ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คนละเกม โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง คนละเกม

โดย กาหลิบ


พร้อมกับที่คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งครั้งนี้และตั้งความหวังไว้เสียสูงลิ่วว่าเศรษฐกิจของชาติจะดีขึ้นและการเมืองคงวุ่นวายน้อยลง คนกลุ่มเล็กๆ ที่มีอำนาจล้นพ้นในสังคมไทยกลับเล่นเกมที่แตกต่างจากมวลชนไทยโดยสิ้นเชิง

นั่นคือเขากำลังเดินเกมลดคุณค่าและความหมายของการเลือกตั้ง และหวังบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยในระยะยาวเพื่อการรักษาระบอบของเขา

เลือกตั้งครั้งนี้จึงแปรปรวนไปมาเหมือนใบไม้ในลมหมุน

เริ่มต้นมาจากการลุ้นระทึกว่าจะได้เลือกตั้งหรือไม่ได้เลือกตั้ง ซึ่งเป็นการท้าทายอำนาจของคนไทยเป็นล้านๆ คนที่แสดงความต้องการชัดเจนว่าต้องการเลือกตั้ง ตามด้วยการให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับต่ำอย่างกรรมการการเลือกตั้งออกมาส่งสัญญาณบ้าๆ บอๆ เสมือนจะล้มเลือกตั้งครั้งนี้ได้ทุกเมื่อ โดยอ้างเหตุผลแบบข้างๆ คูๆ

ให้สายพันธุ์พรรคประชาธิปัตย์ออกมาทำลายหลักการทางการเมืองของระบบรัฐสภา ด้วยการบอกว่าพรรคการเมืองทุกพรรคที่ได้รับเลือกตั้ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ไม่ต้องรอพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากสูงสุดพยายามจัดตั้งก่อนอย่างที่ทั่วโลกเขาทำกัน

ส่งสัญญาณผ่านกระบวนการ ปรองดองจนอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างคุณทักษิณฯ ออกมาพูดปรารภทำนองที่ว่า คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอาจจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงจะเป็นหมายเลขหนึ่งของพรรคที่ได้รับเสียงอันดับหนึ่งก็ตาม คล้ายจะเป็นการยืมมือฝ่ายประชาธิปไตยมาช่วยกวนกระแสบางอย่างให้มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยเกิดความไขว้เขว

ตรงกันอย่างประหลาดกับคุณเนวิน ชิดชอบ ที่ออกมาแหย่ว่าคุณยิ่งลักษณ์ฯ และคุณอภิสิทธิ์ฯ อาจไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งด้วยกันทั้งคู่

สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็เรียงหน้าออกมาโต้ตอบคุณเนวินฯ เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ส่งทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคออกมาสวนหมัด

หลายคนในพรรคเพื่อไทยคงลืมไปว่า ประโยคที่คุณเนวินฯ พูดในเชิงพยากรณ์นั้นเป็นข้อความเดียวกับที่ออกจากปากของคุณทักษิณฯ มาหมาดๆ ถึงภาษาที่ใช้จะต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกันอย่างชัดเจน

น่าสนใจที่สื่อมวลชนทั้งหลายที่ไป รับงานช่วยระบอบเก่าก็ออกมาช่วยตีข่าวขี้ปากของคุณเนวินฯ จนเป็นข่าวใหญ่ข่าวโตเหมือนชีวิตทั้งชีวิตขึ้นกับเรื่องนี้

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

ก็เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัมมาทิฐิหรือความตั้งใจอันดีของศักดินาไทย ไม่ใช่แม้แต่ความโอนอ่อนผ่อนตามความแข็งแกร่งของฝ่ายประชาชนอย่างที่หลายคนในฝ่ายเราคิด และมิใช่ความอ่อนแอของเขาในช่วงใกล้เปลี่ยนแปลงอย่างที่บางคนเข้าใจ

แต่เป็นกลศึกของฝ่ายเขา

จำได้ไหมว่า เมื่อขบวนประชาธิปไตยในช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๒ ทำท่าจะยกระดับขึ้นถึงระดับระบอบ ก็เกิดความแตกร้าวในฝ่ายประชาธิปไตยจนถึงขั้นประณามขับไล่กันกลางเวที แล้วคนที่เหลือบนเวทีนั้นก็นำขบวนไปสู่เป้าหมายที่เล็กลงเรื่อยๆ

เคยประกาศจะรุทำลายรังเผด็จการ ก็ลดลงมาเป็นการขอร้องให้ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่

จากการเลือกตั้งที่ตั้งใจล้างอิทธิพลของฝ่ายอำนาจเก่าให้สิ้น ก็ลดลงมาเพียงได้เป็นรัฐบาลเสียก่อน อำนาจรัฐจะได้จริงหรือไม่ได้จริงก็ช่าง

ตอนนี้ดูเหมือนจะลดเป้าหมายลงไปอีก ขอเป็นแค่ร่วมรัฐบาลก็อาจจะเอา และอ้างเหตุผล แบบเดิมว่าเอาอำนาจรัฐไว้เสี้ยวหนึ่งก่อน ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่คนพูดก็รู้ว่าอำนาจรัฐนั้นมีเพียง ๒ ทางคือได้กับไม่ได้ ไอ้เรื่องแบ่งอำนาจกับเขาอย่างลงตัวชื่นมื่น ไม่เคยปรากฎในสารบบการเมืองไทย

สุดท้ายเขาก็ยอมให้เลือกตั้ง แล้วเล่นเกมตอดนิดตอดหน่อยว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีและใครจะไม่ได้เป็น พรรคไหนจะได้เป็นเบี้ยของเขาในฝั่งรัฐบาลและใครต้องไปเป็นเบี้ยในฝั่งฝ่ายค้าน

ผู้เล่นเกมก็ต้องวิ่งตามเสียงเคาะกะลาไปตลอดทาง จนบางทีก็ลืมว่าเป็นคน

เป้าหมายสุดท้ายของเขาคือสูบความรักใคร่ นับถือ และศรัทธาจากมวลชนไปจนหมด พอเหลือแต่ซากแล้วเขาก็เสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่นำโดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล นายพลากร สุวรรณรัฐ หรือคนชนิดเดียวกันนี้ มานั่งแทนรัฐบาลเลือกตั้งที่ประชาชนเคยรักและเคยหวัง

เห็นไหมว่าคนละเกมแท้ๆ ทีเดียว.

