ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

งานลับอเมริกัน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง งานลับอเมริกัน
โดย กาหลิบ

ไม่นานมานี้ นักการทูตคนสำคัญของสหรัฐอเมริกาเข้าไปนั่งคุยลับๆ กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก่อนว่าจะมาพูดอะไร ซึ่งออกจะผิดธรรมเนียมอยู่

และที่น่าสังเกตมากก็คือ ไร้วี่แววของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีหน้าที่แบบนี้โดยตรง แหล่งข่าวจึงสันนิษฐานว่างานนี้นายกษิตฯ ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม

ตัวแทนของวอชิงตันแกก็พูดตรง เมื่อเจอหน้าอภิสิทธิ์แล้วแกก็บอกว่ามาพูดสองเรื่องเท่านั้น

เรื่องแรกคือการสั่งปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงคราม

อภิสิทธิ์ถามว่าวอชิงตันว่าอย่างไร

ทูตตอบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นและจะยุติการสนับสนุนรัฐบาลไทยทันทีหากเกิดเหตุซ้ำสองขึ้นอีก

อภิสิทธิ์ถามว่า สหรัฐฯ ก็ออกแถลงการณ์มิใช่หรือว่า ไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้าย เหตุไฉนการต่อต้านการก่อการร้ายจึงกลับกลายเป็นเรื่องผิดในสายตาสหรัฐฯ ขึ้นมา

ทูตไม่ตอบคำถาม แต่เน้นย้ำว่าการใช้อาวุธสงครามและการปราบปรามประชาชนที่ผ่านมา ชาติของเขาไม่อาจจะยอมรับได้ และเน้นย้ำว่าคราวต่อไปเขาจะแสดงออกอย่างเปิดเผยนะ

ฝ่ายไทยถาม แล้วประเด็นที่สองคืออะไร

ให้เลิกไล่ล่าทักษิณได้แล้ว ฝ่ายสหรัฐฯ ตอบ เพราะตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ถือกำเนิดขึ้น งานล่าตัวอดีตนายกรัฐมนตรีกลายเป็นหัวใจของรัฐบาล แทนการบริหารประเทศ นายกรัฐมนตรีและทีมงานรอบตัวให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเกินไป จนความสงบสุขเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ รัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลจะอับปางลงในที่สุด

อภิสิทธิ์ฟังแล้วก็เงียบ ครั้นจะอธิบายชวนเชื่อแบบไทยๆ ว่าอดีตนายกฯ เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและทั้งสองเรื่องเป็นประเด็นเดียวกัน ก็เกรงว่าสหรัฐฯ จะงัดหลักฐานที่ฝ่ายเขาก็รวบรวมไว้เหมือนกันออกมาแสดงจนหน้าแตกสลาย

พูดสองประเด็นครบแล้วทูตก็ลากลับ

ถามว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ นี้ มีความหมายอย่างไร โดยเฉพาะต่อขบวนประชาธิปไตย เราคงจะแยกได้เป็นข้อๆ

งานนี้ไม่ได้แปลว่าสหรัฐอเมริกาเกิดจะเป็นคนดีขึ้นมา หลังจากที่ออกแรงสนับสนุนระบอบชั่วในเมืองไทยเพราะมีข้อตกลงลับอันยาวนานระหว่างกันตั้งแต่สงครามเย็น แต่เนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่เห็นแก่ชีวิตจิตใจของเพื่อนร่วมโลก อย่างที่แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมาจนทำให้น้ำกระเพื่อมทั่วแผ่นดินไทย ทำให้วอชิงตันประเมินสถานการณ์ว่าระบอบไทยกำลังพาตัวเองเข้าสู่มุมอับ

ความวินาศของระบอบไทยอาจทำให้ผลประโยชน์อันล้นพ้นของสหรัฐฯ ในย่านนี้เสียไปได้ คำเตือนจึงมาถึง
ไม่ได้แปลว่าหันเหกลับมาสนับสนุนฝ่ายประชาชนในบัดนี้แต่อย่างใด

อีกประการหนึ่งคำเตือนในคราวนี้ไม่ใช่พูดกับนายอภิสิทธิ์ฯ แต่เป็นการฝากผ่านไปถึงคนที่ใส่โปรแกรมจนฝังหัวของนายอภิสิทธิ์ฯ ว่า การประหัตประหารพี่น้องร่วมชาติเพียงเพราะเขาเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และรักประชาธิปไตย เป็นเรื่องถูกต้องและสมควรได้รับรางวัล

ก็คือเตือนไปถึงยอดของระบอบไทยว่ารู้จักเห็นคุณค่าความเป็นคนของคนอื่นเขาบ้างนั่นล่ะครับ

เตือนแล้วจะได้ผลแค่ไหน แล้วแต่ความพิการทางใจของคนที่ถูกเตือน

ข้อสำคัญคือเมื่อทำอะไรเกินเลยไปแล้วก็เท่ากับฆ่าตัวตายช้าๆ อยู่ทุกวัน จนแม้แต่สปอนเซอร์ของตัวแท้ๆ เขายังเห็น.

---------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คอยแกนนำ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง คอยแกนนำ
โดย กาหลิบ

เราต่างสะเทือนใจกับความรุนแรงที่พี่น้องประชาชนได้รับเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ อย่างชนิดน้ำตายังไม่แห้งและคงไม่แห้งไปอีกนานหลายปี แต่เราต้องยอมรับด้วยว่ามีหลายสิ่งที่ดีงามเกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น เสมือนกองดินที่ไหลรวมกันแถวราชประสงค์จนเกิดดอกไม้สวยงามงอกขึ้นมา อันเป็นความงามตามธรรมชาติที่เจ้าของประเทศและลูกสมุนไม่อาจบิดเบือนให้เป็นอื่นได้เลย

หนึ่งในนั้นคือความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่าง “แกนนำ” กับ “มวลชน”

นำเรื่องนี้มาพูดเพราะหลายคนปรับทุกข์มาว่า เราจะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่แกนนำออกมานำไม่ได้เพราะติดคุกบ้าง หลบซ่อนตัวอยู่บ้าง และลี้ภัยออกไปนอกประเทศไทยบ้าง คนที่เหลือก็ถูกขู่โดยกฎกติกาของฝ่ายเผด็จการจนกระดิกตัวไม่ได้ ทำให้รู้สึกราวกับว่าฝ่ายประชาชนกำลัง “แพ้” เขา

วันนี้ขอชี้ให้ท่านเหล่านั้นเห็นว่า บางครั้งจุดเริ่มต้นแห่งชัยชนะมันก็เป็นอย่างนี้ สถานการณ์ใหญ่หลังการฆ่าประชาชนแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓ เปลี่ยนทุกอย่างไปหมด เราไม่สามารถนำเรื่องเก่าๆ มาประติดประต่อเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ในห้วงต่อไปได้ เพราะจากนี้ไปทุกอย่างจะยกระดับขึ้น
เหมือนเราย้ายบ้านขึ้นมาชั้น ๒ จะไปเอาปัญหาชั้นล่างอย่างน้ำท่วม คนข้างนอกเข้าถึงตัวง่ายๆ มาคิดไม่ได้แล้ว แต่ต้องคิดถึงปัญหาของชั้น ๒ อย่างลมแรง คนแก่ขึ้นลงลำบาก แขกกดกริ่งไม่ได้ยินมาคิดแทน

สถานการณ์ใหม่ก็ต้องคิดใหม่ ประสบการณ์เก่ามีประโยชน์ในการเอามาคิดประกอบกัน ยึดเป็นตัวตั้งหรือเป็นหลักไม่ได้

ขณะนี้คำว่า “แกนนำ” กำลังเปลี่ยนไป เมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖, ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ จนถึงพฤษภาประชาธรรม พ.ศ.๒๕๓๕ แกนนำหมายถึงผู้นำโดยแท้ทีเดียว

แปลว่ามวลชนก็เป็นผู้ตามโดยแท้เหมือนกัน

จะเดินสักก้าวก็ต้องมองแกนนำ ถามแกนนำ และกำลังใจทั้งหมดดูเหมือนจะอยู่ที่ความเข้มแข็งของแกนนำ

หมดแกนนำแล้วก็หมดกัน

ทั้งๆ ที่มวลชนส่วนหนึ่งในวีรกรรมเดือนตุลาและพฤษภา เป็นมวลชนระดับปัญญาชนที่อ่านมากรู้มาก มีจุดเชื่อมโยงทางอุดมการณ์และทฤษฎีสูง อาจจะมากกว่าขณะนี้ด้วยซ้ำ แต่พลังทางปัญญาในขณะนั้นก็ยังสู้พลังการนำของแกนนำไม่ได้ ชื่อผู้นำนิสิต นักศึกษา สหภาพแรงงาน สหภาพเกษตรกร ฯลฯ จึงโด่งดังในหัวใจของมวลชนเสียยิ่งกว่าแนวทางการต่อสู้

แต่ ณ ฉากการต่อสู้ที่สนามหลวง (ตั้งแต่ ๒๕๔๘) ทำเนียบรัฐบาล (จนถึงเมษายน ๒๕๕๒) ผ่านฟ้าลีลาศและราชประสงค์ (๒๕๕๓) ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวแกนนำที่เป็นบุคคลยังมีอยู่มากก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าแนวร่วมจำนวนมากมิได้มาจากความรักลุ่มหลงในตัวแกนนำ

แต่มาต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

มาร้องหาความเสมอภาค (และเกลียดสองมาตรฐาน)

มากวาดล้างความอยุติธรรมในสังคม

ท้ายที่สุดก็มุ่งทำลายการกดขี่ชนชั้นคนรากหญ้าโดยฝีมือของเจ้าของประเทศและอำมาตย์ที่เขาชุบเลี้ยง

แนวทางที่ชัดเจนขึ้นโดยวิวัฒนาการทางสังคม ทำให้เกิดแกนนำธรรมชาติทั่วไปในขณะนี้ กรอบเดิมของ นปช. นั้นช่วยเพาะได้ส่วนหนึ่ง แต่นอกกรอบ นปช. เรากลับมีแกนนำใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้ตัวหรือตั้งใจจะเป็นแกนนำให้เห็นอย่างมากมายไม่น่าเชื่อ จนมีจำนวนมากกว่าแกนนำในกรอบ นปช. ไปแล้ว

ท่านเหล่านี้เคยถูกกดด้วยแนวคิดเก่าๆ ว่า แกนนำจะต้องเป็น ส.ส. หรือผู้สมัคร ส.ส. หรือนักจัดตั้งมวลชนมืออาชีพ คนจะ “นำ” มวลชนได้ต้องมีดีกรีทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี จนเกิดชนชั้นอย่างแปลกประหลาดขึ้นในขบวนประชาธิปไตย
แต่ใน พ.ศ.๒๕๕๓ มวลชนพัฒนาจนก้าวหน้าขึ้นและพร้อมจะจัดตั้งมวลชนไปทีละเล็กละน้อย จนเกิดแกนนำชนิดใหม่ที่ไม่โด่งดังหรือไม่ได้มีแฟนมารุมล้อมเหมือนดารา แต่จัดตั้งได้เหนียวแน่นและลงลึกทางแนวทางและอุดมการณ์ได้

นี่ล่ะครับคือแกนนำรุ่นต่อไป

นี่ล่ะครับคือแกนนำที่สังคมรอคอยและเริ่มได้เห็นบ้างแล้ว

การปฏิวัติประชาธิปไตยอยู่ในมือของคนเหล่านี้ ไม่ใช่คนที่ยังติดความเป็นขี้ข้าเก่าของอำมาตย์ครับ.

---------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทูตหรือทาส? โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ทูตหรือทาส?
โดย กาหลิบ

เพื่อนฝูงในสายงานต่างประเทศส่งข่าวมาว่า ขณะนี้เอกอัครราชทูตไทยหลายท่านกำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะได้รับคำสั่งให้โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเมืองไทยและสถาบันของชาติอย่างหนัก ชนิดทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ

ขณะเดียวกัน ทั่วโลกเขาต่างเห็นคลิปภาพความโหดร้ายของการสังหารประชาชนอย่างกระจ่างตา ก็ยิ่งทำให้โฆษณายากขึ้นอีก แถมยังถูกคนในประเทศนั้นๆ เขาโห่ประณามกลับมาอีกต่างหาก

มวลชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่า ขณะนี้นักการทูตไทยในหลายๆ ประเทศถูกคนสำคัญในกระทรวงการต่างประเทศของเขาเรียกไป “ด่า” หลายครั้งหลายหน แต่สื่อของไทยไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มารายงานให้เราทราบ เราจึงละเมออยู่ว่าทั่วโลกเขายังรักเราเหมือนเดิมหรือยังคิดว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม คิดว่าโฆษณาโง่ๆ แบบเดิมคงจะได้ผลลัพธ์เป็นความรักอันยิ่งใหญ่

เรื่องแบบนี้นักการทูตไทยใจอิสระเขาน้ำตาตกในกันทั้งนั้น

ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศวัยหนุ่มสาวที่เปิด Facebook เอาไว้ให้คนร่วมโกหกตอแหลอย่างกว้างขวางก็มีไม่กี่คน และเป็นเสียงข้างน้อยในประเทศที่คนเขาตาสว่างขึ้นทุกวัน พวกนี้หวังว่าจะสอพลอจนเข้าตาขี้ข้าของเจ้าของประเทศและสนับสนุนให้ได้ดีในชีวิตข้าราชการแบบกบในกะลา

หรือเหมือนข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศอีกกลุ่มหนึ่งที่รับใช้ ศอฉ. จนได้ยศวาสนา ไม่ผิดอะไรกับภูตผีที่ดูดเลือดประชาชนเป็นอาหารอันโอชะของตน

เอกอัครราชทูตหลายท่านที่มีจิตสำนึก ได้แต่แอบระบายความคับข้องหมองใจกับคนใกล้ชิด บางท่านกล้าหาญพอจะรายงานอย่างซื่อสัตย์มายังกระทรวงส่วนกลางว่า เมืองไทยในวันนี้ย่ำแย่ขนาดไหน หรือวิจารณ์ความไม่เป็นประชาธิปไตยในปัจจุบัน ก็ถูกเรียกตัวกลับมาสอบสวน เหมือนคนกระทำความผิดอย่างรุนแรง
กระทรวงใดที่ได้คนบ้าเสียจริตมาเป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงและได้ปลัดกระทรวงชนิดเหาะข้ามหัวคนที่เหมาะสมกว่าขึ้นมาเป็นใหญ่ด้วยวิธีสอพลอตอแหล ก็จะปั่นป่วนอย่างนี้ทุกกระทรวง

เหตุที่โดนหนักกว่ากระทรวงอื่นๆ เพราะฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคิดเอาเองว่ากระทรวงนี้คือสมบัติส่วนตัวของเขามากกว่ากระทรวงอื่น งานแทบทุกหยดทุกอณูจึงมีไว้เพื่อเสริมความยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ของเขาและครอบครัวเป็นหลัก งานต่างประเทศเพื่อประโยชน์มหาชนชาวไทยแทบจะหาทำยาไม่ได้

คนที่จะก้าวหน้าได้ในกระทรวงนี้ ต้องปิดตาและทำใจล่วงหน้าว่าตนเป็นเพียงกระทรวงใต้ถุนบ้านของฝ่ายอำมาตย์ ไม่ใช่กระทรวงของฝ่ายประชาธิปไตยเลย

มิฉะนั้นก็ต้องอำพรางความรู้สึกอันแท้จริงไว้ให้มิดชิด

จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ผ่านมาแบ่งออกได้เป็น ๒ พวก

พวกที่มาแบบประชาธิปไตยจะอยู่ได้เพียงช่วงสั้นๆ และมักถูกดีดออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลแปลกๆ

พวกที่อยู่ได้นานหลายปีหรือเกินสิบปี มักจะเป็นข้าราชการเก่าของกระทรวงหรือคนที่ถูกส่งมาโดยสถาบันหลักนอกกระทรวง เช่น นายกษิต ภิรมย์ เป็นต้น

คนที่ยังหลงคิดว่านายกษิตฯ มาในโควต้าของกลุ่มพันธมิตรฯ โปรดคิดใหม่ คนๆ นี้เป็นตัวแทนโดยตรงของฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกและส่งตัวมาเป็นรัฐมนตรีโดยตรง

รัฐมนตรี “ตัวจริง” คือคนจำพวกที่สองนี้ ก็จะควบคุมกระทรวงการต่างประเทศลงมาเป็นขั้นๆ จนครอบคลุม เพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางรับใช้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย และการร่วมทำลายระบอบประชาธิปไตยกับเครือข่ายปิศาจอื่นๆ จะต้องเป็นไปเช่นนั้น

(นักการ) ทูตจึงกลายเป็นทาสไปด้วยประการฉะนี้.

