อีกอันหนึ่ง Baby ในยามที่เงินทองหายาก เศรษฐกิจยังไม่ดีอย่าเพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่ ให้หยุดไว้ก่อน
ที่พูดอย่างนี้เพื่อจะบอกนักธุรกิจว่าในวันที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ กลุ่มชินฯ มีธุรกิจหลายอย่างเหลือเกิน เราก็มามองว่าอันไหนเป็นอะไรแล้วจัดการ อย่าง IBC วันนั้นทั้งขาดทุน ทั้งต้องใส่เงินด้วย ในวันนั้นถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่ดี ผมจึงต้องมีการขายหุ้นออก ในวันนั้นถามว่าธุรกิจที่สร้างใหม่มีไหม? มี แล้วถามว่าหยุดได้ไหม? หยุดได้ก็หยุด จึงทำให้กลุ่มชินฯ มีเงินสดพอเพียง แล้วถามว่าตอนนั้นกลุ่มชินฯ ขาดทุนค่าเงินบาทไหม ขาดทุนครับ ประมาณ 4,000 พันล้าน แต่คนอื่นเขาขาดทุนกันเป็นหมื่นๆ ล้าน ถามว่าขาดทุนน้อยเพราะอะไร เพราะเรากู้เงินต่างประเทศน้อย ถามว่ากำไรไหม? ไม่กำไรหรอกครับ เพราะไม่ได้เก็งกำไรเลย เพียงแต่กู้น้อยเพราะไม่อยากเสี่ยง วันนั้นตัวเลขก็สอนอยู่แล้วว่าขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 8.1% อยู่ยาก เพราะค่าเงินอย่างนั้นเราต้องปรับค่าเงินแล้ว แต่ค่าเงินของเรามีแบรนด์น้อย
ตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นกรรมการทุนรักษาระดับแบงก์ชาติโดยตำแหน่ง ผมเคยเตือนกระทรวงการคลังว่า ต้องเปิดแบรนด์ หมายความว่าค่าเงินต้องขยับได้ ไม่ใช่เราเอาบาทไปผูกไว้กับดอลลาร์ แต่ดอกเบี้ยของเราสูงกว่าดอลลาร์เยอะแยะ คนก็จะกู้ดอลลาร์เอามาฝากกับเรา เพราะความเสี่ยงไม่ดี เพราะฉะนั้นเราก็เอาแบรนด์ให้ห่างหน่อย หมายถึงให้ขึ้นลงเยอะหน่อย อัตราเสี่ยงจะลดลง ผมยังไปเตือนแบงก์ชาติในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตอนนั้น ว่าอย่าผูกบาทไว้กับดอลลาร์มากเกินไป ถ้าทำอย่างนั้นคนจะกู้เงินจากต่างประเทศมาฝากในเมืองไทย แล้ววันนั้นเรากำลังเร่งให้ BIBF กู้เงิน คนเลยกู้มาฝากเยอะ ไม่เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ จึงเกิดการเก็งกำไร เขาก็เก็งค่าเงิน โซลอสเห็นช่องจึงตีเอา
นี่คือสิ่งที่ผมเห็นตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เตือนแล้วเขาไม่ฟัง แล้วตอนที่ผมกลับมาเป็นรองนายกฯ ของคุณบรรหารก็เตือนอีกว่าเอาบาทไปผูกกับดอลลาร์แล้วดอกเบี้ยสูง อันตรายนะ รีบแก้เสียนะ ก็ให้รู้ว่าคนที่มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องค่าเงิน เรื่องการเงินระหว่างประเทศ พอเห็นตัวเลขจะเดาได้หมดครับ นี่ก็เป็นจุดที่ผมพยายามเตือนมาตลอดเวลา
วันนั้นก็เลยทำให้กลุ่มชินฯ ขาดทุนไปน้อยหน่อย ทำให้กลุ่มชินฯ แข็งและมีเงินสดเหลืออยู่ในมือเยอะที่สุด ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารที่กลุ่มชินฯ ใช้บริการอยู่ก็รู้ว่ากลุ่มชินฯ มีสตางค์เหลือเยอะ ตอนนั้น ITV มีปัญหา เนื่องจาก ITV เป็นการประมูลช่วงที่คุณอานันท์ฯ เป็นนายกฯ แล้วมีกติกากำหนดไว้ว่าให้ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งถือได้ไม่เกิน 