-------------------------------------------------------------------------------

ภาพประกอบ : oknation.net

-------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย /e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทเรียนเลือกตั้ง 2552 โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง บทเรียนเลือกตั้ง ๒๕๕๐

โดย กาหลิบ


หลายคนในฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่ได้ร่วมกระบวนการเลือกตั้งกำลังรู้สึกเหมือนกับในช่วงก่อนวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ นั่นคือรู้สึกว่างงาน ไม่มีอะไรทำ ได้แต่ติดตามดูข่าวเขาหาเสียง รอเขาเรียกไปชุมนุมนานๆ ครั้ง และก็เตรียมไปหย่อนบัตรในวันที่เขากำหนดให้ใช้สิทธิ์

ยิ่งเมื่อเกิดรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชขึ้นแล้ว มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำหนักขึ้น จนถึงขั้นเหงา บางคนต้องละความสนใจจากการเมืองไปสู่กิจกรรมส่วนตัวชั่วคราว บางคนกลับไปประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อเลี้ยงตัวและกู้ฐานะที่ย่ำแย่ลงในระหว่างการต่อสู้

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถและความสร้างสรรค์ ไม่สามารถชี้ให้มวลชนส่วนใหญ่รู้สึกอยากเข้าร่วมกิจกรรมที่เชิงลึกต่างๆ รวมทั้งเข้ามาช่วยสร้างกิจกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยรักษากระแสความสนใจในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในภาพกว้าง

ถ้านักเลือกตั้งเอาแต่หัวคะแนน คนแจกใบปลิว เซลล์แมน คนทำป้าย พวกทำงานยามราตรี (จนหมาหอน) และมือปืน มวลชนส่วนใหญ่ก็จะขาดบทบาทอันพึงมีพึงเป็นในระบอบประชาธิปไตย

แล้วเห็นว่ารัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายก็พัง พังเพราะมวลชนถูกกันมิให้มีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๕๐ จนกระทั่งถึงวันที่เขายุบพรรคพลังประชาชนที่ทำให้รัฐบาลสมชายสิ้นสภาพทันที

น่าแปลกในที่ฝ่ายประชาธิปไตยอาศัยประชาชนเป็นด่านหน้าในการได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพในทางการเมือง จนพูดได้เต็มปากว่าวันนี้ได้เลือกตั้งกันถ้วนหน้าเพราะเรามีมวลชนเรียกร้องกดดันอย่างเข้มข้นอยู่ แต่เมื่อเข้าสู่ลู่แข่งขันแล้วบทบาทของอาสาสมัครทางการเมืองกลับหายไปอย่างฉับพลัน ในขณะที่ มืออาชีพทางการเมืองออกมาเล่นบทบาทนั้นแทน แต่ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์หรือเป็นงานอาสาอีกต่อไป

พรรคฝ่ายเผด็จการศักดินาอำมาตย์นั้นช่างเถิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่เอาประชาชนขึ้นก่อน แต่กดประชาชนไว้รองรับระบอบใหญ่ที่เป็นเจ้าเป็นนายเขาอยู่แล้ว

แต่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องออกแรงคิดในเรื่องนี้ให้มาก ไม่ใช่เพื่ออุดมคติอันสูงส่งก็เพื่อผลในการปกป้องรัฐบาลของตัวเอง

จำได้ไหม ตอนที่รัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายถูกกระหน่ำจนใกล้พังมวลชนเขาก็ถามกันระงมอยู่ทั่วประเทศว่าจะให้เขาทำอะไรบ้าง แล้วเขาก็ไม่ได้รับคำตอบ

ขณะที่รัฐบาลของประชาชนถูกทำลายลงเขาก็โกรธจนตัวสั่นหรือไม่ก็ร่ำไห้อย่างแค้นใจอยู่ที่บ้าน

บางคนที่ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็รู้สึกขาดพลังในการรวมตัวอย่างยิ่งใหญ่พอจะไปสู้รบกับศัตรูที่ใหญ่ยิ่ง

นเมื่อเขาหักหลังประชาชนเอารัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นมาไล่ล่าฝ่ายประชาธิปไตยและรักษาบ้านเมืองไว้ในเศรษฐกิจชนชั้น คือคนระดับประชาชนไม่สามารถลืมตาอ้าปากมาสู้กับก๊วนนายทุนเก่าและเศรษฐีเก่าได้ พวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยจึงทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้และสร้างเวทีต่อต้านกันอีกครั้ง

ความผิดพลาดที่สำคัญในครั้งนั้น และเราต้องกำหนดเป็นบทเรียนในครั้งนี้คือ การได้เป็นรัฐบาลหรือได้ร่วมรัฐบาลไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

โห่ร้องยินดีได้ แต่โปรดอย่าหลงใหลใฝ่ฝัน

ชัยชนะที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการคือการฟื้นฟูความเป็นประชาธิปไตยของประเทศในทุกๆ มิติ ลดอำนาจและอิทธิพลของอำนาจเก่าในทุกๆ มิติ และมุ่งสร้างระบอบประชาชนให้เป็นรูปธรรมอย่างไม่รีรอ

ในกระบวนการเลือกตั้ง ต้องเดินหน้าจัดตั้งประชาชนให้ตระหนักชัดว่าใครคือศัตรูตัวจริง โดยให้พี่น้องของเรามีข้อมูลและมีหลักฐานอันชัดเจนให้ช่วยจัดตั้งไล่เรียงไปเรื่อย ในขณะที่ฝ่ายเลือกตั้งก็ช่วงชิงอำนาจในรัฐสภาอย่างฉลาดและมีสติ

กลุ่มปกป้องระบอบประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นและใช้เครื่องมือที่จำเป็นทุกชนิดในภารกิจนั้น

เรื่องสุดท้ายนี้ถ้าเขาไม่ทำ เราประชาชนก็ต้องลงมือทำ.

---------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย /e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สัญญาณพันธมิตร โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สัญญาณพันธมิตรฯ

โดย กาหลิบ

ได้ยินใครต่อใครถามกันเซ็งแซ่ไปว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่และจะออกหัวออกก้อยอย่างไร ถึงคำถามเรื่องเลือกตั้งจะเป็นคำถามในเรื่องเล็กๆ ของวิกฤติไทยอันใหญ่หลวง แต่เป็นตัวบ่งชี้ (indicator) อย่างหนึ่งให้เรานำมาศึกษาในภาพกว้างได้ เช่นเดียวกับสภาพการดำรงอยู่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเดินหน้าตั้งเวทีประท้วงอย่างยืดเยื้อ ถึงแกนนำจะแตกกันแล้วแตกกันอีกจนเหลือสาวกเสื้อเหลืองมานั่งตากแดดตากน้ำค้างอยู่ที่เวทีเพียงหยิบมือเดียวก็ตาม

หากพิจารณาตัวการเลือกตั้งและตัวพันธมิตรฯ ประกอบกัน เราจะพบความสัมพันธ์เกี่ยวข้องชนิดลึกซึ้งที่นำมาพยากรณ์ได้ว่าการเมืองไทยในภาพใหญ่จะเคลื่อนไปทางไหน ประชาธิปไตยหรือเผด็จการชนิดหนักข้อขึ้นอีก

ใครปรายตามองก็จะรู้ว่า พันธมิตรฯ เหลือแต่ซาก ที่ยังประโคมกระแสคลั่งชาติในเรื่องเพื่อนบ้านและโหมต่อต้านการเลือกตั้งกันอย่างแข็งขันได้ ก็เพราะมีสื่อของตัวเองเท่านั้น จำนวนมวลชนหน้าเวทีก็หรอมแหรมเหมือนหญ้าที่ปลูกไม่ขึ้น จนไม่กล้าเอากล้องทีวีถ่ายในมุมกว้าง ความขัดแย้งของแกนนำผู้ร่วมก่อตั้งพันธมิตรฯ มาด้วยกัน ก็คงถึงขั้นเลิกเผาผีกัน แต่พันธมิตรฯ ก็ยังได้รับ อนุญาตให้มีสภาพขบวนประท้วงอยู่ตรงนั้นทั้งที่ขาดลักษณะขององค์กรมวลชนไปนานแล้ว สื่อกระแสหลักที่เคยรายงานชี้ว่าผู้ประท้วงฝ่ายเหลืองฝ่ายแดงฝ่ายชมพูมีมากน้อย ก็เงียบเฉยไม่ทำหน้าที่ของตนเอง

