ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"บางทีมีสัมผัส" โดย "จักรภพ เพ็ญแข"


"บางทีมีสัมผัส" พ็อกเก็ตบุ๊คส์เล่มใหม่ล่าสุด เป็นการรวมงานเขียนกลอน ช่วงหลังรัฐประหาร และช่วงลี้ภัยการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ และคำอธิบายเบื้องหลังกรณี"กลอนสมัคร" ที่เคยโด่งดังในโลกไซเบอร์ โดย "คุณจักรภพ เพ็ญแข" ความหนา ๑๔๔ หน้า ราคาเล่มละ ๑๕๐ บาท ส่งทางไปรษณีย์ขอเพิ่มค่าส่งอีก ๒๐ บาท รวมเป็น ๑๗๐ บาท 

สั่งซื้อ ติดต่อ คุณนุชรินทร์ ต่วนเวช โทร. ๐๘๕-๕๐๔ ๙๙๔๔ หรือทางอีเมลล์ :tpnews2012@gmail.com 

โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอิมพีเรียลลาดพร้าว เลขที่ ๒๒๔-๒๔๒ ๓๙๔๓ ชื่อบัญชี น.ส.นุชรินทร์ ต่วนเวช 

พี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ต่างจังหวัด มีความประสงค์จะรับไปขาย คิดราคาพิเศษค่ะ 

***********************************************************

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“ร้านหนังสือ...กล่องดวงใจข้างในขบวนการ”


คอลัมน์ เขียนถึงคนรัก

ตอน “ร้านหนังสือ...กล่องดวงใจข้างในขบวนการ”
โดย จักรภพ เพ็ญแข

ร้านหนังสือมีมนต์เสน่ห์สําหรับคนรักหนังสือ ยากที่จะอธิบายให้ถึงใจว่าทําไม แต่คนรักหนังสือจะหลุดหายเข้าไปได้ง่ายๆ ในร้านหนังสือดีๆ เสมือนว่าโลกหยุดหมุน ปัญหาส่วนตัวในทางโลกถูกทิ้งเอาไว้หน้าร้านจนหมด เหลือแต่มนุษย์ที่ตัดการประดับประดาออกไปจนรู้สึกโปร่งสบาย กระหายแต่ความรู้ ความรัก ความดี และความงาม และมองหนังสือแต่ละปก ข้อความแต่ละบรรทัด ตัวอักษรแต่ละตัวด้วยจิตว่าง จนได้เจอเล่มที่พอใจรักใคร่ ก็คว้ามาสํารวจตรวจสอบอย่างพินิจ สุดท้ายก็ชวนกันไปสนทนาอย่างรื่นรมย์ในที่ที่พึงใจ

พรํ่าพรรณนามาเสียหลายประโยค เพียงเพื่อจะบอกท่านผู้อ่านที่รักว่านี่ล่ะคือเหตุผลข้างต้นของร้านหนังสือใหม่ในบรรณพิภพที่ชั้นสี่ของห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ที่หลายท่านกรุณามาช่วยเปิดและช่วยอุดหนุนและเห็นว่าจะไปชวนพรรคพวกมาเยี่ยมเยียนกันอีก ซึ่งทําให้เราอบอุ่นใจมาก

ร้านหนังสือเล็กๆ ขนาดแค่หนึ่งคูหาแห่งนี้ไม่มีชื่อ ได้แต่ไปยืมชื่อสํานักข่าวร่วมอุดมการณ์มาใช้ เราจึงเรียกกันง่ายๆ ว่า ร้านทีพีนิวส์ (TPNews Bookshop) หรือร้านหนังสือของสํานักข่าวทีพีนิวส์นั่นเอง เหตุผลง่ายๆ มี 2 ข้อคือ ทีพีนิวส์มาจากภาษาสากลว่า TPNews หรือ Thai People's News แปลเป็นไทยได้ตรงใจเราว่า สํานักข่าวประชาชนไทย อันเป็นอุดมการณ์ของเราอยู่แล้ว เราคงไม่ทําอะไรให้ใครอื่นเพราะประชาชนสําคัญที่สุดอยู่แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือ สํานักข่าวทีพีนิวส์กับร้านหนังสือทีพีนิวส์จะเดินเคียงไปด้วยกันเสมอ เพื่อบริการข่าวสารอันเป็นข้อมูลระยะสั้นและหนังสืออันเป็นข้อมูลระยะยาวอย่างสมบูรณ์ที่สุดตามสติปัญญาความสามารถของเรา