10% แล้วก็เข้าไปนั่งบริหารโดยที่วันนั้นก็มีการลงทุนหลายฝ่าย มีทั้งไทยพาณิชย์ และกลุ่มเนชั่นเข้าไปถือหุ้น กลุ่มเนชั่นถือหุ้น 10% แต่เป็นคนบริหารจัดการทั้งหมด ซึ่งก็ไม่มีใครติดใจอะไร แต่บังเอิญไปเป็นหนี้อยู่ที่แบงก์ไทยพาณิชย์อยู่ตั้งเกือบ 4,000 ล้าน แบงก์ไทยพาณิชย์ก็กำลังเป๋จากการที่มีปัญหาเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ จึงมาขอร้องกลุ่มชินฯ ว่าช่วยไปซื้อ ITV หน่อย ตอนนั้นคุณบุญคลีฯ ก็มองว่าอยากจะช่วยแบงก์ เพราะแบงก์เขาช่วยเรา
ผมก็บอกว่าถ้าจะไปซื้อต้องระวังเพราะปัญหาเยอะ เพราะเนื่องจาก ทางเนชั่นไม่รู้เขาจะคิดยังไง เรื่อง 10% จะทำยังไง ต้องให้ครม.ไปยกเลิกข้อนี้ ตอนนั้นคุณชวนฯ เป็นนายกฯ ไทยพาณิชย์ก็ไปขอให้คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ไปพูดกับครม. ให้ยกเลิกเรื่อง 10% ให้เป็นถือหุ้นเท่าไหร่ก็ได้ เพราะต้องขอให้คนมีตังค์เข้ามาซื้อ เพื่อแบงก์จะได้ไม่มีปัญหา เพราะแบงก์เป็นเจ้าหนี้ถึง 3,000 กว่าล้านและเป๋ๆ อยู่ ทางกลุ่มชินฯ ก็เข้าไปช่วยซื้อ ผมเลยโดนโจมตีว่ามีสื่อเอง เพราะตอนนั้นกำลังจะตั้งพรรคไทยรักไทย ทั้งๆ ที่ตอนมีสื่อเองนี่แหละ สื่อ ITV คือตัวที่ตีพรรคไทยรักไทยมากที่สุด
สุดท้ายก็ไปขัดใจเนชั่น ซึ่งลงทุน 10% แต่ได้บริหาร ในที่สุดก็เป็นที่มาของการยึด ITV และวันนี้เนชั่นก็ไปบริหารโดยไม่ต้องลงทุนและใช้เงินหลวงอีกต่างหาก เปลี่ยนเป็น T PBS นี่คือเรื่องของผลประโยชน์ในประเทศไทย
ผมสร้างศัตรูโดยไม่ได้มีเจตนาสร้างเลย มีแต่เจตนาดีๆ ทั้งนั้น เห็นว่าแบงก์อยากให้ช่วยก็ไปช่วย เสร็จก็เลยมีศัตรูโดยไม่รู้ตัว
คุณจำลองขอให้ไปเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์เพราะเราถนัดเรื่องการต่างประเทศ เลยไปเป็นศัตรูกับคุณประสงค์ฯ โดยไม่รู้ตัว
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเมืองและการที่เติบโตมาแบบนี้
อีกช่วงหนึ่งที่ผมเว้นว่างการเมือง เป็นช่วงที่ผมลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังธรรมแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปเป็นรองนายกฯ ให้พล.อ.ชวลิตฯ ผมมีความรู้สึกว่าติดหนี้คุณภูมิธรรม คุณอำนวยชัย คุณเกรียงกมล ทั้ง 3 คนบังเอิญมาช่วยผมคิด ช่วยวิเคราะห์การเมือง ช่วยเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองสมัยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม แต่ไม่มีเวลาที่จะคุยหรือเฮฮากันเพราะมีแต่งาน
พอผมว่างงานก็ได้รับเชิญให้ไปดูงานบริษัท อิริคสัน ที่สวีเดน กับบริษัทโนเกียที่ฟินแลนด์ เลยชวน 3 คนนี้ไปเที่ยวด้วย ระหว่างไปก็เฮฮากันอย่างเดียวครับ ไม่มีอะไร ไปกินอาหาร กินสเต็ก ไปดูงาน นั่งฟังเขาพูดเรื่องเทคโนโลยี ฟังเสร็จเขาก็ไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงไวน์ เสร็จแล้วก็ไปฟินแลนด์ก็ไปเล่นสโนว์โมบายด์ เหมือนสกู๊ดเตอร์ในทะเลแต่วิ่งบนหิมะ แต่งชุดหมีหนาๆ เล่นกันสนุกสนาน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อยู่มาไม่นาน พอมาเป็นนายกฯ สักพัก นายปราโมทย์ นาครทัพ ที่ไปร่วมประชุมบ้านนายปรีด์ มาลากุล พร้อมกับสุรยุทธ์ ที่ไปวางแผนจะจัดการผม พล.อ.พัลลภฯ ไปด้วย