--------------------------------------------------------------------------------

ลง ส.ส.หรือลงนรก? โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ลง ส.ส. หรือลงนรก?
โดย กาหลิบ

เห็นความวุ่นวายในพรรคเพื่อไทยว่าใครจะลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมในเขต ๖ กรุงเทพมหานครแทน คุณทิวา เงินยวง ที่ถึงแก่กรรม ก็ทำให้นึกทอดอาลัยว่านักเลือกตั้งเขาเป็นกันอย่างนี้ล่ะหรือ?

เถียงกันว่าจะเอาฮีโร่ในที่คุมขังอย่างคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือเอาคนยอดขยันมีผลงานมากอย่างคุณพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ลงสมัครจึงจะดี

ระหว่างเถียงก็งัดกฎบัตรกฎหมายออกมาตีความกันให้ยุ่งไปว่าคุณณัฐวุฒิฯ ลงสมัครได้หรือไม่ได้ หรือถ้าได้รับเลือกแล้วจะได้เข้ารับตำแหน่งโดยไม่ถูกขัดขวางหรือไม่

เลยไปถึงเรื่องพระราชบัญญัติความมั่นคงฯ ว่ามีอำนาจเผด็จการค้ำอยู่อย่างนี้จะจัดการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมกันได้หรือ

ให้ความเห็นกันอึงคะนึงไป

ต่างคิดกันว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกที่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วประเทศในอนาคตได้อำนาจรัฐกลับคืนมาเป็นของตนทั้งสิ้น จึงพากันตื่นเต้น อยากจะมีส่วนร่วมกันนักหนา

ไอ้ความกระเหี้ยนกระหือรือน่ะไม่ว่าอะไรหรอกครับ วัวของใครก็เข้าคอกคนนั้น นักเลือกตั้งเขาก็ต้องตื่นเต้นกับการเลือกตั้ง

แต่ปัญหาคือพี่น้องประชาชนตายเจ็บไปแล้วนับร้อยชีวิตเพื่อสังเวยระบอบอำมาตยาธิปไตยไทย หลังจากที่ฝ่ายการเมืองของเราบอกกับมวลชนเหล่านั้นว่า เรามาบีบให้เขายุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่เท่านั้น ไม่มีอันตรายใดๆ หรอก แล้วเขาส่งกระสุนปืนจากเบื้องสูงลงมาให้จนถึงหัวและหน้าอก

เรื่องมันถึงขนาดนั้นแล้ว เราจะยังไปร่วมเล่นเกมการเมืองกับคนพรรค์นั้นได้ลงคออีก ก็ออกจะเกินไป

เราไม่ควรถกเถียงอีกแล้วว่า วันนี้จะเอาณัฐวุฒิหรือพร้อมพงศ์ จะป้องกันผลกระทบจาก พ.ร.บ. ต่อบรรยากาศการเลือกตั้งอย่างไร แต่เราต้องถามคำถามใหญ่กว่านั้นต่อตัวเองและต่อสังคม
เรายังร่วมสังฆกรรมใดๆ กับระบอบโบราณนี้ได้อีกหรือ?

ถ้าเรามีจิตสำนึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดของมหาชนชาวสยาม พรรคเพื่อไทยหรือหน้าไหนก็ตามที่คิดว่าตัวเองอยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องหันหลังให้กับการเลือกตั้งในระบอบเผด็จการอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่วิ่งกันพล่านเมื่อใครเขาเคาะกะลาโป๊กๆ ขึ้นมา

กรุณาตราไว้ให้ดีนะครับ นักประชาธิปไตยเขายอมรับกันถ้วนหน้าว่า การเลือกตั้งเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการทำหลักประชาธิปไตยให้เป็นรูปธรรม

กาหลิบจึงไม่ได้ค้านที่กระบวนการเลือกตั้ง แต่ค้านการเลือกตั้งในเกมของอำมาตย์และเครือข่ายขี้ข้าของอำมาตย์ เช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้ในเมืองไทย

เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้อยู่ในอ้อมกอดเผด็จการตัวใหญ่ที่สุด เพราะเพิ่งสั่งฆ่าประชาชนมาหมาดๆ อยู่ภายใต้รัฐบาลที่ฉ้อฉล ไร้ประสิทธิภาพ และสร้างความแตกแยกในสังคมตลอดเวลา และอยู่ในอิทธิพลของ “องค์กรอิสระ” ที่มีเงามืดของอำมาตย์พาดทับอยู่เต็ม ยังไม่ต้องพูดถึงระบบศาลที่คนส่วนใหญ่เขาไร้ศรัทธามานานแล้ว

แล้วจะเถียงกันทำไมว่าณัฐวุฒิหรือพร้อมพงศ์ หรือจะฝ่าด่าน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไปได้อย่างไร

เลิกเถียงแล้วประกาศให้ชัดสิครับว่าพรรคเพื่อไทยไม่ร่วมโลกกับฆาตกรโหดเหล่านี้

ไม่ใช่การตายประชดป่าช้า แต่เป็นการแสดงว่าคนของพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนเดียวกับมวลชนในขบวนประชาธิปไตย และไม่ได้มีจุดยืนเดียวกับคนสายพันธุ์ประชาธิปัตย์

เพื่อแสดงความหมายของวีรชนเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓.

--------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โลกเริ่มเข้าใจ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : โลกเริ่มเข้าใจ
โดย : กาหลิบ

วันฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ นับตั้งแต่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นมาจนบัดนี้ เป็นเส้นแบ่งสำคัญที่สุดเส้นหนึ่งในประวัติศาสตร์และสังคมไทย กรรมดีหรือกรรมชั่วบันดาลก็ไม่ทราบชัด แต่วิธีคิดและการกระทำของผู้เป็นเจ้าของประเทศไทยในครั้งนี้ได้แบ่งเมืองไทยออกเป็น ๒ ซีก หรือ ๒ ระบอบเสียแล้ว

นั่นคือ ระบอบอำมาตย์ทรราช และ ระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบประชาชน
แบ่งแยกออกจากกันแล้วโยนกระดูกชิ้นใหม่ที่มีชื่อว่า ปรองดอง มาให้แย่งกันกัด เจตนาให้สังคมหมกมุ่นกับเรื่องนี้ จะได้ลืมมือเปื้อนเลือดของตนไปสักพัก

ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจจะวิ่งสู้ฟัดกันอย่างไรในนามนายแพทย์ประเวศ วะสี สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ วสิษฐ์ เดชกุญชร คณิต ณ นคร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือไพร่หลวงหน้าไหนก็ตามที คนส่วนใหญ่ของประเทศที่ประกอบด้วยรากหญ้า นายทุนชนิดสร้างตัวด้วยลำแข้ง พระสงฆ์ผู้ทรงศีล และผู้มีปัญญาที่ต้องการเลิกลัทธิโง่งมงายทุกคน เขาล้วนไม่ใส่ใจและไม่ร่วมสังฆกรรมที่ว่าด้วยการแย่งกระดูกชิ้นล่าสุดนี้ด้วย

เพราะเขาตระหนักดีว่ามิใช่สุนัขรับใช้ของใครและไม่ต้องเสนอหน้าพิสูจน์ตัวเองกับใคร

มวลชนของรัฐไทยใหม่ ต่างเข้าใจดีพอที่จะไม่ร่วมเล่นเกมตื้นๆ โง่ๆ ของเจ้าของประเทศอีกต่อไป การรวมตัวกันต่อต้านอำนาจมืดจึงเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ไม่ต้องอาศัยทุนรอนอะไรมากมายและสามารถประคองตัวไปได้นานเท่านาน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหลัก

สิ่งที่น่าดีใจคือมวลชนไทยมิได้ตาสว่างอย่างโดดเดี่ยว แต่เสียงสำคัญจากหลายมุมโลกเริ่มสะท้อนว่าเขาเริ่มเข้าใจในความซับซ้อนของสังคมเผด็จการอำพรางแบบไทย เขาจึงจี้จุดที่เป็นหัวใจของเรื่องได้อย่างแม่นยำ อย่างคำอภิปรายในรัฐสภายุโรปที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอาวุธสงครามและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในฐานะผู้ถ่วงดุลและระงับข้อพิพาทอยู่หลายครั้ง

นี่ก็แว่วมาว่ารัฐสภาสหรัฐฯ หรือคองเกรสส์ ในซีกสภาผู้แทนราษฎร อาจจะร่วมกระชากหน้ากากทองคำของไทยออกมาเร็วๆ นี้เหมือนกัน หลังจากที่ได้เห็นภาพและรับข้อมูลเกี่ยวกับความโหดร้ายของวันฆ่าประชาชนอย่างกระจะตา

แหล่งข่าวใกล้ชิดเล่าเสริมว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอเมริกันคนหนึ่งดูคลิปภาพที่รถถังของกองทัพไทยพุ่งชนประชาชนมือเปล่าจนล้มแล้ว แล่นทับศีรษะจนสมองแตกกระจายคาที่ ถึงกับอุทานออกมาว่า “นี่มันเทียนอันเหมินชัดๆ” ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่นว่าเขาขอเอาด้วยกับความพยายามใดๆ ในการไล่ล่าชายหญิงอำมหิตที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งเลือดครั้งนี้

แต่ความเข้าใจล่าสุดที่เป็นข่าว มีความสำคัญและลึกซึ้งยิ่ง กลับมาจากปากของผู้อำนวยการโครงการพัฒนาของสหประชาชาติ (UNDP) ผู้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์อยู่หลายสมัย นั่นคือนางเฮเล็น คล๊าค

เธอกล่าวที่กรุงฮานอย เวียดนามว่า พม่า ไทย เวียดนาม กำลังเผชิญกับอุปสรรคท้าทายในการพัฒนาประเทศ ไทยที่ประสบความก้าวหน้าในการขจัดปัญหาความยากจนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองกำลังขัดขวางการก้าวเดินไปข้างหน้า นับแต่เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อปี (ค.ศ.) ๒๐๐๖ ทำให้ไทยไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นเวลายาวนานกว่า ๓ ปีและการเมืองไร้ความมั่นคงนับตั้งแต่นั้น จำเป็นที่ไทยจะต้องมีการเจรจาแห่งชาติเกี่ยวกับวิธีการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งจะต้องบริสุทธิ์และยุติธรรม โดยที่ประชาชนสามารถยอมรับผลเลือกตั้งที่ออกมาได้

หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้นำคนหนึ่งขององค์การสหประชาชาติเข้าใจอย่างถูกต้องว่า การยึดอำนาจในเมืองไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาวิกฤติการเมืองในขณะนี้

คดีความเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นเกือบทุกคดี การดูหมิ่นกษัตริย์และพระราชวงศ์ไทย ข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย การลุกขึ้นทวงสิทธิของมวลชน (โดยการประท้วงอย่างสันติ) และการสั่งฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓ มิให้ “เหตุ” ที่นำมาสู่วิกฤติ แต่เป็น “ผล” ของการยึดอำนาจในครั้งนั้นทั้งสิ้น

ใครเข้าใจเช่นนี้ได้ ก็จะไม่เสียเวลากับคดีความและความไร้สาระทั้งปวงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย แต่จะมุ่งถามคำถามว่าใครสั่งให้ยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งก็จะได้คำตอบลึกซึ้งไปถึงความฉ้อฉลในระบอบการปกครองปัจจุบันของไทย และเกิดปัญญามาก

มากกว่ารับข้อมูลจากสื่อมวลชนปัญญาอ่อนของไทย ซึ่งเต็มไปด้วยงานโฆษณาชวนเชื่อที่น่าเบื่อหน่าย เอาคนเก่าๆ มาแสดงอภินิหารบ้าๆ บอๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรสักนิดกับชีวิตชาวบ้าน

เอะอะขึ้นมาจะได้ไม่ซัดใส่ว่าประชาชนเป็นต้นเหตุอย่างที่ชอบทำกัน

ทัศนะของ เฮเล็น คล๊าค จึงเป็นกุญแจระดับโลกที่จะไขปริศนาและภาพลวงตาแบบไทยได้อย่างสำคัญ

นับเป็นก้าวแรกที่มีค่ามาก.


----------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่อภิสิทธิ์ไม่รู้ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : สิ่งที่อภิสิทธิ์ไม่รู้
โดย : กาหลิบ

นี่คือเวลาสยายปีก เชิดหน้า และท้าทายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะสามารถดำรงสภาพความเป็นรัฐบาลอยู่ได้ท่ามกลางซากศพของวีรชนประชาธิปไตยผู้มีแต่มือเปล่า ทั้งที่รัฐบาลเผด็จการในอดีต รวมทั้งรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ฆ่าประชาชนน้อยกว่านี้มาก ยังต้องล้มคว่ำลงกลางคันและถูกฟ้าถล่มทับจนบี้แบน

ทำชั่วระดับอุกฉกรรจ์แล้วยังลอยนวลอยู่ได้และอยู่ดี ได้ปลุกความยโสในหัวใจที่มีมากอยู่แล้วให้ท่วมท้นล้นตัว

มั่นใจว่ามีลมใต้ปีกที่จะช่วยให้บินฝ่าสภาพอากาศทุกชนิดได้ โดยไม่ตระหนักว่าลมใต้ปีกนั้น ที่จริงคือลมหมุนอันเลวร้ายที่จะเหวี่ยงนกตกสู่พื้นดินได้ทุกเมื่อที่ลมต้องการ หากนกตัวนั้นคิดจะบินไปคนละทิศกับความต้องการของลมขึ้นมา

ความมั่นใจอันเกินขีดนี่ล่ะ ที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ฯ อยู่ในสภาพของคนไข้ที่อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ ไม่ใช่เพราะตนเอง และทำให้เกิดสภาพตาบอดชั่วคราว มองไม่เห็นอันตรายบางอย่างที่มาจ่ออยู่ใกล้ตัวเสียเหลือเกินแล้ว สองเรื่องเป็นอย่างน้อย

เมื่อไม่กี่วันมานี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พบปะอย่างลับๆ กับแกนนำหลักของ นปช. แดงทั้งแผ่นดินผู้ที่ยังมีอิสรภาพคนหนึ่ง โดยมีคนใหญ่ทางสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ประสานงาน

เขาร่วมฆ่าประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยตายกลางถนนจนเป็นทรราช หมดสิ้นซึ่งความชอบธรรมในฐานะผู้นำไปแล้ว แต่ฝ่ายเราดันคลานเข้าไปขอเจรจาอะไรกับเขาอีกนั้น เป็นเรื่องที่กาหลิบยอมรับว่าไม่เข้าใจและหัวใจยังเห็นด้วยไม่ได้ แต่วันนี้ขอข้ามประเด็นนั้นไปก่อน

ระหว่างการคุยลับครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ฯ ได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า ให้อภัยคนอย่าง “อริสมันต์” และ “สุภรณ์ (แรมโบ้)” ไม่ได้ เพราะพวกนี้ “...คิดจะฆ่าผม...”