ผมบอกกับ คุณนุชรินทร์ ต่วนเวช ผู้ที่ได้ร่วมทุกข์สุขทางงานสื่อและงานการเมืองมานับสิบปี และยอมมาเป็นผู้จัดการร้านทีพีนิวส์ ณ บัดนี้ว่า ร้านหนังสือเป็นที่รักของเราก็จริงอยู่ แต่ร้านทีพีนิวส์มิใช่มีไว้สนองความต้องการของเรา หากเราหวังให้เติบโตเป็นเครื่องมือรับใช้มวลชนในขบวนการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงต่อไป คุณนุชรินทร์ ทีมงานอาสาสมัครของเรา และตัวผมเองเชื่อมั่นอย่างไม่มีวิจิกิจฉาว่า ประชาธิปไตยต้องอ่านหนังสือ ประชาธิปไตยต้องไม่คิดอย่างโอหังว่าตัวเองมีความรู้จนไม่ต้องแสวงหาเพิ่มเติม ถึงร้านหนังสือเล็กๆ ของเราจะไม่ใช่อะไรมากมาย แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของแหล่งความรู้และการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งของขบวนการ

ในการต่อสู้ทางการเมือง เราจะคิดถึงแต่อํานาจและการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองมิได้ เมื่อฝุ่นหายตลบและจางลงไปแล้ว สิ่งที่เราต้องใคร่ครวญเสียแต่บัดนี้คือประชาชนจะร่วมกันดูแลบ้านเมืองนี้อย่างไร เมื่อมองให้ทะลุโวหารทางการเมืองและก้าวผ่านอารมณ์ชั่วแล่นไปแล้ว เราต้องสะสมทั้งข้อมูล ความรู้ และสร้างภูมิปัญญาขึ้นมาเป็นฐาน มิฉะนั้นเราจะถูกยึดอํานาจคืนจากผู้ชํานาญการทั้งหลาย (technocrats) ในฝ่ายตรงข้ามและประชาชนก็จะถูกเหยียดหยามว่า "ไม่พร้อม" เสมอไป ไม่ต่างอะไรจากคณะราษฎร์ที่ถูกโจมตีด้วยวาทกรรมชิงสุกก่อนห่ามมาตลอด วันนี้บรรพบุรุษประชาธิปไตยทําให้เราเห็นแล้วว่าเราต้องพัฒนาสมองของเราก่อนจะคิดพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อความเป็นเจ้าของอํานาจที่สมบูรณ์และยั่งยืน อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเรากําลังต่อสู้กับผู้มีอํานาจเหนือองค์ความรู้เก่าๆ ในสังคมไทย เพราะเขามีอํานาจมากและมีมานานจน "ปัญญาชน" ต่างสยบยอมอยู่แทบเท้าของเขา และกลับเอา "ความรู้" มาทิ่มแทงประชาชนผู้มิใช่อภิสิทธิ์ชนจน "ความรู้" กลายเป็นเครื่องมือกดขี่ที่ทรงประสิทธิภาพอีกชนิดหนึ่งไป เราจึงต้องฟื้นอํานาจและสิทธิโดยธรรมชาติของเราด้วยการพัฒนาฐานความรู้ของประชาชนและเพื่อประชาชนเอง เลิกเอาของสําเร็จรูปมาใช้เหยียดหยามกันเองว่าใครสูงใครต่ำตามเงื่อนของสถาบันและหลักสูตรต่างๆ (ซึ่งเป็นของเขาทั้งนั้น) เสียทีเถิด