นายปราโมทย์ ก็กุเรื่องขึ้นมาว่าผมไปทำปฏิญญาฟินแลนด์เพื่อจะล้มสถาบัน มันปั้นน้ำเป็นตัว เราตกใจ เพราะไปฟินแลนด์ไม่มีอะไรเลย ไปพักเฮฮา ไปพักผ่อน กลับมากลายเป็นมีปฏิญญาฟินแลนด์ เข้าใจว่าผมไปตั้งแต่ 2540 กลับมาไม่มีอะไรโผล่ มาโผล่เอาปี 2548 จู่ๆ ก็มีปฏิญญาฟินแลนด์จะล้มสถาบันฯ ผมฟ้อง ศาลลงโทษหรือรอลงอาญา เป็นอะไรที่เขากล้าปั้นน้ำเป็นตัว แล้วกระบวนการบางทีก็พึ่งยากในการที่จะไปฟ้องร้อง เวลานี้มันแบ่งกันหมด เป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง บ้านเมืองน่าห่วงตรงนี้ แบ่งกันไปแบ่งกันมา สุดท้ายบ้านเมืองจะอยู่ยังไง
ถามว่าผมเป็นคนพูดยากไหม? ผมเป็นหนูตัวเดียวที่เขาเผาบ้านเพื่อไล่จับ ความจริงไม่มีอะไรเลย หนูตัวนี้คุยรู้เรื่องแต่ไม่คุย ยอมเผาบ้าน ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมก็เสียดายบ้านแม้ว่าผมจะเป็นส่วนน้อยนิดในบ้าน เสร็จแล้วก็เผาผมไม่ได้อยู่ดี เพียงแต่ผมต้องหลบไปนอนในโพรงไม้บ้างอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่ร่วมกันเป็นแก็งค์ เพื่อจะจัดการโดยไม่มีคุณธรรม ไม่มีกติกา ยอมทำลายทุกระบบ ผลสุดท้ายที่บอกว่าปกป้องสถาบัน รักเจ้านายก็เสียหายพระองค์ท่านหมด เสื่อมหมด
จริงๆ แล้วทุกคนรักเจ้านาย รักพระเจ้าอยู่หัวทุกคน ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รักพระเจ้าอยู่หัว พวกนี้กำลังพยายามที่จะสร้างความดีความชอบให้กับตัวเองในทางที่ผิด เล่าให้ฟังว่ามันโกหกกันอย่างนี้
อีกเรื่องหนึ่งผมไปเที่ยวอินเดีย ปรากฏว่าไปเจอหมอดูซึ่งเคยดูผมที่เมืองไทย เป็นหมอโยคี วันนั้นก็ไปดูหมอกัน มีผม คุณสุชาติ ตันเจริญ คุณสมคิด คุณเนวิน คุณธานี ตอนนั้นผมลาออกจากรัฐมนตรีต่างประเทศใหม่ๆ แกบอกผมว่าผมจะต้องกลับเข้าการเมืองอีกและจะได้เป็นนายกฯ แต่ต้องรอนิดหนึ่ง ต้องเป็นรองนายกฯ ก่อน หลังจากนั้นเลือกตั้งเสร็จผมก็เป็นรองนายกฯ จริงๆ แล้วก็ทายคุณสมคิดว่าจะเดินเข้ากระทรวงการคลังแต่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่เป็นเลขาฯ คุณทนง ทายคุณสุชาติและคุณเนวินว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี ทั้ง 2 คนก็ได้เป็นรัฐมนตรีสมัยคุณบรรหาร ทายคุณธานีว่าจะสอบตก คุณธานีก็สอบตก ทายแม่นมาก
บังเอิญผมไปอินเดียอีกรอบหนึ่ง ตอนที่พ้นจากหัวหน้าพรรคพลังธรรม ปรากฏว่าไปเจอหมอดูคนนี้ ทูตวิชัยฯ พาไป เข้าใจว่าทูตเป็นเพื่อนกับ ดร.โกร่ง ก็พาดร.โกร่งไปตอนหลังที่ผมไปแล้ว มารู้ตอนหลังจากดร.โกร่ง หมอดูคนนี้ก็ทายว่าผมจะกลับไปเป็นรองนายกฯ อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็บอกดร.โกร่งว่า ดร.โกร่งก็จะไปเป็นรองนายกฯ ทุกคนก็ไม่รู้เรื่อง แต่ตอนหลังทั้งผมและดร.โกร่งกลายเป็นรองนายกฯ สมัยพล.อ.ชวลิตฯ ด้วยกันทั้งคู่
เล่าเกร็ดให้ฟังครับ ให้รู้ว่าผมผ่านช่วงธุรกิจมาและหลังจากนั้นก็มาเข้าการเมือง เลยมีลูกติดพันของทั้งมิตรและศัตรูมาพร้อมๆ กัน จนเป็นที่มาของการรวมตัวรุมอัดผมในวันนี้
