ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สวัสดีปีใหม่ จาก จักรภพ เพ็ญแข

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๓

มากับ “ท่านทักษิณ” ที่ดูไบ
ขอส่งใจบินกลับไปรับขวัญ
เครื่องบินสวนทวนแสงแห่งตะวัน
ถึงลมดันลมดึงก็ถึงธง

ลำน้อยน้อยลอยเป็นสัญลักษณ์
ใครคิดหักหาญข่มมีลมส่ง
ถึงฝนบ้าฟ้าสั่งยังดำรง
ด้วยลมตรงจากมหาประชาชน

ใจอยากบินข้ามฟ้าไปหารัก
แต่หากเร็วเกินนักจะเสียผล
ฝากพี่น้องพร้อมพรั่งกำลังพล
เราจะเดินดั้นด้นเป็นพลเมือง

ท้ายที่สุดแดงหายกลายเป็นชาติ
และหายขาดกันเสียทีเรื่องสีเหลือง
เราคือไทยเต็มคนเป็นพลเมือง
หยุดหาเรื่องเปลืองสีมาตีกัน

เลิกเป็นหุ่นให้ศักดินาใหญ่
คอยชักใยหลายปีเพิ่มสีสัน
ใช่สงครามเหลือง-แดงมาแย่งกัน
แต่ประชาชนทั้งนั้นต้องรวมตัว

ขออวยพรปีใหม่ด้วยใจมั่น
ให้ตะวันเจิดจ้าหมดฟ้าสลัว
ขอดวงใจงดงามหมดความกลัว
ประกาศทั่วให้ถึงฟ้า “ข้า-เสรี”


จักรภพ เพ็ญแข
พฤ. ๓๑ ธ.ค. ๕๒

**************************************************************************

๒๕๕๓...ปีใหม่หัวใจแดง โดย จักรภพ เพ็ญแข

โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 31

สองพันห้าร้อยห้าสิบสาม
คือความดี ความงาม หรือความหวัง
เป็นปีทองของชนพลพลัง
หรือเป็นปีอำมาตย์คลั่งก่อนสั่งลา

เริ่มเข้าสู่เลขสี่ปีที่สู้
ไม่เคยรู้อะไรขวางอยู่ข้างหน้า
แต่คมชัดขึ้นทุกยามตามเวลา
คือเงาดำอำมาตยาปรากฏตัว

“มือที่มองไม่เห็น” ก็เด่นชัด
เพราะร่างสัตว์ชนิดนี้ย่อมมีหัว
เคยมองเห็นปลายเท้าเข้าลำตัว
เมื่อมองทั่วหัวก็ชัดสะบัดไชย

อสุรกายเต็มตัวเห็นหัวหน้า
สามปีที่สู้มาย่อมทนไหว
เสรีภาพเราพังด้วยมือใคร
ประชาธิปไตยปี้ป่นเพราะคนเดียว

เป็นการเมืองเผด็จการงานก็ล้ม
เศรษฐกิจล่มจมเลิกคับเคี่ยว
ประเทศไทยใช่ของใครเพียงคนเดียว
แต่ต้องเสียวเพราะคนเดียวทำลายไทย

ปีนี้ควรเป็นปีแห่งอาเซียน
เมืองไทยกลับผิดเพี้ยนนำไม่ไหว
ห้าร้อยล้านหวังให้เรานำเขาไป
แต่เราไทยเวียนวนไม่พ้นตัว

มิใช่เพราะประชาชนคนรากหญ้า
แต่เพราะมีอำมาตยาน่าเวียนหัว
ปีห้าสามตามมาน่าหวั่นกลัว
อาจมั่วซั่วมากกว่าเดิมเขาเติมไฟ

หากเขาเพิ่มความกลัวเอาตัวรอด
ล่าตลอดเหล่า “ศัตรู” อยู่ที่ไหน
จะเท่ากับเอาฟืนไปโหมไฟ
ปีห้าสามคงจะไม่อยู่ใกล้ธรรม

สัญญาณแห่งความเงียบเปรียบระเบิด
เหมือนอยากให้เหตุเกิดแล้วเหยียบย่ำ
สีของหัวใจนี้คือสีดำ
หน้ากากแห่งศีลธรรมคือมายา

ปีสี่เก้าเขาจัดรัฐประหาร
ปีห้าศูนย์สอบไม่ผ่านต้องเสียหน้า
ปีห้าหนึ่งปล้นอำนาจเขากลับมา
พอปีห้าสองเข้าก็เท่าทุน

ปีห้าสามประชาชนรวมพลพร้อม
เมื่อชัดเจนว่าไม่ยอมก็คงวุ่น
ปีตัดสินว่า “เมตตา” หรือ “ทารุณ”
ไม่ยืดหยุ่นแข็งตรงก็คงตาย

สองพันห้าร้อยห้าสิบสาม
หากไม่ดับไฟลามห้ามไม่ได้
หากเขาเข้าขู่เข็ญยังเป็นใจ
บ้านเมืองไทยคงลำบากอยู่ยากเย็น

ขออำนาจใดที่ดีที่เคารพ
เมื่อมีภัยให้ไทยหลบอย่าพบเห็น
การต่อสู้ให้ดำรงตรงประเด็น
แดงให้เด่นดังทั้งตัวและหัวใจ.

--------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
--------------------------------------------------------------------------

สิ้นห้าสอง-มองห้าสาม โดย จักรภพ เพ็ญแข

โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 31

ปีใหม่ปีนี้มีความแปลกประหลาด เพราะเราล้วนอยู่ในโครงสร้างการเมืองแบบเก่าๆ และความทุกข์ทรมานแบบเก่าๆ จนหลายคนรู้สึกว่าเมืองไทยยังไม่ได้เปลี่ยนศักราชเลย ตั้งแต่วันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ อันเป็นวันโค่นล้มทำลายรัฐบาลของประชาชนเป็นต้นมา

สอนกันมาเนิ่นนานว่า “สิ่งใหม่ในโลกมีเพียงอย่างเดียว คือประวัติศาสตร์ที่เรายังอ่านไม่พบ” จริงเสียยิ่งกว่าจริง

เพราะบัดนี้คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยรู้แล้วว่า “ความเก่า” บางอย่างก็ไม่ใช่ “ความดีที่สั่งสมมาเนิ่นนาน” อย่างที่เคยเข้าใจกัน แต่เป็น “ความเก่าแก่” ตามคติที่ว่าสมบัติข้าใครอย่าแตะ และหนาหนักพอที่เหนี่ยวรั้งบ้านเมืองไว้ไม่ให้ก้าวหน้า เพราะวิตกจริตที่ว่าเขาจะคิดโค่นล้มทำลายตน

เนื่องจากเราหลับตาและปล่อยให้เขากรอกหูมานานเกินไป คำโฆษณาชวนเชื่อจึงไหลผ่านหูถึงสมองและจิตโดยไม่ยาก ชีวิตของพวกเราจึงอยู่ในวังวนของข้อมูลเก่าอันเป็นข้อมูลชุดเดิมที่ย้อมสีทั้งประเทศครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างได้ผล

เราจึงไม่พบความจริงจากประวัติศาสตร์ไทย เพราะประวัติศาสตร์แท้จริงของไทยอยู่ใต้ดิน มิได้ผงาดเหนือดินเหมือนคำลวงโลกต่างๆ ที่นักวิชาการผู้อ่อนแอช่วยยกร่างขึ้นมาครอบงำสังคมไทยอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

ความจริงโอกาสที่จะเปลี่ยนศักราชใหม่ก็มี แต่เขาก็ปล่อยผ่านไป โอกาสเปรียบไปก็เหมือนแก้วมณีอันมีค่า เมื่อไม่ฉวยจับไว้ให้มั่นมือก็พลัดตกแตกไปต่อหน้า เพราะปัญญาบารมีที่เคยมีมาก บัดนี้ดูจะพ่ายแพ้ต่อแรงมหาศาลของโมหะจริตและอวิชชาที่ผุดพลุ่งขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้