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2555 ร้านทีพีนิวส์จึงเกิดขึ้นเพื่อมนุษย์ที่แท้ทุกคน ถึงเวลาที่เราจะหยุดค่านิยมของผู้มีการศึกษาแบบจอมปลอมและเริ่มสร้างความรู้เท่าทันขึ้นมาเป็นอาวุธทางปัญญาของเรา ยิ่งครวญครํ่าว่า "เรียนมาน้อย" ยิ่งต้องแสวงหาความรู้จากหนังสือ เว็บไซต์ ผู้ที่มีความรู้มากกว่าเรา เป็นเท่าทวีคูณ ยิ่งลําบากยากจน กระเสือกกระสนต่อสู้ ยิ่งต้องหาโอกาสเพิ่มเครื่องมือทางปัญญาของตนเองมากกว่าคนที่เขาเกิดมาได้เปรียบ

ในร้านนี้มีหนังสือหลายเล่มที่ครั้งหนึ่ง "ต้องห้าม" และเคยถูกยึดถูกนําไปทําลายมาแล้วมากต่อมาก โดยเฉพาะในช่วงหลังการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ยิ่งรู้ว่าเล่มไหนมีอิทธานุภาพขนาดนั้น เราก็ยิ่งได้ความรู้ว่าผู้มีอํานาจยิ่งใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้เขากลัวประชาชนจะรู้อะไร ความตาสว่างในปัจจุบันก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างประมาณมิได้

ก่อนจะทิ้งท้ายให้ท่านได้เห็นบางปกหนังสือและบรรยากาศวันที่พี่น้องของเรามาร่วมเปิดร้านทีพีนิวส์ ผมขอกราบเรียนเชิญทุกท่านด้วยความเคารพให้มาเยี่ยมเยียนกันที่ร้านบ้าง ซื้อไม่ซื้อไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่องเลย ขอให้มาพบหน้าค่าตาและแสดงตนว่าเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กันอยู่ เท่านั้นก็เป็นการเพียงพอ ใครเป็นคนทำหนังสือ อยากนําผลงานตัวเองมาวางที่ร้าน ก็แวะมาบอกกล่าวกันอย่างญาติพี่น้องได้เช่นกัน ใครไม่ว่างจะต่อสายมาหากันก่อนก็หาขัดไม่ ที่หมายเลข 085-5049944 และอีเมล tpnews2012@gmail.com พร้อมทักทายท่านอยู่ทุกเวลา

ขอกราบขอบพระคุณนักคิด นักเขียน เจ้าของร้านและแผงหนังสือทั้งในอดีตและปัจจุบันทุกท่านและทุกกิจการที่นําทางพวกเรามาจนถึงหัวโค้งที่สําคัญของบ้านเมืองในวันนี้.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : Red Power ฉบับที่ 29

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

“จุดยืน” (๓-จบ)


Core Respondence จอม เพชรประดับ – จักรภพ เพ็ญแข

จอม คุณจักรภพ มองอดีตนายกฯ ทักษิณ ว่าเป็นนักประชาธิปไตยไหมครับ หรือเป็นแค่นักการเมือง

จักรภพ ผมว่าท่านเป็นนักเสรีนิยม ท่านพอใจสังคมเปิด หลากหลายและ แข่งขัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าท่านก็เชื่อว่าท่านแน่พอ ท่านแข่งได้ อย่า

ลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ท่านเป็นผู้เล่นนะไม่ได้เป็นคนร่าง จำได้ไหมครับท่านลงเป็น ส.ส.ร. เชียงใหม่แล้วไม่ได้ ท่านไม่ได้ร่างกับเขา แต่พอเป็นฉบับขึ้นมาท่านก็บอกว่าท่านศึกษาบทเรียนจากพลังธรรมมาแล้ว เหนื่อยเชียว แผลเยอะเลย มาตั้งไทยรักไทยแล้วก็เข็ญลงสนามเลือกตั้ง ปี ๒๕๔๔ ปรากฏว่าท่านก็สามารถจะใช้กลไกของรัฐธรรมนูญฉบับปี ๔๐ สร้างอาณาจักรทางการเมืองขึ้นมาได้จนกระทั่งบัดนี้ ทั้งหมดเป็นผลจากการสร้างตอนนั้นทั้งสิ้น แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มันเป็นมาตรฐานใหม่ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไทย ซึ่งเราก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็คือสิ่งที่เรียกว่าคดีซุกหุ้น ซึ่งมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๓ ส.ค. ๒๕๔๔ จำได้ใช่ไหมครับ คือท่านนายกฯ ทักษิณฯ ท่านไม่ได้เป็นนายกฯ เลย ท่านเข้าการเมืองครั้งแรกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของพรรคพลังธรรม แล้วต้องชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ปรากฏว่าพอชี้แจงแล้วก็มีคนเอาตรงนี้มากล่าวโทษว่าท่านซุกหุ้น เอาหุ้นเอาเงินไปหลบอยู่ตามคนต่างๆ ใกล้ตัว ท่านก็ต้องสู้คดีนี้ ใช้เวลา ๖ เดือนแรกในการเป็นนายกฯ ๖ เดือนแรกท่านเกือบไม่ได้เป็นนายกฯ เลยนะ ท่านเป็นนายกฯ ที่ต้องสู้คดี แล้วเรื่องนี้ก็เรียกว่าหลอกหลอนท่านตลอดจนกระทั่ง ๓ สิงหาคม ปี ๔๔ แล้วสุดท้ายก็มีการพิพากษา ถ้าจำไม่ผิด ๘ ต่อ ๗ ทำให้ท่านพ้นมลทิน ทุกคนก็หายใจโล่งอกว่าได้นายกฯ แล้ว ทีนี้ก็รอให้ท่านมาทำหน้าที่ อย่าลืมว่าตอนนั้นท่านยังไม่ได้ทำ ๓๐ บาท ยังไม่ได้ปราบยาเสพติด ท่านยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ๖ เดือนแรกของการเป็นนายกฯ

ที่ผมเล่ามาตรงนี้เพื่อจะตอบคุณจอมว่า ท่านเองก็สร้างมาตรฐานเหมือนกันว่า ถ้าเราเอานักธุรกิจมาเป็นผู้นำการเมือง เราอาจจะเอามาตรฐานเดียวกับที่เราวัดข้าราชการมาใช้ไม่ได้ สมมติว่าเราเอามาตรฐานข้าราชการมาใช้ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องซุกหุ้นเท่าไหร่ นี่พูดกันตรงๆ แต่นายกฯ ทักษิณเป็นนักธุรกิจสะสมทรัพย์สินมานาน แล้วคนเป็นนักธุรกิจเขาบอกเสียงดังฟังชัดเลยนะว่าผมมาหาเงินครับ ชีวิตนี้ ถูกไหม? เขาไม่ได้บอกว่าผมเป็นพรหมจรรย์ เป็นพรหมจารีครับแต่แอบหาเงินนะ เขาบอกเขามาหาเงิน แล้วหลักการคือ maximizing profit หากำไรสูงสุดนะ แต่จะทำมาหากินอะไรก็คนละเรื่อง

ประเด็นคือว่าพอท่านจะเปลี่ยนจากการทำประโยชน์ส่วนตัวมาเป็นการทำประโยชน์ส่วนรวม เส้นตรงนี้มันเป็นเส้นที่ท่านคือคนแรกที่ทำให้เราเห็นว่ามันต้องใช้มาตรฐานอะไร

เพราะฉะนั้นถามว่าท่านเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ ผมคิดว่าท่านเป็นประชาธิปไตยขึ้นเรื่อยๆ

จอม ทีนี้ในส่วนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เอง แนวคิดที่จะให้เกิดประชาธิปไตย จริงๆ ดูเหมือนยังคงไม่มีความหวังสักเท่าไหร่ คนเสื้อแดงเองก็ดูจะผิดหวังอยู่ในหลายกรณี ภาพที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะทำอยู่ก็คือกำลังพยายามที่จะสมยอมกับกลุ่มอำนาจเก่า มีการรอมชอมกัน สมยอมกัน อะไรต่างๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คุณจักรภพเองรู้สึกอย่างไร นี่คือการสมยอมกันทางอำนาจในที่สุดหรือเปล่า