ซึ่งก็คงเป็นเหตุผลอธิบายว่าในช่วงก่อนการสังหารหมู่ประชาชนแห่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ที่มีการ (แอบ) เจรจาความระหว่างแกนนำ นปช.ฯ กับฝ่ายรัฐบาลถึงสองสามครั้ง จึงปรากฏผลออกมาว่าทุกคนจะได้ประกันหลังมอบตัว เว้นแต่นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ซึ่งเขาแค้นเป็นพิเศษ

ความคิดฝังใจของนายอภิสิทธิ์ฯ ว่าตัวเองถูกปองร้ายขนาดจะเอาชีวิตจนไม่อาจมองสถานการณ์ตามเนื้อผ้าได้ เอาแต่มองมุมตัวเองอย่างหมกมุ่นนั้น เป็นหลักฐานชี้ว่าผู้มีอำนาจในเมืองไทยเขา “เล่น” กับหัวคิดของนายอภิสิทธิ์ฯ ได้เหมือนสัตว์เลี้ยงของเขาตัวหนึ่ง

นอกจากจะใช้นายอภิสิทธิ์ฯ เป็นหนังหน้าไฟในความเลวร้ายทุกอย่างที่เขาทำแล้ว ยังใช้เขี้ยวแก่ของตัวเองปั่นหัวเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งให้มันระอุอยู่ในความโกรธ โลภ หลง แม้ รัก ก็เหลือแต่ความรักตนเองอย่างเดียว จนหลงคิดว่าสงครามครั้งนี้เป็นการประจัญบานระหว่างตัวเองกับมวลมหาประชาชน ทั้งที่ความจริงเป็นสงครามของเขาที่ตัวมานั่งรับหน้าเสื่อแทนเท่านั้น

อวิชชาหรือความไม่รู้ของนายอภิสิทธิ์ฯ เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของความวุ่นวายไม่รู้จบในขณะนี้

นี่ไม่ได้หมายความว่านายอภิสิทธิ์ฯ จะปราศจากความรับผิดชอบเสียเลยในกรณีฆ่าหมู่ประชาชน แต่การชี้เป้าไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พลเอกประยุทธ์​ จันทร์โอชา โดยไม่ได้มองเครือข่ายโดยรวมของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย แถมถูกบุคคลเบื้องหลังผู้อำนาจเหนือกว่าล่อให้คนเหล่านี้เห็นว่าเป็นสงครามของตนเองเสียอีกนั้น เป็นความสามานย์อันเก่าแก่โบราณที่ใช้มานานจนเกิดความชำนาญ

ไม่มีเกมไหนที่เขาจะถนัดไปกว่าจับจิ้งหรีดมากัดกัน

จิ้งหรีดเหล่านี้ไม่ใช่ใคร ก็คือไพร่ไทยที่เผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นคนวงในของคนใหญ่คนโต จนหันมากัดกันเองมาตลอดประวัติศาสตร์ของระบอบอันฉ้อฉล

อีกเรื่องหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ฯ คงไม่รู้

คือขณะที่กำลังอิ่มเอมใจว่าเจ้าของบ้านเขารักใคร่ไว้ใจตนเสียเหลือเกินนั้น เขาก็กำลังเตรียมคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนตัวเองในทำนองอะไหล่รถยนต์อยู่ตลอดเวลา ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ฯ เน่าเสียจนเป็นภาพลักษณ์อันเลวสำหรับเขา คนใหม่ก็จะปราดเข้ามาแทนที่โดยไม่ให้มีช่องว่างเลยทีเดียว

“คนใหม่” คนนี้ ความจริงก็เก่าสุดกู่ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลทักษิณมานาน ก่อนที่กลายร่างเป็นกบฏภายในระบอบประชาธิปไตยและร่วมวางแผนยึดอำนาจที่โคตรวงศ์ของตนเองเป็นผู้ส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ทั้งหลายรับไปทำ

ดร. ทางกฎหมายคนนี้เดินงานยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างขะมักเขม้น ใช้ให้ ดร.เพื่อนซี้ที่ให้ไปนั่งบริหารงานองค์การสื่อของรัฐบาลเสียหลายปีเดินสายไปพบคนนั้นคนนี้ เพื่อหาเสียงกรุยทางเผื่อตนเองจะบุญพาวาสนาส่งได้สวมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีพิเศษ

คนที่ไปพบแล้วนั้นมีทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย ข้าราชการ นักธุรกิจใหญ่ๆ จนถึงนักการเมืองหลายสาย

โน้มน้าวว่าช่วยกันโค่นอภิสิทธิ์แล้วหันมาหนุนตัวเองแทน จะตอบแทนให้หนำใจยิ่งกว่า

เรื่องแบบนี้นายอภิสิทธิ์ฯ ไม่รู้ เพราะกำลังลำพองใจ

ตากำลังมัวด้วยอกุศลมูล

และเจ้านายเหนือหัวของนายอภิสิทธิ์ฯ กำลังหัวเราะชอบใจในความโง่.

---------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ไม่มีอำมาตย์ใด อยู่ค้ำฟ้า-ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ


มองจากมุม " สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" ไม่มีอำมาตย์ ใดอยู่ค้ำฟ้า

หลังเหตุการณ์พฤษภา 53 ยังมี ผู้สูญหาย-สูญเสีย ทั้งชีวิต-อิสรภาพพื้นที่แนวรบในเมือง สงบไปชั่วคราว แต่การต่อสู้ทางความคิด ยังคงดำรงอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่ "แดง" จะฟื้นตัวได้และอำมาตย์ผุพังไปตามกาลเวลา

ตามแนววิเคราะห์ของ "อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" นักวิชาการที่สร้างประวัติศาสตร์ อดข้าวประท้วง 8 ชั่วโมง เพื่อแลกกับหนังสือ 6 เล่ม

หนึ่งในเหยื่ออธรรม เปิดเผยปากคำผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ทุกห้วงนาทีที่ถูกควบคุมตัว 8 วันในค่ายทหาร

ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้เข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง

ผมเป็นคนเสื้อแดง...ผมเป็นหนึ่งในคนเสื้อแดง เพราะผมคิดว่าเป้าหมายในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือเรื่องประชาธิปไตย เรื่องความเสมอภาค สองมาตรฐาน ผมเห็นด้วยทั้งนั้น และผมก็ไม่ไมนด์ที่ผมจะเป็นคนเสื้อแดง และเป็นความภูมิใจที่ผมเป็นคนเสื้อแดง

ไม่สนข้อวิจารณ์ว่าจะเข้าทาง "ทักษิณ" หรือเข้าทางกลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายนั้น

จะเข้าทางใครก็ตาม ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็ช่างมึง (หัวเราะ) คือหมายความว่า ไม่มีการต่อสู้ใดบริสุทธิ์ ถ้าไม่เข้าทางใคร ก็ต้องเข้าทางใครคนใดคนหนึ่ง ใช่ไหม สมมติว่าเราอยู่อเมริกา เราไม่ชอบบุชก็ต้องเข้าทางเดโมแครต ถ้าเราไม่ชอบ โอบามา อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นแนวร่วมกับรีพับลิกัน ถ้าเราจะไม่ชอบทั้งคู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะ

ฉะนั้น ถ้าผมเป็นเสื้อแดงแล้วเข้าทางทักษิณ ถ้าผมเกลียดเสื้อแดงก็เข้าทางอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี ผมขอเข้าทางทักษิณดีกว่า

เป็นครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีการเมือง

ในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ผมไม่เคยเลย ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองการบ้านหรืออะไร

แนวคิดอาจารย์ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์รัฐ

รัฐประชาธิปไตยเขาไม่กลัวการวิจารณ์ อย่างรัฐบาลคุณชาติชาย (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) คงไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แม้แต่รัฐบาลคุณทักษิณยังมีการด่ากันโขมงโฉงเฉงกลางถนน ไม่เห็นจับเข้าคุกกันสักคน...ก็มีรัฐบาลชุดนี้ที่กลัวคนวิจารณ์ จับคนวิจารณ์เข้าคุก

ถูกสอบสวนเรื่องอะไรบ้าง

ไม่มีการสอบเลยจนกระทั่งสัก 2 วันมั้ง ตำรวจจึงเรียกมาสอบ แต่ตำรวจไม่อ้างว่า "สอบสวน" นะ ตำรวจอ้างว่า มา "พูดคุยแลกเปลี่ยน" เขาสอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ต้องหาและไม่มีความผิด เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "พูดคุยแลกเปลี่ยน" มีตำรวจ มาถึง 4 ท่าน มีหัวหน้าชุดพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นพลตำรวจตรี นอกนั้นก็เป็นพันเอก พันโท

สรุปแล้วอำนาจที่ควบคุมอาจารย์ไป คืออำนาจอะไร

อำนาจ ศอฉ. และไม่มีข้อหา เพราะมีมาตราอะไรของเขาก็ไม่รู้ที่ให้ สามารถควบคุมได้ครั้งละ 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน อำนาจก็คลุมจักรวาล เพราะ "ต้องสงสัย" ก็ควบคุมได้แล้ว สมมติเขาสงสัยว่าคุณเป็นแกนนำ นปช.รุ่น 2 ที่แฝงตัวอยู่ เขาไม่มีหลักฐานเลยว่าจริงหรือไม่จริง เขาสามารถสั่งตำรวจให้เอาไปคุมตัวอยู่คอกม้าได้เลย เขาก็ทำตามอำนาจนั้น

โดนข้อหาล้มสถาบัน หรือชุมนุมเกิน 5 คนด้วยหรือเปล่า

ไม่เกี่ยว ไม่มีเลย ผมก็อยู่โดยไม่รู้ข้อหา แต่มารู้ข้อหาเมื่อวันดีคืนดี ตำรวจดีเอสไอ โทร.มาบอกว่า ทางตำรวจได้ทำเรื่องขอยื่นอายุขัง ต่ออีก 7 วัน จาก 7 วันแรก จะขอขังต่อ มาถามว่าผมคัดค้านไหม ผมตอบว่า ผมถูกจับมาก็ยังไม่รู้ข้อหาอะไร แล้วผมจะไปค้านได้ยังไง เขาก็เลยแจ้งข้อหาให้ทราบว่า "ต้องสงสัยว่าจะเป็นแกนนำ นปช. รุ่น 2" จะไปจัดชุมนุม อะไรทำนองนี้นะ ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายในภาวะฉุกเฉิน ฉะนั้นมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผมเอา ไว้ก่อน

ผมก็เลยบอกเขาว่า เข้าใจผิดหมดเลยคุณ ไอ้ที่จับมานี่คือปัญหาของการจับโดยไม่สอบสวน เพราะผมไม่ใช่ นปช.รุ่น 2 และรุ่น 1 ผมก็ไม่ได้เป็น ผมเป็นอาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัยก็จะเปิดแล้ว ผมต้องเตรียมการสอน ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งประชุมกับผู้คน ศักยภาพก็ไม่มี ความสามารถผมก็ไม่มี ทำก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาแบบนี้เป็นไปไม่ได้ จับผิดตัวแล้ว ฉะนั้นขอให้ปล่อยตัว

อาจารย์เป็นเสื้อแดง ขณะที่สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย "อำมาตย์"

ผมมองว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะ และมีข้อดีคือเป็นลิเบอรัล เสรีนิยม แม้ว่าดูโครงสร้างอาจจะอนุรักษนิยม ผมคิดว่าอาจารย์จุฬาฯหรือ ผู้บริหาร ฟังความเห็นที่แตกต่างได้ เขาไม่ได้ปิดกั้นความคิดที่แตกต่างนะ หรืออาจจะมีกติกาที่กลั่นกรองว่า ความคิดที่ต่างจะอย่างไรก็ตาม สักวันหนึ่งมึงเข้าไปบริหาร มึงก็คิดเหมือนกู (หัวเราะ)

แม้ประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าขุนมูลนาย

เอาเข้าจริงผมว่านั่นค่อนข้างเป็น "มายาคติมากกว่า" มหาวิทยาลัยแห่งนี้สร้างในสมัยสมบูรณาญา สิทธิราชย์ สมัยรัชกาล ที่ 6 ก็จริง แต่คนที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้น คือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ก็เป็นขุนนางคนสำคัญ แต่หลังยุค 2475 จอมพล ป. หรือไม่ก็ประยูร ภมรมนตรี ด้วยซ้ำไปมาเป็นอธิการบดี อาจารย์ส่วนใหญ่ก็นักเรียนนอกเยอะ พวกนี้ก็ไม่ถือว่าคอนเซอร์เวทีฟ

มองการเมืองไทยหลังจากนี้อย่างไร

ผมคิดว่า "อำมาตย์" คงอยู่อีกพัก ใหญ่ ๆ เพราะฝ่ายเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำ เสียหาย และฟื้นตัวยาก ด้วยความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะทำให้อำมาตย์แข็งตัวและก็อยู่ได้อีกระยะหนึ่งใหญ่ ๆ ทีเดียว แต่ท้ายที่สุดอำมาตย์ก็พังอยู่ดี

พังตามเวลาหรือสาเหตุอื่น

ตามเวลา ตามสังขาร ไม่มีอำมาตย์ใดอยู่ค้ำฟ้า

ทิศทางเสื้อแดงจะเติบโตหรือเล็กลง

ระยะเฉพาะหน้านี้ โตก็ไม่มาก ผมคิดว่าขบวนการเสียหายฟื้นยาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นและตอนนี้ก็ ฟื้นยากจริง ๆ พี่วีระคาดว่าจะวางมือ ผมคาดเดาเองนะ ตู่ จตุพร คงฟื้นลำบาก ณัฐวุฒิ อาจจะพอได้ แต่ว่าคงต้องใช้เวลา มีอีกคนหนึ่งที่ผมชอบก็คือจักรภพ เพ็ญแข เพราะเขาเป็นคนมีความคิด มีความสามารถ แต่ว่าคงลำบากที่จะเข้ามาจัดตั้ง แต่พี่วีระก็โอเคนะ แต่ผมคาดเดาว่าแกคงวางมือ ผมคิดว่าตอนนี้ แกนนำควรจะลาออกแล้วให้มวลชนเลือกขึ้นมาใหม่

สาเหตุให้เสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำเป็นเพราะขบวนการติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือไม่

ไม่มี ไม่มี เหลวไหลทั้งนั้น ขบวนการติดอาวุธบ้าบอคอแตกอะไรโผล่มาวันเดียวแล้วก็หายไป ถ้าสมมติมีขบวนการติดอาวุธก็ต้องยิงจนถึงวันนี้ หรือถ้ามีพวกซุ่มยิงในวันนั้นก็ไม่ต้องยิงใครมาก ก็ยิงอภิสิทธิ์ สักนัด ยิงสุเทพสักนัด ก็จบ ไปซุ่มยิงชาวบ้านชาวเมืองเขาทำไม เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง

ขบวนการติดอาวุธเนี่ยนะ ฝ่ายไหน หรือใครยิง เสธ.แดง ? ใครได้ประโยชน์จากการตายของ เสธ.แดง ? ฝ่ายรัฐทั้งนั้น หลังจาก เสธ.แดงตายก็กระชับพื้นที่ เพราะฉะนั้นไม่มีหรอกฝ่ายที่ 3 มีวันเดียวได้ไงถ้าเราเชื่อโครงเรื่องทั้งหมดที่รัฐบาล เป็นคนเล่า เราก็ต้องเชื่อโครงเรื่องที่ว่า การ์ดเสื้อแดงหรือผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงมีปืนแต่ไม่ยิงทหาร และยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จก็เอาไปซ่อนไว้ในวัดปทุมฯ ถ้าเราเชื่อ สุเทพกับอภิสิทธิ์ก็ต้องเชื่อว่าข้อความที่ผมพูดทั้งหมดนั้นเป็นจริง คุณเชื่อไหม ?

เออ ทำไมถ้ามีอาวุธมากขนาดนั้น มึงไม่ยิงทหาร แต่ไปยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จ เอาไปซ่อนไว้วัดปทุมฯ มึงจะบ้าหรือเปล่า ถ้าเราไม่เชื่อในโครงเรื่องนี้ สิ่งที่สุเทพกับอภิสิทธิ์ทำก็เหลวไหลหมด ที่น่าวิตกคือคนส่วนมากเชื่อในโครงเรื่องแบบนี้เป็นการฟังความข้างเดียว ทั้งที่หากเป็นไปตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าเสื้อแดงใช้อาวุธมากขนาดนี้ ทหารก็ต้องตายไม่น้อยกว่าร้อย

ช่วยเล่าย้อนนาทีที่ถูกตำรวจควบคุมตัวจนถึงถูกยึดหนังสือ อดข้าวประท้วง

วันอาทิตย์ (23 พ.ค.) ตำรวจไปค้นที่บ้านผมตอนบ่าย ผมก็เลยโทร.ไปคุยกับตำรวจ เขาบอกว่า ที่มาค้นเพราะมีหมายค้น มาตามคำสั่งของ ศอฉ. ผมก็เลยนัด ผู้กำกับให้มารับที่จุฬานิเวศน์ และคนที่มารับอีกคนก็เป็นคนระดับ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) จากนั้นท่านก็พาผมไปส่งที่กองปราบฯ พอมาถึงที่กองปราบฯท่านผู้บัญชาการไถง (พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู) ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ก็มารับด้วยตัวเอง

จากนั้นท่านก็แจ้งว่ามีหมายจับของ ศอฉ.ส่งมาโดยได้ขออนุมัติศาลมาเรียบร้อยแล้วว่าให้ควบคุมตัวผมไปไว้ที่ค่ายอดิศร (จ.สระบุรี) ทันที ผมก็ไปอยู่ค่ายอดิศรเป็นเวลา 8 วัน

ระหว่างเดินทางไปที่ค่ายอดิศร อาจารย์ถูกควบคุมด้วยรถอะไร

ไปรถตำรวจ มีตำรวจถือปืนขนาบซ้าย-ขวานั่งคู่ไปด้วย ในรถมี 5 คน มีตำรวจ 4 คน นั่งหน้า 2 คน นั่งหลัง 2 คน ผมนั่งตรงกลางเบาะหลัง มีรถหวอนำขบวน ตลอดทาง

ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมเข้าใจว่านี่คงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ได้นั่งรถโดยมีรถนำขบวน ได้รับเกียรติอย่างสูงมากที่ ผู้บัญชาการไถง ได้มอบให้ผม (หัวเราะ)

เหตุการณ์ที่อาจารย์ตัดสินใจอดข้าว หลังถูกยึดหนังสือ

ทหารก็มาแจ้งว่า จะต้องขอหนังสือที่ ผมอ่านทั้งหมดไปตรวจก่อนว่ามีหนังสืออะไรบ้าง ผมก็ให้เขาไปหมด อยากตรวจ ก็ตรวจ ผมถามหลายรอบนะว่าหนังสือผมจะได้คืนเมื่อไร ผมคิดว่า โอ้โฮ...ข้ามวันแล้วคงไม่ได้หนังสือคืนแน่ ถ้าไม่ทำอะไร สักอย่าง