ใครบางคนกระซิบผมว่ามาจากภายในนั่นเอง ปิศาจสันนิวาสในตัวเขามีมานานก่อนที่ผมจะเกิด ผมจึงไม่รู้ความใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และก็ลุ่มหลงอย่างเดียวกับคนทั้งหลายในระยะที่การชวนเชื่อปรากฏผลสัมฤทธิ์ จนกระทั่งรู้ความขึ้นและเริ่มตั้งคำถามที่ได้รับคำตอบที่ยากลำบากและเจ็บปวด
และมาตื่นเต็มที่เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เพราะถูกกระชากอย่างรุนแรงจนหลุดจากภวังค์ อย่างที่ฝรั่งใช้สำนวนว่า rude awakening

ชนชั้นนำในเมืองไทยในวาระจิตที่เรียกว่า “ปีใหม่หัวใจเก่า” จึงทำให้บ้านเมืองเป็นอัมพาต เดินต่อไม่ได้ ต้องร่วมฉลองปีเก่าและความเก่ากันอย่างจำใจในปีใหม่ที่มาถึง

ผมเชื่อว่าการเมืองภาคประชาชนกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรง อาจถึงขั้นสบประมาทว่ามีความสามารถที่จะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองหรือไม่ในปีนี้

ทบทวนดูสิครับว่าเราผ่านบททดสอบอะไรกันมาบ้างจนถึงปี พ.ศ.๒๕๕๒

- รัฐบาลที่มาจากความนิยมอย่างสูงจนได้รับเลือกตั้งซ้ำสองและด้วยพลังศรัทธาที่เพิ่มขึ้น

- การรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จทั้งที่นายกรัฐมนตรีผู้ถูกโค่นเป็นผู้เลือกสรรและวางตัวผู้นำทุกเหล่าทัพ รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยตนเอง

- ขบวนการต่อต้านเผด็จการที่เริ่มต้นอย่างสะเปะสะปะ เพราะส่วนกลางสับสนระหว่างการยกธงขาวยอมแพ้และการรณรงค์ต่อสู้ จนพลังบางส่วนเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของนักการเมืองสายอำมาตย์ที่เข้ามาลดระดับความเข้มลง บางส่วนกลายเป็นกระแสหลักที่ไม่ยอมทำสงครามใหญ่และถูกทำให้เป็นมวลชนเลือกตั้ง และบางส่วนหายสาบสูญไปเพราะหมดกำลังทุน หมดกำลังใจ หรือไม่ก็ต้องคดีความต่างๆ จนโงหัวไม่ขึ้น ทั้งหมดเพราะขาดศูนย์บัญชาการ/ประสานงานภาคประชาชน พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยต่างก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการทำหน้าที่นั้น

- ความศรัทธาในลัทธิรัฐธรรมนูญ หรือความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญจะบังคับพฤติกรรมของเผด็จการมิให้เป็นเผด็จการได้เริ่มลดลง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของปวงชนเท่ากับเมื่อ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ อันเป็นที่มาของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

- การสูญเสียคนชนิด เนวิน ชิดชอบ ทำให้ระบบนายหน้าทางการเมืองลดความสำคัญลง บังคับให้ขบวนการประชาธิปไตยสร้างความสัมพันธ์และสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มพลังประชาชนมากขึ้น ภาคประชาชนก็แข็งแรงและมีความมั่นใจขึ้น

- รัฐบาลที่ถูกชักใยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถทำหน้าที่บริหารประเทศได้ เพราะถูกกำหนดทุกย่างก้าวจากหน่วยเหนือ และขาดความสามารถในการทำงานเพราะหย่อนทั้งประสบการณ์และวิชาการ จนกลายเป็นหลักฐานที่ครบวงจรของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่เชื่อมโยงผลประโยชน์กับชนชั้นนำของไทย ประชาชนรากหญ้าถูกกันให้อยู่รอบนอก ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ แถมต้องแบกภาระเพิ่มเติม เช่น อัตราภาษีที่เพิ่มสูง เป็นต้น

- แนวร่วมของฝ่ายประชาธิปไตยในต่างประเทศแสดงตัวชัดเจนขึ้น ไม่ว่ากรณีกัมพูชา ลาว และแม้กระทั่งเมียนมาร์ เพราะผลประโยชน์ของอำมาตย์ไทยสวนทางกับโลกาภิวัตน์และภูมิภาคนิยมมากขึ้นทุกที เครือข่ายประชาชนไทยในต่างประเทศก็ขยายตัวกว้างขวางและมีอิทธิพลขึ้น เพราะมีใจและมีทุน

ฯลฯ

ณ จุดเชื่อมต่อระหว่างปลายปี ๒๕๕๒ กับต้นปี ๒๕๕๓ ฝ่ายอำมาตย์คงจะเร่งรัดให้เรื่องทั้งหมดจบลง การไล่ล่าตัวบุคคลฝ่ายประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย การบีบคั้นด้วยคดีความทุกคดีไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ การปราบปรามขบวนการภาคประชาชน แม้กระทั่งการก่อรัฐประหารอีกรอบหนึ่ง ย่อมอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้

ฝ่ายประชาธิปไตยเรียนรู้บทเรียนจากอดีตกว่าสามปี และมีความพร้อมขึ้น แต่ต้องไม่ประมาทไม่ว่าในกรณีใดๆ

ผมเชื่อว่าพุทธศักราช ๒๕๕๓ จะไม่ได้ต่อกับพุทธศักราช ๒๕๕๒

แต่ต่อโดยตรงกับการอภิวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๕ เลยทีเดียว.

-----------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
-----------------------------------------------------------------------------



วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เชิญสมัครสมาชิก SMS ของ TPNews

***"TPNews" ขอเชิญผู้มีหัวใจรักประชาธิปไตยทุกท่าน สมัครเป็นสมาชิกข่าวสั้นผ่านมือถือ (SMS) ของทีมข่าวคนเสื้อแดง เพื่อนำรายได้ช่วยสนับสนุนการต่อสู้กับฝ่ายอำมาตย์ฯ***

***TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-456 6794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)***

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มหาราชที่แท้จริง และยิ่งใหญ่ตลอดกาล

โดย : namome
ที่มา: http://www.newskythailand.us/board/index.php?topic=9100.0

เมื่อ 238 ปีล่วงมาแล้ว เหล่าบรรพชนของเราต้องอดทนฝ่าคลื่นลมแออัดกันอยู่ในเรือสำเภากว่า500 ลำ จากจันทบูรณ์มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยาที่ค่ายโพธิ์สามต้น เพื่อเปิดศึกละเลงเลือดพลีชีพสังเวยแผ่นดินกับกองทัพอังวะ เพื่อประกาศอิสรภาพแห่งความเป็นไทเหนือแผ่นดินลุ่มน้ำเจ้าพระยา

Mission: เพื่อปลดแอก ประกาศอิสรภาพ ขับไล่พวกอังวะออกไปจากแผ่นดินไทย

Target: กองบัญชาการใหญ่ทหารพม่า ค่ายโพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา

Target attack: กองทหารพม่ากว่า1หมื่นนาย ที่ประจำค่าย และกองลาดตระเวน กองทหารขนาดกลางที่ประจำอยู่ ตามหัวเมืองใกล้เคียง ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม อุทัยธานี เพชรบุรี นครสวรรค์

Commander in chief: พระยาวชิรปราการ (สิน)

Commandant: หลวงพรหม หลวงพิชัยอาสา พระอนุชิตราชา พระยาอภัยรณฤทธิ์

Thai military data: เรือปืนสำเภาเล็ก 500 ลำ ทหารแม่นปืนโปรตุเกส 400 คน กองทหารราบม้าผสมไทย-จีน 15,000 คน กองทหารราบผสมไทย-ญวน-มอญ-ญี่ปุ่น-เขมร-อาหรับ 8,000 คน (กำลังพลโดยประมาณ)

Ungwah military data: กองทหารราบ-ม้า-ปืนใหญ่ 15,000 คนประจำค่ายโพธิ์สามต้น กองเรือลาดตระเวนจำนวนพล 1,500 คน กองทหารประจำด่าน-เมืองรอบนอก 5,000-8,000 คน

อีกไม่นานนับจากนี้ กรุงธนบุรี ราชธานีแห่งใหม่ของคนไทยจะถือกำเนิดขึ้นด้วยพระปรีชาสามารถของ มหาราชชาตินักรบ ที่ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ตอนนี้วันนี้ กองทัพของพระเจ้าตากกำลังรอนแรมอยู่ในสำเภาริมชายฝั่งทะเลตะวันออก อีก 4 วัน จะเข้าตีพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น ในย่ำค่ำวันที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2311