สำคัญที่สุดคือตำรวจเข้าเกียร์ว่างอย่างหนัก การประท้วงซีดๆ แกนๆ อย่างนี้ หากเป็นรายอื่นคงถูกเคลียร์พื้นที่ไปเสียนานแล้ว แต่คราวนี้กลับนิ่งอย่างประหลาด

เช่นเดียวกับกองทัพ ที่แม้ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกประณามหยามเหยียดอย่างหนักอยู่หลายครั้ง เที่ยวนี้กลับระงับอารมณ์ได้ ทั้งที่การระเบิดอารมณ์เป็นวิสัยสันดานของเขา

นี่ขนาดเส้นทางขบวนเสด็จพระราชดำเนินเมื่อวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญต้องเปลี่ยน เพราะมีเวทีพันธมิตรฯ ขวางทางอยู่ คนเหล่านี้เขาก็ไม่ปริปากและไม่ทำอะไร สมาชิกพระราชวงศ์ที่เสด็จฯ ในวันนั้นในฐานะผู้แทนพระองค์ฯ คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

บวกเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้วก็ชัดเจนว่า ม็อบมีเส้นอย่างพันธมิตรฯ ปัจจุบันก็ยังมีเส้นและเจ้าของค่ายพันธมิตรฯ ก็ยังโอบอุ้มอุปถัมภ์และใช้งานเขาอยู่

ข่าววงในเข้ามาประกอบว่า คนที่ใครๆ นึกว่าเป็นเจ้าของค่ายพันธมิตรฯ เขาเพิ่งไปเจอหน้าคนที่เป็นนายเหนือเขามาหมาดๆ ก็ได้รับการทักทายปราศรัยจาก นายใหญ่อย่างอบอุ่น ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าคือสัญญาณสนับสนุนให้ช่วยป่วนเมืองและทำลายระบอบประชาธิปไตยต่อไป

เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ก็กลับมาดูการเลือกตั้งที่หลายคนฝันและหวังว่าอำนาจรัฐจะหล่นใส่ตักของตนอย่างน้อยก็กระบิหนึ่ง

วันนี้เห็น คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เข้าคุก คุณประชา ประสพดี ถูกยิง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกรุมด้วยข้อมูลแบบรวมการเฉพาะกิจของหลายหน่วยงานโดยเฉพาะด้านความมั่นคง เห็นเอแบคโพลเผยผลสำรวจว่าประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมสูงกว่าเพื่อไทยเมื่อเปรียบเทียบกับผลคราวก่อน โดยไม่ได้บอกให้ชัดว่าคำถามในการสำรวจสองครั้งแตกต่างกันอย่างไร

เอาไปรวมกับสภาพการดำรงอยู่ของพันธมิตรฯ ออกมาเป็นการเลือกตั้งภายใต้กลไกของระบอบเดิมที่ไม่มีความหวังดีต่อการเสริมสร้างประชาธิปไตยในเมืองไทย

เขาทำร้ายประเทศชาติและประชาชนด้วยการทำลายการปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ.๒๔๗๕ มาจนถึงทุกวันนี้อย่างไร เขาก็ยังกอดจุดยืนเช่นนั้นเอาไว้ไม่เปลี่ยน

สิ่งที่เปลี่ยนคือหน้าคนที่เขาเรียกใช้งานและวิธีการที่ใช้เท่านั้นเอง

แต่หมายความว่าเราควรถอยจากการเลือกตั้งและหันหลังให้กับกระบวนการนี้หรือ?

คงไม่ใช่

ความหมายทางปรัชญาของเรื่องนี้คือการเลือกตั้งครั้งนี้ควรจะเป็นพิสูจน์ท้ายๆ ของสภาพการณ์ของการเมืองไทยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตยได้แล้ว หากคราวนี้ต้องผิดหวังและฝันสลายอีก วิญญูชนก็ควรคิดล่วงหน้าว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป ปล่อยให้เหล่า อเวไนยสัตว์เพลิดเพลินกับกรงขังและเศษเนื้อเศษกระดูกที่ฝ่ายตรงข้ามเขาโยนให้ไปเถิด

ฝ่ายประชาธิปไตยทั้งที่ศรัทธาและไม่ศรัทธาในการเลือกตั้ง ทั้งคนที่อยู่ในพื้นที่อำนาจของ เขาและอยู่นอก เวลานี้ควรแตะมือกันอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าหมายเพื่ออนาคตของชาติได้แล้ว

สิ่งที่เคยคิดว่านานนักหนาอาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีได้.

------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PNกดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทดสอบมวลชน โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ทดสอบมวลชน

โดย กาหลิบ

ขณะนี้ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ และ คุณนิสิต สินธุไพร แกนนำสำคัญของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินทั้งสองท่านกำลังถูกคุมขัง เพราะศาลถอนประกันไปตั้งแต่ก่อนวันหยุดยาวห้าวัน คำถามว่าจะมีเลือกตั้งหรือไม่ หรือการเลือกตั้งจะดุเดือดรุนแรงเพียงใด กำลังระงมไปทั่วประเทศ

บางคนถามเสียงแผ่วๆ ว่าเขายังปรองดองกันอยู่หรือเปล่านี่

เราต้องถือว่า คุณจตุพรฯ เป็นทั้งสัญลักษณ์และเป็นทั้งเนื้อหาที่สำคัญของกลุ่มพลังมวลชนที่ชื่อ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยเป็นจำนวนมากยอมรับในข้อนี้และยินยอมเคลื่อนไหวตามที่คุณจตุพรฯ ร้องขอมาตลอด การตัดสินใจนำคุณจตุพรฯ ไปขัง จะไม่กี่วันหรือจะนานเนิ่นก็ตามที ย่อมเป็นวิธีพิสูจน์อย่างหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม หากประสงค์จะรู้ว่าคุณจตุพรฯ มีอิทธิพลต่อมวลชนมากน้อยขนาดไหน หรือมีแผนจัดตั้งและเตรียมการแสดงพลังของมวลชนไว้อย่างไร กรณีนี้ก็คงจะบอกได้บ้าง

ปรองดองหรือไม่ปรองดองก็ตาม แต่งานนี้คือบททดสอบทางการเมืองที่มีความหมายไปถึงการเลือกตั้งทั้งหมด

จะได้เลือกตั้งหรือไม่ได้ จะได้จัดตั้งรัฐบาลที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีอำนาจชี้นำหรือไม่ได้ จะถูกโค่นล้มทำลายด้วยกลไกต่างๆ ของรัฐหรือไม่ กรณีนี้ช่วยฉายไฟเข้าไปสู่ประเด็นที่มืดมนได้พอควร

พูดกันมาหลายครั้งแล้วว่า ถ้าใครในขบวนประชาธิปไตยตั้งเป้าไว้แค่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กองทัพบก พรรคประชาธิปัตย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือหน่วยราชการใดๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในฐานะฝ่ายตรงข้ามที่ไม่มีอะไรเหนือยิ่งกว่า ใครคนนั้นก็จะยังคงมีศรัทธาต่อระบบภายในของรัฐไทยปัจจุบันอยู่ไม่มากก็น้อย

เช่น เชื่อว่าศาลในฐานะสถาบันให้ความยุติธรรมได้

เชื่อว่ากองทัพมีความเป็นประชาธิปไตยพอที่จะไม่รัฐประหาร

เชื่อว่านักวิชาการมีอิสระพอที่จะทำหน้าที่ยามหรือสุนัขเฝ้าบ้านทางสังคม เป็นต้น

และท้ายที่สุดก็เชื่อว่า ประชาชนอย่างเราๆ แสวงหาความชอบธรรมและอำนาจบางส่วนได้จากกลไกการเลือกตั้งแบบปัจจุบัน

