ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ศาลใคร? โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ศาลใคร?

โดย กาหลิบ


ใครแปลกใจในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่ายังมีความลุ่มหลงกับระบอบโบราณของไทยว่าจะให้ความยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคมนี้ได้ 

การไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยอาศัยประเด็นปลีกย่อยที่เป็นเทคนิคกฎหมาย และเป็นตัวช่วยอย่างสำคัญต่อการก่อตัวขึ้นของระบอบประชาชน หากยุบพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก จะมีผู้ใหญ่ที่อ้างตัวเป็นแดงบางคนเข้ามาเชียร์ทันทีว่า เห็นไหม ระบอบปัจจุบันยังใช้การได้ เราจะไปเคลื่อนไหวถึงขั้นระบอบและโครงสร้างกันไปทำไม

บุญเหลือเกินที่ความโง่บางชนิดถูกย่อยสลายได้ด้วยความจริงแบบเร่งด่วนทันใจ 

ต้องขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญในแง่นี้เป็นอย่างยิ่ง

ใครติดตามวิธีพิจารณาวินิจฉัยกรณีร้องเรียนให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด จะเห็นได้พร้อมกันว่าระบอบเผด็จการโบราณเขามีความชำนาญและความรอบคอบในการสร้างเครื่องมือแห่งอำนาจเป็นอันมาก 

เครื่องมือเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ขอให้ไปเปิดฟังคำแถลงปิดคดีด้วยวาจาของ นายชวน หลีกภัย ผู้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสียอีกรอบ คราวนี้ฟังช้าๆ และจดประเด็นเอาไว้เหมือนเล็คเชอร์ด้วย เราจะได้ความรู้มากมายว่าฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนเขาซุ่มซ่อนเครื่องมือเหล่านั้นไว้ตรงไหนและอย่างไรบ้างในระบบกฎหมายของระบอบเขา

อย่าลืมว่าฝ่ายโบราณเขาไม่ได้ครอบงำบ้านเมืองนี้อย่างบังเอิญแบบบุญหล่นทับ เขาได้อำนาจอันล้นพ้นมาด้วยการฆ่า การทำลาย การปล้นชิง และการวางอาวุธทางการเมืองเอาไว้ในระบบย่อยที่รวมกันแล้วกลายเป็นระบบใหญ่ที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ระบอบ 

ประชาชนหน้าไหนหาญกล้ามาแย่งชิง คนๆ นั้นจะรู้รสทันทีว่ารูปลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อสรรเสริญกันอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนยิ่งกว่าเกาหลีเหนือนั้น แท้ที่จริงแล้วคืองูพิษตัวร้ายที่คอยฉกกัดทำลายสรรพสิ่งทั้งหลายรอบตัว แม้แต่พวกเดียวกันเองหากไม่ถูกใจ 

ซีกประชาธิปไตยโดยเฉพาะส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องถือว่าเดินงานถูกต้องมาตลอดในคดีพรรคประชาธิปัตย์ การให้ข้อมูลที่เหมาะสมแก่สังคมทั้งในรูปคดี และความชอบธรรมของผู้ตัดสิน ถือว่าใช้การได้และควรนำไปสู่การตัดสินที่เที่ยงธรรมกว่านี้ แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยก็ต้องหันหน้าเข้าหากันและร่วมตัดสินใจให้ชัดว่า ควรจะมองปัญหาการเมืองแบบสมานแผลนิดหน่อยก็จะหาย หรืองานนี้จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่กันเสียที

มวลชนผู้ก้าวหน้านั้นเขามีคำตอบชัดเจนแล้ว เขาเพียงหันมาถามอีกครั้งว่าพรรคเพื่อไทยจะถือเอาเหตุนี้ปรับเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่และเดินเคียงคู่กันไป หรือจะละทิ้งมวลชนไปสู่เพื่อเอาตัวรอดง่ายๆ ด้วยการขายตัวและหัวใจต่อไป

ความจริงไม่ควรเสียเวลาพิจารณามาตั้งแต่ต้นว่าประชาธิปัตย์ถูกยุบหรือไม่จะมีประโยชน์ใดๆ ต่อฝ่ายประชาชน เพราะอำนาจในการยุบพรรคการเมืองไม่ควรอยู่ในมือของใครทั้งนั้น

สังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าตาสว่างเขาไม่มียุบพรรคกันหรอกครับ เขาใช้วิธีลงโทษบุคคลผู้สร้างความเสียหายหรือทำความผิดทางกฎหมายของพรรคนั้นๆ แทน 

พรรคการเมืองทุกพรรคเป็นสมบัติของประชาชน เทวดาหน้าไหนไม่ควรมีสิทธิ์สั่งยุบทั้งนั้น หากเรายืนอยู่บนหลักการว่าพรรคการเมืองมีสิทธิ์ถูกยุบได้ และเชียร์ให้อำนาจนอกระบบนั้นเบื่อหน่ายคิดยุบพรรคที่เราชิงชัง สุดท้ายก็เท่ากับเราสนับสนุนระบอบการเมืองแปลกประหลาดที่อนุญาตให้อำนาจนอกระบบเอ้ือมมือเข้ามายุ่งกับสถาบันการเมืองของประชาชนได้ต่อไป

สองประเด็นนี้ทับซ้อนกัน ต้องพิจารณาให้ดี

ในขั้นต้นนั้นอาจนำกรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาฉีกหน้ากากของระบอบการปกครองไทยในปัจจุบันได้ แต่ในขั้นที่ลึกลงไปแล้ว เราไม่ควรเชียร์อำนาจนอกระบบที่แอบเข้ามายุบพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองสีอะไร และต้องเชิดหน้าให้สูงกว่าทาส โดยยืนยันในศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเราเอง 

พรรคการเมืองใดที่เราไม่ชอบก็อย่าเลือก อย่าเข้าเป็นสมาชิก และงดสนับสนุนในทุกทาง แต่อย่าเรียกร้องหรือหวังผลให้เกิดการยุบพรรคของเขา

ในระบอบประชาธิปไตยนั้น พรรคของเขาก็คือพรรคของเรา แต่เราจะเลือกใครสู่อำนาจเมื่อใดคือสิทธิทางการเมืองของเรา

อำนาจศาลของเขาสิครับ ไม่ใช่่อำนาจของเราอย่างแน่นอน

นั่นล่ะครับคือประเด็นต่อสู้.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยอีนิวส์ 

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันพนันของพันธมิตรฯ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง วันพนันของพันธมิตรฯ
โดย กาหลิบ

โชคดีที่เขาพยายามปลุกซากของสิ่งที่เรียกว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาใช้งานใหม่ในช่วงนี้ หากเป็นเมื่อสองสามปีก่อนจะเห็นความพิกลพิการและเงาที่อยู่เบื้องหลังได้ไม่ชัด อาจนึกว่ากลุ่มนี้เป็นพลังมวลชนธรรมชาติที่เคลื่อนไหวกันตามอุดมการณ์และความเชื่ออันแท้จริงได้ง่ายๆ แต่มาบัดนี้ที่อะไรหลายอย่างมันร่วงโรยลงไปตามกรรมและเวลา ก็เกิดเป็นน้ำลดตอผุดขึ้นมาแล้ว

เรามาไล่ดูทีละเรื่องก็จะมองเห็นได้

สังเกตไหมว่าเขาเรียกชุมนุมกันในช่วงนี้ ขนาดส่งเสียงเอะอะโวยวาย ใช้คำพูดรุนแรงหยาบคายหวังจะล่อใจลูกค้าแนวตลาดแล้ว ก็ยังได้คนไม่มาก ถึงขนาดต้องประกาศยุติเวทีไปหนึ่งคืนแล้วย้อนมาใหม่ วันรุ่งขึ้นใจชื้นเพราะคนมามากขึ้น ถึงจะเพิ่มจากร้อยเป็นเพียงพันต้นๆ ก็ยังทำท่าดีใจ

แต่หลักการเพิ่มคนในเวทีการเมืองนั้น ทุกคนที่เคยสัมผัสมวลชนธรรมชาติเขารู้กันทั้งนั้นว่า ต้องใช้วิธีตรึงเวทีโดยไม่ยอมให้ขาดช่วงหรือชะงักเป็นอันขาด หากเปิดเวทีแบบผลุบๆ โผล่ๆ โอกาสที่จะยืนหยัดอยู่นานพอจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้เกือบจะไม่มี