ดังนั้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2549 หรืออีก 4 วันถัดไปจากนี้ พวกเราลูกหลานไทยจงมาร่วมรำลึก เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของชาติเรา วันซึ่งคนไทยทุกๆศาสนา ทุกๆความเชื่อ ต่างรวมใจเป็นหนึ่งช่วยกันขับไล่อริราชศัตรูของชาติ ทวงเอกราชของชาติเราที่พวกอังวะปล้นไปกลับคืน เช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถือศาสนาไหน เมื่อคุณตื่นมา จงสำรวมจิตใจระลึกถึงดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระเจ้าตากสิน และดวงวิญญาณของบรรพชนของเราที่ทำการณ์เพื่อเราเมื่อ 238 ปีมาแล้ว

เพราะถ้าไม่มีท่านเหล่านั้นในวันนั้นวันนี้อาจไม่มีประเทศไทยบนแผนที่โลก

วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชชนสามัญ ลูกผสม จีน และ ไทยเกิดสมัย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศหากต่อมา คือกษัตริย์ นามอุโฆษทรงคุณประโยชน์ มหาศาล แก่ขวานทองรัชสมัย พระเจ้าเอกทัศน์เกิดวิบัติ เคราะห์ซ้ำ คำรบสองยังโชคดี มีผู้กล้า นักปกครองท่านตริตรอง มองการณ์ไกล ใช้ปัญญาเสียสละ เด็ดเดี่ยว และ มุ่งมั่นผนวกกัน คั้นเป็นใจ ให้แกล้วกล้าจัดทัพสู้ กู้อธิปไตย “ไท” คืนมาจากพม่า ที่ว่าใหญ่ ในตองอูยี่สิบแปด ธันวาคม น้อมรำลึกองค์ขุนศึก มหากษัตริย์ ชาตินักสู้ทรงนำทัพ ขจัดอริ ราชศัตรูพระผู้กล้า ตากสิน มหาราชาด้วยสองมือ แทนมาลา มาแทบบาทในโอกาส วันสำคัญ อันทรงค่ากราบบวงสรวง ต่อดวงพระวิญญาณ์เหล่าประชา ไทยทั่วหล้า ถวายบังคม

NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับภาษาไทย ประจำเดือนธันวาคม 2550 ได้อัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นปก และนำเสนอเรื่องราวของพระองค์ในฉบับด้วยขออนุญาตคัดบางส่วนมาให้อ่านกันค่ะ

คณะรัฐมนตรี มีมติในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524 ถวายพระราชสมัญญานามให้พระเจ้ากรุงธนบุรีว่า "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" และ กำหนดวันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี ให้เป็นวัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้น้อมระลึก พระเกียรติคุณ และ พระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงมีต่อแผ่นดินไทย และ ปวงชนคนไทย หากถามว่า อะไรคือความยิ่งใหญ่ กับการที่ขุนศึก คนหนึ่งตัดสินใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะ ไปตายดาบหน้า นำกองกำลังออกจากพระนครในเวลาที่กำลังเสียที่แก่พม่า โดยมีความตั้งมั่นว่า จะไปตั้งหลัก เพื่อกลับมากู้อิสรภาพคืนในเมื่อมีความพร้อม

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทำไม่สำเร็จ หากการณ์ไม่เป็นตามคาด คือ ไทยไม่เสียแก่พม่า โทษที่ได้รับ จะถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียวหากเป็นคนเห็นแก่ตัวในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มีความเจริญทางวัตถุ เทคโนโลยี มีการศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาที่เน้นด้านการบริการการจัดการ ที่ดูเหมือนจะสอนคนให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น มองคนเป็นเฉกเช่นทรัพยากรชนิดหนึ่ง (ไม่งั้นจะมีเรื่อง HRM การจัดการทรัพยากรบุคคล) ก็คงไม่มีใครทำเป็นแน่
พระองค์ไม่ได้มีแค่น้ำพระทัยเด็ดเดี่ยว กล้าหาญและมุ่งมั่นเท่านั้น แต่ยังทรงมีพระอัจฉริยภาพทางการศึกสงคราม ทรงชำนาญการรบทางเรือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถกู้อิสรภาพคือจากพม่าได้ในเวลาต่อมาพระเจ้าตากสินมิได้ทรงทำงานหนัก มิได้กูเอกราชเพื่อให้ตนเองได้ตำแหน่ง สูงสุดในแผ่นดิน หากทรงทำเพื่อตอบแทนคุณมาตุภูมิ แผ่นดินเกิดโดยมิได้นำพาชีวิต ของตนเอง

พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 เพียงเจ็ดเดือน หลังจากเสียกรุงฯ แก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงกู้อิสรภาพคืนมาได้ ในยุคนั้น มิเพียงแผ่นดินที่แตกระแหงเท่านั้น หากคนในชาติก็ยังแตกแยกทางความคิด เป็นก๊กเป็นเหล่า ซึ่งล้วนแต่เล็งเห็นผลประโยชน์ส่วนตน เป็นหลักแทบทั้งสิ้น ภารกิจใหญ่หลวง และสาหัส ที่พระองค์ทรงมุ่งมั่นต่อไปก็คือ ศึกภายในคือการกอบกู้แผ่นดินที่ดูเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ให้กลับมารวมกันเป็นปึกแผ่น มีความเป็นไท ได้อีกวาระหนึ่งด้วย

หลังจากทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากพม่าสำเร็จ แล้วพระเจ้าตากสินทรงมีพระวินิจฉัยว่า อยุธยาเสียหายมากเกินกำลังที่จะฟื้นฟูบูรณะได้จึงตัดสินพระทัยสร้างเมืองใหม่ที่กรุงธนบุรี ในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2310สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเหตุผลไว้ว่า การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงเลือกทำเลกรุงธนบุรี ก็เพราะ มีระยะห่างจากกรุงศรีอยุธยาไม่มากนัก อาจทำให้ฐานะกรุงไม่ต่างจากกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งยังอยู่ติดปากน้ำ ป้องกันมิให้หัวเมืองเหนือซื้ออาวุธจากต่างประเทศ แต่เอื้อกรุงธนบุรีให้ได้เปรียบ และ ส่งเสริมให้ทำการค้าทางทะเลได้

ประกอบกับกรุงธนบุรีมีขนาดพอเหมาะ กับกำลังที่จะรักษาพระนครไว้ได้ยุทธศาสตร์ดี แวดล้อมไปด้วยที่ราบซึ่งเป็นโคลน และ ตม ป้องกันข้าศึกศัตรูได้การที่มีทำเลติดทะเล ยังประโยชน์ให้เป็นทางหนี หากจวนตัว ก็สามารถหนีไปสู่หัวเมืองตะวันออกได้สะดวก

อีกหนึ่งปีต่อมา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ในวันอังคาร แรม สี่ค่ำ เดือนอ้าย จุลศักราช 1130 หรือ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2311 ดังจดหมายเหตุโหรระบุว่า

“ณ วันอังคาร แรม 4 ค่ำ เดือน อ้าย เพลาโมงเศษ เสด็จออกขุนนาง ตรัสประภาษเนื้อความ ปรารภตั้งอุเบกขาพรหมวิหาร เพื่อจะทะนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาและพระอาณาประชาราษฎร์นั้น อัศจรรย์แผ่นดินไหวเป็นเวลาช้านาน”

นอกจากวงเวียนใหญ่ในกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะเมืองที่ทรงยกทัพผ่านไป อาทิ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงม้าพระที่นั่งออกศึกพร้อม ทหารเอกสี่นาย ซึ่งประดิษฐาน ณ สวนสาธารณะทุ่งนาเชย กลางเมืองจันทบุรี พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ประเภทหมู่ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศปัจจุบันบริเวณเมืองเก่าจันทบุรี เป็นที่ตั้งของค่ายตากสิน หรือ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน ของกองทัพเรือ ภายในประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากซึ่งเป็นที่เคารพบูชากันมาก