จักรภพ ผมกลับมองว่าเป็นทางเลือกของประชาชน คือพรรคเพื่อไทยก็มีเอกภาพ

ในเรื่องปรองดอง คือทุกคนอยากจะพูดแต่เรื่องปรองดอง ถ้าใครไม่พูดปรองดองไปอยู่นอกรั้ว อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะปรองดอง มันก็เป็นทางเลือกอันหนึ่ง จะถูกหรือผิดผมคิดว่าเราก็อย่าเพิ่งไปรีบด่วนสรุป เนื่องจากว่ามวลชนมองอยู่ มวลชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพราะชอบข้างนี้ แต่พรรคเพื่อไทยมาตัดสินใจว่าจะปรองดองรอมชอม เพราะฉะนั้นมวลชนก็ต้องรอตัดสินพรรคเพื่อไทยในอนาคตเมื่อมีการเลือกตั้งต่อไป ว่ามวลชนพอใจในสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเดินมาทางนี้หรือไม่ ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ขณะเดียวกันในฐานะซึ่งก็พรรคพวกกันทั้งนั้น เคยอยู่ไทยรักไทยด้วยกันมานะครับ แล้วก็มาพลังประชาชน ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าผมอยากจะให้มีเวลาเอาหูแนบพื้นดินกันดูสักนิดว่ามันเสียงอะไรแน่ อย่าได้ยินแต่เสียงตัวเอง แล้วตรงนั้นมันจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการเมืองมันไม่ได้แปลว่าถูกต้องนะคุณจอม การเมืองบางครั้งมันกลายเป็นร่างทรงของมติมหาชน เช่น สมมติเราอยากจะไปอย่างนี้ แต่เมื่อทำจริงๆ แล้วประชาชนเขาไม่เอาเราก็ต้องปรับเปลี่ยนได้ แต่ถ้าปรับเปลี่ยนแบบกะล่อนก็ต้องหลุดจากอำนาจ คนก็ไม่เอา แต่ถ้าปรับเปลี่ยนอย่างมีศิลปะ อันนี้เขาก็ถือว่าเป็นการบริหารงานการเมือง หลายคนก็ทำ เหมือนกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนหนึ่ง ผมยกสหรัฐฯ บ่อยหน่อยเพราะมันชัด อย่าง “FDR (Franklin Delano Roosevelt)" แกเป็นคนแรกเลยอาจจะของโลกก็ได้ที่ใช้คนไปทำประชามติก่อนตัดสินใจวางนโยบาย คือแกไปถามก่อนว่าคนจะเอาอะไรแล้วแกก็ทำตามนั้น คนก็รักแกเหลือเกินว่าทำไมถึงเดาใจประชาชนถูก แกไม่ได้เดาแกไปถามว่าจะเอาอะไร มาสมัยนี้ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ถามมติมหาชน ทั้งๆ ที่คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์พรรคเพื่อไทย คือนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสำรวจเรื่องพวกนี้ ผมว่าก็เสียโอกาส

จอม มีคนกังวลเหมือนกันว่าบรรยากาศของประเทศไทยนับจากนี้ ปรองดองก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหวังสักเท่าไหร่ว่าจะปรองดองกันได้ หรือยอมจะคุยกันให้ได้ ความเป็นกังวลก็คือว่าอนาคตของประเทศ เมื่อปรองดองกันไม่ได้ ความขัดแย้งจากกลุ่มต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้น แล้วอำนาจหลักก็ไม่ยอมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามกระแสของความต้องการหรือความสนใจของประชาชน เราจะมีหายนะเกิดขึ้นอีกไหมครับในอนาคตอันใกล้ มองว่าอนาคตจะไปถึงจุดนั้นอีกหรือเปล่าหรือยังไง

จักรภพ มันมีสำนวนอยู่อันหนึ่งที่เรียกว่าดวงดาวทุกอย่างมันเรียงตัวมาสู่หายนะ ผมไม่อยากจะบอกว่าเมืองไทยเราเข้าสู่ชะตากรรมนั้น ขอตอบแบบให้มันสมกับตัวเองนะ ให้มันเล็กลงหน่อย ก็คือ