เอาหลักฐานล่าสุดมาดูก็จะเห็น

คุณจตุพรฯ และคุณนิสิตฯ จะลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่พรรคเพื่อไทยมีมติ ก็ต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อนจะกระทำได้ แสดงว่า มติมหาชนหรือข้อกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีราคาเป็นศูนย์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้พิพากษาหรือองค์คณะที่เขาจัดมาให้ว่า ประชาชนเต็มขั้นอย่างคุณจตุพรฯ และคุณนิสิตฯ มีสิทธิพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

พวกเราที่หลักไม่ค่อยมั่น ถ้าได้ยินข่าวว่าเขาอนุญาตให้มาสมัครได้ ก็จะรู้สึกตื่นเต้นยินดีว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในบ้านเมือง และทึกทักว่าโอกาสจะเอาการเลือกตั้งมาเป็นเครื่องมือช่วงชิงชัยชนะของประชาชนยังมีความเป็นไปได้สูง

ลืมไปว่า ความยุติธรรมที่ต้องรอลุ้นเหมือนยืนรอให้ใครเขาโยนของอะไรมาให้นั้น หาใช่ความยุติธรรมไม่ แต่เป็นระบบน้ำใต้ศอกที่ต้องรอให้เบื้องบนเขาดูดกินจนเพลิดเพลินเสียก่อนจึงจะได้มา หรือส่วนใหญ่ก็อดเลยด้วยซ้ำ

ตัวข้อกล่าวหาหรือ มาตรา ๑๑๒ ของประมวลกฎหมายอาญาเองก็คือหลักฐานอันชัดเจนว่าเมืองไทยหามีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคอันเป็นหัวใจ ๓ ดวงของประชาธิปไตยไม่

มีข้อยกเว้นว่า พิเศษอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้จะเรียกว่าประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยก็ต้องอายตัวเองและอายโลก

กรณีคุมขังคุณจตุพรฯ และคุณนิสิตฯ คราวนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่

มวลชนเป็นจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนทัศนะต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้แล้ว

เหลือเพียงว่าเมื่อไหร่จะปรับเปลี่ยนทัศนะและแสดงอย่างเปิดเผยถึงโครงสร้างเผด็จการสันดานไทยที่กดทับประเทศชาติอยู่เท่านั้น.

----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PNกดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประชา ประสพดี...งานนี้เพิ่งเริ่มต้น


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ประชา ประสพดี...งานนี้เพิ่งเริ่มต้น

โดย กาหลิบ


นับว่าโชคดีที่ คุณประชา ประสพดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ รอดชีวิตมาได้จากการลอบสังหารที่พระประแดง อันเป็นเรื่องที่ชี้ไปสู่ปมการเมืองอย่างชัดแจ้ง เรื่องนี้จะเป็นโชคดีหรือฝ่ายตรงข้ามต้องการเพียง ส่งสัญญาณเตือนผ่านกรณีคุณประชาฯ เรายังไม่ทราบชัด ที่ชัดคือ กรณีนี้เป็นคำเตือนอีกครั้งสำหรับผู้ที่นึกฝันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะบริสุทธิ์ ยุติธรรม ปลอดจากอำนาจรัฐแทรก จะได้ตระหนักเสียทีว่า ระบอบที่ครอบ ระบบเลือกตั้งนั้นเป็นฉันใด

มัวแต่นั่งตอบอย่างเท่ว่า รู้ว่าสู้กับใคร แต่ไม่อยากจะพูดให้โง่ สุดท้ายอาจไปเท่อยู่บนสวรรค์โน่น

ไม่ใช่ความลับอันใดที่ฝ่ายตรงข้ามเตรียม เก็บผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก และเขารู้ดีว่าโอกาสของเขาคือในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ๓ ก.ค. ขณะนี้จึงมีมืออาชีพถูกเรียกตัวเข้า รับงานเป็นจำนวนมากกว่าปกติ

สถานการณ์การเมืองไทยชัดเจนว่าเป็นระยะเผชิญหน้ากันระหว่างระบอบเก่ากับระบอบประชาชนซึ่งกำลังก่อรูปขึ้นอย่างช้าๆ แต่มั่นคง การเลือกตั้งเที่ยวนี้เป็นเพียงบทพิสูจน์ว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันได้บ้างหรือไม่ในระบอบเดิม

ถ้าไม่มีอะไรนอกบท ก็อาจจะร่วมเตียงกันไปชั่วระยะหนึ่ง แต่ต่างฝ่ายต่างก็จะระแวงกันจนรัฐบาลพังลงในที่สุด

ถ้าเล่นนอกบทและชัดแจ้ง เช่น ใบแดงมากผิดปกติ แย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร้มารยาททางการเมือง เดินหน้ายุบพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ยุขบวนประท้วงข้างถนนให้รบกับรัฐบาล เป็นต้น รัฐบาลนั้นก็จะถึงแก่กาลกิริยาในลักษณะที่ไม่ต่างจากครั้งคุณสมัคร สุนทรเวชและคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และก็จะมีคนออกมาป่าวประกาศเรียกประชาชนออกมารวมตัวกันสู้กับเขาอีก

เงื่อนไขของการลุกขึ้นสู้เมื่อพินาศแล้วนี่เอง ทำให้เขาต้อง เก็บคนหลายคนเสียก่อนที่วันนั้นจะมาถึง

แกนนำที่มีชื่อเสียงก็มีอันตราย แต่ผู้ที่จะอันตรายกว่าคือแกนนำประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าคนบนเวทีและออกโทรทัศน์ช่องแดง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการระดมมวลชน และถูกเชิญจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตยให้ไปช่วยเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมากในขณะนี้

ผู้นำประชาธิปไตยท้องถิ่นที่มีฐานะปานกลางถึงยากจน ย่อมไม่มีงบประมาณจ้างคนมาอารักขา แต่จะต้องออกเดินสายทั่วไปในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าทำร้ายได้มาก

ฝ่ายตรงข้ามเขารู้ว่าตรงนี้เป็นกลไกสำคัญ ถ้าเขาเก็บแกนนำท้องถิ่นได้ เขาก็กดหัวชาวบ้านให้อยู่ในความกลัวได้

อย่าลืมเป็นอันขาดว่ากลุ่มพลังต่างๆ ในฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับแกนนำท้องถิ่นผู้เสียสละและกล้าหาญเหล่านี้ทั้งสิ้น เราเห็นขบวนประท้วงที่มีผู้คนล้นหลาม ทั้งน่าชื่นใจและน่าครั่นคร้ามสำหรับฝ่ายตรงข้าม เราต้องไม่ลืมบทบาทของแกนนำท้องถิ่นที่อดตาหลับขับตานอนและทำให้การระดมพลังเช่นนี้เกิดขึ้นได้ทุกครั้งคราว

ขอเตือนว่า ตัวแทนในระดับชาติของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะผู้สมัคร ส.ส. มีหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลให้ความปลอดภัยอย่างดีที่สุดสำหรับแกนนำท้องถิ่นในพื้นที่ของตน การประกันอย่างสมบูรณ์นั้นย่อมทำได้ยาก แต่อย่างต่ำต้องวางแผนและรับรู้ซึ่งกันและกันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อลดโอกาสและความเสี่ยงอันตรายจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีทั้งคู่แข่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่แอบแฝงตัวอยู่ในพื้นที่