ผมจึงได้เรียนนายทหารที่ควบคุมตัว ทราบว่าผมจะขออนุญาตไม่รับประทานอาหาร จนกว่าจะได้รับหนังสือคืน ผมไม่ได้อดอาหารประท้วงนะครับ ผมประท้วงไม่เป็น แต่ผมขออนุญาตไม่ทานข้าว

ไม่ได้เรียกว่าประท้วง

อ้าว...ก็ท่านอภิสิทธิ์ก็ไม่เคย "สลาย การชุมนุม" ท่านเพียงแต่ "ขอพื้นที่คืน" ไม่เคยสลายการชุมนุมมาก่อน ผมก็ไม่ได้ "ประท้วง" เพียงแต่ "ขออนุญาตไม่ทานข้าว" และที่เอาตัวผมไป ผมก็ไม่เคยถูกขัง ผมแค่ถูก "ควบคุมตัวชั่วคราว" โดยมีลวดหนามล้อมรอบ (หัวเราะ)

ผมไม่ทานข้าวอยู่ 8 ชั่วโมง ผมมีโรคประจำตัว แต่ในที่สุดผมก็ได้หนังสือคืน ผมก็เริ่มทานข้าวปกติ ผมคิดว่าถ้าไม่ทำอย่างงั้นก็คงตรวจหนังสือผมอีกหลายวัน อยู่อย่างงั้นถ้าไม่มีหนังสืออ่านก็เป็นชีวิตที่แย่มาก

หนังสือของอาจารย์ในระหว่างถูกควบคุมตัว

มีหนังสือปรัชญาประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ Philosophy of History หนังสือประวัติศาสตร์เมืองมาลา ยา Red star over Malaya หนังสือประวัติมิเชล ฟูโก คนเขียนชื่อธีรยุทธ บุญมี และทฤษฎีโพสต์โมเดิร์น ฉบับการ์ตูน เป็นงานแปล อีกเล่มชื่อ คนไทยในกองทัพนาซี คนเขียนชื่อ พ.อ.วิชา ฐิตวัฒน์ และอีกเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือของผมเอง ผมเอาไปตรวจพิสูจน์อักษร ชื่อ "แผนชิงชาติไทย"

----------------------------------------------------------------------------------
ฝากกระซิบต่อ :
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
----------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเมืองเรื่องสัตว์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : การเมืองเรื่องสัตว์
โดย : กาหลิบ

การกระทำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและเหล่าบริวาร “สวรรค์” ในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับอมตวาจาทางการเมืองที่กาหลิบเคยอ่านและซาบซึ้งใจมานานแล้ว แถมยังตรงความหมายทุกถ้อยคำอย่างน่าประหลาด

เสมือนช่วยยืนยันว่าความชั่วร้ายของระบอบปัจจุบันของไทย มันไม่ได้ต่างอะไรกับความชั่วร้ายในประวัติศาสตร์ที่เหล่าทรราชวินาศฉิบหายไปแล้วไม่รู้จักกี่ระบอบ

“Political language is designed to make lies sound truthful and murder respectable, and to give the appearance of solidity to pure wind.”

สำนวนกาหลิบถอดออกมาได้ว่า

“เขาคิดภาษาการเมืองกันขึ้นมา เพื่อทำให้การโกหกตอแหลดูเสมือนเป็นความจริง เพื่อทำให้การฆ่าคนกลายเป็นเกียรติยศน่านับถือ และเพื่อทำให้ลมลวงดูหนักแน่นมีสาระ”

ช่างตรงกับความลื่นไหลของนายอภิสิทธิ์ในขณะนี้เสียเหลือเกิน!

คนที่เขียนประโยคนี้ออกมาคือ จอร์ช ออร์เวลล์ นักเขียนชาวอังกฤษที่ตายไปตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ โน่นแล้ว แต่ผลงานคลาสสิคที่ผู้คนทั่วโลกยังตามอ่านกันอยู่ ไม่เคยขาดหายจากแผงหนังสือ เช่น “Animal Farm” “1984” เป็นต้น งานเขียนของออร์เวลล์ทุกเล่มล้วนแสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการทรราชอย่างหนักแน่นมั่นคง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ถูกเชิดขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐไทยในระยะพิกลพิการ เป็นนักพูดภาษาหลวงที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง การเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรีไทยมาแต่อ้อนแต่ออกทำให้เขาสั่งสมทักษะอย่างสูงในการนั่งบนยอดสามเหลี่ยมของไทย โดยการใช้ภาษาราชการและภาษาทางการอย่างชำนาญ สำแดงความเป็น “คนใน” จนต่างจาก “คนนอก” อย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาตลอดชีวิต

คนที่นึกถึงนายอภิสิทธิ์ จึงนึกถึงคำพูดที่สละสลวยสวยเก๋ของเขาได้เสมอ แต่กลับนึกผลงานในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ออกเอาเลย

ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ออกมาอ่าน “จดหมาย” เพื่อให้ดูประหนึ่งว่าจริงใจและปรารถนาดี ยกแนวทาง “ปรองดอง” ขึ้นมาข่มความแค้นใจของฝ่ายประชาธิปไตย และเขียนบทใหม่ให้ฝ่ายสีอื่นๆ ที่ไม่ใช่สีแดงเล่น เพราะคนหลายสีเหล่านี้กำลังเหิมเกริมอยู่ในใจว่าข้าชนะประชาชนรากหญ้าและอยากจะเข่นฆ่าเอาชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ

นายอภิสิทธิ์อาศัยวาทศิลป์ที่ใช้เคลือบคำว่า “ปรองดอง” แบ่งแยกฝ่ายประชาชนออกเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และ “ผู้ถูกชักจูงเข้าสู่ขบวนการก่อการร้าย” โดยประเหราะว่ามวลชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมเวทีผ่านฟ้าและราชประสงค์ไม่รู้ว่าตนเองกำลังช่วยเหลือให้มีการ “ก่อการร้าย”

เจตนาก็เพื่อลดปริมาณมวลชนอันมหาศาลลง

“...เพื่อทำให้การโกหกตอแหลดูเสมือนเป็นความจริง...” ณ จุดนี้ คือการปฏิเสธขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งระบบ ทำให้ดูเหมือนว่าการลุกฮือของมวลชนไม่มีจริง มีแต่แกนนำซึ่งเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไม่กี่คนที่รัฐบาลของเขาไม่ยอม “ปรองดอง” ด้วย

กดประชาชนหลายสิบล้านคนของประเทศนี้ลงเป็นมวลชนไร้สมองที่เดินเซื่องๆ ตามแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย

นี่คือคำตอแหลคำใหญ่ และเป็นคำตอแหลที่แสดงถึงความกลัวชนิดหางจุกก้นของเถ้าแก่ใหญ่เจ้าของประเทศไทยจนต้องฝากผ่านนายอภิสิทธิ์ลงมา กลัวขบวนการประชาธิปไตย กลัวที่ต้องลงมาเสมอภาคกับเพื่อนร่วมชาติ ท้ายที่สุดก็คือกลัวประชาชนเสียยิ่งกว่าอะไรดี

“...เพื่อทำให้การฆ่าคนกลายเป็นเกียรติยศน่านับถือ...”

เห็นไหมครับว่าชีวิตของพี่น้องเราที่สละชีพเพื่อประชาธิปไตยกันที่ราชประสงค์ คลองเตย บ่อนไก่ ประตูน้ำ ราชปรารภ ดินแดง ซอยรางน้ำและที่อื่นๆ อีกมากมาย กลายเป็นเหรียญตราของสัตว์บางประเภทที่เฉลิมฉลองกันเหมือนเข่นฆ่าอริราชศัตรูได้สำเร็จ

รวมถึงงานฉลองที่ ร.๑๑ ซึ่งคนสำคัญของบ้านเมืองแห่กันไปฉลองยินดีอย่างเหลือล้นนั่นด้วย
และสุดท้าย “...เพื่อทำให้ลมลวงดูหนักแน่นมีสาระ...” นั้น

ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะรัฐบาลชั่วคราวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเท่านั้น แต่เป็นคำจำกัดความของระบอบไทยในปัจจุบันทั้งระบอบ.

(พบคอลัมน์ "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" ได้ทุกวันจันทร์,พุธ,ศุกร์)


----------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รู้จัก...จอห์น ล็อค

คอลัมน์ : กว่าจะเป็นประชาธิปไตย
เรื่อง : รู้จักจอห์น ล็อค
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

ผมได้ยินบางคนพูดเรื่อยว่า ตัวเองเป็นนักปฏิบัติ ไม่ชอบคิดมากและคิดนาน ส่วนใหญ่ก็เพื่อชิ่งกระทบคนอื่นๆ บางคนที่ร่วมวงสนทนาหรือประชุมอยู่ด้วยกัน และยกตนข่มท่านว่าเหนือกว่าคนเหล่านั้น สุดท้ายผมก็ได้เห็นคนอย่างนี้หายสาบสูญไปในงานหรือภารกิจที่ซับซ้อน ไปปฏิบัติอยู่ที่รูไหนก็ไม่ทราบได้ เมื่อเวลาผ่านไป เห็นอะไรที่ครบรอบวงขึ้น จึงเข้าใจว่าเขาพูดอย่างนั้นเพราะเกิดปมด้อยว่าสู้ทางปัญญาความคิดกับคนอื่นๆ เขาไม่ได้ ก็เลยต้องข่มไว้

ในชีวิตจริงงานและภารกิจที่ซับซ้อนและประสบความสำเร็จทุกอย่างเป็นผลมาจากการคิดดีและคิดนานพอ ไม่ใช่พรวดพราดออกไปทำเพื่อโชว์อินทรีย์อันแก่กล้าของตน

ประสบการณ์แบบนี้ทำให้ผมคิดถึงคนอย่าง จอห์น ล็อค (John Locke) อยู่เสมอ เพราะคนคิดดีและคิดนานพออย่างล็อคทำให้เกิดนักปฏิวัติขึ้นหลายคนในอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา เขาคิดและเขียนทฤษฎีที่มีพื้นฐานจากสันดานของมนุษย์และวิวัฒนาการของสังคมอย่างไม่ตอแหล ทำให้ผู้คนที่ศึกษางานของเขาในหลายร้อยปีต่อมาตาสว่าง สมกับเป็นปัญญาชนคนสำคัญในยุคสมัยที่ขนานนามกันว่ายุคสว่างทางปัญญา หรือ Enlightenment

เรามาคุยเรื่องล็อคกันเสียหน่อยปะไร เดี๋ยวนี้มีคนที่อยากปฏิวัติสังคมโดยไม่ยอมศึกษาจนลึกซึ้งและรอบคอบ จนน่ากลัวว่าปฏิวัติกันแทบล้มแทบตาย กลับไปได้ดีกับมหาอำมาตย์

จอห์น ล็อค เป็นชาวอังกฤษในศตวรรษที่ ๑๗ และเป็นแพทย์ เขาเป็นนักประชาธิปไตยเบื้องแรกอีกคนหนึ่งที่ไต่เต้ามาจากระบอบอำมาตยาธิปไตย และโดยระบบอุปถัมภ์ อันเป็นกลไกสำคัญของฝ่ายอำมาตย์ พ่อของล็อคเป็นทนายความและนักการเมืองท้องถิ่นที่เมืองชูแม็กน่า แม่เป็นผู้หญิงสวยขนาดนางงาม ล็อคเรียนหนังสือเก่ง ช่วงมัธยมศึกษาพ่อจึงส่งไปลอนดอน ไปอาศัยบ้าน ส.ส. อเล็กซานเดอร์ ป๊อปแฮม ที่นับถือกัน เมื่อถึงขั้นอุดมศึกษาก็ไปต่อที่โรงเรียนไครสต์เชิร์ชของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดจนจบปริญญาตรีและปริญญาโท แต่ปรากฏว่า พ่อหนุ่มล็อคเบื่อหน่ายต่อปรัชญาโบราณที่อาจารย์สอนเป็นอย่างยิ่ง กลับไปลุ่มหลงงานของนักปรัชญาใหม่ๆ ในยุคนั้น เช่น เดสคาร์ตส์ เป็นต้น จึงได้เริ่มเสาะหาแหล่งเพาะแนวคิดใหม่ๆ และเริ่มพัฒนาความคิดของตัวเองให้ตกผลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่ในแง่อาชีพ เขากลับเลี้ยวไปทางแพทย์ จนได้รับปริญญาแพทย์ศาสตร์และขลุกอยู่กลับการทำวิจัยหาความรู้อยู่เป็นปีๆ และได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกของราชบัณฑิตสถาน ชีวิตของ จอห์น ล็อค ช่วงนี้แทบจะบอกไม่ได้เลยว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของนักคิดที่จะเข้าขัดขวางระบอบกษัตริย์นิยมในอังกฤษและเริ่มวางรากฐานของระบอบประชาชนขึ้น จนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของระบอบประชาธิปไตยไปโดยปริยาย

จุดผกผันในชีวิตของล็อคคือมาได้ผู้อุปถัมภ์ที่มีอิทธิพลสูงในยุคนั้น และเป็นนักคิดตัวยงเกี่ยวกับระบอบประชาชนในอังกฤษ เขาคือ ลอร์ด แอนโธนี่ แอชลี่ย์ คูเปอร์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เอิร์ลแห่งชาฟต์เบอร์รี่ ซึ่งมารักษาตัวด้วยอาการตับติดเชื้อ จนถูกคอกันมากกับหมอล็อคซึ่งมีแนวคิดทางการเมืองล้ำหน้า ชาฟต์เบอร์รี่จึงแนะนำให้ล็อคได้รู้จักกับบุคคลต่างๆ อีกมากมาย เพื่อให้ทดสอบแนวคิดและเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวางขึ้น ขนาดให้ล็อคมาอยู่ที่บ้านด้วยเลย

ณ คฤหาสน์ชาฟต์เบอร์รี่ ล็อคได้เข้าเรียนกับ โธมัส ไซเด็นแฮม ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ที่สนใจในศาสตร์อันว่าด้วยพฤติกรรมมนุษย์ ผลจากการเรียนโดยตรง บวกกับความกระหายใคร่รู้ส่วนตัว ทำให้ล็อคศึกษาลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดเขียนบทความเชิงวิชาการชิ้นงามๆ ออกมาได้ ผลงานชิ้นหนึ่งที่เริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือ ความเรียงเกี่ยวกับความเข้าใจในมนุษย์ หรือ An Essay Concerning Human Understanding ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจว่าคนคืออะไร มีความต้องการอย่างไร อยู่ร่วมกันในสังคมแบบไหนจึงจะผาสุก บทความชิ้นนี้เองที่แตกแขนงออกเป็นงานความคิดเชิงสังคมของเขาและส่งอิทธิพลอย่างสูงต่อคนอื่นๆ ในรุ่นหลัง

พูดได้ว่าล็อคเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่จับเอาหลักวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์สังคม เพื่อเป็นรากฐานทางการเมืองและสังคมอีกต่อหนึ่ง

ล็อคมีโอกาสตอบแทนบุญคุณของชาฟต์เบอร์รี่อย่างจังเมื่อท่านเอิร์ลล้มป่วยด้วยโรคตับ ยุคนั้นการผ่าตัดกับตัวโรคมีความเสี่ยงอันตรายพอๆ กัน ไม่รักษาก็ตาย รักษาด้วยการผ่าตัดก็อาจจะไม่รอด ล็อคมีบทบาทในการโน้มน้าวให้ชาฟต์เบอร์รี่เข้าผ่าตัดและยอมรับความเสี่ยงนั้น จนในที่สุดเจ้าบ้านก็รอดตายและหายขาดจากโรค งานนี้ทำให้ชาฟต์เบอร์รี่ถือว่าล็อคช่วยชีวิต จึงสนับสนุนล็อคหนักขึ้นไปอีก เมื่อท่านเอิร์ลได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ล็อคจึงได้รับหน้าที่ที่ออกไปไกลจากวงการหมอ นั่นคือการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทำให้เขากลายเป็นแพทย์ที่มีความรู้ทางสังคมดีกว่ามาตรฐานทั่วไป

แม้ต่อมาชาฟต์เบอร์รี่ชะตาตก ขนาดหลุดจากตำแหน่งและอำนาจถึง ๙ ปี ล็อคก็ยังได้ประโยชน์จากภาวะว่างงาน เพราะเขาเดินทางไปฝรั่งเศสและได้เรียนรู้ถึงบรรยากาศที่กำลังแวดล้อมการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ใกล้จะเกิดขึ้น เมื่อกลับมา ก็เกิดงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญขึ้น นั่นคือ สองสนธิสัญญาแห่งรัฐบาล หรือ Two Treatises of Government