เล่าลือกันว่า ค่ายตากสินสูญเสียชีวิตทหารในการศึกน้อยที่สุดในสงครามเกือบทุกครั้งที่เข้าร่วม“ล่าสุดทหารของเราที่ลงไปปฏิบัติราชการที่ภาคใต้ก็ไม่มีใครเสียชีวิตเลยสักคนเดียว” นี่คือคำบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจของนายทหารคนหนึ่งในค่ายนั้นทหารค่ายตากสินใน จังหวัดจันทบุรี ซึ่งกลับจากปฏิบัติภารกิจทางภาคใต้ จะอัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ ธงแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักรบพระเจ้าตากนำขบวน พวกเขาเชื่อกันว่า พวกตนได้รับพรปาฏิหาริย์ เพราะทหารทุกนายแคล้วคลาดปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้

ขอวิญญาณพระเจ้าตากสินมหาราชจงเป็นพยาน พวกเราจำเป็นต้องกู้ชาติอีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้ จะกู้ชาติจากคนไทยด้วยกัน ไม่เหมือนขับไล่พม่าดั่งที่พระองค์เคยกระทำมา ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส จากการกดขี่ของพวกศักดินาอำมาตย์ไม่กี่คนในแผ่นดิน ความเป็นธรรมในสังคมไม่มี การเลือกที่รักมักที่ชังมองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง ประชาชนคนไทยจะไม่ยอมพวกมันอีกต่อไปแล้ว พวกเราตาสว่างมากแล้วว่าอะไรเป็นอะไร พวกเราเสื้อแดง มีความเคารพรัก และนับถือพระองค์เป็นตัวอย่างของการรักชาติ กู้ชาติ หากประวัติศาสตร์ที่พวกเราเรียนรู้มาเป็นจริง พระองค์ก็ต้องเคยทุกข์นั้นมาก่อน ทุกข์จากคนไทยด้วยกัน

ขอพระองค์จงมาเป็นสักขีพยานการต่อสู้ของพวกเราเถิด พวกเราจะต่อสู้ให้คนไทยมีชีวิตอย่างอิสรเสรี ไม่มีกฎหมายกดขี่ใดๆ ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน ศักดินาอำมาตย์จะต้องหมดไปจากแผ่นดินไทย พวกเราจะสร้างชาติไทยให้เหมือนอารยะประเทศอื่นๆเริ่มต้นแต่ปีใหม่นี้ การต่อสู้ของพวกเราจะเริ่มรุก รุก จนกว่าจะได้ชัยชนะมา

ขอพระองค์จงอวยพระพรชัยแก่พวกเราด้วยเถิด

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แดงไทยไปเขมร โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่
เรื่อง แดงไทยไปเขมร

สีแดงท่วมกัมพูชาอีกคราหนึ่ง
เมื่อคนไทยคิดถึงคุณทักษิณ
ข่าวเขาว่ามาใกล้เมื่อได้ยิน
บ้างเครื่องบินบ้างก็รถปรากฏกาย

ณ บ้านงามกลางกรุงพนมเปญ
ไม่ต้องเกณฑ์ท่านก็มากันหลากหลาย
สะพรึบแดงสีสันสุดพรรณราย
ไม่ขาดสายเพราะคิดถึงเราจึงมา

มาเยือนรัฐกัมพูชาครั้งที่สอง
ตามครรลองของวิถีที่ปรึกษา
มาช่วยเล็งเร่งรัดให้พัฒนา
ยกระดับกัมพูชาโมเดลไทย

พี่น้องแดงที่รักคุณทักษิณ
เมื่อมาถึงแผ่นดินหายสงสัย
ความสัมพันธ์กัมพูชาและเมืองไทย
ได้ประชาธิปไตยก็รุ่งเรือง

ทุกยามที่เมืองไทยใต้อำมาตย์
กลับฟันฟาดเขาทุกคราชอบหาเรื่อง
เพื่อนบ้านไหนก็ไม่มุ่งให้รุ่งเรือง
สร้างปมเขื่องเพี้ยนผิดในจิตไทย

หากไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง
อาเซียนคงมีพลังครั้งยิ่งใหญ่
หากเดินหน้าสร้างประชาธิปไตย
จะเดินไกลเพียงไหนคงอดทน

ไทยเคยเป็นตัวจักรเพราะพรักพร้อม
เพื่อนบ้านล้อมราวลูกไก่เพราะได้ผล
เศรษฐกิจขยายแผ่แก้ความจน
เอื้อมวลชนของทุกรัฐด้วยจัดการ

แต่เมื่อทุบประชาธิปไตยเมืองไทยทิ้ง
กระแสน้ำกลับนิ่งกระสุนด้าน
ตัวแม่ไก่ต้องชะงักเพราะดักดาน
ตามอาการของอำมาตย์สัญชาติไทย

เขาล่วงรู้กันทั่วตัวปัญหา
ขายมายาเนิ่นนานได้ขานไข
ริษยาอาฆาตประหลาดใจ
แม้ล่วงวัยแก่ชรายังสามานย์

ประเด็นไทยกลายเป็นประเด็นโลก
ความทุกข์โศกในประเทศจึงแผ่ซ่าน
กัมพูชาออกมาย้ำด้วยรำคาญ
อีกไม่นานบ้านเมืองอื่นก็ตื่นตัว

ที่ปรึกษาทักษิณนำบินหมู่
นี่แหละกู้ชาติไทยถวายหัว
ฝากคนไทยใจมั่นอย่าหวั่นกลัว
นี่บินทั่วโลกแล้วสร้างแนวทาง

กัมพูชาเขากล้านำหน้าก่อน
เชิญมาสอนให้เป็นครูผู้ร่วมสร้าง
แนวความคิดพัฒนานำมาวาง
จุดสว่างกลางดงเลิกสงคราม

อนิจจา...อำมาตย์ไทยใจคับแคบ
ไปเจ็บแสบมาแต่ไหนใจอยากถาม
เขาใช้ไทยสร้างชาติประกาศนาม
แต่ใจตัวต่ำทรามยามอัสดง

คนทั่วโลกเอน็จอนาถอำมาตย์ใหญ่
แม้คนไทยแอบหยามเพราะความหลง
เดินทางถึงปัจฉิมวัยแต่ไม่ปลง
ไทยจึงลงมาตีคู่กัมพูชา.

-------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ใครจะล้ม? โดย จักรภพ เพ็ญแข

โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 30

สมัยก่อนเขาใช้ข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์มาใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองเพื่อทำลายศัตรูคู่แข่งหรือคนที่ตัวคิดว่าเป็นภัยคุกคาม เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปใช้ข้อกล่าวหาว่าจะ “ล้มเจ้า” มาทำลายแทน

เพื่อสื่อสารว่ามีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นในเมืองไทย

แล้วก็แจ้งความ กล่าวหา ส่งสำนวน และสั่งฟ้องกันให้ชุลมุนไป ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เมื่อมวลชนใส่เสื้อเหลืองปรากฏตัวขึ้นอย่างดุดันก้าวร้าว มุ่งโค่นล้มรัฐบาลของฝ่ายประชาชนอย่างเป็นระบบและมีแรงสนับสนุนที่ดียิ่ง จนต่อมามีการจับกุมคุมขังเกิดขึ้นหลายสิบรายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศตามการจุดชนวนนั้น

โชคดีที่การรณรงค์ของระบอบคอมมิวนิสต์ในระดับโลกสิ้นสุดลงไปพร้อมกับสงครามเย็น แต่น่าสนใจว่าข้อหาคอมมิวนิสต์ใหม่คือ “ล้มเจ้า” จะไปจบลงตรงไหน เนื่องจากเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน กรณีคอมมิวนิสต์มีที่มาของเรื่องที่ชัดเจนและเป็นปรากฏการณ์ในหลายประเทศทั่วโลก แต่กรณีหลังขาดทั้งความชัดเจนทางกฎหมายและมีลักษณะครอบงำทางสังคมจนไม่ต้องถามเหตุผล

ที่สำคัญคือเป็นปรากฏการณ์เฉพาะตัวของเมืองไทยที่สังคมโลกกำลังจับตามองอย่างสงสัย

สถาบันพระมหากษัตริย์มีอยู่ในหลายประเทศ แต่ไม่ปรากฏว่าประเทศใดยกเรื่องนี้ขึ้นมาไล่ล่าขับเคี่ยวกันอย่างนี้

หลายประเทศไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแปลว่ากระไร ยกเว้นฝรั่งเศสซึ่งก่อการปฏิวัติประชาชนโค่นล้มกฎหมายประเภทนี้โดยตรง เราจึงรับมรดกเก่าๆ ของเขามาเรียกกันว่า les majesty