สิ่งที่ “พันธมิตรฯ” ทำหน้ารัฐสภา จึงสะท้อนว่าเขาไม่มีมวลชนมากพอที่จะตรึงกำลังใดๆ ได้ จึงใช้วิธีหยุดเวทีเป็นระยะๆ เพื่อให้แนวร่วมจาก “มือที่มองไม่เห็น” ส่งมวลชนจัดตั้งมาร่วมมากขึ้น

“พันธมิตรฯ” จึงตั้งเวทีนี้ขึ้นมาเพื่อตรวจสุขภาพตัวเอง นั่นคือสำรวจว่า “เจ้านาย” เขายังจะใช้งานตัวเองอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้าเขายังมีเมตตาสงสาร เขาก็อาจส่งสัญญาณให้ลูกหาบกลุ่มอื่นๆ ในสังกัดช่วยส่งกำลัง “มวลชน” มาช่วยเสริมเวทีของ “พันธมิตรฯ”

แต่ถ้าเขาตัดเชือกโดยเห็นว่าเป็นเซลล์มะเร็งไปแล้ว สัญญาณแบบนั้นก็จะชัดเจนขึ้นเช่นกัน

วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า “มูลนาย” เขายังจะชุบเลี้ยงคนอย่างนายสนธิฯ พลตรีจำลองฯ นายพิภพฯ นาวาอากาศตรีประสงค์ฯ นายประพันธ์ฯ นางอัญชลีฯ ฯลฯ ต่อไปหรือไม่

ขั้นตอนที่สองคือการประกาศล่วงหน้าว่าจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ ๑๑ ธันวาคมปีนี้

ทำไมต้อง ๑๑ ธันวาคม?

คนที่รู้เกม “พันธมิตรฯ” ฟังแล้วก็หัวเราะ เขาเลือกเอาวันที่ ๑๑ ธ.ค. มาชุมนุมคน ก็เพราะหวังส้มหล่นโดยแท้

วันที่ ๑๑ ธ.ค. เป็นเวลาราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม

เลือกเอาวันนั้นไม่ใช่เพราะเป็นวันเสาร์เท่านั้น แต่เป็นเพราะหวังจะได้รับสัญญาณบางอย่างในวันที่ ๔ หรือ ๕ มาวิเคราะห์ทางเดินของตน หากเสียงนั้นออกมาเป็นบวก ก็จะมีเวลาหนึ่งอาทิตย์เพื่อเตรียมประสานกับแนวร่วมต่างๆ ให้ส่งเงินทองของใช้และมวลชนมาร่วมกันในวันชุมนุม โดยอ้างกับเจ้ามือที่เตรียมจะไป “ไถ” เหล่านั้นว่าบัดนี้ตัวเองได้รับงานมาแล้วจาก “สายตรง” ถ้าไม่ส่งสิ่งของมาเซ่นสังเวย (เหมือนไหว้ผี) ตามที่ขอ ก็อาจจะตกขบวนหลักได้

แต่ถ้าสัญญาณเกิดไม่ดี ก็จะพูดไปเสียอีกทางหนึ่งให้ดูดีและหลีกเลี่ยงที่จะไม่ชุมนุมเพื่อประจานตัวเอง

เมื่อภารกิจเป็นเรื่องของการสอพลอเอาใจ หวังว่าจะยิงถูกเป้าเข้าสักเรื่อง เนื้อหาที่ “พันธมิตรฯ” นำมาตะโกนโฆษณาบนเวที จึงเปลี่ยนไปเรื่อยไม่มีความเสถียร จากกรณีปราสาทพระวิหารบัดนี้กลายเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐธรรมนูญเสียแล้ว

สะท้อนว่าคนที่เกิดมาเป็นเซลล์แมนการเมือง มันก็ต้องเที่ยวหาสินค้ามาขาย ถ้าสินค้าชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยมของคนใหญ่คนโต โดนเขาเอาเท้าเขี่ยทิ้งอย่างที่ผ่านมา ตัวก็ต้องก้มเก็บซากของเก่าเอาไปทิ้ง แล้วงกๆ เงิ่นๆ ไปหาสินค้าใหม่มาเสนอเขา โดยหวังว่าคราวนี้จะไม่เจออวัยวะเบื้องต่ำซ้ำอีก เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อะไรไม่ต้องพูดถึง เพราะไปยอมตัวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเสียแต่ต้น

“พันธมิตรฯ” รู้ตัวดีกว่า เดือนธันวาคมนี้เป็นเดือนอยู่เดือนตายของตัวเขาเอง เขาจึงต้องโหมไฟใหญ่โต แต่ก็ติดเพียงเล็กน้อย

ฝ่ายประชาธิปไตยเองก็อย่าหลวมตัวคิดตื้นๆ ว่าเอา “พันธมิตรฯ” มาฆ่ารัฐบาลประชาธิปัตย์นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเรา นี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ของขี้ข้าฆ่ากันเองเท่านั้น ใครตายในเกมนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ต่อเราในเชิงระบอบเลย

ต้องรู้ว่าตัวจริงเขาไม่ได้เล่มเกมใต้น้ำแบบนี้หรอก เขามาเหนือน้ำเลยทีเดียว.

----------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กรรมเก่าของอำมาตย์ โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง กรรมเก่าของอำมาตย์
โดย กาหลิบ

เห็นหน้าตาของแกนนำที่เรียกตัวเองว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” แล้ว นึกอย่างเดียวว่าอำมาตย์ไทยทำกรรมชั่วอะไรไว้ กรรมนั้นก็กำลังสนองเข้าให้อย่างจัง

ใครไม่เข้าใจก็ลองจินตนาการว่าความมั่นคงปลอดภัยของบัลลังก์การเมืองขึ้นอยู่กับคนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล จำลอง ศรีเมือง ประพันธ์ คูณมี หรืออัญชลี ไพรีรัก ดูก็แล้วกัน เอาคนวิสัยโจรมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับธนาคารก็จะได้หน้าตาที่ไม่ต่างอะไรจากนี้นัก

มองเผินๆ เหมือนกับอำมาตย์กำลังได้ประโยชน์ทางการเมืองจากพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯ กำลังช่วยทำลายรัฐบาลที่เขาเบื่อหน่ายรำคาญและอยากจะเปลี่ยนใหม่ แต่สุดท้ายเมื่อเขี่ยรัฐบาลให้พ้นทางได้แล้ว ก็จะพบว่าคนพันธมิตรฯ จำพวกนี้จะกอดขาอำมาตย์เอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนกว่าเขาจะได้บำเหน็จรางวัลทางการเมืองในระดับที่สามารถจะเลิกขอทานคนอื่นเขากินได้

ถ้าหากขัดใจ ประมุขของศักดินาอำมาตย์ไทยจะพบว่าเซลล์ในร่างกายของตัวเองที่เรียกว่าพันธมิตรฯ จะกลับกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

เตรียมจะเข่นฆ่าเอาชีวิตชนิดล้างโคตรในชั่วข้ามคืน

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักของกรรมโดยแท้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก้าวขึ้นมาจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “เรารักในหลวง” ที่สวมเสื้อเหลือง และอ้างในหลวงเป็นเหตุผลหลักในการต่อสู้กับศัตรูทางการเมืองของตน

วิธีการก็คือสร้างความรู้สึกโดยรวมว่ารัฐบาลเลือกตั้งในขณะนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อในหลวง

เกิดเป็นประเด็นตั้งสังฆราชซ้อน นั่งเครื่องบินแข่งกับพระที่นั่ง ทำบุญในวัดพระแก้ว ฯลฯ ซึ่งต่อมากลายเป็นเรื่องไร้สาระไปหมด

ตำราที่ชูกันเหนือหัวประดุจสรรนิพนธ์ประธานเหมาฯ โดยยึดเอาเป็นหนังสือคู่บุญ (หรือคู่บาปก็ไม่แน่ชัด) คือ “พระราชอำนาจ” ที่เขียนขึ้นโดยอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลทักษิณ นายประมวล รุจนเสรี ซึ่งควรสังเกตว่าในการพิมพ์ครั้งต่อๆ มาปรากฏข้อความอันเป็นพระราชดำรัสยกย่องชมเชยหนังสือเล่มนี้อยู่ด้วย

ใครยังสงสัยว่าพันธมิตรฯ ก่อกำเนิดขึ้นมาอย่างไรและมีฐานะทางการเมืองอันแท้จริงอย่างไร ก็ควรจะย้อนไปอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วจะเข้าใจแจ่มแจ้งว่าประชาชนชาวไทยผู้รักประชาธิปไตยกำลังถูกบังคับให้สู้อยู่กับอะไร