งานชิ้นนี้แหละที่นักประชาธิปไตยควรอ่านกันทุกคน ล็อคเขียนถึง “กฎธรรมชาติ” ที่มนุษย์มีและเป็น ในทำนอง “ที่เห็นและเป็นอยู่” (สำนวนแปลชั้นเยี่ยมของ มโนภาษ เนาวรังษี จาก “Being There” ของ เจอร์ซี่ โคซินสกี้) ไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอำนาจกำหนดให้มีให้เป็น และงานชิ้นนี้อีกแหละที่ทำให้เรารู้จักคำสำคัญที่เรานำมาใช้กันอย่างคุ้นปากจนกลายเป็นวาทกรรม นั่นคือ ความชอบธรรม (legitimacy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง ลองคิดดูก็ได้ว่าหากไม่มีงานอย่างนี้ขึ้นในโลกและเป็นที่ยอมรับ เราจะเอาอะไรมาเถียงกับระบอบเผด็จการเล่า เราคนตัวเล็ก มีอำนาจต่อรองน้อย จะไปคัดง้างกับผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่แนวคิดทางสังคมว่าอะไรถูกและอะไรผิด งานของล็อคจึงเปรียบเสมือนการถมที่เตรียมการปลูกต้นไม้ประชาธิปไตยจนกลายเป็นสวนป่าที่ดกดื่นร่มรื่น

ด้วย “กฎธรรมชาติ” และ “ความชอบธรรม” นี่เอง ล็อคจึงทำให้สังคมยุคนั้นถกเถียงกันจนแทบแตกสลาย คำถามที่เรียบง่าย (แต่มีพิษ) คือ อะไรคือระบอบการปกครองที่ดีกว่าสำหรับสังคมมนุษย์ ระหว่าง “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” (Absolute Monarchy) ที่เป็นอยู่ในยุคนั้น กับ “ระบอบความชอบธรรมทางการเมือง” หรือ (Political Legitimacy) ที่คนส่วนใหญ่ร่วมกันกำหนดว่าอะไรดีอะไรชั่ว

พูดให้ชัดเจนคือ งานเขียนของเขาถามสังคมด้วยเสียงดังฟังชัดว่า ระหว่างคนๆ เดียวมีอำนาจสูงสุดและกำหนดทุกอย่าง กับ คนในสังคมร่วมกันตัดสินใจและสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ นั้น อะไรดีกว่า

ล็อคจึงนับเป็นนักคิดคนแรกๆ ของโลกที่ชวนให้คนคิดหาความชอบธรรมเปรียบเทียบระหว่างระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ในพุทธศักราชนั้นยังไม่มีวาทกรรมอย่างนี้ให้ใช้

ผลจากความคิดที่ก้าวหน้าและใหญ่โตขนาดจะปฏิวัติความคิดทางสังคม ล็อคก็ต้องอยู่ในสภาพเหมือนพวกเราในยุคหลังคือกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ผู้มีอำนาจกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับกรณีบ้านไรด์ ซึ่งเขาไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นเลย แต่การลี้ภัยไปเนเธอร์แลนด์กลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะล็อคใช้เวลาในการปรับปรุงข้อเขียนเก่าๆ ของเขาให้สมบูรณ์และสะท้อนแนวความคิดของตัวเองให้ดีขึ้น

งานเขียน ๓ ชิ้นที่ปรากฏเกือบจะติดกันจึงกลายเป็นฐานความคิดแบบล็อคที่คนสนับสนุนกันมาก ได้แก่ ความเรียงว่าด้วยความเข้าใจในมนุษย์ สองสนธิสัญญาของรัฐบาล ซึ่งเป็นงานเดิมที่เขาปรับปรุงใหม่ และจดหมายเกี่ยวกับขันติธรรมต่อเพื่อนร่วมโลก (A Letter Concerning Toleration) ซึ่งเป็นงานชิ้นใหม่

ถ้านำแนวความคิดมาเรียงลำดับให้ดี และเรียนรู้ไปทีละขั้น เราจะพบว่าล็อคชวนให้คนยอมรับว่าธรรมชาติวิสัยของมนุษย์คือความมีเสรีและการกำหนดใจตนเอง (ในงานชิ้นแรกช่วงลี้ภัย) ในชิ้นที่สองเขาชวนเราวิพากษ์ในเชิงระบอบการปกครองว่า เมื่อมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์และมีความชอบธรรมที่จะสร้างระบอบการปกครองของตัวเองแล้ว ระบอบนั้นคืออะไร และคู่ต่อสู้หรือศัตรูของเราคือระบอบใด จนถึงที่สามที่นับว่าก้าวหน้ามากคือ ความมีน้ำอดน้ำทนต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน เพราะปราศจากสิ่งนี้แล้ว เราคงจะไม่ยอมรับสิทธิและความเสมอภาคของกันและกันได้ง่ายนัก เรื่องหลังนี้ถ้ามองด้วยพุทธทัศนะได้ก็จะดีและง่ายขึ้นมาก นั่นคือมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ อย่าเบียดเบียนต่อกันและกันเลย

ก่อนตายไม่กี่ปี ล็อคได้กลายเป็นวีรบุรุษของพวกวิก (Whigs) ซึ่งเป็นขั้วการเมืองแนวปฏิวัติของอังกฤษ มีอิทธิพลต่อลูกศิษย์ลูกหามาก รวมทั้งคนขนาด จอห์น ไดรเดน และ (เซอร์) ไอแซค นิวตัน คนเหล่านี้นำแนวความคิดของ จอห์น ล็อค ไปต่อยอดจนกลายเป็นนวัตกรรมทางการเมืองสืบต่อมา เช่น ระบอบกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) เป็นต้น

ในสหรัฐอเมริกา แนวคิดของล็อคได้กลายเป็นพื้นฐานการปฏิวัติประกาศเอกราชจากอังกฤษของประเทศนั้น คำเด่นๆ ของเขา เช่น “เสรีภาพ” (Liberty) “สัญญาประชาคม” (Social Contract) เป็นต้น ปรากฏอยู่ในข้อถกเถียงของคณะบิดาผู้สร้างชาติสหรัฐฯ (American Founding Fathers) ปรากฏในคำประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา และเป็นวีรบุรุษชนิดโลกไม่ลืมของประเทศนั้นและของโลก

วอลแตร์แห่งฝรั่งเศสถึงกับเรียกล็อคว่า “ศาสดาล็อค”

เพราะ จอห์น ล็อค พลโลกจึงตั้งคำถามกับตัวเองเป็นครั้งแรกว่า กษัตริย์คือใคร พลเมืองคือใคร และเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรในสังคมที่มนุษย์มีเสรีภาพมาแต่กำเนิด?

----------------------------------------------------------------------------------
ฝากกระซิบต่อ :
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เสียงเพรียกจากค่ายกักกันอดิศร สระบุรี


เสียงเพรียกจากค่ายกักกันอดิศรสระบุรี
ของสมยศ พฤษภาเกษมสุข บก. Voice of TAKSIN
(ของฝากจากทหารแตงโม ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ )

ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน คณาจารย์ นักศึกษา และผู้ใช้แรงงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่ร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลตัวแทนอำมาตย์ อภิสิทธิ์-สุเทพ ที่จับกุมพี่น้องประชาชน รวมทั้งตัวผมอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นการใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ (สองมาตรฐาน)

ผมถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ด้วยเพียงเพราะผมกับอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ยืนให้สัมภาษณ์ว่า “จะจัดให้มีการชุมนุมในอนาคต” คือจะชุมนุมในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อตามหาวันชาติดังเช่นที่เคยทำมาแล้วในปีก่อน เพียงเท่านี้ก็เป็นความผิดที่ ศอฉ.ได้ยัดเยียดคุกตะรางให้ผม แต่ในเวลาเดียวกันพวกเสื้อ(เหลือง)หลากสีได้จัดชุมนุมในปัจจุบันยื่นข้อเรียกร้องให้ถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกับคนเสื้อแดง กลับมีเสรีภาพชุมนุมเกิน 5 คนได้ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินเช่นเดียวกับผมแต่กลับไม่มีความผิด

ผมและอาจารย์สุธาชัยได้แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่หลบหนีจึงเดินไปมอบตัว แต่ปรากฏว่ากลับถูกจับกุมห้ามเยี่ยมห้ามประกันในช่วงแรก และสุดท้ายพวกเขาปล่อยตัวอาจารย์สุธาชัยก่อน เพราะทนแรงกดดันจากเพื่อนคณาจารย์และนักศึกษาไม่ได้ แต่ตัวผมยังถูกจองจำเหมือนเดิมทั้งๆที่ถูกจับด้วยข้อหาเดียวกันเวลาเดียวกัน และมอบตัวพร้อมกัน

ผมมาพิจารณาดูน่าจะเป็นเพราะว่าอาจารย์สุธาชัยมีสถานภาพเป็นข้าราชการอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนตัวผมไม่มีสถานภาพความเป็นข้าราชการ เพราะผมเป็นเพียงประชาชนเช่นคนเสื้อแดงทั่วไปที่ถูกจับกุมตัวโดยไม่มีความผิด และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเหมือนกัน ผมไม่โกรธการตัดสินใจของ ศอฉ.เช่นนี้เพราะอย่างน้อยที่สุดทำให้ผมได้ลิ้มรสของคำว่า “ไพร่” อย่างเป็นจริง

รัฐบาลตัวแทนอำมาตย์อภิสิทธิ์-สุเทพ ใช้อำนาจตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินเองแต่ก็ทำผิดกฎหมายนั้นเอง กล่าวคือตามมาตรา 12 กำหนดว่า “จะควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมอย่างผู้ต้องหาไม่ได้” แต่ตัวผมถูกควบคุมหนักกว่าผู้ต้องหา ซึ่งสถานที่ควบคุมตัวผมและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่ค่ายทหารอดิศร สระบุรี นั้นไม่ต่างอะไรกับค่ายกักกันในสมัยพรรคนาซีเรืองอำนาจในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ผมและอาจารย์สุธาชัยถูกจับให้นอนอยู่ในเต็นท์กลางแดดตั้งแต่วันแรกจนถึงขณะนี้โดยมีลวดหนามเป็นขดสูง 2 ชั้นล้อมรอบไว้ และมีทหารถือปืนควบคุมตัว แต่ต่างจากสมัยนาซีตรงที่ทหารบางคนที่ควบคุมตัวนั้นมีจิตใจรักความเป็นธรรมหรือที่เรียกว่า ทหารแตงโม ผมและคนเสื้อแดงทุกคนที่ถูกจองจำทีนี่ถูกห้ามไม่ให้ดูโทรทัศน์ และฟังข่าวสารใดๆ ทั้งจากวิทยุ และหนังสือพิมพ์ รวมตลอดทั้งจะอ่านหนังสือประเทืองความรู้ใดๆ ก็ไม่ได้นอกจาก หนังสือนิตยสารเรื่องม้าเป็นบางเล่มเท่านั้นที่พวกเขาหยิบยื่นให้

การควบคุมตัวในแต่ละวันไม่มีการสอบสวนอะไรในทางกฎหมายมีแต่ทหารมานั่งคุยและคุยอยู่เรื่องเดียวที่วนเวียนซ้ำซาก และต้องการจะให้ผมพูดความเท็จว่าหนังสือพิมพ์ Voice of TAKSIN หรือเสียงทักษิณ ของผมเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับเงินสนับสนุนจากทักษิณซึ่งผมก็ปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่ใช่” ส่วนการใช้ชื่อหนังสือพิมพ์ว่า “ทักษิณ” ซึ่งพวกทหารของศอฉ.เขาติดใจมากและอยากให้ผมเปลี่ยนชื่อหนังสือนั้นผมก็อธิบายว่าเป็นเทคนิคทางการตลาดไม่ต่างอะไรกับกรณีที่มีคนผลิตขายสินค้ายาชูกำลังที่ชื่อ “ทักษิณสู้” แต่ดูเหมือนว่าพวกทหารที่มาคุยกับผมจะไม่เข้าใจกลไกตลาดโดยเฉพาะธุรกิจหนังสือพิมพ์ที่เป็นกลไกตลาดทางความคิดเลย

ผมลงทุนหนังสือพิมพ์ครั้งแรกไม่เกิน 5 แสนบาท และก็ยืนอยู่ได้มาเกือบปีกว่าแล้วก่อนถูกอำนาจเผด็จการปิดก็โดยอาศัยบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียงทางสังคม โดยไปกราบเขาขอให้ผมใช้ชื่อเขามาตีพิมพ์เป็นประธานบ้างที่ปรึกษาบ้าง เพื่อหนังสือพิมพ์จะได้รับความเชื่อถือและสามารถขายได้ บุคคลเหล่านั้น เช่น คุณสุธรรม แสงปทุม และ คุณวีระ มุสิกพงศ์ ก็กลายเป็นว่าผมรับเงินจากทักษิณผ่านคนเหล่านั้นทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง

ผมพยายามอธิบายให้พวกทหารสมุนอำมาตย์ที่ดูจะโง่เง่ามากในเรื่องสินค้าความคิดว่าชื่อ “ทักษิณ” วันนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทางการเมืองหรือต่อสู้กับภาวะ 2 มาตรฐาน ซึ่งมันฝังลึกอยู่ในใจประชาชนไทยมานานแล้ว และมันได้ระเบิดขึ้นจากรูปธรรมของการรวมศูนย์อำนาจรัฐของอำมาตย์พุ่งเข้าทำร้ายไปที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มานานติดต่อกันเกือบ 4 ปีแล้ว

ดังนั้นชื่อหนังสือพิมพ์ Voice of TAKSIN จึงเป็นชื่อที่จำได้ง่ายและกินใจประชาชน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้ชื่อทักษิณ และสีแดง ได้กลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอให้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเสียเลยจะดีไหม?

จริงๆ ผมสามารถจะได้รับการปล่อยตัวทันทีหากลงลายมือชื่อยืนยันว่าผมได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณมาพิมพ์หนังสือ ผมเข้าใจว่าพวก ศอฉ.คงจะเอาหลักฐานนี้ไปปรักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งการปฏิเสธของผมไม่ใช่เป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผมกับพ.ต.ท.ทักษิณโดยส่วนตัวไม่รู้จักกันและไม่เคยเดินทางไปพบไม่ว่าที่ใดๆ แต่ผมช่วยให้ความจริงปรากฏในบรรณพิภพ ว่าผมสร้างหนังสือพิมพ์นี้ด้วยกำลังกายและด้วยกำลังสมองของผมเอง เพียงแต่อาศัยจิตสำนึกวิญญาณของประชาชนที่โหยหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นธรรม เป็นตัวผลักดันผ่านชื่อ “ทักษิณ” ซึ่งคำว่าทักษิณเป็นคำสามัญที่แปลว่า “ทิศใต้”

ผมยอมเสียเสรีภาพ แต่จะไม่ยอมสูญเสียความเป็นมนุษย์ และสูญเสียจิตวิญญาณแห่งอิสระทางความคิดของการเป็นนักหนังสือพิมพ์อย่างเด็ดขาด

พบกันบนเส้นทางแห่งเสรีภาพทางความคิด

----------------------------------------------------------------------------------
ฝากประชาสัมพันธ์ต่อ :
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วิญญาณฆาตกร โดย กาหลิบ

คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : วิญญาณฆาตกร
โดย : กาหลิบ

เราต่างรู้ดีว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเล่นปาหี่-ตีสองหน้าอยู่กลางเมือง ในขณะที่ตามล้างตามผลาญฝ่ายประชาชนจนถึงขั้นสิ้นชีวิต บาดเจ็บ พิการ สูญเสียอิสรภาพ อาชีพการงานถูกทำลายย่อยยับ โดยไม่เห็นแก่ความเป็นคนใดๆ เลยนั้น ก็โหมประโคมข่าวสร้างภาพลักษณ์ว่ากำลังปรองดองสามัคคี พร่ำพูดหลักการกลวงๆ ที่ตัวเองไม่เคยคิดสร้าง เพื่อให้ฝ่ายฆ่าทำงานได้สะดวกขึ้น

คนสำคัญให้ความร่วมมืออย่างสุดใจขาดดิ้น เพราะเป็นเจ้าตำรับแห่งการกวาดล้างฝ่ายประชาธิปไตยและทำภาพของตัวเองให้บริสุทธิ์สูงส่งไปพร้อมกัน ดีใจจนเนื้อเต้นว่าลูกน้องฆาตกรกลุ่มนี้กำลังสานต่อลัทธิปิศาจที่ตัวเองสถาปนาขึ้น หลังจากที่ลองผิดลองถูกมาแล้วหลายครั้ง
ปิศาจหัวหน้าและปิศาจลูกน้องจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เกิดมาเป็นหนอนก็ต้องแทะเล็มอุจจาระไปตามกำพืด

แต่ความชั่วร้ายในวันนี้กลับไปปรากฏที่คนกลุ่มหนึ่งในกรุงเทพมหานครและเขตเมืองใหญ่ๆ ในประเทศนี้ ซึ่งกำลังทำให้ประเทศไทยกลายสภาพเป็นนครปิศาจไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เพียงเมืองฟ้าอมรที่ถูกฝูงปิศาจเข้าครอบครองเท่านั้น

นั่นคือชนชั้นกลางที่ไม่รู้สึกยี่หระอะไรกับความตายอันโหดเหี้ยมทารุณของชนชั้นรากหญ้า
ภาพแห่งความตายหาไม่ยากด้วยเทคโนโลยีของยุคนี้ แค่ปรายตามองดูก็จะเห็นทั่วไปว่าอาวุธสงครามที่นำมาใช้กับประชาชนผู้ไร้อาวุธในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓​มันทำอะไรบ้างกับมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้

ภาพนี้ก็เลือดสาด ภาพนั้นก็สมองกระจาย

ส่วนมากสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้เตรียมไปรบราฆ่าฟันกับใคร และส่วนใหญ่ก็ใส่รองเท้าแตะ
อายุก็หลากหลายแตกต่างกันไป เด็กก็มาก คนแก่ก็เยอะ ไม่เหมือนกับฝ่ายฆ่าที่เป็นชายฉกรรจ์ในวัยยี่สิบต้นๆ ที่ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าโดยเฉพาะ

เห็นภาพเหล่านี้แล้วผู้คนจำนวนหนึ่งในประเทศที่เรียกว่าไทยกลับรู้สึกตายด้าน ไม่มีความเศร้าสะเทือนใจ ไม่มีน้ำตา
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของหัวใจที่จะมอบให้

กลับรู้สึกดีใจเสียด้วยว่า ได้พื้นที่จราจรมาวิ่งรถหรูหราของตัวเองอย่างสะดวก ได้ห้างสรรพสินค้าคืนมาช็อปปิ้ง โดยไม่ต้องเห็นหน้าอันทุกข์ทรมานของคนยากจนในประเทศ ที่เขาเรียกกันเสียไพเราะว่าเพื่อนร่วมชาติอีกต่อไป

ใจดำขนาดนี้จะให้เรียกว่าอะไร และมันไหลออกมาจากไหน?