แต่เอาเถิด เมื่ออุตส่าห์ขุดค้นมาใช้งานกันถึงขนาดนี้แล้ว ตั้งวงคุยกันสักหน่อยไม่เสียหายอะไรไปมากกว่านี้หรอกครับ

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในสถาบันพระมหากษัตริย์ของทุกประเทศทั่วโลกคือ พระราชอำนาจ

พระราชอำนาจนั้นมีหลายทาง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอำนาจทางการเมือง ซึ่งรวมทั้งพิธีการและงานเฉพาะกิจอย่างสงคราม อำนาจทางสังคม และอำนาจทางวัฒนธรรม ส่วนอำนาจทางเศรษฐกิจนั้นไม่มีมากนักในสถาบันกษัตริย์ของโลก

ข้อกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงแปลว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำการที่ถือว่าหมิ่นอานุภาพอันล้นพ้นและยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน

การหมิ่นพระราชอำนาจจึงเป็นหัวใจของเรื่อง

แต่คนที่มุ่งทำลายศัตรูเพื่อหวังผลทางการเมือง เขานำข้อกล่าวหาเรื่องการหมิ่นพระราชอำนาจมาขยายจนเป็นการล้มเจ้าหรือทำให้คนทั่วไปคิดไปถึงขนาดนั้น

คนละเรื่องกันแท้ๆ ก็เอามาคลุกเคล้ากันจนเกิดความเสี่ยงต่อสถาบันเอง ตามคำโบราณว่าเสี่ยงพระมหากษัตริย์

ข้อกล่าวหาว่า “ล้มเจ้า” หมายความว่ามีขบวนการอย่างเป็นรูปธรรมที่ทำงานยึดโยงกันเป็นหมู่คณะ มีแผน มีหน่วยปฏิบัติการอะไรต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก

แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหา ถูกไล่ล่า และถูกจับกุมแต่ละราย กลับเป็นบุคคลเดี่ยวๆ ที่กระทำการต่างกรรมต่างวาระกันอย่างชัดเจนไม่มีความเชื่อมโยงกัน

หากขบวนการอย่างนี้มีจริงและผู้ที่หน้าที่ที่อ้างความจงรักภักดีทั้งหลายไม่นำออกมาให้สังคมได้เห็นเป็นประจักษ์ ก็เท่ากับว่าผู้ที่ขยันกล่าวหาคนอื่นนั่นเองที่เป็นตัวการสำคัญในเรื่องนี้ เพราะละเว้นไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญ

ส่วนข้อเสวนาเรื่องพระราชอำนาจนั้น มีความสำคัญต่ออนาคตของบ้านเมืองอย่างที่สุด เพราะจะนำไปสู่ทางออกทางการเมืองหรือจะสร้างปัญหายิ่งไปกว่านี้ก็ได้

พระราชอำนาจมิใช่สิ่งที่ทรงใช้โดยพระมหากษัตริย์เท่านั้น ยังมีผู้ที่ใช้พระราชอำนาจอย่างที่เรียกว่าทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยอีกเป็นจำนวนมากในเมืองไทย เช่น ตุลาการผู้ขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่ “ศาล” ผู้มีอำนาจโยกย้ายข้าราชการระดับสูง องคมนตรี เป็นต้น

แม้กระทั่งพระบรมวงศานุวงศ์และคนทั่วไปที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้แทนพระองค์ในบางกรณี ก็ใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่ในห้วงเวลานั้นๆ

รวมความแล้วพระราชอำนาจของกษัตริย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐ

อำนาจรัฐคือเงื่อนไขสำคัญที่บอกเราว่า จะเขียนรัฐธรรมนูญและบังคับใช้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในรัฐ

รัฐธรรมนูญคือสิ่งที่ระบุว่าคนทุกๆ คนในรัฐนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น กษัตริย์กับราษฎร เจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ข้าราชการทหารกับข้าราชการพลเรือน สิทธิและหน้าที่ของปัจเจกบุคคล เป็นต้น

ข้อเสวนาในเวลาอันควรเพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดได้ จึงต้องเกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดการกล่าวอ้างพระราชอำนาจหรือแม้แต่สงสัยกันว่าแอบอ้างพระราชอำนาจบ่อยครั้งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

จริงหรือปลอมก็ถือว่ามีผลกระทบในทางลบทั้งนั้น เพราะการเมืองที่แล้วมาสามปีเป็นแบบ “ขวาพิฆาตประชาธิปไตย” ใครรับอุปถัมภ์ไว้เป็นซวยทุกคน ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น

จึงขอเตือนมายังคนที่ชอบกล่าวหาคนอื่นเรื่อง “ล้มเจ้า” ว่า หากเจตนาคือการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ จงหยุดการกระทำเช่นนี้ในทันที แต่ถ้าเจตนาเร้นลับคือการทำให้สถาบันฯ เสียหาย ก็ขอให้คณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ พิจารณาโดยใช้สติปัญญาอย่างแยบคาย หรือ โยนิโสมนสิการ

ขนาดยอมให้โจรมาจัดงานที่เรียกว่ามหามงคล จะช่วยเสริมหรือทำให้ทรุด ใช้พุทธปัญญากันเอาเอง.

-------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นายกฯ"ทักษิณ"วิดีโอลิงก์งานเลี้ยงปีใหม่เพื่อไทย

ที่มา : มติชนออนไลน์
วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2552

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค เวลา 19.50 น. วันที่ 23 ธันวาคม ระหว่างงานเลี้ยงปีใหม่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์มาในงาน มีนายยงยุทธ ติยะไพรัช และนายจักรภพ เพ็ญแข นั่งขนาบข้าง พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าขอร่วมปาร์ตี้ด้วยอีก 3 คน และจากนั้นสอบถาม พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ตท.10 และสมาชิกพรรค ที่ให้สัมภาษณ์เรื่อง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเป็นอย่างไร ถึงทำให้เต้นกันไปหมด และการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ชักเข้าชักออกอย่างนี้คงไม่ได้รับอนุญาตจริงๆ และยังกล่าวทักทายเพื่อน ตท.10 คนอื่นๆ

"ผมยังสบายดี ยังกินได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ตรุษจีนนี้ขอเชียร์อยู่ข้างนอก ยังไม่ได้กลับไปตรุษจีนที่ประเทศไทย แต่กำลังคิดอยู่ว่าถ้าตรุษไทย (สงกรานต์) จะกลับไปดีหรือเปล่า"พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวตอนหนึ่ง และได้อวยพรปีใหม่ ส.ส. ว่าขอให้ทุกคนมีความสุข และขอให้ปีใหม่ 2553 เป็นปีของพรรคเพื่อไทย เพราะจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายด้าน ขอให้ทุกคนทำตัวเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ เพราะการเป็นนักการเมืองที่แย่ มีตัวอย่างให้ดูตลอด 2552 แล้ว เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ทำให้เห็นแล้ว ในอนาคตใครเข้ามาเป็นรัฐบาลไม่ว่าจะคิดแย่อย่างไรก็คงไม่แย่ได้เท่านี้อีกแล้ว

"สำหรับปีใหม่ไม่รู้ว่าเดือนใดจะเป็นเดือนของพรรคเพื่อไทย แต่ที่เคยบอกว่า ทูเดย์ อีส มายเดย์ นั้นปี 2553 จะเป็นดีส เยียร์ อีส มายเยียร์ เพราะไม่มีครั้งใดแล้วที่ประชาชนจะออกจากบ้านมาต่อสู้กับเรามากขนาดนี้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณรัฐบาลและมีผู้อำนาจนอกเหนือรัฐบาลที่ทำให้เกิดสองมาตรฐานครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้เขากลั่นแกล้งเราเท่าไร ก็เท่ากับกำลังเพิ่มคะแนนให้เราเท่านั้น จึงต้องยิ้มรับกับความไม่ยุติธรรมทั้งหลาย ปีใหม่นี้ขอให้ทุกคนแข็งแรงและเตรียมตัวเป็นรัฐบาล" พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

ช่วงท้ายของการวิดีโอลิงก์นายสมชายได้จับรางวัลใหญ่ โดยให้ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศรายชื่อ ส.ส.ผู้ได้รับรถยนต์โตโยต้า วีโก้ คือนายวิวัฒชัย โหตระไวศยะ ส.ส.ศรีสะเกษ ด้วย