ตอนที่พล.อ.ชวลิตฯ เป็นนายกฯ ปลายปี 39 ต่อ 40 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมว่างเว้นจากการเมือง พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ตอนนั้นชวนผมไปกินข้าวบ่อย ท่านก็พยายามชวนผมว่าอยากให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ผมคิดอยู่นานครับว่าการเอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม บางทีมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ตอนเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมก็เข็ดไปรอบหนึ่งแล้ว ไม่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพรรคได้เลย เพราะมีแกนจัดตั้ง คนสายวัดเต็มไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้
พอมาถึงพล.อ.ชาติชายฯ ชวนเข้าพรรคชาติพัฒนาให้ไปเป็นหัวหน้าพรรคที่ตั้งแล้ว ผมก็คิดแล้วคิดอีก ไม่เอาดีกว่า ปฏิเสธท่านไป จนท่านป่วยไปรักษาตัวที่ลอนดอน ปรากฏว่าคืนก่อนที่ท่านจะเข้าโรงพยาบาลก็ยังดื่มบรั่นดี สูบซิก้าร์ แล้วก็คุยกันกับคนใกล้ชิดของท่าน หนึ่งในนั้นก็คือลูกชายท่าน คือนายไกรศักดิ์ฯ ที่ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไรผมนักหนา
ท่านบอกกับนายไกรศักดิ์ว่าอย่าลืมไปชวนผมมาเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ผมไปถึงลอนดอนรู้ข่าวท่านก็จะไปเยี่ยมท่าน นายไกรศักดิ์ฯ รู้ว่าผมมาก็วิ่งมาที่อพาร์ตเม้นต์ที่ผมเช่าอยู่ และบอกว่า ว่าไง พ่ออยากให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา คุยเรื่องนี้ก่อน ผมบอกไปเยี่ยมพ่อก่อนซิ ท่านไม่สบาย ผมอยากไปเยี่ยมท่านก่อน เรื่องการเมืองพูดทีหลัง คุณไกรศักดิ์ฯ ก็พยายามจะหาคำตอบจากผมให้ได้ ผมไปเยี่ยมท่าน ปรากฏว่าอยู่ในไอซียู ไม่ค่อยรู้ตัวแล้ว หลังจากนั้นท่านก็เสียชีวิตไป
นี่คือความสัมพันธ์ที่ผมมีอยู่กับคนเหล่านี้ หลังจากที่ท่านชาติชายฯ เสียชีวิต ผมไปร่วมงานศพก็เจอกับคุณไกรศักดิ์ เข้าใจว่าไปโกรธผมตอนที่เป็นประธานกรรมาธิการ การต่างประเทศ แรกๆ มีงานทำเนียบฯ ผมก็เชิญมาร่วมงาน เวลามีผู้นำมาเยือนก็เชิญมาร่วมนั่งโต๊ะเลี้ยงอาหารเป็นทางการ
ตอนหลังมาท่านก็ด่าแต่รัฐบาล ผมก็เลยไม่เชิญ คงโกรธ วันนี้เลยไม่รู้ว่ายังโกรธขนาดไหนไม่รู้ ไม่เป็นไรว่ากันไป เมืองไทยเรื่องไม่เป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องจนได้
เข้าใจว่าจะเกินเวลา มีเรื่องอีกเยอะเลยที่เป็นเกร็ดเพื่อจะให้คนที่ตามคอการเมืองกับคอธุรกิจจะได้เข้าใจว่าธุรกิจแต่ละช่วงมีความยากลำบากยังไง และธุรกิจมีความสัมพันธ์กับคนจนกลายมาเป็นศัตรูทางการเมืองบ้างอย่างไร ตอนไปนี้เรื่องธุรกิจก็จะบางลง เรื่องการเมืองก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พอไปถึงตั้งพรรคไทยรักไทยแล้วก็จะไม่มีเรื่องธุรกิจเล่าให้ฟังแล้ว พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ.
-------------------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น