เสพสุขกันอยู่ได้อย่างไรครับ เมื่อคนแก่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามจนสมองกระจาย อาสาสมัครที่เข้าไปทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์ถูกฆ่าถูกรุมยิงเพราะฝ่ายฆาตกรต้องการจะลากศพหลบไปเสีย เพื่อมิให้กลายเป็นหลักฐานแสดงพฤติกรรมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน

รู้สึกปกติอยู่ได้อย่างไร?

โชคดีที่รัฐบาลชุดนี้ ได้รับคำพูดปลอบประโลมใจจากที่สูง เหมือนน้ำแร่ที่ไหลลงมาจากยอดเขา จนเกิดความเหิมเกริมที่จะสร้างกรรมชั่วต่อไปโดยไม่มีหิริโอตตัปปะปะ

เขาจึงทำอะไรกันกลางเมืองโดยไม่มีความละอายต่อบาปและไม่หวั่นหน้าอินทร์หน้าพรหม รู้สึกเสียแล้วว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมหันมายิ้มให้กับตน

แต่งตั้ง คณิต ณ นคร เป็นหัวหน้างานสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการสังหารหมู่

แต่งตั้ง สมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์ เป็นโต้โผในงานแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่งตั้ง วสิษฐ์ เดชกุญชร เป็นเจ้าภาพปฏิรูปตำรวจ

เพียงเท่านี้ก็บอกแล้วว่าเขาไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น เมื่อชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยผู้มีอำนาจมากในสังคมไทยสนับสนุนเขาอย่างออกหน้าออกตา เขาก็เหยียบหัวชนชั้นรากหญ้าขึ้นมายืนผึ่งผายได้

ครับ วิญญาณฆาตกรในวันนี้มันไหลเข้าไปสิงร่างของชนชั้นกลางในเมืองไทยเข้าด้วยแล้ว

โรคอำมหิตไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นสูงในสังคมไทยอีกต่อไปแล้ว

หมอผีคนเดียวคงเอาไม่อยู่ ขบวนการไล่ผีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจึงมีความจำเป็น.

(พบคอลัมน์ "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" ได้ทุกวันจันทร์,พุธ,ศุกร์)

---------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จดหมายจากผู้ต้องสงสัย ถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


วันวันอาทิตย์เวลา 21:17 น.
ค่ายทหารอดิศร จ.สระบุรี
วันที่ 3 มิถุนายน 2553

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านมาได้ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ฟังการอภิปรายและการตอบข้อซักถามของคุณอภิสิทธิ์ในครั้งนี้ เพราะผมถูกจองจำอยู่ในค่ายอดิศร จ.สระบุรี ตามคำสั่งของอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้ใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ผมเป็นคนหนึ่งที่นิยมชมชอบนักการเมืองที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเป็นคนหนึ่งซึ่งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อคุณอภิสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกปี 2535 ในเขต 6 กทม. (สาทร, บางคอแหลม, ยานนาวา)

ผมชื่นชมในความคิด และการพูดจาปราศรัยของคุณอภิสิทธิ์ เป็นอย่างมาก มีโอกาสเมื่อไรต้องไปนั่งฟังคุณอภิสิทธิ์อภิปราย หรือปราศรัยอยู่เสมอ ผมคิดว่าคุณรุ่นใหม่อย่างคุณอภิสิทธิ์ซึ่งจบการศึกษามัธยมจากโรงเรียนอีตัน และมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากอังกฤษจะสามารถใช้ความรู้สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์ต่อเมืองไทย เมื่อได้รับตำแหน่งทางการเมือง

แต่แล้วผมต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อคุณอภิสิทธิ์เลือกเส้นทางการเมืองที่คับแคบในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไว้เสนอนายกพระราชทานตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นทางออกของวิกฤติการเมืองในปี 2548 ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานตามครรลองประชาธิปไตย ครั้งเมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แทนที่จะออกมาคัดค้าน คุณอภิสิทธิ์กับวางเฉย ครั้นเมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นคุณอภิสิทธิ์จึงได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านการรัฐประหารกับเขาบ้าง

ผมยังจำได้ ขณะที่มีการรณรงค์ทำประชามติรับรองรัฐธรรมนูญ 2550 ของ คมช. คุณอภิสิทธิ์พูดว่าให้รับรองไปก่อนค่อยไปแก้รัฐธรรมนูญภายหลังบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบ 3 ปีแล้ว คุณอภิสิทธิ์ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านและเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เห็นคุณอภิสิทธิ์ได้ทำตามที่คุณเคยพูดไว้แม้แต่น้อย ได้แต่ใช้วาทศิลป์ เล่ห์เหลี่ยม หลบหลีกความรับผิดชอบไปมาอยู่ตลอดเวลา

พอคุณอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บอกว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นนัก การเมืองพันธุ์ใหม่ที่สังคมไทยต้องการ แต่ราษฎรอาวุโสท่านนี้คงไม่ได้รับทราบว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณอภิสิทธิ์ใช้วิธีการทางลัด ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการประเคนตำแหน่งรัฐมนตรีให้กับสส.งูเห่าจากพรรคเพื่อไทย

คุณอภิสิทธิ์ เคยบอกว่านักการเมืองที่สร้างวิกฤติชาติคือนักการเมืองเร่ร่อนหรือบางกลุ่มเป็น สส.ให้เช่า คนเหล่านี้ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพที่คุณอภิสิทธิ์จะร่วมงานด้วย แต่ด้วยความกระหายในอำนาจและตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คุณอภิสิทธิ์ได้ประเคนตำแหน่งให้กับนักการเมืองเร่ร่อน และกลุ่ม สส.ให้เช่าอย่างเต็มที่

คุณอภิสิทธิ์เคยตำหนินโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมาก่อนว่าเป็นระบบอุปถัมภ์ของนักการเมือง ทำให้ขาดวินัยการคลัง แต่วันนี้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้ลอกเลียนแบบนโยบายประชานิยม แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่โฆษณาว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่คิดขึ้นมาเอง

ผมได้แต่สงสัย ยังหาคำตอบไม่ได้ ทำไมตำแหน่งทางการเมืองทำให้คนเรียนดี ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเป็นนักการเมืองที่หลายคนชื่นชม กลับกลายเป็นคนกะล่อน ปลิ้นปล้อนได้ถึงเพียงนี้ หรือว่าโดยกมลสันดานแล้วพวกชนชั้นปกครองบ้าอำนาจ มักมีพันธุกรรมของความกะล่อนอยู่เสมอ

คุณอภิสิทธิ์ เคยประกาศไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องเป็นไปอย่างสันติ แต่ในช่วง 2ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณมาถึงสองครั้งในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดปี 2552 และที่สะพานผ่านฟ้าจนถึงราชประสงค์มีผู้คนล้มตายด้วยกระสุนสงครามของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า 80 ชีวิตด้วยกัน บาดเจ็บอีกหลายพันคน สูญหายอีกนับร้อยคน

คุณอภิสิทธิ์ใช้ชีวิตในวัยเด็กและเติบโตในสังคมตะวันตกอาจไม่มีความรู้ในเรื่องบาปบุญคุณโทษและอาจไม่ใส่ใจต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการฆ่า***ตัดชีวิตเป็นบาปมหันต์คุณอภิสิทธิ์อาจเถียงคอเป็นเอ็นว่าพวกที่ชุมนุมเรียกร้องยุบสภาที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์มีผู้ใช้อาวุธตอบโต้ฝ่ายทหาร ผมอยากให้คุณอภิสิทธิ์มีโอกาสไปพลิกศพดูประวัติผู้เสียชีวิตว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธสู้กับรัฐบาล เพราะหลายศพที่ถูกยิงตายไป เป็นเพียงผู้ใช้แรงงาน เป็นชาวนายากไร้ เป็นคนยากจนหาเช้ากินค่ำ บางศพเป็นพยาบาลที่เข้าไปช่วยเหลือคนบาดเจ็บ บางศพเป็นวิศวกร หลายศพเป็นเพียงชายชราสูงอายุที่หูตาฝ้าฟางแล้ว

มีกี่ศพที่ถูกยิงตายเป็นผู้ก่อการร้ายที่คุณอภิสิทธิ์กล่าวหา ?

ถ้าหากการใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ทหารว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คุณอภิสิทธิ์จะเรียกกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามจากหน่วยจู่โจมและพลซุ่มยิง ออกมายิงประชาชนล้มตายเหมือนหมู หมากลางถนนว่าเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเป็นผู้ก่อการดี ?

ผมและ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้แสดงความคิดเห็นเพื่อลดทอนความขัดแย้งแตกแยกในสังคมจึงออกมาแถลงข่าวเรียกร้องให้คุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณพ้นจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตจากการปราบปรามของรัฐบาล แต่คุณอภิสิทธิ์กลับใช้อำนาจออกหมายจับในฐานะผู้ต้องสงสัยจะก่อให้เกิดความไม่สงบ

ผมอาจจะต้องใช้ชีวิตสูญเสียอิสรภาพไปอีกนานด้วยข้อหาและกฎหมายเผด็จการเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของประชาชน จนอาจสิ้นลมหายใจก่อนคุณอภิสิทธิ์ แต่ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจ และความปรารถนาดีของผมต่อประเทศชาติและประชาชน แต่ผมไม่รู้ว่าคุณอภิสิทธิ์บนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันมีเกียรติ คุณอภิสิทธิ์มีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจมากแค่ไหน ?

หวังว่า จดหมายฉบับนี้จะช่วยเตือนสติสัมปชัญญะของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้หยุดการก่อกรรมทำเข็ญต่อประเทศชาติและประชาชน

สมยศ พฤกษาเกษมสุข
3 มิถุนายน 2553
ค่ายทหารอดิสร จ.สระบุรี

---------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : มูลนิธิกระจกเงา
ฝากกระซิบต่อ :
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
----------------------------------------------------------------------------------


เปลือยใจ 'สุธาชัย' คนคุก (การเมือง)


เรื่อง : เปลือยใจ "สุธาชัย" คนคุก (การเมือง)
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

**************************************************************************

เป็นที่ทราบกันว่าก่อนหน้านี้ “ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” นักวิชาการ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ที่เป็นมันสมองของกลุ่มเสื้อแดง ในการการเดินเกมเคลื่อนไหว ท่านถูกรัฐบาลควบคุมตัว ให้ไปนอนพักอยู่ที่ค่ายอดิศร จ.สระบุรี ในข้อหา ฝ่าฟืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เต็มๆ 7 วัน ล่าสุดได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว วันนี้ “ไทยรัฐออนไลน์” ได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ผู้ที่เรียกได้ว่าคร่ำหวอดอยู่ในวงการการต่อสู้ทางการเมืองไทย ท่านหนึ่งที่ยืนอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนเสื้อแดง ถึงเรื่องราวตั้งแต่วันแรกที่เยื้องกายเข้าไปในสถานควบคุมตัวจนถึงวันที่ถูกปล่อยตัว

วันที่ถูกควบคุมตัวรู้สึกอย่างไร ?

วันแรกที่ถูกควบคุมตัวภายในค่ายอดิศร จ.สระบุรี ผมยังไม่ทราบข้อกล่าวหาว่าเค้า (รัฐบาล) ที่ออกหมายจับเลย มารู้ทีหลังว่าทาง ศอฉ.ได้ประกาศออกหมายจับ ในวันที่ 4 ของการควบคุมตัว ผมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับผม ในฐานะเป็นประชาชนที่มีสิทธิพื้นฐานในการดำเนินชีวิต แต่ผมรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะใน พรก.ได้ระบุเอาไว้แล้วไม่สามารถ ฟ้องศาลเรียกร้องความเป็นธรรมได้ ก็ต้องยอมรับชะตากรรมไป

บรรยากาศในที่ควบคุมเป็นอย่างไรบ้าง ?

การดำรงชีวิตที่ค่ายอดิศรทางเจ้าหน้าที่ทหารเองก็ดูแลเป็นอย่างดีไม่ได้กดดันหรือข่มขู่เราแต่อย่างใด ตอนที่ถูกพาตัวเข้ามายังค่ายตอนนั้นมีหนังสือติดตัวมาเป็นจำนวนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่ค่ายก็อาศัยหนังสือที่ติดตัวมาอ่านจนจบไป หลายรอบ เพราะมาตรการของค่ายไม่ให้มีการรับสื่อใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ไม่รู้วันเวลา รู้แค่ว่าตอนไหนกลางวัน ตอนไหนกลางคืน เพราะเจ้าหน้าที่ ยืดโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊คส์ นาฬิกา และ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งหมด

วันๆ ใช้เวลากับกิจกรรมอะไรบ้าง ?

ตลอดช่วงที่ถูกควบคุมตัวได้เขียนหนังสือเล่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตภายในค่ายอดิศรทั้งหมดซึ่งคาดว่าจะนำมารวมกับที่เขียนมาตลอดช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. แต่ในช่วงนี้ต้องเตรียมการที่จะดำเนินการสอนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อนที่จะมีการรวบรวมเป็นฉบับสมบูรณ์ในอนาคตอย่างแน่นอน

อนุญาตให้ญาติหรือคนสนิทเข้าเยี่ยมหรือเปล่า ?

ภายในวันที่ถูกควบคุมตัวทางเจ้าหน้าที่ควบคุมก็ผ่อนปรนให้ภรรยาและทนายความเข้ามาเยี่ยมได้บ้าง ซึ่งก็ทำให้รู้สึกไม่เครียดและกดดันมากนัก โดยที่ผ่านมาก็มีนักข่าวช่อง 7 ได้เข้าไปยังค่ายอดิศรเพื่อขอพบและเข้ามาสัมภาษณ์

กับตอนนี้มีความรู้สึกอย่างไร ?

ถ้าถามว่าความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร ผมพูดได้เลยว่าผมไม่แค้นใครทั้งสิ้น ตอนนี้ผมมีความรู้สึกเฉยๆ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ผมไม่อยากเห็นใครต้องมีชะตากรรมแบบผมอีก เพราะมันไม่ถูกต้องในการที่นำ พ.ร.ก. มาบังคับใช้และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอีก

ได้เจอคนอื่นๆ หรือไม่ ?

ก็ไม่มีโอกาสที่จะเจอกันบ่อยมากนัก เนื่องจากอยู่คนละที่ คนละห้องกัน ผมอยู่ที่เดียวกับคุณสมยศ (นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข)

จะทำอะไรต่อไป ?

รัฐบาลจะทำการขอควบคุมตัวต่ออีก 7 วัน ผมได้ยื่นอุทธรณ์แล้วก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะได้รับการพิจารณาหรือไม่

อยากฝากอะไรไปถึงรัฐบาลบ้าง ?