อย่าเอามือดีไปล้อมรอบตัวเองไม่รู้จักกี่รอบจนดูคล้ายเจ้าพ่อมาเฟีย ในขณะที่แกนนำสำคัญของตัวต้องเดินล่อนจ้อนปราศจากกลไกป้องกันตัวใดๆ ต้องแบ่งกำลังมาดูแลกันบ้าง

การยิงคุณประชา ประสพดีแล้วรอดได้ แปลว่า ฝ่ายตรงข้ามคงกำลังทบทวนบทเรียนของในรายต่อๆ ไปให้ได้ผลยิ่งขึ้นสำหรับเขา จะไปคิดประมาทว่ามือไม่ถึงหรือขาดความสามารถไม่ได้

ข่าวลือลอยลมมาว่า ในรายชื่อมี ๑๒๐ คน หรือมากกว่านั้นบ้าง ก็ควรสดับตรับฟังด้วยสติ

เลือกตั้งครั้งนี้มีเดิมพันสูงกว่าทุกคราว เพราะจะยืนยันว่าระบอบใดคืออนาคตของลูกหลานไทยกันแน่ ฝ่ายตรงข้ามเขาก็ย่อมระดมสรรพกำลังเพื่อพิสูจน์ว่าฝ่ายประชาชนเป็นผู้ผิด

สุนัขจนตรอกยังอันตรายนี่ครับ.

-----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PNกดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มวลชนหลังยุบสภา โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง มวลชนหลังยุบสภา

โดย กาหลิบ


การประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอาจเป็นสิทธิ์แท้จริงของใครก็ตามที่ชักใยอยู่หลังนายกรัฐมนตรีผู้นั้นโดยเฉพาะ แทบไม่เคยเป็นการตัดสินใจของมวลมหาประชาชนเลย

คะเนว่าเขาจะยุบสภาเมื่อไหร่และหวังให้ประโยชน์ทางการเมืองต่อเขาเองอย่างไรนั้น ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะเราจะได้ รู้เท่าทันเขาในระดับหนึ่ง แต่มวลมหาประชาชนไม่ควรเผลอใจไปคิดว่าเขายุบสภาเพื่อตนหรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจนถึงกับนั่งกระหยิ่มยิ้มย่องรอคอยอำนาจ หล่นมาบนตักของตนเหมือนผู้ประกอบอาชีพทางการเมือง

ผู้ประกอบอาชีพทางการเมืองแท้ๆ เขามีผลประโยชน์อยู่กับระบบหัวคะแนน ระบบจัดตั้งมวลชนเพื่อคะแนนเสียง ความยึดโยงกับพรรคการเมืองที่เขาสังกัดโดยเฉพาะในการของบประมาณ ฯลฯ เขาย่อมได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเลือกตั้งโดยพระหรือโดยโจร คนชนิดเขารอรับผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวกได้เสมอ

แต่มวลมหาประชาชนในระยะที่ต้องต่อสู้อย่างสาหัสเพื่อให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ นั้น จะทุ่มใจไปกับการเลือกตั้งอย่างคนสมองบอดมิได้ การเข้าร่วมเลือกตั้งแต่ละครั้งจำเป็นต้องตั้งสติระลึกรู้โดยเฉพาะในคราวที่เดิมพันหลายอย่างของบ้านเมืองขึ้นไปตั้งอยู่บนนั้นเช่นในครั้งนี้

พูดให้ชัดคือ ร่วมเลือกตั้ง แต่อย่าหลงเลือกตั้ง

มวลมหาประชาชนของฝ่ายประชาธิปไตยควรร่วมเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยความตระหนักว่า บัดนี้การต่อสู้ได้แยกออกเป็นสองขั้นแล้ว ขั้นแรกคือการเลือกตั้งตามระบบเลือกตั้งปัจจุบัน นั่นคือเลือกกันภายใต้ระบอบเผด็จการแบบเก่าที่ครอบงำประเทศมาตลอดและยังครอบงำอยู่เสมอ ส่วนขั้นสองคือการจัดตั้งประเทศชาติบ้านเมืองไว้สำหรับการปฏิวัติประชาธิปไตย เมื่อใดก็ตามที่เกิดเงื่อนไขที่สามารถนำพาเราไปสู่จุดนั้นได้

มวลมหาประชาชนสามารถเข้าร่วมในทั้งสองขั้นตอนได้ แม้ในการเลือกตั้งที่เรากลัวว่าเขาจะโกง เอาเปรียบด้วยวิธีการต่างๆ การแทรกแซงของกองทัพและฝ่ายรัฐเดิม หรือความรุนแรงที่จะปรากฏขึ้นในกระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง เราก็เข้าร่วมได้ในฐานะผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังลังเลอยู่ว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตยโดยไม่ต้องปฏิวัติได้หรือไม่

คนที่เขาตาสว่างโพลงแล้วเขาไม่ต้องมานั่งสังเกตการณ์หรือวัดผลอะไรอีกแล้ว เขาก็เตรียมการรอรับสถานการณ์ในห้วงต่อไป เพราะประเทศหมดทางไปเสียแล้วในเชิงโครงสร้าง เขารู้ดีว่า พิธีกรรมทางการเมืองเป็นการฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ช่วยจัดตั้งคนที่ตายังสว่างไม่เต็มที่ไปพลางๆ

ไม่เสียเวลาอะไรต่อฝ่ายประชาธิปไตย เพราะฝ่ายประชาธิปไตยรอได้ ฝ่ายตรงข้ามเสียอีกที่เขารอไม่ไหวเพราะไฟธาตุริบหรี่ลงทุกขณะ

มวลชนหลังยุบสภาจึงมีหน้าที่อยู่ไม่น้อยหากยอมตัวเป็นอาสาสมัครของฝ่ายประชาธิปไตย ขออนุญาตเสนอแนะแบบสั้นๆ แบบเตือนความจำไว้ตรงนี้

๑. การจัดตั้งทางความคิดกับมวลชนอื่นๆ เพื่อให้เขาตาสว่างอย่างท่านต้องกระทำต่อเนื่อง ใครคุยเก่งคุยไป โดยเฉพาะในกลุ่มเสวนาย่อยที่ต้องตั้งกันให้มากและหลากหลาย ใครถ่ายเอกสารจนคุ้นมือและรู้วิธีที่จะแจกจ่ายให้ทั่วถึงโดยไม่เสียของ ก็โปรดทำต่อไป ใครชำนาญการซีดีก็ขอให้เดินเครื่องอย่างไม่หยุดยั้ง หรือจะสรรหาวิธีการอื่นใดมาขยายผลเรื่องนี้ก็ขอเชิญทำให้เต็มที่ โดยเฉพาะไซเบอร์

๒. มวลชนผู้มีความสามารถและทักษะบางด้านเฉพาะตัว ขอให้ท่านเตรียมรวมตัวกันเป็นหน่วยปกป้องการทำลายรัฐบาลและรัฐสภาที่มาจากประชาธิปไตย อย่าลืมว่าประชาชนมีทั้งความชอบธรรมและปริมาณ สามารถกดดันให้ผู้ทำลายประชาธิปไตยแพ้ภัยไปได้ ประชาชนอย่างเราจำต้องระลึกรู้อยู่เสมอว่า อำนาจเก่าไม่มีวันสยบยอมต่อมหาชน ดั่งที่เขาพูดว่าเชื้อชั่วไม่ยอมตายนั่นแล บทเรียนเรื่องนี้ เราท่านได้รับมาพร้อมกันหลังการเลือกตั้ง ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ที่มวลชนเลือกรัฐบาล (สมัคร-สมชาย) และเขาทำลายรัฐบาลที่เราเลือก