พันธมิตรฯ จึงไม่ใช่กลุ่มพลังที่ถูกสร้างขึ้นมา “เล่น” เรื่องปราสาทพระวิหารหรือต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างที่กระทำอยู่ แต่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งในการค้ำยันระบอบบางอย่างที่คนภายนอกไม่รู้ว่ากำลังห่วงใยในความอยู่รอดของตนเองและญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง

ขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไปได้พ้นทางแล้ว หรือเอาเป็นเหตุก่อรัฐประหารสำเร็จเรียบร้อยโรงเรียนปู่แล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าพันธมิตรฯ จะสลายหายสูญไป

เขาก็จะหาใช้คนกลุ่มนี้ในทางอื่นๆ ต่อไปอีก โดยเฉพาะในการก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองเพื่อให้รัฐบาลแต่ละชุดในห้วงเวลาสำคัญนี้ไม่สามารถยืนอยู่บนขาของตนเองได้ ต้องวิ่งเข้ามาพึ่งบารมีที่คอยจะต่อรองเพื่ออะไรบางอย่างที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐที่ยิ่งกว่า โดยรู้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายของร่างกายตน

แต่เขาจะไม่เอาไว้ทั้งหมด หลังจากตัดสินใจว่าจะไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค แต่ใช้วิธีตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค ๕ คนรวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนต้องนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรแทนแล้ว คนที่เรียกตัวเองว่าแกนนำพันธมิตรฯ บางคนจะพบกับชะตากรรมบางอย่างที่ตัวเองไม่อยากพบและอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ถูกรัฐประหารก็จะถูกป้ายสีเพิ่มเติมว่าเป็นคนทำ

เพราะถ้าเอาไว้ทั้งหมด คนบางคนในกลุ่มนี้ก็จะเป็นอันตรายขึ้นมา

อุปมาเหมือนคนที่กลืนเชื้อโรคร้ายเข้าไปในตัวอย่างเจตนา เพื่อให้กลายเป็นภูมิคุ้มกัน แต่แล้วต้องมานั่งหวาดผวาว่าเชื้อโรคนั้นมันจะทำร้ายตัวเองนอกแผนที่วางไว้

ก็ต้องหาทางฆ่าเชื้อโรคเหล่านั้นอย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง

ปัญหาคือเชื้อโรคมันก็รู้ และมันก็เริ่มคิดป้องกันตัวเองตามประสาสิ่งมีชีวิตที่ยังมีตัณหา

กรรมเก่าใครเล่างานนี้?

----------------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของประยุทธ์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ประโยชน์ของประยุทธ์

โดย กาหลิบ


พอจะคาดการณ์ล่วงหน้ามาบ้างว่า สายพันธุ์อย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีประโยชน์ต่อขบวนประชาธิปไตยในด้านกลับ แต่ไม่นึกเลยว่าประโยชน์นั้นจะสูงถึงขนาดนี้ รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกได้เพียงไม่กี่วัน มวลชนส่วนใหญ่ของประเทศก็รู้เช่นเห็นชาติว่า กองทัพบกของเมืองไทยเขามีไว้ใช้ทำอะไรเป็นหลัก

คำโฆษณาชวนเชื่อที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ และเครือข่ายสถานีวิทยุของกองทัพบกทำหน้าที่แม่ข่ายว่า กองทัพมีไว้ปกป้องเอกราชของชาตินั้น ดูไปที่ตัว ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วจะรู้ได้ว่าคำพูดประเภทนั้นถูกเพียงครึ่งเดียว 

ถึงคนดีที่รักชาติบ้านเมืองจะมีอยู่ไม่น้อยในกองทัพบกปัจจุบัน แต่พวกขาใหญ่ในกองทัพซึ่งเป็นตัวแทนของกระแสหลักนั้น เขาไม่ได้รักษาเอกราชของชาติไว้เป็นสมบัติของประชาชนเลย 

หน้าที่ของเขาคือ การปกป้องเอกราชไว้ให้เป็นสมบัติของชนชั้นปกครองจำนวนน้อยที่เขาถือว่าเป็นมูลนายของเขา

ไม่ต่างอะไรกับยามรักษาความปลอดภัยตามคอนโดฯ ที่รับคำสั่งจากคนที่เขาฝากท้องฝากชีวิตไว้ด้วยเท่านั้น จนบางทีก็เห็นลูกค้าหรือผู้เช่าเป็นตัวปัญหาก่อความรำคาญ ทั้งๆ ที่เงินเดือนของตัวเองมาจากคนเหล่านี้ เทียบได้กับทหารที่ไม่รู้สำนึกต่อข้าวแดงแกงร้อนจากภาษีของประชาชน 

ในใจของคนอย่างประยุทธ์ฯ เอกราชและความมั่นคงของชาติที่ชอบกล่าวอ้างกันนักหนา ไม่ใช่สมบัติของมวลชนเลย มวลชนที่เรียกกันเสียเพราะพริ้งว่า ปวงชนชาวไทยนั้น เขาถือเป็นเพียงผู้อาศัยแผ่นดินของเขาเท่านั้น 

จึงไม่น่าแปลกใจที่คำวิจารณ์เจ้าของบ้านกับเครือญาติ ไม่ว่าจะกระทำอย่างสร้างสรรค์หรือโดยเจตนาดีขนาดไหนก็ตาม จะถูกโต้อย่างรุนแรงถึงขั้นเอาเลือดเอาเนื้อกันทุกครั้ง โดยมี ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคนชนิดเดียวกันคอยรัวกลองให้จังหวะ บางครั้งก็ส่งสัญญาณไปทางฝ่ายตุลาการ บางครั้งก็ให้องค์กรอิสระช่วยเชือดให้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้พวกมือปืนรับจ้าง โดยใช้เงินจากงบสืบราชการลับที่ใส่ไว้ในกระเป๋าของผู้บัญชาการทุกกองทัพนับร้อยล้าน 

แต่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพิเศษตรงที่ขาดความแนบเนียนอย่างที่คนอย่าง ประวิตร วงศ์สุวรรณ หรือ อนุพงศ์ เผ่าจินดา เขามีกัน เรื่องเดียวกันแต่ใช้สมองและปากระดับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงออกมาทื่อ ขาดความคม และทำให้เขารู้เช่นเห็นชาติกันไปทั่ว 

ช่วยโหมกระพือความรู้สึกต่อต้านอะไรบางอย่างที่ครอบงำเมืองไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งเชื่อว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ได้ตั้งใจ 

เจ้าของบ้านเขาใช้ให้มาดับไฟ แล้วจับต้นเพลิงมาประหารชีวิตเสียกลางตลาดเพื่อให้หวาดกลัวกัน เหมือนที่ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคยทำ ก็ดันเอาปากบ้างอะไรบ้างพัดโหมจนบัดนี้ไฟลามไหม้เลยตลาดเก่าไปเสียไกลแล้ว และทำท่าว่าจะดับไม่อยู่

ยิ่งออกมาแบ่งแยกคนไทยออกเป็น ๒ พวกคือ พวกดี และ พวกไม่ดี อย่างที่เมื่อทำเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดการแข่งขันว่าฝ่ายไหนจะได้มวลชนไปมากกว่ากัน จนทำให้เรื่องเล็กทำท่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

การแข่งขันให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐตามปกติวิสัยของการเมือง ทำท่าจะขยายกลายเป็นความแย้งเชิงระบอบเอา ก็เพราะได้คนอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาช่วยทำให้กลายพันธุ์

เป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาธิปไตยอย่างที่ไม่รู้จะหันไปขอบคุณใคร ตัวเขาซึ่งไม่ได้ตั้งใจจะทำประโยชน์ใดๆ ให้กับฝ่ายประชาชนก็คงไม่รับคำขอบคุณนี้

มิหนำซ้ำคนเยี่ยง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังช่วยเตือนสังคมไทยเป็นรายวันว่าวิกฤติการเมืองไทยปัจจุบันเกิดจากชนชั้นไหนและทำไมถึงกับต้องฆ่าประชาชน โดยช่วยเอ่ยถึงกล่าวถึงเสียจนเลี่ยงไม่พ้น ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเขาชอบซุ่มซ่อนไม่ให้ใครเห็นมือที่กำลังชักใยอยู่ 

เดี๋ยวนี้นอกจากจะเห็นมือตีนที่เคย “มองไม่เห็น” นั่นแล้ว มวลชนเขายังเห็นมือตีนของเขาเองที่ครั้งหนึ่งเคยงอก่องอขิงไม่เอาออกมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองอีกด้วย 

เขาก็เลยสะบัดมือสะบัดตีนเป็นการใหญ่ รอไว้ใช้ต้อนรับคนบางคน!