อยากให้ปล่อยตัวคนอื่นๆ ที่รัฐบาลได้สั่งให้ควบคุมตัว ให้ไปต่อสู้ดำเนินคดีกันตามกฎหมายดีกว่า เพราะการทำแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร.
----------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทวิลักษณ์ของอำนาจ โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : ทวิลักษณ์ของอำนาจ
ที่มา : คอลัมน์กว่าจะเป็นประชาธิปไตย
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

******************************************************************************

ผมเพิ่งดู DVD ที่ออกจะเก่าแล้วเรื่องหนึ่งชื่อ “The Contender” เป็นหนังเกี่ยวกับศึกชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพราะคนเก่าตายลง ธรรมดาผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงพร้อมกับประธานาธิบดี ตามระบบเลือกหนึ่งได้สอง แต่บังเอิญตำแหน่งรองประธานาธิบดีเกิดว่างลง ก็ต้องสรรหาโดยผ่านคองเกรสส์หรือรัฐสภาอเมริกัน โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตรา ๒๕ ให้อำนาจดังกล่าวไว้ แล้วเกมการเมืองชนิดเลือดสาด เพราะเกิดการแย่งชิงว่าใครจะเข้าป้ายก็เกิดขึ้นในห้องประชุมกรรมาธิการและการให้การแบบที่เรียกว่า hearing

เป็นการเฉือนบทอย่างสุดยอดระหว่างสมาชิกวุฒิสภาหญิงผู้เป็นว่าที่รองประธานาธิบดี (โจน อัลเล็น เป็น ส.ว.เลน แฮนสัน) ประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมฯ (โดย แกร์รี่ โอลด์แมน) ประธานาธิบดี (เจฟฟ์ บริดเจส) หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว (แซม เอลเลียต) เพราะเกมนี้คือโอกาสที่จะวางตัวเองเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปด้วย ใครมีอะไรในตัวต้องคว้าออกมา บรรยากาศจึงเกลื่อนไปด้วยจิตใจอันสูงส่งและวิชามารที่ต่ำช้า ไม่ต่างไปจากการเมืองที่ไหนในโลกรวมทั้งการเมืองไทย

แต่ประโยคหนึ่งของตัวประธานาธิบดีทำให้เกิดสะดุดใจและอยากนำมาเขียนไว้ในที่นี้ เพราะสื่อความจริงทางการเมืองได้ดีเหลือหลาย

“นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า อำนาจได้มาด้วยการใช้วิธีการทุกอย่างไม่ว่าเทพหรือมาร ไม่ว่าดีหรือเลว ไม่ว่าสูงหรือต่ำ (pettiness) แต่การจะใช้อำนาจให้เป็นผลดีและเกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ต้องอาศัยความยิ่งใหญ่ (greatness) เสมอ ปัญหาคือลักษณะสองอย่างมักไม่มีอยู่ในคนๆ เดียว”

ฟังแล้วก็ต้องนำมาใคร่ครวญโดยแยบคาย ขั้นแรกคือจริงหรือไม่ที่นโปเลียนกล่าวอย่างนี้

การแสวงหาอำนาจ ต้องใช้กลเม็ดเด็ดพรายทุกอย่าง เรียกว่า pettiness

การใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ต้องประกอบด้วยความยิ่งใหญ่คือ greatness เป็นพื้น

ลักษณะสองอย่างนี้ขัดกันโดยธรรมชาติ คนที่มีจิตใจสูงส่งมักคิดเรื่องต่ำช้าไม่ได้ ส่วนคนที่คิดเรื่องต่ำช้าอยู่เสมอ จะไปเอาความสูงส่งในหัวใจมาจากไหน

แต่นโปเลียนมองว่าถ้าไม่มีครบสองอย่างนี้ก็บริหารอำนาจไม่ได้

เมื่อประชาธิปไตยเป็นระบอบเดียวที่ปวงชนมีอำนาจสูงสุดและเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด แต่จำเป็นต้อง “ฝาก” อำนาจให้คนอื่นใช้แทนชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือใครก็ตาม ทำให้แนวคิดเรื่องอำนาจในระบอบประชาธิปไตยมีความแตกต่างจากระบอบอื่นมาก

ในระบอบอื่นๆ อย่างสมบูรณาญาสิทธิราช (กษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดหรือมีพระราชอำนาจ) อำมาตยาธิปไตย (ชนชั้นปกครองมีอำนาจสูงสุด) คณาธิปไตย (กลุ่มบุคคลมีอำนาจสูงสุด) ฯลฯ ล้วนแสวงหาอำนาจและใช้อำนาจกันอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของผู้อยู่ใต้ปกครองมากนัก หรือไม่คิดเลย อำนาจอย่างนั้นเรียกตามสูตรได้ว่าคือสิ่งที่มีแล้วทำให้บุคคลอื่นกระทำตามความต้องการของตนได้

ซึ่งเป็นคำจำกัดความของ อำนาจ

แต่นักประชาธิปไตยต้องระวังมากกว่านั้นหลายเท่า การได้ซึ่งอำนาจก็ดี และการใช้อำนาจที่ได้มาก็ดี จะกระทำอย่างต่ำช้าและกระทบกระเทือนต่อความเป็นเจ้าของอำนาจนั้นของปวงชนไม่ได้ ครั้นจะระวังมากจนฝ่ายตรงข้ามที่เขาทำทุกอย่างเต็มที่ กลับช่วงชิงอำนาจนั้นไปแทน แล้วกดขี่ข่มเหงปวงชนเป็นการใหญ่ ก็เท่ากับว่าฝ่ายประชาธิปไตยล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าเหมือนกัน

สมดุลที่นโปเลียนกล่าวไว้จึงถือเป็นเรื่องยากยิ่ง

ในประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยประสบความสำเร็จ เขามักจะฝากตัวทำสมดุล (balancer) ไว้ในรัฐธรรมนูญและในวัฒนธรรมการเมือง (หรือจะเรียกจารีตการเมืองก็ได้) เพื่อเป็นเกณฑ์บอกว่าการแสวงหาอำนาจและการใช้อำนาจในแต่ละครั้งเกินเลยไปจากเส้นและกรอบอันเหมาะสมหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะสม ก็จะมีเครื่องมือต่างๆ เพื่อเอาอำนาจนั้นคืน เช่น การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ อารยะขัดขืน เป็นต้น ระบอบประชาธิปไตยในที่นั้นก็จะอยู่ต่อไปได้

ผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์จะรู้ดีว่าประชาธิปไตยทุกชนิดคือระบอบจัดการทางสังคม สังคมนั้นประกอบขึ้นด้วยคน จึงไม่มีทางที่กลไกใดๆ จะเป็นหลักประกันอย่างถาวรและเปลี่ยนแปลงมิได้ ปวงชนต้องลงแขกทางการเมืองกันเป็นระยะๆ เพื่อผลักอะไรต่างๆ ให้เข้าที่และจัดสมดุลนั้นเสียใหม่ เหมือนในเมืองไทยขณะนี้

คนที่มักถามว่า ทำไมทุกอย่างวุ่นวายนัก และจะวุ่นวายไปอีกนานเท่าไหร่ ต้องย้อนถามตัวเองว่าได้ร่วมออกแรงในการจัดสมดุลอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่ นี่คืองานของปวงชนโดยแท้ จะทำในนามคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย เอ็นจีโอ หรือใดๆ ก็ตาม ต้องเตือนตัวเองให้เข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุดในขณะนี้

เมื่อวันเกิดของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ผ่านมา ผมได้เขียนกลอนขึ้นบทหนึ่ง กะจะอ่านตอนที่โฟนอินเข้ามาที่สนามหลวง แต่เวลาน้อยและผู้คนที่จัดงานออกจะเกร็งมาก ขอนำบทกลอนนี้มาทิ้งท้ายไว้ตรงนี้
เพื่อเป็นตัวอย่างว่าภาวะเสียสมดุลและการจัดสมดุลนั้น ปวงชนชาวไทยได้ทำและจะทำต่อไปอีกมากอย่างไร...

กลอนชุมนุมวันเกิดเปรม
โดย จักรภพ เพ็ญแข

จากนทีสีทันดรส่งกลอนข้าม
ถึงมวลชนคนใจงามสนามหลวง
ส่งความรักแนบในใจไทยทุกดวง
ด้วยความห่วงใยกันทุกวันวาร

พี่น้องมาร่วมกันอย่างฉันท์มิตร
เพื่อแก้ไขสิ่งผิดไม่มองผ่าน
เมื่อประชาธิปไตยถูกภัยพาล
ก็ออกต้านต่อสู้ชูสีแดง

จากสองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบห้า
ชาวประชาธิปไตยถูกกลั่นแกล้ง
เลือกผู้นำโดดเด่นเขาเล่นแรง
เข้าดับแสงแรงกล้ามหาชน

ยึดอำนาจปีสี่เก้าพวกเราตื่น
มวลชนพร้อมหยัดยืนสู่พวกปล้น
ถึงเวลาทำคนให้เป็นคน
สู้เกมกลทำคนให้เป็นควาย

การต่อสู้ครั้งนี้เรามีหวัง
มวลพลังแห้งผากกลับหลากหลาย
ชนทุกชั้นร่วมสู้ไม่ดูดาย
เพื่อหวังผลขั้นสุดท้ายได้ความจริง

ประเทศไทยเหมือนบ้านที่ร้างเก่า
หลังคา เสา สวยศรีแต่ผีสิง
ปลอมแปลงตนจนซาบซึ้งน่าพึ่งพิง
บังความจริงสิงสู่เป็นปู่เมือง

ณ สี่เสาฯ เข้าคิวเป็นทิวแถว
ตลอดแนวที่มีแค่สีเหลือง
ลืมปวงชนคนในรัฐผู้ขัดเคือง
ขุนนางเหลืองเขื่องแท้เห็นแก่ตัว

เป็นลูกน้องของโจรโจรก็รัก
จึงปกปักรักษาไร้ค่าหัว
ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นให้แทนตัว
จนคนกลัวอิทธิพลของคนพาล

ถึงฟ้ามืดเพียงใดใจสว่าง
ใครคิดสร้างบาปใหม่คงไม่ผ่าน
เพราะมวลชนทนทุกข์มาเนิ่นนาน
ประสบการณ์เพียงพอไม่ต่อรอง

ใช้กฎหมายฉบับใดใช้ไปเถิด
จะปราบปรามวันเกิดไม่ขัดข้อง
บ้านเมืองจักเปลี่ยนผันตามครรลอง
ใครคิดครองตลอดไปไม่มีทาง

“เมืองไทยนี้ดี” เขาชี้ไว้
แต่เมืองไทยของเขานำเราห่าง
ใครเกิดมาเป็นคนจนจนไม่จาง
ใครอำพรางยากจนคือคนรวย

ภาพมายาเยี่ยงนี้ต้องตีแผ่
สังคมไทยที่แท้คือคนป่วย
ประชาชนเจ็บไข้หายใจระรวย
ภาพสุดสวยสร้างไว้หลอกให้มอง

ถึงเวลาเมืองไทยได้สติ
พอมายาแตกปริก็โปรดส่อง
ของเคยสวยน่าจูบเพราะรูปทอง
ความจริงฟ้องจนได้รู้อสุรกาย

จึงส่งกลอนข้ามฟ้ามาหารัก
เพราะความจริงย่อมประจักษ์ไม่สูญหาย
เมื่อท้องฟ้าสีทองก่องกำจาย
แม่พระพายพัดกลับรับขวัญเอย.

---------------------------------------------------------------------------------
ประชาสัมพันธ์ :
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146
ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน)
Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ขอต้อนรับคอลัมน์ใหม่ จาก "กาหลิบ"


****************************************************************************
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน :

“Nangfa” ขอต้อนรับคอลัมน์ใหม่ใสปิ๊ง “เมืองไทยหรือเมืองใคร?” ของ “กาหลิบ” ที่ท่านกรุณาสละเวลาอันมีค่าเขียนให้เว็บบล็อก “ประชาธิปไตย 100%” หรือ “Democracy 100 percent” เขียนใหม่ๆ สดๆ ไม่ได้ผ่านการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนเลย

เหตุคงจะเป็นเพราะว่า “Nangfa” ได้บ่นไปตามไหนต่อไหนบ่อยๆ ขี้บ่นจนไปเข้าหู “กาหลิบ” ว่าตอนนี้พวกเราชาวเสื้อแดงรู้สึกเคว้งคว้าง หว่าเหว่ ขาดผู้นำ ทำอะไรไม่ถูก จะเพราะอะไรก็คงทราบกันดีด้วยความซาบซึ้งใจอย่างยิ่งแล้ว ผู้นำโดนไล่ล่าจับขังคุก คนที่ยังไม่ถูกจับก็เปิดเผยตัวไม่ได้ เว็บไซด์โดนปิดหมด หนังสือแดงเกือบทุกฉบับโดนสั่งไม่ให้ตีพิมพ์ พวกเราจึงอยากมีใครสักคนหรือจะหลายๆ คนก็ยิ่งดี ที่เรารัก เชื่อมั่น และศรัทธา มาให้ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเป็นอาหารสมอง ทำให้เราฟุ้งซ่านน้อยลงและมีกำลังใจในการรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาของเรา เพราะ “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”

“Nangfa” ขอขอบพระคุณ “กาหลิบ” ที่ส่งบทความมาให้อย่างทันอกทันใจ ถึงแม้จะบอกว่าเขียนให้กับบล็อก “ประชาธิปไตย100%” แต่ท่านก็ฝากไว้ว่าไม่สงวนลิขสิทธิ์ และอยากให้นำไปเผยแพร่ต่อให้มากๆ ค่ะ

เชิญพบกับ "คอลัมน์เมืองไทยหรือเมืองใคร?" ตอนที่ 1 "ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์" ได้แล้วค่ะ

******************************************************************************

ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์
โดย กาหลิบ

*************************************************************************

กลับมาแล้วครับ!

ผมกาหลิบ...ผู้เคยโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษของ “โลกวันนี้รายวัน” และจู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้ขอหวนกลับมาคารวะท่านผู้อ่านที่รักและเคารพทุกๆ ท่านด้วยจิตใจดวงเดิมจริงแท้ไม่แปรผัน

ในห้วงเวลาที่แล้วมา กาหลิบเริ่มชี้ถึงรอยปริร้าวของสังคมไทยที่กำลังถ่างกว้างขึ้นทุกวัน เพราะการกระทำของคนบางคนที่ถืออำนาจรัฐไทยไว้ในมือ เหมือนของเล่น หรือรีโมทคอนโทรล และสำแดงฤทธิ์เดชของตัวเองผ่านเครือข่ายอำนาจในสังคมไทยที่จัดตั้งมานานหลายสิบปีจนอยู่มือ

มาห้วงเวลานี้ รอยปริร้าวได้กลายเป็นรอยแยกอันยิ่งใหญ่ในสังคมไทย แตกและแยกอย่างไม่มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ใดๆ จะเทียบเคียงได้ สังคมอุปถัมภ์ของไทย ภายใต้มูลนาย ไพร่ และทาสที่เคยเกิดภาพลวงตาว่าอยู่กันได้อย่าง “โนพร็อบเบล้ม” บัดนี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาดในทางใจ ส่วนจะแยกกันทางกายต่อไปอย่างไรยังไม่รู้ได้

รู้แต่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ

เพื่อนฝูงถามกาหลิบมาตลอดว่า ทำไมเมืองไทยเป็นถึงขนาดนี้ได้ และจะมีทางออกอย่างไรหรือไม่

กาหลิบก็ได้แต่เอาผลที่ตัวเองสังเกตในห้วงเวลาที่ผ่านมานี้มาเป็นคำตอบขั้นต้น และบอกให้สหายทั้งหลายเอาสิ่งเหล่านี้ผสมกันอย่างที่เขาชอบเรียกกันว่าวิเคราะห์

อย่างแรกคือความโหดเหี้ยมเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจสูงสุด

อย่างที่สองคือการแก่งแย่งแข่งขันในระบอบขุนนางไทย

อย่างที่สามคือพรรคการเมืองสันดานโจรที่ทำตัวเป็นขี้ข้าสวามิภักดิ์

อย่างที่สี่คือสื่อมวลชน นักวิชาการ ข้าราชการ ที่เรียกรวมๆ ว่าประชาสังคม เอาเข้าจริงทำตัวเป็น “ข้าสังคม”

และอย่างที่ห้าคือประชาชนผู้หูตาสว่าง และสำนึกได้ในบัดดลว่าข้าถูกเอาเปรียบมาตลอดชีวิตของข้าและโคตรตระกูล จนตัดสินใจลุกขึ้นสู้กับเครือข่ายปิศาจฆาตกร

กาหลิบได้แต่บอกแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า จงเอาองค์ประกอบทั้งห้านี้มาบวกกันเถิด แล้วจะสงเคราะห์ได้เองว่าความวุ่นวายจลาจลเมืองไทยในขณะนี้ มันควรจะเกิดมาเสียนานแล้ว อย่างที่ฝรั่งมังค่าเขาเรียกว่า long overdue