**********************************************************************
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

**********************************************************************

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สังคมข่าวชาวเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย 24-31 ธ.ค. 52

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2552

***ขอเชิญพี่น้องชาวเสื้อแดงกรุงเทพฯที่อยู่เขตบางพลัด บางกอกน้อย ตลิ่งชัน ทำบัตรสมาชิก นปช.แดงทั้งแผ่นดิน (แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ในวันที่ 24 ธันวาคม ศกนี้ที่ศาลาการเปรียญวัดรวก บางบำหรุ ถนนจรัญสนิทวงศ์ 57 มีรถเมล์ผ่านมากมายหลายสาย เริ่มทำบัตรสมาชิกตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าถึง 6โมงเย็น เพียงผู้สมัครนำบัตรประชาชนมาเท่านั้น ใช้เวลาไม่เกิน10 นาที รับบัตรไปได้เลย ค่าบัตรสมัคร 30 บาท***

***นอกจากนี้ เวลาบ่ายต้นๆ เป็นต้นไป ทางกลุ่มยังได้เชิญแกนนำ นปช. คือ
นายแพทย์เหวง โตจิราการ และ อ.ธิดา มาเสวนาประชาธิปไตย และยุทธวิธีการต่อสู้ หากใครเป็นแกนนำและเสื้อแดงในย่านฝั่งธนฯ อย่าพลาดเด็ดขาด พร้อมกันนั้นคุณณรงค์ แดงบางพลัด ยังขอความร่วมมือคนเสื้อแดงในย่านนี้และบริเวณใกล้เคียง ช่วยประชาสัมพันธ์กันให้หน่อย อยากทราบรายละเอียดต่างๆ มากกว่านี้ ติดต่อได้ที่เบอร์ 086-3926918***

*****************************************************************
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2552

***งาน Christmas Red Fair พันเอกพิเศษ สุรินทร์ จันทร์เพียร ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวกาญจนบุรี ร่วมกับ ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น สมาชิกวุฒิสภา (ปี 2543-49) และผู้อำนวยการ “ไทยเรดนิวส์” และแดงภาคตะวันตก เชิญร่วมงานฉลองคริสต์มาสเรดแฟร์ “Christmas Red Fair” ณ แพ โฟล้ทติ่ง (Floating) สะพานข้ามแม่น้ำแคว กาญจนบุรี วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2552 เวลา 18.00 – 23.00 น.***

***ขอเชิญเพื่อนชาวไทยหัวใจสีแดง และมิตรชาวต่างประเทศ ร่วมฉลองคริสต์มาส งานแดงสะพานข้ามแม่น้ำแคว แต่งชุด แดงคาวบอย สังสรรค์บนแพกลางน้ำ ในบรรยากาศสุดพิเศษ “ไทยนานาชาติ” ฟังการบรรยายของผู้นำเสื้อแดง และโฟนอินจาก “คุณจักรภพ เพ็ญแข”ร่วมลุ้นจับฉลากแลกเปลี่ยนของขวัญ (ราคาไม่ต่ำกว่า 200 บาท)ชมการแสดงตระการตา แสง สี เสียง น้ำพุเต้นระบำ รับประทานอาหาร พบเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ บนโต๊ะจีน บัตรราคา 300 บาท โชคดีรับของขวัญพิเศษ “จากดูไบ” และผู้นำคนเสื้อแดง จองและรับบัตรร่วมงานที่ : 

1. แพ โฟล้ทติ้ง ริมสะพานข้ามแม่น้ำแคว กาญจนบุรี โทร. 034-625 053 
2. สถานีวิทยุ CINN สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวและวัฒนธรรมกาญขนบุรี FM 96.25 โทร. 034-520 757-8, 081-763 5828
3. นสพ.ไทยเรดนิวส์ ชั้น 5 อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว โทร. 02-934 9388, 083-705 1234, 083-706 1234, 081-148 6399***


*******************************************************************
วันอาทิตย์ 27 - วันจันทร์ 28 ธันวาคม  2552 

เมื่อเช้าวันพุธที่ 23 ธันวาคม 2552 กลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน และกลุ่มแนวร่วม จัดแถลงข่าวที่ชั้น 5 อิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว เรียกร้องต่อรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้กับประชาชน ทั้งปัญหาทางด้านการเมือง, เศรษฐกิจ และสังคม 

และในวันเดียวกันนี้ได้แถลงข่าวการจัดการชุมนุมใหญ่ ที่ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 27 - 28 ธันวาคม 2552 เวลา 17.00 - 23.00 น. ในโอกาสวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครบรอบ 275 ปีภายใต้หัวข้อ "สดุดีตากสินมหาราช กู้ชาติไทย" และเจ้าภาพได้เชิญ "คุณจักรภพ เพ็ญแข" โฟนอินเข้ามาด้วย 

จึงขอเชิญชวนสื่อมวลชน ประชาชนทุกสาขาอาชีพ และที่ขาดไม่ได้คือคนเสื้อแดง มาร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าวด้วย 

****************************************************************


แถลงข่าว


จากการสำรวจศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพล) สำรวจความคิดเห็นเรื่อง"ประเมินผลงาน 1 ปี รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์"คะแนนความพึงพอใจผลงานของรัฐบาลเมื่อทำงานครบ 1 ปี ได้คะแนนเฉลี่ย 3.87 จากคะแนนเต็ม สอดคล้องกับความจริงของการสำรวจทุกสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้รวมตัวเป็น กลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน มีความเห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ล้มเหลวในทุกด้านกล่าวคือ


1. ทางการเมือง รัฐบาลไม่จริงใจต่อการสร้างประชาธิปไตย ไม่มีการทวงคืนรับธรรมนูญ40กลับมา รัฐบาลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการสร้างสังคมนิติรัฐ เนื่องจาก ดำเนินนโยบายสองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ  ในกรณีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและกลุ่มพันธมิตร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้เร่งรัดดำเนินคดีกรณีที่กลุ่มพันธมิตรยึดทำเนียบและสนามบินสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างร้ายแรง  ปฏิบัติการไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณ จนทำให้ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาร้าวฉานนำความเสียหายให้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศชาติ 


2. ทางเศรษฐกิจ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาภายใต้การบริหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปว่า ประเทศไทยสูญเสียโอกาสของการเติบโตทางเศรษฐกิจไป คิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 8 แสน ล้านบาท ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ การส่งออกได้รับผลกระทบ 5.74 แสน ล้านบาท   ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวกระทบ 1.1 แสนล้านบาท และภาคเกษตรกรรมและอื่นๆ กระทบ 1.18 แสนล้านบาท


ภาคเศรษฐกิจโดยรวมยังตกต่ำซบเซา หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 45 เปอร์เซ็นต์  รัฐบาลไม่ได้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้กรรมกร  ให้สอดคล้องกับภาวการณ์ครองชีพ ล้มเหลวในการประกันราคาพืชผลการเกษตร ให้ได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คนไทยมีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 184,330 บาท เป็น 215,684 บาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.5%


3. ทางสังคมสถิติ  สำนักงานตำรวจแห่งชาติล่าสุดพบว่ามีคดีข่มขืนในปี 2552 ถึง 4,644 คดีเสพยากระฉูดถึง 1 แสนราย เทียบกับปีที่แล้วแค่ 9 หมื่น เร่ขายยาบ้าเพิ่มขึ้นถึง 13 ล้านเม็ด ระบาดหนักใน 5 พันชุมชน ขณะที่นักโทษพ้นคุกกลับมาก่อคดีซ้ำถึง 22% ชี้เหตุเศรษฐกิจถดถอย ปูดคดีลักจักรยานยนต์เพิ่มมากถึง 41%


กลุ่มคนเสื้อแดง ซี่งมีกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย  แดงสยาม  กลุ่มพลังประชาชน  สหภาพแรงงานการไฟฟ้านครหลวง จึงรวมตัวเป็นกลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาเร่งด่วนดังนี้...


1. ยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน   ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจากปัจจุบัน 7 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นมาตรการช่วยเหลือการครองชีพของประชาชน และให้พักชำระหนี้สำหรับธุรกิจขนาดกลางและย่อมในปี 2553 


2. ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีที่ดิน  ภาษีมรดก ภาษีอัตราก้าวหน้า เพื่อนำเงินมาจัดสวัสดิการสังคมรอบด้านให้ทั่วถึงทุกคน


3. จัดการศึกษาเชิงคณภาพฟรีทั้งระบบ รัฐบาลลงทุนผลิตตำราเรียนและอุปกรณ์จำเป็นฟรี 


4. เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้กรรมกร 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปตามภาวะเงินเฟ้อในปี 2553 และประกันราคาพืชผลการเกษตร รัฐบาลต้องทำตามสัญญาประกันรายได้เกษตรกรตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา


จะได้ร่วมกันจัดการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงระหว่างวันที่ 27 -28 ธันวาคม 2552 ระหว่าง 17.00-23.00 น.ในโอกาสวันพระราชสมภพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครบรอบ 275 ปี  ภายใต้หัวข้อ  “สดุดีตากสินมหาราช กู้ชาติไทย“ จึงขอเชิญชวนสื่อมวลชน ประชาชนทุกสาขาอาชีพ คนเสื้อแดง ร่วมกิจกรรมดังกล่าว

                                    

กลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน

กลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตย  

กลุ่มแดงสยาม  

กลุ่มพลังประชาธิปไตย  

กลุ่มแดงตากสิน


****************************************************


วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2552

***เว็บไซต์คนไทยยูเค ขอเชิญชวนพี่น้องเสื้อแดงร่วมทำบุญกับชาว www.konthaiuk.com เป็นบุญทอดผ้าป่าการศึกษา ณ โรงเรียนบ้านหอย ตำบลหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีษะเกษ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดยอาจารย์ประทีป เพ็งแจ่ม ผู้อำนวยการโรงเรียน ได้ขอความอนุเคราะห์ มาว่า โรงเรียนได้ชำรุดทรุดโทรมลงไป ทางรัฐไม่ได้มาสนใจดูแล โดยเฉพาะโรงอาหารก็ผุพังลงไป เนื่องจากใช้งานมาหลายปี ถูกปลวกกัดกิน จนจะไม่มีสภาพที่จะใช้งานได้อีกต่อไป เด็กนักเรียนก็ขาดแคลนเสื้อผ้า ชุดนักเรียน ที่จะใส่ไปโรงเรียน บางคนรองเท้านักเรียนก็ไม่มีจะใส่ ชาวบ้านส่วนมากก็มีฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล*** 

***ทางเว็ปไซด์คนไทยยูเคได้ตระหนักว่าเด็กในวันนี้ คืออนาคตของชาติในวันข้างหน้า จึงได้เข้าร่วมงานทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อที่ช่วยเหลือลูกหลานของพี่น้องเรา และก็ขอบอกบุญมายังทุกท่านที่ได้ฟังรายการของเรามา ณ ที่นี้ ถ้าท่านใดมีความประสงค์จะช่วยร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมในครั้งนี้ หรือต้องการจะไปร่วมงานด้วยตัวเอง ก็ขอเชิญติดต่อแจ้งความประสงค์มายัง 
คุณปุ้ยน่ารัก เบอร์โทรศัพท์ 081 825 8661 

***ร่วมบริจาค สามารถโอนเงินผ่านบัญชี วัชราภรณ์ หวลธรรม ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา เซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ เลขที่บัญชี 401-614393-9 โอนแล้ว ขอความกรุณาแจ้งปุ้ย ด้วยค่ะ*** 

****************************************************************

***หนังสือพิมพ์คุณภาพใหม่ ของชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย ชื่อ Thai Freedom ถือฤกษ์ดี วันตากสินมหาราช 28 ธันวาคม 2552 วางตลาดเปิดตัวในงานเคาต์ดาวน์เสื้อแดงนปช.ที่จังหวัดเชียงใหม่

Thai Freedom อิสระสื่อเสรี ซึ่งเป็นสื่อที่เกิดจากการรวมตัวกันของบรรดาผู้ทำสื่อซึ่งรักในความถูกต้อง รักประชาธิปไตย ยืนหยัดข้างความเคลื่อนไหวของประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการให้ข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ ที่จะปรากฏตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน 
ได้ฤกษ์ดีวันตากสินมหาราช 28 ธันวานี้เป็นปฐมฤกษ์วางตลาดเพื่อเปิดตัวให้กับชาวประชาธิปไตยได้รู้อ่านก่อนใครๆ ในงานเคาต์ดาวน์ของแนวร่วม นปช.ที่จังหวัดเชียงใหม่ และมีกำหนดการวางแผนหนังสือทั่วประเทศในวันที่ 17 มกราคม 2553 นี้***

***หนังสือพิมพ์ Thai freedom มีไพโรจน์ จันทรนิมิ ผู้อำนวยการหนังสือแนวร่วม RED และประธานชมรมสื่อเพื่อเสรีภาพไทย และเพื่อนพ้องวงการสื่อทั้งกระแสหลักและนักข่าวนักเขียนฝ่ายประชาธิปไตยในโลกอินเตอร์เน็ต ร่วมกันจัดทำอย่างมืออาชีพ เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ไซส์ใหญ่ (ขนาดแบบหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)20หน้า พิมพ์4สี กระดาษปอนด์อย่างดี 
พี่น้องเสื้อแดงสามารถทดลองอ่านฟรี เพียงช่วยค่าส่งไปรษณีย์ 10 บาท ท่านที่ประสงค์จะลงโฆษณาก็ฟรีเฉพาะช่วงแนะนำตัว ติดต่อสอบถามโทร083-7876111 หรือดูรายละเอียดที่เวบไซต์ชมรมhttp://thaifreedompressclub.com/***

***พิเศษ!! .. ในงานเดียวกันนี้ ทางผู้บริหารชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทยได้จัดรายการพิเศษแก่คนผู้เข้าร่วมงาน ที่สนใจกางเตนท์พักแรม สามารถติดต่อสถานที่กางเตนต์หลังสวนราชพฤกษ์ที่จัดงานพืชสวนโลก กางได้ประมาณ 100 เตนท์ อยู่ติดลำธาร น้ำใสไหลเย็น กลางหุบเขา ใช้ไฟจาก พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางความศิวิไลซ์ที่ไปไกล สุดกู่ของ เชียงใหม่ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีพื้นที่อย่างนี้หลงเหลืออยู่ ก็อยู่ไม่ไกลจาก สนามกีฬา 700 ปีที่จะจัดงาน ติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 086-4142694***

********************************************************************

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จุดพลุ โดย จักรภพ เพ็ญแข

โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 29

พลุที่จุดสุดกระจ่างกลางแผ่นฟ้า
ล้างมายาสาไถยได้ไหมนี่
ถ้าบ้านเมืองสกปรกรกราคี
เอาน้ำสีชะล้างไม่จางลง

เฉลิมฉลองของขวัญวันวิเศษ
แต่ประเทศถูกทำลายเป็นผุยผง
แม้ความเชื่อสุดฝืนที่ยืนยง
ต้องร่อนลงสู่สนามแห่งความจริง

พลเมืองไทยเราไม่เยาว์นัก
จิตประจักษ์แจ่มรู้อยู่ทุกสิ่ง
นี่มายาอยู่ทั้งผองนี่ของจริง
สงบนิ่งอย่างไม่ท้อรอเวลา

ชีวิตเราเราก็สู้อยู่โดดเดี่ยว
อำมาตย์ช่วยไม่ถึงเสี้ยวมาเอาหน้า
ไหนผูกพันใหญ่หลวงกับปวงประชา
กลับต่างฟ้าต่างฝันด้วยชั้นชน

เสมือนเดินร่วมทางแต่ต่างโลก
เราทุกข์โศกเขาก็ห่างต่างถนน
ใครที่เคยเสวยสวรรค์จากชั้นบน
ถึงเวลาก็จะหล่นลงบนดิน

หัวคงหมุนเพราะลูกขุนพลอยพยัก
ใส่น้ำหนักหักบิดเป็นนิจสิน
ทุ่มทำลายด้วยอิจฉาจนราคิน
เหมือนไก่ดิ้นคับเข่งก็เบ่งกัน

สุดหนึ่งคือมายาอันอ่าโอ่
เหมือนรายการเกมโชว์อันสุดขั้น
สุดหนึ่งคือชีวิตจริงทุกสิ่งอัน
ที่รับแรงกดดันทุกวันวาร