-----------------------------------------------------------------------------------------------

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

กลอนไว้อาลัยเพื่อนพี่น้องชาวกัมพูชา จาก "จักรภพ เพ็ญแข"




สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานการเกิดโศกนาฏกรรมที่บริเวณสะพานแขวนเล็กๆ บริเวณตงเลสาป เชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงของชาวกัมพูชา เมื่อ ช่วงกลางดึกของคืนวานนี้ (22 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานฉลองในเทศกาลสายน้ำ ที่มีชาวกัมพูชาจำนวนมากออกมาเที่ยวงานของประเทศกัมพูชา โดยชาวกัมพูชาจำนวนมากพยายามดันและเบียดเสียยขึ้นไปบนสะพานแขวนดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เหยีบกันตาย ยอดขณะนี้ 395 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพันคน

ขณะที่ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของกัมพูชา เพื่อประกาศไว้อาลัยพร้อมระบุว่า เป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งที่ร้ายแรงสุดของประเทศ นับตั้งแต่สิ้่นสุดยุคเขมรแดงปกครองประเทศ

กลอนอาลัยเพื่อนพี่น้องชาวกัมพูชา วันอังคารที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓

รื่นเริงเปลี่ยนฉับเป็นปรับทุกข์
คืนสนุกเปลี่ยนฉับเป็นจับไข้
กว่าสามร้อยชีวิตที่ปลิดไป
ขอมอบหัวใจไทยร่วมไว้ทุกข์

เพื่อนชาวกัมพูชาช่วยเสื้อแดง
ถูกกลั่นแกล้งโดยระบอบช่วยปลอบปลุก
มาวันนี้เพื่อนดีเขามีทุกข์
เราจะสุขอยู่ได้อย่างไรกัน

ขอวิญญาณบริสุทธิ์ผุดผ่องใส
ละสังขารร่างไว้จงไปสวรรค์
หัวใจประชาธิปไตยเราผูกกัน
ทุกข์สุขมั่นว่าพี่น้องสองนคราฯ
----------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บิดและเบือน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง บิดและเบือน
โดย กาหลิบ

คำว่า บิดเบือน ซึ่งเป็นคำไทยแท้ๆ มีความหมายที่ลึกซึ้งและสะท้อนภาพของวิถีไทยได้ดีที่สุดคำหนึ่ง โดยเฉพาะเมืองไทยปัจจุบัน คำๆ นี้ประกอบด้วยสองคำย่อยคือ บิด และ เบือน ซึ่งมีความเหมือนและต่างอยู่ในนั้นเสร็จสรรพ

ความหมายที่ประกอบกันแล้วสมบูรณ์นี้ อธิบายเมืองไทยที่ซับซ้อนได้ดียิ่ง

บิด หมายถึง การพลิกสภาพของสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมให้เปลี่ยนมุมหรือเปลี่ยนด้านไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เบือน หมายถึง การเปลี่ยนมุมมองของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากความไม่ใส่ใจ ความเห็นแก่ตัว ความไม่รู้สึกรู้สมต่อเรื่องที่ตัวควรจะรู้สึกและเข้าช่วยเหลือมีส่วนร่วม หรืออาจจะเป็นความอ่อนแอและไม่สามารถทนมองอีกต่อไปก็ได้

สภาพเมืองไทยขณะนี้เป็นลูกผสมของ บิด และ เบือน

ผู้มีอำนาจในระบอบเผด็จการโบราณและคณะใช้นโยบาย “บิด” เพื่อเลี่ยงประเด็นที่เป็นอันตรายต่ออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง

สื่อมวลชน นักวิชาการปัญญาชน และประชาชนส่วนหนึ่ง ใช้นโยบาย “เบือน” คือหันหลบไปเสียจากความจริงอันโหดร้ายรุนแรงจนไม่อาจรับได้ หรือเพราะเห็นแก่ตัวจัด จนไม่สนใจว่าใครจะเสียหายจากการ “บิด” ของผู้มีอำนาจ (จริง) ในเมืองไทยหรือบ้านเมืองจะย่อยยับขนาดไหน ตราบเท่าที่เขายังประคองตัวอยู่ได้ดั่งสวะที่ลอยตามน้ำ

เหตุการณ์ย่อยๆ สองเรื่องพิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างดียิ่ง

กรณีศาลรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้กลายเป็นเรื่องฟ้องร้องสื่อมวลชนบ้าง ซัดกันว่าเจ้าหน้าที่คนไหนมีความผิดฐานที่เป็นผู้ถ่ายคลิปหรือบกพร่องต่อหน้าที่จนมีคนถ่ายคลิปได้บ้าง เอากันถึงขนาดหลุดออกมาจากปากว่าการวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหนักเกินไปอาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ เพราะมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งมา

นี่ไม่ใช่แค่ “บิด” ประเด็นอย่างหน้าด้านๆ ตามประสาบ้านนี้เมืองนี้ แต่ถึงขั้น “บ้า” กันเลยทีเดียว

สิ่งที่เป็นเนื้อหาของความผิดไม่พูด เพราะพูดไปก็อธิบายผิดให้กลายเป็นถูกไม่ได้ กลับ “บิด” ไปยังประเด็นอื่นด้วยฐานความคิดว่าประชาชนทั้งประเทศที่ไม่ใช่พวกหรือสีเดียวกับตัวเองล้วนเป็นควายทั้งนั้น

ควายอย่างเดียวยังไม่พอ ยังจะกล่าวหาว่าควายมันหมิ่นตามมาตรา ๑๑๒ เข้าให้อีก

เราพูดกันไปแล้วว่าอาการ “บิด” เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ อะไรก็ตามที่มันไม่ปกติถึงขนาดนั้นก็ย่อมพบอนิจจังคือความตั้งอยู่ไม่ได้อย่างรวดเร็วทันใจ สาธารณชนขณะนี้ถึงได้รู้สึกว่าเมืองไทยกำลังขาดสิ่งที่เราเคยยึดเป็นเสาหลักแห่งความถูกต้องดีงาม และเกิดความเวทนาตนเองและบ้านเมืองขึ้นมาจับใจ

ยิ่งพบว่าผู้นำทางความคิดในองค์กรสื่อ หน่วยงานทางวิชาการ และประชุมบางที่บางถิ่นพร้อมรับความโง่เขลาเยี่ยงนี้เพราะอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ โดยแสดงอาการ “เบือน” ก็ยิ่งหนัก

มวลชนผู้ตาสว่างแล้วก็รู้สึกได้พร้อมกันทันทีว่าเมืองไทยถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลง

อีกเรื่องกำลังเป็นข่าวเกรียวกราวอย่างยิ่งคือกรณีพบศพทารกจากการทำแท้งเถื่อนนับพันศพในวัดไผ่เงิน บ่งบอกถึงงานของเครือข่ายใต้ดินระหว่างโรงพยาบาล สัปเหร่อ และวัด และสะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมเสแสร้งของไทยที่แสดงออกว่าการทำแท้งเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ไม่มีใครทำอะไรจริงจังเพื่อลดปัญหา

ประชาชนเสื้อสีที่พร่ำพูดว่าสังคมไทยดีวิเศษเพราะบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องมีประชาธิปไตยในบ้านเมืองชีวิตของผู้คนก็ดีขึ้นได้เองนั้น จะอธิบายความเลวระยำในครั้งนี้อย่างไร

รัฐบาลเลือกตั้งเท่านั้นล่ะที่คิดทำอะไรต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ในระดับโครงสร้างของบ้านเมือง เพราะไม่ใช่พวกละเมอหลับตาอยู่กับรูปภาพบ้าๆ บอๆ เหมือนคนสิ้นคิด แล้วมาหาเรื่องโกรธคนที่พูดความจริง

หน้าที่ของระบอบประชาธิปไตยคือลดอาการบิดเบือนของสังคมนี้ลงบ้าง

มนุษย์ประชาธิปไตยจะได้ใหญ่กว่าเผด็จการเดรัจฉาน.