๓. ให้ผู้ประสานภารกิจประชาธิปไตยนอกประเทศมุ่งมั่นทำงานต่อไปโดยไม่ต้องคิดกลับ แบ่งให้ชัดระหว่างยุทธวิธีเลือกตั้งกับยุทธวิธีอื่นๆ ผู้ที่มุ่งหวังเปลี่ยนแปลงประเทศตรงนัยสำคัญอย่ามาห่วงหาอาลัยกับพิธีกรรมเลือกตั้งในครั้งนี้ เมื่อประเทศสว่างขึ้นแล้วจะมาลงเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐก็ไม่ว่ากัน ประเด็นนี้เกี่ยวพันกับมวลชนประชาธิปไตยทั้งในต่างประเทศและในประเทศ มวลชนนอกประเทศที่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ประสานภารกิจเหล่านี้ได้โปรดสนับสนุน ส่วนมวลชนในประเทศก็ต้องทำงานส่งไม้กันอย่างใกล้ชิดและในทางลับ เพื่อให้งานทั้งสองส่วนนี้ประสานสอดคล้องกัน

บางท่านอาจเหนื่อย ท้อ และหมดเปลืองไปมากกับการต่อสู้ที่ผ่านมาจนแทบจะไม่อยากสู้อีก แต่โปรดรับรู้ไว้เถิดว่ามวลมหาประชาชนอย่างเราๆ มีโอกาสชนะ เขา สูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา.

----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PNกดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยึดสนามหลวง โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ยึดสนามหลวง

โดย กาหลิบ

ในที่สุดก็แจ่มแจ้งต่อคนทั้งหลาย โครงการที่กรุงเทพมหานครเรียกเสียสวยหรูว่าการปรับปรุงภูมิทัศน์ของทุ่งพระเมรุหรือสนามหลวงของคนไทยทั่วประเทศ ที่ทำให้ต้องปิดสนามหลวงไปถึงหนึ่งปีเต็มๆ ที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงคือแผนการยึดสนามหลวงไปจากประชาชน และเปลี่ยนเจตนารมณ์ของประชาชนให้กลายเป็นผลประโยชน์ของชนชั้นนำของไทยโดยอ้าง กฎหมายมาปล้นเวทีสาธารณะทางการเมืองแห่งนี้เอาดื้อๆ

บัดนี้สนามหลวงกลายสภาพเป็น โบราณสถานไปเสียแล้ว จึงอยู่ภายใต้กฎหมายโบราณสถานที่กรมศิลปากรมีอำนาจบังคับใช้ นั่นแปลว่า ใครก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่า ละเมิดโบราณสถานที่มีชื่อว่าสนามหลวง จะมีความผิดขนาดหนัก หนักขนาดถูกจำคุก ๑๐ ปีและถูกปรับได้ถึง ๑ ล้านบาทนั่นเลย

กรุงเทพมหานครแถลงสำทับว่า เขาจะติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิดหรือ CCTV จำนวน ๔๒ ตัวรอบบริเวณสนามหลวง จะจ้างเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิ่มอีก ๗๐ อัตรามาคอยลาดตระเวน ประชาชนคนธรรมดาได้รับ อนุญาตให้เดินผ่านถนนคั่นกลางสนามหลวงได้ แต่ถ้า บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ข้างเคียงก็แสดงว่าบุกรุกโบราณสถาน รัฐไทยโดยกรุงเทพมหานครก็จะมาลากตัวไปชำระโทษอย่างรุนแรงต่อไป

ที่สำคัญคือกรุงเทพมหานครประกาศอย่างไม่กลัวฟ้าดินหรือจะอยากให้ฟ้าดินได้ยินก็ไม่ทราบได้ว่า ความเป็นเวทีสาธารณะทางการเมืองของสนามหลวงได้สิ้นสุดยุติลงแล้ว ต่อไปใครจะมาใช้พื้นที่เพื่อ การแสดงออกทางการเมืองของตน ไม่ว่าพรรคการเมือง กลุ่มพลังประชาธิปไตย หรือตัวบุคคลผู้มีสิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญใดๆ ก็ตาม ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป

นึกถึงภาพประชาชนและกลุ่มพลังที่ตระหนักในสิทธิความเป็นคนของตัวเอง ที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจเผด็จการและเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยในแผ่นดิน อย่างเมื่อคราวรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่เป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งของขบวนประชาธิปไตยที่เติบใหญ่เรื่อยมา ก็จะสะท้อนใจและซึมซาบในความหมายของการยึดสนามหลวงครั้งนี้

สนามหลวงคือเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนคนเดินดิน คือสถานที่ที่มนุษย์ผู้มีจิตสำนึกทางการเมืองถือเป็นเวทีที่ยืนยันความเป็นคนของตน โดยเฉพาะในระบอบไทยที่อ้างกันว่า พิเศษ มีเอกลักษณ์ ก็ได้ใช้สนามหลวงซึ่งตั้งอยู่ข้างพระบรมมหาราชวังอันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ไทยมาตลอด

การยึดสนามหลวงแล้วเอาไปปิด ก็เท่ากับปิดช่องทางสื่อสารระหว่างสถาบันโบราณและสถาบันร่วมสมัยอย่างสถาบันประชาชน ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์การเมืองไทย

โง่เขลา หรือ เจตนาจะสร้างเหตุจูงใจให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ บอกยาก

รู้แต่ว่า คำสั่งยึดสนามหลวงมาจากแหล่งอำนาจที่เหนือกว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่าง ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร และรองผู้ว่าราชการฯ คนที่ออกมาแถลงข่าวมากนัก ใครรู้สึกขัดเคืองใจในเรื่องนี้ โปรดระบายถ่ายทอดอารมณ์ของตนในระดับที่เหนือขึ้นไป

อย่ามาอ้างว่าสนามหลวงเต็มไปด้วยปัญหาจึงต้องปิด เพราะไม่ว่าการค้าประเวณีหญิงชาย ยาเสพติดและสารเสพติด การหลอกลวงนานาประเภท ฯลฯ แก้ได้ด้วยการบริหารและการเคารพสิทธิที่เท่าเทียมกัน หรือเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างขั้นต้นที่จะบอกว่า เมื่อไม่พอใจประชาชนบางกลุ่มก็เลยให้ทหารออกมารัฐประหารยึดมันทั้งเมือง เพื่อจะบอกโดยนัยว่าบ้านเมืองเป็นของใคร

สนามหลวงหลังถูกยึดอำนาจคงได้รับงบประมาณจากภาษีของประชาชนมาตกแต่งจน งดงามแบบราชการ แล้วเอาไปเป็นข้ออ้างตื้นๆ แคบๆ ได้ว่า เห็นไหม ยึดคืนมาเป็นของรัฐแล้วสนามหลวงดีขึ้น

เจตนาสำคัญคือเพื่อให้ลืมว่าเดิมทีประชาชนเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนั้นโดยพฤตินัย

เจตนาที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคงอยากให้ลืมกันไปเลยว่าประเทศนี้เป็นของประชาชน ใครที่มันชอบอ้างลัทธิประชาธิปไตยมายืนยันสิทธิประชาชน ก็พรากมันเสียจากสิทธินั้น มันจะได้สำนึกว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีประชาธิปไตย ยกเว้นประชาธิปไตยใส่หน้ากากที่เอาไว้โฆษณาชวนเชื่อกับโลกอารยะ

การยึดสนามหลวงครั้งนี้คือการรัฐประหารโดยใช้กฎหมายเข้าอ้าง เพราะเป็นการปล้นสิทธิของประชาชนในการแสดงออกทางการเมืองโดยเสรี

เขาคงนึกว่าการประกาศสงครามกับมวลชนเท่าที่ผ่านมายังไม่พอ.