มาเกิดเดี๋ยวนี้ออกจะช้าไปหน่อยด้วยซ้ำ

ถามว่าศาสนาพุทธซึ่งเป็นกระแสหลักทางสังคมและวัฒนธรรมเล่า ช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ ก็ต้องตอบว่าใครที่มีจริตพุทธและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น เขาก็รอดอยู่แล้ว แต่มวลชนส่วนมากที่ยังห่างไกล เขาไม่ได้ประโยชน์โภชย์ผลเต็มที่เพราะพุทธศาสนจักรในเมืองไทยเองก็ถูกครอบงำด้วยเครือข่ายปิศาจเหมือนกัน

ครับ ที่เขาเรียกว่าการปกครองคณะสงฆ์นั่นไง ไล่ขึ้นไปจะพบว่าอำนาจล้นพ้นที่สร้างพระก็ได้ สึกพระก็ได้ ทำพระชาวบ้านให้เป็นพระขุนนางแบบยศช้างขุนนางพระ (จนเสียพระ) ก็ได้ หรือคอยทำลายพระดีๆ ที่คอยให้สติผู้คนด้วยธรรมะจนได้รับความนิยมยกย่องและกลายเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาก็ได้ มันสถิตอยู่ในไม่กี่ที่หรอกครับ เผลอๆ จะมีแค่หลักเดียวเสียด้วยซ้ำ

แถมยังเป็นหลักเสื่อมเสียอีก

เวทีเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์นั้นทำความดีต่อขบวนประชาธิปไตยไว้หลายอย่าง แต่โดดเด่นที่สุดในความคิดของกาหลิบคือการชูเรื่องไพร่ขึ้นมา จนมวลชนต่างคุ้นเคยกับคำว่าไพร่ และเข้าใจทันทีว่าชะตากรรมของไพร่มันก็อย่างที่เห็นอยู่นี้

จะกล่าวหาว่าร้ายอย่างไรก็ได้

เอาตัวไปโยนใส่คุกก็ได้

ลากเอาอาวุธสงครามมายิงหัวเราเหมือนชีวิตไม่มีราคาค่างวดก็ได้

เสียอยู่นิดเดียวที่แกนนำในขณะนั้นยกไพร่ขึ้นคู่กับคำว่า “อำมาตย์” จนคนส่วนหนึ่งพลอยเข้าใจว่าสงครามประชาชนของคนชาติไพร่ที่เราต่างเข้าร่วมกันในขณะนี้ เป็นการต่อสู้กับขุนนางระดับต่างๆ เท่านั้น ยังจำได้ว่าแกนนำบางคนถึงกับพร่ำพูดอยู่เสมอ “เราจะต่อสู้เฉพาะพลเอกเปรมลงมาเท่านั้น”
แท้ที่จริงแล้วคำว่าไพร่ไม่ได้เข้าคู่กับอำมาตย์หรือขุนนาง มันคู่กับอีกคำหนึ่งที่แสดงความใหญ่ขึ้นไปอีก

ถ้าไม่จับคู่ให้ถูกต้อง สงครามครั้งนี้จะผิดทางตั้งแต่ต้น

ไม่ต้องพูดถึงโอกาสแห่งชัยชนะเลยด้วยซ้ำ

กะจะไปถึงเชียงใหม่ อย่าพูดว่าเอาแค่อยุธยาสิครับ

กาหลิบจึงขอปักธงไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์

มวลชนผู้ตาสว่างทุกๆ ท่านครับ โปรดนำธงของท่านมาปักร่วมกันจนเกิดเป็นเรือธงขึ้นเถิด.

--------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ 4 โดย จักรภพ เพ็ญแข


ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ ๔
วันศุกร์ที่ ๒๖ มีนาคม - วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
*************************************************************************

(๒๖ มี.ค.) หนังสือ “ไทมส์” ว่าคนไทยรอในหลวง
แก้เหตุการณ์ลุล่วงเลิกใหลหลง
“พฤษภาประชาธรรม” ยังดำรง
กรอบความคิดงุนงงหลงเวลา

“ทักษิณ” งดโฟนอินมาบินเงียบ
ขี่ม้าเลียบค่ายเล่นคงดีกว่า
สังคมเริ่มเปลี่ยนใจใช้เวลา
ไม่เนิ่นช้าคิดอย่าง “ไทมส์” คงตามทัน

ยื่นอุทธรณ์ “ยึดทรัพย์” จับเล่นต่อ
หวังใจขอยุติธรรมเลิกห้ำหั่น
สี่จุดหกหมื่นล้านเงินอัศจรรย์
เป็นความฝันใครหนอจะขอคืน

ฝ่ายตรงข้ามคือโจรเข้าปล้นฆ่า
ปล้นลูกเต้าภรรยาแล้วข่มขืน
ผลักจนตกโคลนตมล้มทั้งยืน
ใครคิดยื่นอุทธรณ์คงอ่อนใจ

แดงเคลื่อนพลอีกครั้งหวังรุกฆาต
ฝ่ายอำมาตย์เพิ่มกำลังระวังใหญ่
จราจรเพิ่มนับพันได้ทันใจ
เกมรุกไล่แมวหนูดูเอามัน

(๒๗ มี.ค.) เดินทางไกลไปถึง “ร. ๑๑”
นึกว่าเสร็จคราวนี้ยึดที่มั่น
“กี้” นำทัพไปทำเนียบพอเหยียบพลัน
ถูกสั่งลั่นให้ถอยทัพกลับเข้ามา

ฝ่ายตรงข้ามแอบแยงว่าแดงแตก
“สุรชัย” ถล่มแหลกยิ่งแตกกว่า
อัดแกนนำไร้กลยุทธ์สุดเวทนา
แต่ปวงประชาย้อนตอบไม่ชอบใจ

อารมณ์คนยกทัพเข้าจับศึก
ท่ามกลางความฮักฮึกเตือนไม่ไหว
นี่แหละคือความจริงทุกสิ่งไป
อารมณ์ใหญ่กว่าปัญญาจนน่ากลัว

เกิดระเบิด “ช่อง ๕” หน้าค่ายทหาร
ไม่ตายด้านตูมลั่นสนั่นทั่ว
ประชาชนบวกทหารคลานระรัว
“กษิต” มั่วออกประกาศวินาศกรรม

(๒๘ มี.ค.) เอ็ม ๖๗ ระเบิดลั่นบ้าน “บรรหาร”
ตำรวจพล่านตรวจสอบกันระส่ำ
แบ็งค์กรุงเทพตลิ่งชันเกิดลั่นซ้ำ
ตัวคนทำหายไปไร้ร่องรอย

นักวิชาการ ๑๕๕ พากันร้อง
รัฐบาลจำต้องลดมาหน่อย
ยุบสภาสามเดือนไม่เกินคอย
เป็นทางถอยจากวิกฤติอย่าปิดทาง

(๒๙ มี.ค.) “เสธ.แดง” ออกโรงมาว่าเราอ่อน
รัฐบาลมันสอนว่ามวยห่าง
ให้ปรับยุทธวิธีมีแนวทาง
แต่เสียงดูเบาบางไร้คนฟัง

ฝนตกหนัก “ทักษิณ” เสนอสู้
รัฐบาลไม่แลดูขุดหลุมฝัง
เมื่อหน้าด้านขนาดนี้จี้ให้พัง
ส่งเสียงดังสู้อำมาตย์จนบาดใจ

“พันธมิตรฯ” ออกโรงจากโลงเก่า
แถลงข่าวเสียงกระเส่าขอเข้าใกล้
ออกคัดค้านนั่นนี่พูดดีไป
แต่ “สนธิ” หายไปไม่เห็นเงา

เจรจารอบสามจะงามไหม
แกนนำถามคนไทยก่อนจะเข้า
เสียงมวลชนชัดใสว่าไม่เอา
จะมุ่งเอาชนะใหญ่เลือดไหลริน

(๓๐ มี.ค.) พรบ. ความมั่นคงฯ
ขยายต่อ กทม. รอบรั้ว และหัวหิน
อ้างประชุมลุ่มน้ำโขงเหมือนตีกิน
ใช้อำนาจจนชินก็สิ้นพลัง

ระเบิดใส่ “มูลนิธิรัฐบุรุษ”
มุ่งตรงจุดจี้ที่คนเชื่อมมนต์ขลัง
ขาด “เปรม” เชื่อมให้คงไร้พลัง
จึงคลุ้มคลั่งสั่งตำรวจตรวจดูแล

ข่าว “ทักษิณ” ถูกขับจับมาเล่น
“สวีเดน” ตอบโต้ว่าตอแหล
ก.ต. ไทยใยโฆษณาสาระแน
ประชาธิปไตยเที่ยงแท้ไม่แคร์ไทย

ประชาธิปัตย์เสนอยุบหกธันวา
แล้วยี่สิบสามมกราเลือกตั้งใหม่
นปช. ตอบลั่นอย่างทันใจ
ยี่สิบล้านแดงไทยระดมมา

ปฏิเสธโดยไม่ปฏิเสธ
รัฐบาลหวังเศษเนื้อตรงหน้า
ก็จะขอสู้ขาดอำมาตยา
ไม่ต้องมาเล่นล้อต่อรองกัน

(๑ เมษ.) เว็บมาสเตอร์ “นปช.ยูเอสเอ”
ถูกจับเข้าซังเตไม่คาดฝัน
“เร๊ดอีเกิ้ล” ถูกส่งไปลงทัณฑ์
เพียงเพราะมั่นใจตามความเป็นคน

ใครกันหนอคือสายฝ่ายอำมาตย์
แอบรุกฆาตรุมจวกกับพวกปล้น
มุ่งทำลายอุดมธรรมที่ดำรง
สักวันหนึ่งมันคงต้องใช้กรรม

แกนนำแดงประกาศพร้อมคุยรอบสาม
แต่ “กอปร์ศักดิ์ฯ” สั่งห้ามจนล้มคว่ำ
อ้างว่าแดงดาวกระจายไม่ชอบธรรม
หากยังย่ำรุมล้อมไม่ยอมคุย

(๒ เมษ.) สหรัฐฯ ออกโรงอ้างเป็นกลาง
ไม่เข้าข้างสีไหนไร้ควันฉุย
แต่ขอเตือนอย่ารุนแรงในการลุย
พร้อมยอมคุยกับทุกสีดีทุกทาง

ยุติธรรมอำพรางระหว่างนี้
เร่งคดี “เร๊ดอีเกิ้ล” รวบหัวหาง
แต่คดี “สนธิ” กลับอำพราง
เลื่อนคดีไปเสียห่างอ้างพยาน

เสื้อชมพูรุมตีสี่เสื้อแดง
คนเวทีเครื่องแรงไม่มองผ่าน
จะเคลื่อนทัพทั่วกรุงมุ่งประจาน
อันธพาลครองเมืองคนของใคร

(๓ เมษ.) แล้วเสื้อแดงปักหลักราชประสงค์
จุดมุ่งหมายจะธำรงให้ยิ่งใหญ่
ประกาศก้องกู่เรื่องทั่วเมืองไทย
ยึดพื้นที่ส่วนใน กทม.

“อภิสิทธิ์” ดิ้นขอให้กลับผ่านฟ้า
ปวงประชาจึงเห็นว่าเป็นต่อ
ปิดแยกราชประสงค์คงเพียงพอ
วอนร้องขอคนไทยเข้าใจกัน

“ทักษิณ” คารวะคนเสื้อแดง
ฝ่ากำแพงยึดแยกเป็นที่มั่น
ราชประสงค์ไร้กำหนดเพื่อกดดัน
หวังคืนวันสว่างใสได้กลับมา

“จตุพร” ประกาศพร้อมทั่วประเทศ
หากถูกปราบขยายเขตไปทั่วหล้า
ศาลากลางทุกจังหวัดจัดคนมา
หากเข่นฆ่าประชาชนเจอคนจริง

(๔ เมษ.) ระเบิดตูมลูกใหญ่ “โพไซดอน”
จากเศษเหล็กปลิวว่อนจนนอนนิ่ง
เอ็ม ๖๗ “เอ็นบีที” ก็มีจริง
แทนที่จะสงบนิ่งยิ่งประลอง

(๖ เมษ.) อีกสองวันระเบิดลงที่ตรงพรรค
“ประชาธิปัตย์” โดนหนักจนเจ็บสอง
เป็นตำรวจเวรยามตามครรลอง
ระเบิดก้องหลังพรรคมุ่งหักใคร

ข่าวเข้ามาสลายม็อบมีรายวัน
แต่เบื้องหลังสารพันเชื่อวันไหน
“ณัฐวุฒิ” ว่าฝ่ายโน้นโยนกันไป
ไม่มีใครกล้ารับมาจับกุม

“ทักษิณ” งดโฟนข้ามสามวันรวด
ใช่เจ็บปวดป่วยไข้ให้เกียรติกลุ่ม
ท่านบอกว่าในวันนี้ที่ชุมนุม
เป็นที่ประชุมยุทธศาสตร์เด็ดขาดไป

การต่อสู้นี้มิใช่เพื่อ “ทักษิณ”
แต่สู้เพื่อแดนดินวิญญาณไพร่
ท่านกลายเป็นผู้ตามให้หามไป
ไม่มีใครบัญชาการนอกบ้านเมือง

(๗ เมษ.) “กี้” นำทัพบุกรัฐสภา
ถูกระเบิดโยนมาหวังมีเรื่อง
มวลชนพร้อมเข้าอัดเพราะขัดเคือง
กะเอาเรื่องรัฐบาลสังหารใคร

แต่สุดท้ายจบลงตรงไกล่เกลี่ย
“อภิวันทน์” ร่วมเคลียร์จนเลิกได้
แดงยอมรับเหตุผลก็ทนไป
เดินทางกลับเวทีใหญ่ในทันที

(๘ เมษ.) สมาคมนักข่าวฯ เขาแถลง
ปิดแต่ทีวีแดงไม่ถูกที่
อ้างฉุกเฉินอย่าละเมิดสื่อที่มี
ใช่เสรีเบ็ดเสร็จเผด็จการ

สามสิบหกเว็ปไซต์ถูกไล่ปิด
อ้างความผิดไม่ชัดดั่งรัฐทหาร
เสรีภาพทุกวันอันตรธาน
สิทธิในข่าวสารผลาญรายวัน

(๙ เมษ.) ลาดหลุมแก้วที่ตั้งของ “ไทยคม”
ทีวีแดงไม่มีชมก็หุนหัน
แก๊สน้ำตาน้ำมาใช้รุกไล่ควัน
บาดเจ็บกันยี่สิบสองต้องพยาบาล

(๑๐ เมษ.) และแล้ว...คืนเลือดกระจายทั่ว
ณ สี่แยกคอกวัวทุ่งสังหาร
กระสุนจริงสาดใส่เป็นสายธาร
มวลชนแดงถูกสังหารผลาญชีวี

อ้างว่าใช้กระสุนยางทุกย่างก้าว
แต่เกิดคาวเลือดยับด้วยทัพผี
ใครอยู่หลังสั่งทัพตัวอัปรีย์
ขอวิญญาณคืนนี้จงเป็นพยาน

แต่ปรากฏกำลังแปลกชำแรกเข้า
ชุดสีดำอมเทาเข้าล้างผลาญ
ช่วยปวงชนคนสู้กับหมู่มาร
จนทหาร ว. บอกถอยออกไป

คนเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลควานหาศพ
เกรงมันจะซ่อนหลบศพที่ไหน
นำวีรชนไร้วิญญาณผ่านฟ้าไทย
ขึ้นบูชาอาลัยในเวที

ร่างที่คลุมธงชาติประกาศบอก
เราปวงชนใช่คนนอกมีศักดิ์ศรี
ประกาศฆ่าประชาชนล้วนคนดี
ความอัปรีย์แห่งระบอบตอบอย่างไร

(๑๒ เมษ.) รัฐบาลแก้ตัวเป็นพัลวัน
อ้าง “เสื้อดำ” ผู้ลั่นกระสุนใส่
“ศอฉ.” ร่วมด้วยช่วยแก้ไป
แต่คลิปโชว์ชัดใสใช่มือปืน

คนเสื้อแดงร่วมงานศพวีรชน
ทั่วทิศาหลังล้นเพราะทนฝืน
ฝ่ายตรงข้ามคือทรราชอำนาจปืน
เสียงสะอื้นปนแค้นช่างแน่นทรวง

นั่งดูข่าวของทหารงานเดียวกัน
สื่อทุกสื่อยืนยันงานศพหลวง
ตาสว่างกันหรือไม่ไทยทั้งปวง
สิ่งใดลวงสิ่งใดจริงนิ่งพิจารณา

(๑๕ เมษ.) ราชประสงค์แน่นขนัดเพราะขัดข้อง
อาลัยรักพี่น้องต้องมาหา
เมื่อบ้านเมืองสีดำต้องนำพา
ตั้งใจฆ่าปวงชนย่อมดลใจ

บาปกรรมนี้มีจริงนิ่งไว้ก่อน
ทั่วนครมองตรงไม่สงสัย
เกิดสงครามเราบัดนี้รู้สู้กับใคร
ถึงเวลาแล้วเมืองไทยจักเปลี่ยนแปลง.

---------------------------------------------------------------------------------
ฝากประชาสัมพันธ์ต่อ :

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)