----------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ช่วยแยกหน่อยเถอะ โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ช่วยแยกหน่อยเถอะ

โดย กาหลิบ


ฟังคำแถลงตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งจะมาเห็นด้วยเรื่องเดียว นั่นคือคำเรียกร้องให้อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แยกพรรคเพื่อไทยออกจากขบวนการที่เกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์

รู้ล่ะครับว่าเอ่ยถึงขบวนการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ก็เพื่อตอกย้ำว่าขณะนี้มี “ขบวนการล้มเจ้า” จริง ทำไมต้องทำอย่างนั้น? ก็เพราะหนทางรอดของขี้ข้าทั้งหลายในระบอบเก่าขณะนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือสุมไฟทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ “สถาบัน” และเครือข่ายของสถาบันเกิดความหวาดกลัวจนขนหัวลุกต่อระบอบประชาชน ทำให้คิดทำลายมวลชนผู้บริสุทธิ์ด้วยกองทัพเถื่อนที่ตนมีอำนาจเหนืออยู่อย่างที่ได้ละเลงเลือดมาแล้วเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ความจริงก่อนหน้านั้นก็ลงมือทำมาแล้ว ๒ ครั้งเมื่อ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ และ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ แต่ทำได้ไม่เต็มสูบ

ในใจพวกนี้เขารู้ดีแล้วว่า ขบวนประชาธิปไตยนั้นปราบไม่ลง อย่างมากก็ออกมาเล่นบทกร่างบทเบ่งเหมือนที่ประยุทธ์ จันทร์โอชากำลังทำ เพื่อโฆษณาตัวเองกับคนที่เหนือขึ้นไปเท่านั้น ปราบไม่ลงยังไม่เท่าไหร่ เขารู้กันด้วยว่าขบวนประชาธิปไตยกำลังแผ่กว้างออกทั้งทางกว้างและทางลึก อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนโดยฝีมือของประชาชนผู้เป็นตัวจริงเสียงจริง

เส้นทางสู่ความวิบัติของเครือข่ายเหลือบโบราณของประเทศกำลังชัดเจนขึ้นทุกขณะ

พรรคประชาธิปัตย์เป็นลูกแถวมืออาชีพ รับใช้มาหลายนายและเลียมาหลายเท้า เขาเข้าใจดีว่าเจ้านายที่โง่เขลาเบาปัญญา ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ดีเท่าเจ้านายที่กำลังหวาดกลัว ขณะนี้จึงเป็นโอกาสทองของคนที่หากินด้วยอาชีพนายหน้าการเมืองและจะต้องสร้างบรรยากาศ “บ้านผี” หลอกคนที่บัดนี้ใจบอดสนิท จนไม่รู้ความจริงของประเทศชาติอีกต่อไปแล้ว

จุดประสงค์คือนายจะได้ไม่หันไปเอาขี้ข้าคนอื่นมาใช้งานแทนตัว เพราะเห็นเขา “ช็อปปิ้ง” เลือกตัวนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแล้วพรรคประชาธิปัตย์สายนายอภิสิทธิ์ก็คงหนาวยะเยือก

แต่ด้านชั่วนั้นก็ช่างเขาเถิด ของรู้กันอยู่แล้วทั้งนั้น ประเด็นคือด้านดีของเขาก็มีอยู่ ในข้อเสนอที่แถลงไปให้คุณทักษิณฯ ฟังอย่างที่จั่วหัวไว้ตอนต้นของบทความนั่นแหล ะ

วันนี้เลยบอกให้ชัดเสียเลยว่าเห็นด้วยจริงๆ กับคำกล่าวของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้คุณทักษิณฯ แยกเสียให้ชัดว่า ขบวนการทุกอย่างที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยนั้น คุณทักษิณฯ และพวกไม่ต้องการเกี่ยวข้องใดๆ ด้วย 

เรื่องนี้ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อคุณทักษิณฯ ที่อาจจะมีโอกาสเลือกตั้งเร็วสมใจ แต่ก็ต้องบอกตรงๆ ว่ามิได้เสนอเพื่อประโยชน์ของคุณทักษิณฯ แต่เป็นประโยชน์ทางอุดมการณ์และการดำเนินงานของคนที่เขามีเจตนาจะเดินไกลเพื่อปฏิวัติโครงสร้างการเมืองของประเทศที่กำลังเน่าเสีย 

มวลชนผู้ยึดในระบอบประชาชนเขาจะได้สบายใจ ไม่ต้องมาเสียลมหายใจช่วยอธิบายพฤติกรรมการเมืองอันวูบวาบของ “องค์การนำ” ที่ทำให้ผู้สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยสับสนขึ้นทุกวัน

ทำอย่างที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์แนะนำเสียอย่างเดียว ทุกฝ่ายก็จะโล่งใจ

ขบวนประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์โลกเคลื่อนผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น แรกเริ่มก็นับญาติกันดีว่าใครคือแนวร่วมและผู้สนับสนุนในการขับเคลื่อนบ้าง พอต่อมาก็เริ่มพบว่า มีบางคนเขาถอยออกไปอยู่นอกวงหรือจู่ๆ ก็ตั้งตัวเป็นศัตรูขึ้นมา เพราะเขารู้สึกว่า ผลประโยชน์ของเขาถูกกระทบกระเทือนจากการเข้าร่วมกับเราในขบวนประชาธิปไตย

การแยกตัวหรือแยกทางเดินไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดของขบวนการเมืองในระดับนี้

บางครั้งการแยกตัวเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตของขบวนเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ เหมือนหนังซอมบี้ที่ต้องยิงหัวฆ่าคนที่ถูกผีดิบกัดเสียก่อนที่คนๆ นั้นจะกลายผีดิบอีกตัวขึ้นมา จะมัวมาคร่ำครวญว่าสูญเสียไพร่พลไม่ได้ หรือเหมือนเซลล์มะเร็งที่ต้องกำจัดเสียก่อนจะลุกลาม จะมัวมาเสียดายอวัยวะอยู่ก็จะตายไปทั้งตัว

ข้อเสนอนี้จึงมิใช่เพื่อคุณทักษิณฯ จะไม่ต้อง “แบก” พวกเขา แต่เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้อง “แบก” คุณทักษิณฯ และพรรคเพื่อไทยในทางอุดมการณ์อีกต่อไป 

แยกแล้วพรรคเพื่อไทยจะได้ขอประทานกราบทูล กราบทูล ทูลเชื้อพระวงศ์มาร่วมงานการเมืองได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ 

ราชนิกูลผู้ทะเยอทะยานและขาดทุนทรัพย์ยังหาได้ไม่ยาก.

--------------------------------------------------------------------------------------------

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com



วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นายกรัฐมนตรีสมัคร...สู่สุคติ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง นายกรัฐมนตรีสมัคร...สู่สุคติ

โดย กาหลิบ


สังขารที่จิตได้ละไปแล้วของนายกรัฐมนตรีท่านที่ ๒๕ นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการประชุมเพลิงโดยมวลชนทั่วประเทศและทั่วโลกเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาสฯ

มวลชนนับหมื่นเดินทางไปร่วมงานทั้งในชุดดำและชุดแดง ด้วยความรักและความอาลัยในขุนพลคนสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตยในยามสงคราม

ด้วยกำลังจิตอันแข็งแกร่งของท่านเองและครอบครัวของท่าน ผนวกด้วยอำนาจจิตอันบริสุทธิ์ของมวลชนที่รู้จักท่านดีขึ้นกว่าอดีต มั่นใจว่าบัดนี้จิตของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีศรัทธาแรงกล้าในอำนาจนำของปวงชนชาวไทยในกระบวนการเลือกตั้งได้ไปสถิตอยู่ ณ ภูมิภพอันดีที่เราเรียกกันว่าสุคตินั้นแล้ว

วันปลงสังขารเป็นสัญลักษณ์ให้เราระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขารและความที่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ แต่วันเดียวกันก็ช่วยบอกเราด้วยว่า ความดี ความชั่ว และเกียรติคุณจากจิตของผู้วายชนม์จะยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าขึ้นในความรับรู้ของคนรุ่นหลัง ซึ่งเป็นมรดกชิ้นสำคัญสำหรับผู้มีปัญญาคิดได้

เกียรติคุณทางจิตของท่านนายกสมัครฯ มีมากนัก แต่เราจะจับเฉพาะช่วงสุดท้ายในชีวิตของท่านมาจารึกไว้ในที่แคบๆ ของคอลัมน์นี้

สิ่งที่พิสูจน์คนนั้น โบราณเขาให้กาลเวลาเป็นผู้ทำหน้าที่ เวลาที่ผ่านมาของท่านนายกสมัครฯ ไม่ได้บอกเราเลยว่าวันหนึ่งท่านจะมายืนหยัดอยู่กับขบวนประชาธิปไตย เราเคยได้ยินถึงบทบาทของท่านทั้งในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และความขัดแย้งอันลึกซึ้งจนกระทั่งบัดนี้ เราได้เห็นพรรคประชากรไทยเข้าร่วมรัฐบาลอันเกิดจากอำนาจเถื่อนของคณะรัฐประหาร รสช. ๒๕๓๕ และช่วยปกป้องความชอบธรรมของเขาอย่างเต็มสูบ

แต่แล้วเราก็ได้เห็นท่านเดินดุ่มๆ มายืนในมุมเดียวกับเหยื่อการยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และแสดงบทบาทต่อต้านกลุ่มมวลชนที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ มาตั้งแต่ยังไม่เกิดรัฐประหารด้วยซ้ำไป

ถามว่าคนระดับท่านไม่รู้หรือว่าใครสร้างพันธมิตรฯ ใครสั่งงานผ่านพรรคประชาธิปัตย์ ใครออกคำสั่งผ่านผู้พิพากษาตุลาการ และใครใช้ให้ทหารก่อรัฐประหารล้มกระดานประชาธิปไตยจนบ้านเมืองกลับไม่ได้ไปไม่ถึงจนกระทั่งทุกวันนี้

คนอย่างท่านไม่รู้หรือว่าออกมาต่อต้านใคร?