คนสอพลอโซ่กลางคือวางระเบิด
ต้นกำเนิดปฏิวัติประหัตประหาร
ฉวยประโยชน์อ้อมตรงเพื่อวงศ์วาร
เชื่อมประสานให้ทั้งคู่สู่สงคราม

สถานการณ์นี้ล่ะหรือคือสันติ
นี่ล่ะหรือคือดำริเพื่อก้าวข้าม
เฉลิมฉลองทั้งน้ำตาสง่างาม
เก็บกวาดความในใจไว้ใต้พรม

สร้างสีสันบรรยากาศราวชาติรอด
ไม่มีเสียงแทรกสอดก็เหมาะสม
แต่เมื่อพัดผ่านไปราวสายลม
เสียงนิยมจากปากก็จากจาง

เมื่อไทยตื่นจากฝันถึงวันใหม่
ระลึกได้ชั่วดีและถี่ห่าง
จึงพบเห็นตัวตนบนเส้นทาง
ใครมียางอายบ้างต้องนั่งโทรม

ประเทศไทยมีปัญหาต้องกล้าแก้
หยุดเอาแต่มายามาถาโถม
กลางราตรีผ่องผุดจะจุดโคม
ให้เนื้อแท้แผ่โฉมใช่โคมลอย

พลุที่จุดสุดกระจ่าง ณ กลางจิต
ย่อมมีฤทธิ์สว่างไสวไม่ท้อถอย
เมื่อมวลชนรู้ทันมั่นใจคอย
จุดพลุน้อยแจ่มกระจ่างล้างมลทิน.

------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โพธิสัตว์มัญชุศรีหรือปิศาจ? โดย จักรภพ เพ็ญแข

โดย :  จักรภพ เพ็ญแข 
ที่มา : คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 29 

...คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเอ่ยอย่างกร้าวๆ ในข้อเขียนของท่านครั้งหนึ่งว่าความเงียบของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ย่อมดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า” 


แปลว่าความเงียบของตัวท่านมีความหมายมากกว่าสุญญากาศ


คุณคึกฤทธิ์จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ก็ช่างคุณคึกฤทธิ์ ไปบาปกรรมกันเอาเองเถิด แต่ประเด็นที่จุดขึ้นมานานหลายปีแล้วนั้น น่าสนใจและมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันเป็นอันมาก 


นั่นคือเรื่องของความเงียบ


ตั้งแต่เริ่มเดือนธันวาคม ..๒๕๕๒ เป็นต้นมา เชื่อว่าคนไทยที่ยังรักและใส่ใจกับเมืองไทยต่างก็หวังว่าจะได้ยินได้ฟังสัญญาณบางอย่างที่แสดงถึงความสมานฉันท์ ตามจริตแต่เดิมที่มั่นใจว่าเมืองไทยย่อมมีทางออกอย่างไทย บางคนยังประทับภาพเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม ..๒๕๓๕ ไว้ชัดเจนในสมองและความทรงจำจนยากที่คิดเป็นอื่นได้


ถึงในใจจะเริ่มตระหนักว่าสะพานที่เคยข้ามไปมาเหนือสายนทีที่เชี่ยวกราก บัดนี้กลายเป็นสะพานที่ชำรุดและมีป้ายมาแขวนคล้องว่าปิดซ่อมให้ใช้ทางเบี่ยงแทนก็ตามทีเถิด ผู้คนก็ยังมองสะพานนั้นด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะเปิดใช้บริการเหมือนที่คุ้นเคยมานาน


ในที่สุดสะพานนั้นก็เปิดจริงๆ แต่เปิดเพียงชั่วครู่แล้วก็ปิดลงดังเดิม


ผู้ที่ได้รับเชิญข้ามไปได้มีเพียงหยิบมือเดียว คือใครก็ตามที่ไม่ใช่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ แต่เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่หาสะพานข้ามไปไม่ได้แกก็เหาะข้ามไปอยู่ดี เพราะแกเป็นคนพิเศษ 


ประชาชนเต็มขั้นไม่ได้ข้ามไปเลยแม้แต่คนเดียว งานที่เคยเชิญเขาก็งด และงานที่ไม่งดเขาก็ไม่เชิญ


ตอนแรกก็ใบ้รับประทาน


เวลาผ่านไปในราวสามนาทีเศษ ประชาชนชาวไทยก็เริ่มรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น และเริ่มรำพึงกับตัวเองว่าคงจะไม่มีอะไรอีกแล้ว


ตอนหลังจึงเกิดสติระลึกรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยขณะนี้


รู้จนสรุปได้ในบัดนี้ว่า ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของตนและคนอีกนับล้านหรืออาจจะหลายสิบล้าน ไม่ได้มีค่าหรือราคาใดๆ เลย


ความชอกช้ำและหยาดน้ำตาที่ไหลต่อเนื่องมาสามปีเต็มๆ ก็เป็นน้ำประปาที่ไหลล้างท่อสำหรับคนที่มองแล้วก็ผ่านเลยเหมือนช่างประปาซ่อมท่อ ไม่ควรค่าแก่ความใส่ใจในทุกกรณี


นี่พูดสำหรับคนที่ยังหวังและยังคาดหมายอะไรแบบนี้อยู่ ส่วนคนที่รู้แล้วและเลิกหวังไปนานแล้วนั้นก็ได้แต่เวทนาคนที่เขาได้รับผลกระทบทางใจจากงานนี้


ส่วนตัวเองนึกสบายใจว่าดี จะได้รู้กันสักทีว่าอะไรเป็นอะไร และใครอยู่เบื้องหลังกลียุคของบ้านเมืองที่เริ่มต้นมาจากความวิตกจริต ความหมั่นไส้ และความริษยาอาฆาต 


จะได้เลิกบนบานศาลกล่าวกันเสียบ้าง นอกจากจะไม่มีประโยชน์โภชย์ผลใดๆ ทำพึมพำเสียงดังจนเกินไปเขาจะมาจับตัวไปริบราชบาตรและเผชิญกับราชทัณฑ์เสียอีก


เมืองไทยของเรานี้ย้อนหลังกลับราวครึ่งศตวรรษ จะพบว่าเราแบ่งออกได้เป็น ยุคใหญ่คือ


. ยุตแห่งศรัทธา เชื่อมั่น และหลงใหล


. ยุคที่ตื่นจากความหลับใหลอันยาวนาน


ผมถือว่าเดือนธันวาคมแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ เป็นการประกาศเปลี่ยนจากยุคแรกมาเป็นยุคที่สองด้วยเสียงเงียบอันดังกัมปนาทเสียยิ่งกว่าความเงียบของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี เพราะเงียบจนสมองหมุนและเงียบจนฟังอะไรไม่ได้ยิน เว้นแต่คำเตือนของคณะราษฎรเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ..๒๔๗๕ ที่หลายคนพยายามลบไปจากความทรงจำด้วยความขลาดเขลา และเป็นความเงียบที่ต่อยอดความจริงที่คนข้างในเขารู้กันมานานนักหนา


นั่นคือความโหดเหี้ยมอำมหิต ความไม่เห็นค่าของมนุษย์ใดๆ และการกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนและคณะ


มาอย่างเงียบที่สุดและก็ชัดเจนที่สุดราวกับช้อนเงินที่ตกกระทบพื้น


ดังเหมือนเอาฆ้องเข้าไปตีตรงกระดูค้อน ทั่ง โกลน


ขอบคุณที่ส่งเสียงเงียบมาให้ได้ยินกันทั่ว


ขอบคุณที่เต็มไปด้วยโมหะจริต โทสจริต และ โลภจริต ตลอดจนอกุศลมูลต่างๆ อย่างสะพรั่ง


ขอบคุณที่ส่งสัญญาณดูหมิ่นมาอย่างรุนแรง เพราะเป็นมือที่มองเห็นและช่วยอย่างยิ่งให้คนฝ่ายนี้ตื่นจากความหลับใหลในเวลาชั่วข้ามคืน


ขอบคุณที่ถอดหน้ากากตัวเองออกมาโยนไว้ข้างทาง


ขอบคุณที่บอกให้รู้ว่าทำให้ดีก็ทำได้ แต่จะทำเท่านี้ใครจะทำไม?

  

จึงขอตอบสั้นๆ จากใจของประชาชนคนหนึ่งที่ยังรักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่า


ได้ยิน


------------------------------------------------------------


TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146  ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (.- . 9.30-17.30 .)