----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PNกดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บิน ลาเด็นกับประชาธิปไตยไทย โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง บิน ลาเด็นกับประชาธิปไตยไทย

โดย กาหลิบ

ขณะที่หน่วยคอมมานโดสหรัฐฯ แอบบุกแผ่นดินปากีสถานเพื่อไล่ล่าสังหาร โอซาม่า บิน ลาเด็น ผู้นำขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงอัล-กออิดะห์ จนประสบความสำเร็จตามข่าว นั่นคือได้ลั่นกระสุนสังหารบิน ลาเด็นและพวกอีก ๔ คน จนเลือดสาดกระจายบ้านพักไปแล้วนั้น ผู้ควบคุมแผนสังหารครั้งนี้คงนึกว่าทุกอย่างคงจบสิ้นลง โลกคงจะแซ่ซ้องสรรเสริญใน ความสำเร็จของตน

ที่สำคัญคือ ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าคงฉวยเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลเพื่อถอนทหารอเมริกันออกจากสมรภูมิอัฟกานิสถานตามนโยบายที่ประกาศไว้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ก่อนถูกดูดเข้าสู่หลุมดำแห่งสงครามจนต้อง แพ้เหมือนเมื่อคราวประธานาธิบดีจอห์นสัน แพ้สงครามเวียดนาม

แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เมื่อวันพุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งดูเหมือนจะไกลแสนไกลจากสถานที่ที่ปลิดชีพบิน ลาเด็นในปากีสถาน อาจจะเปลี่ยนความสำเร็จของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้กลายเป็นวิบากกรรมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทันทีที่ข่าวฆ่าบิน ลาเด็นปรากฎขึ้น และคนไทยส่วนใหญ่กำลังนั่งทำตาปริบๆ ดูภาพเละๆ พร้อมเห็นภาพคนอเมริกันส่วนหนึ่งออกมาโห่ร้องยินดีกันอยู่นั้น ผู้พิพากษาศาลธรรมนูญในเยอรมนีกลับนัดประชุมโดยด่วนเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในอีกทัศนะหนึ่ง

ประเด็นพิจารณาของนักกฎหมายเหล่านี้ ไม่ใช่วินิจฉัยว่าบิน ลาเด็นเป็นผู้ก่อการร้ายและมีความผิดจริงหรือไม่ แต่เป็นคำถามว่าควรทำอย่างไรต่อผู้ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในลักษณะนี้ต่างหาก

รัฐบาลสหรัฐฯ มีความเห็นว่า คนๆ นี้เป็นผู้ก่อการร้ายเพราะตัวเองได้ประกาศตีตราไว้แล้วตั้งแต่ครั้งที่ จอร์ช ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดี จึงตัดสิน ประหารชีวิตได้ในทันทีโดยไม่ต้องนำตัวขึ้นสู่การพิจารณาพิพากษาคดีแต่อย่างใด

แถมวิธีการก็ยังเลือกได้ตามใจ แม้กระทั่งล่วงละเมิดดินแดนของประเทศเอกราชอย่างปากีสถานเข้าไปโดยไม่ต้องขออนุญาตก็ยังทำได้

แต่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีกลับเห็นตรงข้าม คำวินิจฉัยจากสมาชิกสำคัญแห่งสหภาพยุโรปจึงชี้ว่าการสังหารบิน ลาเด็นในครั้งนี้ละเมิดหลักกฎหมายสากลและสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง

โอซาม่า บิน ลาเด็น จะมีความผิดอย่างไรและสมควรได้รับโทษทัณฑ์อย่างไร สหรัฐฯ จะต้องร่วมกับประเทศที่เกี่ยวข้อง หรือจะโดยตัวเองก็ตามแต่ นำตัวคนๆ นี้มาสู่กระบวนการพิจารณาพิพากษาคดี ตามหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน

โดยไม่ใช้ ศาลเตี้ยของตนมาแทนที่

สหรัฐอเมริกาเห็นว่า สิทธิของรัฐเหนือกว่า สิทธิมนุษยชนซึ่งแปลง่ายๆ ว่าสิทธิในความเป็นคน

แต่เยอรมนีเห็นว่า สิทธิมนุษยชนต้องเท่าเทียมกับ สิทธิของรัฐรัฐจะถืออำนาจบาตรใหญ่เข้ามาทำร้ายมนุษย์หรือคน โดยไม่มีกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริงรองรับมิได้

บิน ลาเด็น จะเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน จะเป็นผู้ก่อการร้ายทมิฬหินชาติอย่างไรก็ตามที เขาก็ยังมีความเป็นมนุษย์พอที่เราซึ่งถือตัวว่าใจสูงกว่าเขาจะต้องยอมรับในความจริงนั้น

ฝ่ายเยอรมนีจึงเชื่อว่า หากปล่อยความคิดอเมริกันอย่างนี้ แพร่กระจายไปในโลกจนกู่ไม่กลับและกลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ต่อไปหลักกฎหมายก็จะพังพินาศ ความเป็นคนก็จะไม่เหลือ เพราะสามารถจะถูกย่ำยีบีฑาโดยรัฐได้ทุกเมื่อที่รัฐเห็นสมควร

อิทธิพลเยอรมนีมีขนาดไหนเราก็รู้กันอยู่ ดูไปเถิด ไม่นานแนวคิดแย้งของเยอรมนีก็จะกลายเป็นจุดยืนรวมของสหภาพยุโรปอีก ๒๖ ชาติ แถมด้วยอารยประเทศที่ไม่ได้พึ่งพาอิทธิพลสหรัฐฯ เพื่อความอยู่รอด

ฉันใดก็ฉันนั้น

รัฐไทยที่กำลังกล่าวหาใครๆ ว่าเป็น ผู้ก่อการร้ายเพียงเขาเรียกร้องประชาธิปไตยตามสิทธิในความเป็นมนุษย์ ก็ต้องตระหนักสำนึกถึงกรณีที่อาจเป็นบรรทัดฐานนี้ไว้ หากรัฐอเมริกันซึ่งมีอำนาจล้นพ้นในระดับโลก ไม่อาจใช้อำนาจของรัฐอย่างเต็มที่ตามอำเภอใจได้ในกรณีผลสืบเนื่องในครั้งนี้ รัฐไทยที่มีอำนาจล้นพ้นในระดับประเทศ ก็ย่อมไม่อาจลงโทษใครๆ อย่างศาลเตี้ย เพียงแค่ตัวเอ่ยวาจาตีตราว่าเขาเป็น ผู้ก่อการร้ายได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ทีมกฎหมายของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมและนักกฎหมายฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลาย ได้โปรดร่วมกันใช้ประโยชน์จากหลักการอันสำคัญนี้ อย่าได้เสียโอกาสเลย.