คุณสมัคร สุนทรเวชรู้ครับ รู้และเลือกที่จะแสดงออกเช่นนั้นโดยเชื่อมั่นแรงกล้าว่าความดีงามยังคงมีหลงเหลืออยู่ในบ้านเมือง

ท่านถึงได้หัวใจสลายเมื่อพบว่าท่านเข้าใจผิดและผิดอย่างฉกรรจ์

โรคภัยไข้เจ็บแต่เดิมจึงรุมเร้าเข้ามาโจมตีท่านในยามที่ท่านหัวใจอ่อนลง จนสุดท้ายมันก็ได้ร่างของท่านไป

ทุกอย่างชัดนัก

ท่านนายกสมัครฯ ในห้วงสุดท้ายของชีวิตระลึกได้อย่างชัดเจนเหมือนเปิดไฟให้สว่างในห้องมืด ท่านเห็นในที่สุดว่าปัญหาบ้านเมืองที่ยังด้อยพัฒนาทางความคิดและปิดกั้นความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นมันอยู่ที่อะไรและที่ใคร ท่านอาจจะนึกได้ด้วยว่า ความคิดดีๆ มากมายจากพรรคประชากรไทยและพรรคพลังประชาชนที่ไม่อาจเป็นผลปฏิบัติได้ มันถูกมารที่จำแลงมาในรูปทองที่ไหนคอยขัดขวางไว้

เราเสียใจที่ท่านต้องเสียใจในบั้นปลายของชีวิต

แต่ความเสียใจของท่านคือความเสียใจร่วมกันของมวลชนนับล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลก

คนที่อยู่ในห้องมืดมานานพอๆ กันและจู่ๆ ไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นพร้อมกัน ไม่ให้เรียกว่าร่วมชะตากรรมกันมาก็ไม่รู้จะเรียกอะไร

นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ท่านเดินทางโคจรของท่านมาชั่วชีวิต สุดท้่ายท่านก็มาสถิตแนบแน่นอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศผู้ตาสว่าง

ท่านจึงอยู่ในสวรรค์ชั้นประชาธิปไตยในบัดนี้แล้ว.

-------------------------------------------------------------------------------------------

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอนไว้อาลัย "ท่านนายกฯ สมัครฯ" โดย จักรภพ เพ็ญแข


“สมัคร สุนทรเวช”
โดย จักรภพ เพ็ญแข

ณ แผ่นดินถิ่นนี้มีผู้ใหญ่
ผู้เกรียงไกรใจถึงประหนึ่งสิงห์
ตอบสังคมสมศักดิ์รักความจริง
ไม่แอบอิงมายาเป็นอาภรณ์

มากศัตรูมากมิตรชีวิตชัด
รักษาชีพด้วยสัตย์เป็นอนุสรณ์
ผ่านถนนจนคุ้มทั้งลุ่มดอน
ครบวงจรอย่างผู้ใหญ่หัวใจจริง

“สมัคร สุนทรเวช” ท่านจากลับ
ย่อมมิใช่มืดดับทุกสรรพสิ่ง
ทุกร่องรอยตัวตนของคนจริง
ทุกครั้งนิ่งเงียบสงบพบปัญญา

ผู้แผ้วถางทางเองไม่เกรงขาม
ผู้ก้าวข้ามอุปสรรคที่ขวางหน้า
ผู้สร้างตัวไม่กลัวใครในนครา
ผู้จับมือมวลประชาร่วมท้าทาย

และเป็นผู้ผิดหวังครั้งใหญ่ยิ่ง
ผู้ที่ท่านยึดว่าจริงกลับห่างหาย
ผู้ใหญ่กลับสลับคู่เป็นผู้ร้าย
หัวใจท่านจึงสลายเพราะใจจริง

เสมือนสวมพระเครื่องอันเรืองเวทย์
ประณตเกศมอบหัวใจให้ทุกสิ่ง
แต่องค์พระกลับล้วงเข้าช่วงชิง
จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้นตำเนตร
ใจ “สมัคร สุนทรเวช” จึงหม่นไหม้
นบนอบมาด้วยประชาธิปไตย
ก็สั่งให้กองทัพมากลับทาง

ยุให้คนผิดกฎหมายท้าทายรัฐ
ยุประชาธิปัตย์เข้าด้านข้าง
ยุให้ศาลเบือนบิดเข้าปิดทาง
และใช้ “บ่าง” สื่อมวลชนคนบริกร

นี่ล่ะหรือเสาหลักอันศักดิ์สิทธิ์
ภาพนิมิตกลับกลอกเป็นหลอกหลอน
นึกว่าว่านสมุนไพรแท้ใบบอน
นึกว่าจริงกลับละครย้อนดูตัว

แต่เกียรติยศแห่ง “สมัคร” จำหลักมั่น
ประชาชนทั้งนั้นท่านรู้ทั่ว
ถึงร่างลับดับขันธ์อย่าหวั่นกลัว
ความจริงจักปรากฏทั่วอย่ากลัวปลอม

พักเถิดครับ...ท่านสมัคร...โปรดพักผ่อน
สิ่งที่ท่านสั่งสอนทั้งตรงอ้อม
จะนำมาปรับใช้จะไม่ยอม
ประชาธิปไตยแมวย้อมจะไม่เอา

ประชาชนได้เป็นใหญ่ใน “สมัคร”
เขาจึงรักแน่วแน่จนแก่เฒ่า
เผด็จการอำมาตย์ไทยเขาไม่เอา
ท่านคือเบ้าหลอมร่างสร้างผู้นำ

กราบวิญญาณ “ท่านสมัคร” ผู้รักชาติ
ผู้สร้างมาตรฐานไว้ไม่ตกต่ำ
หนุนประชาธิปไตยธงชัยนำ
สวนระบอบใจดำผู้อำพราง

ชาว “ประชากรไทย” รวมใจหวัง
มวล “พลังประชาชน” คนสืบสร้าง
จะสานต่อ “ท่านสมัคร” ผู้สร้างทาง
สละร่างทิ้งหัวใจให้บ้านเมือง.

------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตลกสลับฉาก โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ตลกสลับฉาก

โดย กาหลิบ


อ่านข่าวรองนายกรัฐมนตรีที่ดูเหมือนจะไม่มีงานทำคนหนึ่ง คือนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ออกมาวิจารณ์เจื้อยแจ้วว่าขณะนี้เมืองไทยเกิดปัญหา “ภาษาวิบัติ” วัยรุ่นบางคนชอบใช้คำว่า “ชิมิ” แทน “ใช่ไหม” วิจารณ์ว่าจอโทรทัศน์เต็มไปด้วย “เพศที่สาม” จนตัวเองรู้สึกขัดอกขัดใจและประกาศจะกำจัดให้พ้นจอไปให้หมดสิ้น  

รู้สึกทันทีว่าคนประชาธิปัตย์ประเภทที่เป็นขี้ข้าเผด็จการโบราณนั้น ถึงจะแก่จวนจะเข้าโลงขนาดไหนก็คงไม่เปลี่ยนนิสัย

ลูกเล่นแบบนี้เขาเรียกกันว่า กลวิธีเปลี่ยนเรื่อง เล่นกันมานานนักหนาแล้ว ส่วนใหญ่นำมาใช้เมื่อเริ่มเข้าตาจนและตอบคำถามบางอย่างของสังคมไม่ได้

ขณะนี้เมืองไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติซ้อนกันหลายเรื่อง 

เรื่องน้ำท่วมคืออาการของประเทศที่ไม่มีรัฐบาลตัวจริงมาวางแผนป้องกันปัญหาขนาดใหญ่ ทั้งที่เป็นปัญหาซ้ำซาก รัฐบาลของประชาชนก่อนเกิดรัฐประหาร คปค./คมช. และรัฐบาลของประชาชนหลังเลือกตั้ง ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ กำลังจะเข้ามาแก้ไขกันอยู่แล้วในครั้งนั้น แต่ถูกสกัดกลางคัน เรียกว่าเป็นปัญหาบกพร่องในธรรมาภิบาลภาครัฐของระบอบเผด็จการโบราณก็คงไม่ผิด ไม่ใช่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือป้องกันไม่ได้เลย

หุ้นไทยพุ่งทะยานขึ้นฟ้าอย่างไร้เหตุผล ราคาของประเทศลดต่ำลงเพราะปัญหาการเมืองที่เรื้อรัง เศรษฐกิจโลกกำลังหม่นมัวด้วยปัญหาสกุลเงินเปรียบเทียบและการกีดกันทางการค้าระหว่างกันแต่หุ้นภายใต้การดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เป็นนายหน้าค้าหุ้นมาแต่เดิมกลับเพิ่มมูลค่าขึ้น ดูไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรนักกับยุคแชร์ลูกโซ่ของแม่ชม้อย ทิพย์โส แม่นกแก้ว ใจยืนหรือเสมาฟ้าครามนัก คือรอแมงเม่ามาบินเข้ากองไฟกันให้มากๆ แล้วเชือดทีเดียวเมื่อรัฐบาลล่ม

ความคิดเรื่องปรองดองกลายเป็นเรื่องตลกของเด็กไร้เดียงสา เดิมทีก็เงี่ยหูฟังกันอยู่บ้าง เผื่อจะมีนักเลงดีเอานิ้วไปอุดเข่ือนที่กำลังจะพังทลายลงมาได้ แล้วก็ได้เห็นภาพเด็กที่ยืนอุดรูรั่วอยู่อย่างนั้นทั้งๆ ที่เขื่อนอื่นๆ กำลังพังวินาศลงมาแล้วรอบตัว เธอก็ไม่สังเกตและไม่ฟังคำเตือนจากผู้หวังดีรอบข้าง แถมเธอยังตวาดกลับมาเสียอีกว่าไม่หวังดีต่อแนวทางปรองดองแล้วให้หุบปากเสีย เมื่อหลงเสียอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่เตรียมตัวสำหรับภาวะเขื่อนพัง และมีทีท่าว่าเธออาจจะไหลไปกับน้ำเมื่อวันนั้นมาถึง

การพัฒนาประเทศตามนโยบายโกหกไปวันๆ ด้วยราคาหุ้นที่ไม่จริงบ้าง การสรรเสริญผู้เฒ่าผู้แก่กันทั้งวันทั้งคืนเพียงเพราะขาดความมั่นใจในตัวเองจนต้องบนบานศาลกล่าวบ้าง ทำให้ประเทศตกรางจากแนวทางพัฒนาของโลก เมืองไทยทะเลาะกันไม่จบเรื่องเครือข่ายสื่อสารที่มีกำลังขนาด 3G ในขณะที่เวียดนาม ลาว และกัมพูชากำลังวางแผน 4G กันแล้วในขณะนี้ เมืองไทยเสียเงินเป็นล้านๆ โฆษณาใน CNN บ้างอะไรบ้าง เชิญชวนนักท่องเที่ยว ในขณะที่สภาพข่าวของตัวเองย่ำแย่และโน้มน้าวไม่ได้เลยว่าจะดีขึ้นเมื่อใด ตาไม่ได้ดูเลยหรือว่ากระแสท่องเที่ยวใหม่ๆ ของโลก เช่น กระแสเกาหลีนิยม เป็นต้น เขา ไปถึงไหนกันแล้ว

เหล่านี้คือตัวอย่างของวิกฤติไทยที่เกิดขึ้นจากระบอบการเมืองด้อยพัฒนาและเป็นปัญหาเดียวกันทั้งนั้น

พวกอนุรักษ์นิยมโง่ๆ ที่ชอบไปเอาสีประจำวันของใครที่ไหนมาเป็นสีประจำตัวนั้น ฟังไม่ได้ศัพท์ก็อย่าจับไปกระเดียด ระบอบการเมืองด้อยพัฒนาไม่ได้หมายถึงปัญหานักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ชอบลากเอามาด่าบูชายัญเพียงเพื่อถือเป็นโอกาสเรียกทหารมาก่อรัฐประหาร แต่นี่หมายถึงตัวเจ้าของระบอบเผด็จการโบราณเลยทีเดียว

อย่าไปหลบอยู่ตามตู้เตียงที่ไหนแล้วส่งเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรือทหารโง่ทึบที่ชอบเต้นรำจนได้ดีจากชายกระโปรงมารับมือกับประชาชนแทนตัวอีกเลย คุณนั่นแหละคือผู้รับผิดชอบในความชำรุดทรุดโทรมของประเทศไทยในปัจจุบันนี้

แล้วไม่ต้องไปเอารองนายกรัฐมนตรีหน้าไหนออกมาพูดจาลิ้นคับปากเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

ตลกสลับฉากแบบนี้หลอกได้แค่ไอ้เท่งเท่านั้นล่ะคุณ.


---------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความสำคัญของ ๑๐ เมษา


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ความสำคัญของ ๑๐ เมษา

โดย กาหลิบ

ได้ข่าวว่า บ.ก.ลายจุด หรือ คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ และมวลชนประชาธิปไตยจำนวนมากท่านได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ บนถนนราชดำเนิน ณ บริเวณสี่แยกคอกวัวขึ้น การรำลึกนั้นจะเป็นหกเดือน เจ็ดเดือน หรือหลายสิบปีจากนี้ไป ก็ย่อมมีความสำคัญในการจารึกเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและจะมีความหมายมากขึ้นเรื่อยๆ ในภาพใหญ่

 เราไม่ควรลืมว่าเหตุการณ์คืนนั้นลึกซึ้งและเป็นบทเรียนขนาดไหนต่อขบวนประชาธิปไตย

ในทัศนะของผู้สื่อข่าว เหตุการณ์นองเลือดในคืนนั้นแสดงถึงการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธหนักที่เขาใช้กันในสงครามระหว่างฝ่ายทหารที่ยกกำลังมาปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยมือเปล่า กับฝ่ายลึกลับที่เรียกกันในภายหลังว่า “ชายในชุดดำ” ซึ่งก็มีอาวุธในมือ และดูเหมือนจะชำนาญในการใช้อาวุธนั้นในระดับที่ไม่แตกต่างจากฝ่ายทหารนัก ผลคือ ความเสียหายต่อฝ่ายทหารถึงขนาดสูญเสียคนระดับนายพันเอก นายพลได้รับบาดเจ็บสาหัส และทหารยศชั้นอื่นๆ ก็ล้มตายอีกมาก ฝ่ายประชาชนก็สูญเสียชีวิตไปมากมายหลายสิบคนจนเลือดนองราชดำเนินอย่างไม่ควรที่

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายทหารต้องล่าถอยในการสัปประยุทธ์กับฝ่ายประชาชนซึ่งทุกครั้งในประวัติศาสตร์เป็นเป้านิ่งให้เขาเข่นฆ่าได้ตามใจ  

คำว่า “ทหารแตงโม” หรือทหารชุดเขียวที่มีหัวใจสีแดง จึงดูเป็นรูปธรรมขึ้นมามากนับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา มากขนาดทำให้แกนนำบนเวทีราชประสงค์ส่วนหนึ่งเกิดความคาดหวังว่าตนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเดียวกันในวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคมเมื่อเขาล้อมปราบเข้ามาถึงตัว

แต่เรื่องนั้นขอเอาไว้วิสัชนากันในคราวอื่น

กลับมาที่ประเด็น “ทหารแตงโม” หรือใครก็ตามที่ปรากฎกายขึ้นในฐานะ “ชายในชุดดำ” ในคืนวันนั้น พูดในเชิงยุทธวิธีแล้ว นั่นคือการลุกฮือของมวลชนติดอาวุธเป็นครั้งแรกในเมืองไทยนับแต่การวางอาวุธของขบวนการคอมมิวนิสต์เป็นต้นมาทีเดียว ถ้าเราเป็นฝ่ายเจ้าของประเทศ เหตุการณ์นี้เริ่มบอกกับเขาแล้วว่าการต่อต้านอำนาจเผด็จการและการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้ไม่ธรรมดา เขาก็ย่อมเพิ่มระดับความรุนแรงของอำนาจในมือ การ “กระชับพื้นที่ “ ซึ่งเป็นภาษาไพเราะของการล้อมฆ่าประชาชนจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เป็นเหตุและผลของกันและกัน สามารถอธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาธรรมดา 

คำถามคือทำไมจึงเกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วหาย?