--------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ระบอบสีทอง โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ระบอบสีทอง

โดย กาหลิบ

กรณีละครช่อง ๓ ดอกส้มสีทองถูกสั่งเซ็นเซอร์จนโด่งดังโครมครามในขณะนี้ ดูเผินๆ ก็คือเรื่องธรรมดาของวงการบันเทิง ผลกระทบก็ไม่น่าจะมากมาย เพราะละครไทยส่วนใหญ่ผลิตมาให้คนหนีจากความเป็นจริง ไม่ได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริง และพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่เมื่อมาฟังการถกเถียงในรายการคุยข่าวของคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ทำให้เกิดระลึกได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวของวงการบันเทิง แต่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการครอบงำและชี้นำสังคมไทยของฝ่ายที่มิใช่ (และถือว่าเหนือกว่า) ประชาชน เป็นอีกแง่หนึ่งของเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างไทยที่คนส่วนมากมองไม่ค่อยเห็น โดยมีสื่อสายพันธุ์อย่างเดียวกับคุณสรยุทธ์ฯ ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้

สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้มิได้เจตนาจะปกป้องละครเรื่องใดหรือคนจัดละครค่ายใด แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่าขอบเขตของระบอบเผด็จการไทยมันกว้างขวางเพียงใด และกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นคนถึงขนาดไหน

ตัวแทนของระบอบเก่ามาจากกระทรวงวัฒนธรรมคือคุณลัดดา ตั้งสุภาชัย เป็นผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมเจ้าเก่าที่ออกมาเล่นบทบาทนี้จนคุ้นชิน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้เขียนบทละครเรื่อง ดอกส้มสีทองซึ่งเป็นสุภาพสตรีในวัยเริ่มอาวุโสเช่นกัน ดูแล้วจึงมิใช่การถกเถียงระหว่างคนสองวัยที่ใจไม่ตรงกัน แต่เป็นการถกเถียงอย่างสุภาพที่ต่างฝ่ายต่างถือตำราสิทธิและเสรีภาพคนละฉบับ

เนื้อความที่ทำให้ถูกเซ็นเซอร์เที่ยวนี้ เมื่อฟังการถกเถียงและค้นคลิปละครมาดูก็พบว่า เรื่องหนักหนาที่สุดเห็นจะเป็นการ ด่าตัวละครหญิงคนหนึ่งที่ไปเป็นเมียน้อยเขา จากปากผู้ชายที่รู้สึกว่าจะเคยรักกัน การด่านั้นจิกลงไปถึงเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงคนนั้นและด่าอย่างยืดยาวไม่ลดราวาศอก อีกเรื่องสองประเด็นคือการปฏิบัติของลูกสาวต่อแม่เหมือนคนใช้ และเรื่องฉากรักที่ผู้กล่าวหาชี้ว่ามากมายเนืองนองเกินไป

ตัวแทนระบอบราชการบอกว่า เหตุที่ต้องกระโดดออกมาใช้อำนาจ เพราะประชาชนร้องเรียนเข้ามามากมายทางโทรศัพท์จนอยู่เฉยไม่ได้ และหน่วยงานของตัวเองก็เห็นด้วยตามนั้น เธอเห็นว่าการใช้เรตระดับ ๑๓ ซึ่งหมายความว่า เด็กอายุ ๑๓ ปีขึ้นไปสามารถดูได้โดยไม่ต้องมีใครควบคุมตักเตือนนั้นคือปัญหา หากเป็นระดับ ๑๘ ปีขึ้นไป เธอ เชื่อว่าเขามีวิจารณญาณเพียงพอที่จะดูละครเรื่องนี้โดยไม่เกิดความเสียหายทางจิตใจและพฤติกรรม

ตัวแทนของละคร ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของระบอบประชาชน (เชิงพาณิชย์) โต้ว่า ละครเรื่องนี้จงใจชี้ข้อบกพร่องทางสังคมในหลายมุม จำเป็นต้องแสดงความหยาบช้าและความมัวหมองต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จะไปหดตัวตาม ความน่าจะเป็นจนหลุดจาก ความเป็นจริงนั้นคงผิดจุดยืน ความจำเป็นของคำ ด่าพฤติกรรมของลูกสาวคนหนึ่งต่อแม่ และฉากรัก ตั้งอยู่บนแนวคิดนี้ทั้งนั้น ส่วนการจัดเรตว่าอะไรเป็น ๑๓ หรือ ๑๘ หรือใครจะตัดสินใจว่าอะไรดีอะไรชั่ว เธอไม่ได้แสดงความเห็นมากนัก

สรุปแล้วระบอบราชการถือว่า ตนเองเป็นตัวแทนของประชาชนและมีสิทธิ์ใช้อำนาจชี้นำสังคมโดยอ้างประชาชนได้

ผู้เขียนบทละครก็บอกว่าเธอเป็นประชาชน เธอมีสิทธิ์ที่จะแสดงภาพสังคมในรูปละครอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ เพื่อความบันเทิงและเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้น่าคิดและควรนำมาใคร่ครวญกันให้มาก

ลึกลงไปแล้ว ข้อถกเถียงในเรื่องนี้มาจากความคิดที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วในทางสังคม ระบอบเผด็จการใดๆ ก็ตามมักเชื่อว่าตนเองเป็นอภิสิทธิ์ชนที่สามารถทำอะไรมากกว่าคนธรรมดาได้เสมอ

ไม่ว่าจะเซ็นเซอร์ละครโดยอ้างมาตรฐานและอำนาจที่ สูงกว่า

การออกกฎบัตรกฎหมายมาบังคับควบคุมจนประชาชนแทบจะเดินไม่ได้

การใช้อำนาจตุลาการผ่าน ศาลมาแยกแยะถูกผิดและลงโทษทาง กฎหมาย

จนกระทั่งถึงการใช้กองทัพเข้ารัฐประหารและเข่นฆ่าประชาชนที่ลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมของเขา

ทั้งหมดนี้คือความคิดชนิดเดียวกันทั้งนั้น

ดอกส้มสีทองจะถูกผิดอย่างไรต้องหาทางให้ประชาชนตัดสินเอง และไม่ใช่อ้าง

ประชาชนหยิบมือเดียวที่รู้หมายเลขโทรศัพท์ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมมาอ้าง เพื่อใช้อำนาจนั้นระงับสิทธิ์ของคนที่ไม่ได้คิดอย่างนั้นอีกเป็นล้านคน

เพราะสังคมไม่ได้มีเพียง ครูข้าราชการกับ นักเรียนประชาชน

ไม่ได้แบ่งเป็นผู้สูงส่งและพงศ์ต่ำต้อย เหมือนศรีปราชญ์เคยประกาศไว้ว่า “...อย่าว่าเราเจ้า-ข้า ร่วมพื้น ดินเดียว...อันเป็นคำประกาศที่ไม่ได้ตายไปตามตัว

ต้องจำไว้ว่าจะอ้างกฎหมายและระเบียบกี่ฉบับ การจัดเรตกันกี่ครั้งกี่ประเภท หรือโทรศัพท์กี่ร้อยกี่พันสายก็ไม่ได้ทำให้เผด็จการกลายเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้

ผู้มีพฤติกรรมขี้ข้าเผด็จการทุกคนและทุกประเภทพึงสังวรไว้.

---------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/