คำตอบที่อาจจะยังไม่สมบูรณ์ ย้อนกลับไปหาเรื่องแนวทางและยุทธศาสตร์ใหญ่ของฝ่ายที่ต่อสู้ต้านทานระบอบเผด็จการโบราณว่า เจตนาสุดท้ายคือการมุ่งแก้ปัญหาการเมืองของประเทศในระดับโครงสร้างจริงหรือไม่ หรือต้องการเพียงอำนาจรัฐบางส่วนเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองของตนเองและคณะเท่านั้น 

หากไม่มุ่งหมายขนาดนั้น การลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธในคืนวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ก็เป็นเพียงหลอกล่อ (bluff) เขาเล่น เหมือนกับเกมการเมืองอื่นๆ ที่ดำเนินมาตลอดสี่ห้าปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง 

เป็นการกระทำที่เพียงหวังให้เขาตกใจและเปลี่ยนใจ ปล่อยมือจากปุ่มควบคุมชั่วคราว เพื่อตัวจะได้คืบคลานกลับสู่สถานะอันเคยมีเคยเป็นผ่านรอยปริแยกในผนังด้านข้างของระบอบเผด็จการโบราณเท่านั้น ไม่ได้คิดการใหญ่ไปกว่านั้นเลย

เมื่อปรากฎว่าเขาไม่ตกใจและไม่ยอมเปลี่ยนใจ มิหนำซ้ำยังทารุณโหดร้ายกระหายเลือดกว่าเก่า ตัวกลับกระโดดหนีอย่างขลาดกลัว ละทิ้งมวลชนผู้มีน้ำใจกล้าหาญแต่ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นในเบื้องหลังไว้เพียงลำพัง 

หากการณ์เป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าปัญหาวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ไม่ใช่การประสานงานที่บกพร่องแต่อย่างใด แต่มาจากการนำทัพที่ขาดอุดมการณ์และเจตนาอันมั่นคงหวังพิชิตชัยชนะอย่างที่มวลชนทั่วประเทศเขาคาดหวังกันอยู่ในเวลานั้นนั่นเอง

วันที่ ๑๐ เมษาสอนเราว่าจะคิดใช้เหตุผลกับสัตว์ในระบอบเผด็จการโบราณคงจะไม่ได้หรอก เขาล่าถอยไปในคืนนั้นไม่ใช่เพราะเห็นแก่ค่าความเป็นมนุษย์ แต่เพราะมันก็กลัวตายและรู้ว่าอีกฝ่ายเขาสู้ตายเหมือนกันต่างหากเล่า 

ถ้าไม่มีมุมนี้ เราก็จะเจอเหตุการณ์อย่าง ๑๙ พฤษภาคมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สรุปแล้วอุดมการณ์นำไปสู่ใจ ใจนำไปสู่กองกำลัง และกองกำลังนั้นต้องเดินด้วยอุดมการณ์อีกต่อหนึ่ง ชาติจึงจะไปรอดและประชาธิปไตยจะไม่สูญเสียมากนัก.

------------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำท่วมระบอบไทย โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง น้ำท่วมระบอบไทย

โดย กาหลิบ

                มีงบประมาณในมือมหาศาล มีระบบราชการใหญ่โตอยู่ในมือ มีทหารครบสามกองทัพ ตำรวจทั้งสำนักงาน มหาดไทยทั้งกระทรวง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกหย่อมย่าน แถมยังมีเอกชนที่เขาหากินอยู่กับรัฐจนเกรงใจรัฐอีกนับจำนวนไม่ถ้วน แปลกไหมว่าทำไมรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาจึงไม่อาจแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกรอบหลายปีได้

                จะด่ารัฐบาลชุดนี้ ห่วย” ก็คงมีคนร้องรับอย่างสะใจกันตั้งแต่เหนือจรดใต้

                แต่เรื่องนี้สะท้อนความเลวร้ายที่ลึกซึ้งกว่านั้นมากและเป็นความเลวร้ายในระดับระบอบเสียด้วย คำว่าห่วยอาจจะเบาเกินไปในกรณีนี้

                ปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำกระจายอยู่ใน ๒๒ หน่วย ๗ กระทรวงตามที่ท่องกันราวกับนกแก้วนกขุนทองนั้น ความจริงคือสิ่งที่บ่งบอกว่ารัฐบาลไทยไม่ใช่ผู้ประสานภารกิจหลักตัวจริงในเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่เกิดอะไรขึ้นรัฐบาลจะต้องเข้ามารับผิดชอบ

                พูดอย่างนี้ก็มิได้แปลว่ารัฐบาลไม่มีความผิด แต่เราต้องเริ่มวิเคราะห์ปัญหาเรื่องน้ำจากสภาพที่เป็นจริงในการเมืองไทยเสียก่อน

                หากถอดวิญญาณไปถามนายกรัฐมนตรีทุกคนตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เรื่อยมา ไม่ว่าแบบลากตั้งหรือเลือกตั้งก็ตาม ท่านเหล่านี้จะบอกความจริงว่ารัฐบาลเป็นแค่เสมียนในปัญหาน้ำเท่านั้น

                ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดบริษัทคูคลองสยามขึ้นที่รังสิต ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นกันว่านี่คือระบบบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนเป็นแห่งแรก ส่วนที่งานนี้จะทำให้ราคาที่ดินของใครในบริเวณนั้นเพิ่มมูลค่าอย่างมหาศาล จนกลายเป็นมรดกตกทอดมากดขี่กันได้เป็นร้อยๆ ปี เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประเด็นอยู่ที่ว่าโครงการนี้สร้างประเพณีขึ้นมากลางเมืองว่าใครเป็นผู้มีอำนาจจริงในเรื่องน้ำ

                หลังจากนั้นมาจนเกิดกรมชลประทาน ฝ่ายการเมืองผู้ตระหนักชัดในเรื่องนี้ก็ไม่กล้าไปแตะต้องกับเรื่องน้ำอีกเลย ขนาดตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทานยังไม่กล้าแตะต้องหรือเลื่อนลดปลดย้าย จนรู้กันดีในหมู่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้เกี่ยวข้องทุกสมัย

                คนฉลาดจริงตามระบบไทย ก็ต้องแบบนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ไปคว้าตัวนายธีระ วงศ์สมุทรมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สำเร็จ เพราะประสานได้ตั้งแต่ฟ้าถึงดิน โดยไม่พูดมาก

                คนที่ชอกช้ำเพราะไปแตะต้องกรมชลประทานมีหลายคน หนึ่งในนั้นคือนายปองพล อดิเรกสาร ใครสนใจว่าเจอของแข็งแล้วรู้สึกอย่างไร ควรไปหาทางไถ่ถามกันเอาเอง

                ส่วนคนระดับนายกรัฐมนตรีนั้น แค่ถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวชผู้คิดจะนำน้ำมาให้คนไทยได้ใช้กันอย่างสมดุลทั่วประเทศ ตามโครงการผันน้ำจากเหนือสู่อีสานและโครงการผันน้ำจากลาวตามลำดับ ก็จะซาบซึ้งใจดี เพราะสองท่านโดน น้ำ” พุ่งเข้าใส่ตัวเองพูดไม่ออก ปัจจุบันเหลืออดีตนายกรัฐมนตรีเพียงท่านเดียวในกลุ่มนี้ แต่ก็ยังพอเล่าให้ฟังได้ว่าปัญหาน้ำในเมืองไทยนี่มันคือปัญหาอะไรแน่

                เอาเป็นว่า รากเหง้าของปัญหาน้ำในเมืองไทยก็คือ เทวดาเขาไม่ยอมให้รัฐบาลสามัญชนเข้ามาแก้

                ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ได้ถ้าไม่เกินหน้าเกินตา แต่ไอ้ที่จะทะเยอทะยานวางระบบขนาดใหญ่เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนนั้นไม่มีทางทำได้ถ้าไม่มีสัญญาณจากสวรรค์

                ชอบอย่างเดียวก็คือสร้างเขื่อน เพราะสร้างเขื่อนมันใช้ปูนซีเมนต์เยอะดี

                ถึงเวลาก็ปล่อยน้ำในเขื่อนออกมาทำลายบ้านช่องเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขื่อนขนาดใหญ่ไม่อาจแก้ไขปัญหาน้ำมากและน้ำแล้งได้จริง

                ถ้าเป็นยา ก็ไม่ได้รักษาโรค แต่เป็นแค่ยาระงับประสาทชั่วคราวเท่านั้น

                สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงได้บันดาลให้น้ำท่วมหลังคา จวนจะถึงฟ้าแล้วในบัดนี้. 

-----------------------------------------------------