อันที่หนึ่งผมคิดว่าการปรองดองเป็นยุทธวิธีหนึ่งในการพยายามแก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเราต้องให้เกียรติกับคนที่พยายามจะทำ ให้เขาทำให้สำเร็จ ถ้าเขาทำสำเร็จเราก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เรื่องนี้ไม่มีเรื่องได้หน้าหรือเสียหน้า เป็นเรื่องบ้านเมืองจะจบหรือไม่จบความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเคารพสิทธิ์ของคนในการที่จะไม่เชื่อเรื่องปรองดอง แล้วให้เขาอยู่นอกกรอบปรองดอง แต่ตรงนี้ต้องมีความเป็นธรรมทางการเมืองนะ ใครที่เขาเดินในเรื่องปรองดอง แล้วปรองดองได้ผลจริงๆ ประชาชนรับ เขาจะได้ตำแหน่งทางการเมือง เขาจะได้อำนาจทางการเมืองต้องให้เขานะ คนที่อยู่ข้างนอกต้องรอนะเพราะไม่ได้ไปร่วมช่วยกับเขา แต่ว่าประชาชนทั่วไปท่านไม่ได้มองตรงนั้นหรอก ท่านมองแค่ว่าปัญหาบ้านเมืองจะจบไหม คนจะค้าจะขายเขาอยากจะเพียงแค่ว่าเขาจะไปคุยกับใครเขาเหนื่อยที่จะตอบเพื่อนฝูงชาวต่างประเทศว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะจบ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เหมือนกับนักการค้า ผมเคยถามนักผลิตท่านหนึ่งตอนผมอยู่ในครม. ท่านนายกฯ สมัครฯ ซึ่งเป็นเพื่อนกัน เขาก็ตอบไม่เกรงใจ ผมถามว่ารัฐบาลจะช่วยทำอะไรกับภาคธุรกิจบ้าง เขาก็ตอบตรงๆ ว่า ช่วยดีที่สุดคืออย่ายุ่ง ให้เขาทำมาหากินของเขา ลดภาษีให้เขามากๆ ส่งเสริมการทำการค้าและเข้ามาเกี่ยวข้องเฉพาะตรงที่เขาจะโกงคน นอกนั้นปล่อยให้กลไกตลาดมันตัดสิน ผมค่อนข้างเห็นด้วยนะ แน่นอนครับ นักธุรกิจมีโลภโมโทสัน มีเห็นแก่ตัวมีใจดำ แต่ว่าเราเป็นใครที่เราจะไปตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าว่าคนนี้จะต้องโกงแน่ ฉันเลยต้องห้ามมันไว้ก่อน บางทีขอโทษ ก็ต้องปล่อยให้เขาทำก่อน แล้วจากนั้นสังคมจึงต้องหาวิธีแก้ ถามว่ามันเป็นเรื่องดีไหมที่ปล่อยให้เสียหายก่อนแล้วค่อยมาแก้ วัวหายแล้วล้อมคอก ผมก็ต้องตอบทุกทีว่าประชาธิปไตยไม่มีทางเลือก คุณจอมกับผมเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี แต่เราจะรู้ไหมว่าเดี๋ยวจะลุกไปทำผิดอะไร ผมอาจจะลุกไปขโมยของแล้วไป คุณจอมก็ไม่รู้หรอกเพราะไม่รู้ความในใจผม เพราะฉะนั้นคุณจอมจะมาคิดว่าผมเป็นคนซื่อสัตย์ควรจะเลือกผมเป็นผู้พิพากษาก็ไม่ได้ แต่คุณจอมเห็นว่าผมน่าจะเป็นผู้พิพากษาจนกระทั่งผมขโมย คุณจอมก็ต้องบอก เอ้าคนนี้ต้องไปเป็นนักโทษไม่ใช่เป็นผู้พิพากษา นี่คือประชาธิปไตย

เพราะฉะนั้นปรองดองไปเถอะครับ แล้วเราจะเห็นผลจากการปรองดองนั้น ผมเชียร์ให้สำเร็จ เพราะประเทศไทยเสียโอกาสไปมากแล้ว ประเทศไทยช้ำมากแล้วก็เสียโอกาสมาก วันนี้เราควรเป็นผู้นำอาเซียนแล้วนะ

จอม มีความหวังว่าจะสำเร็จไหมครับ ตามความคิด

จักรภพ ส่วนตัวหรือครับ ผมค่อนข้างเป็นห่วง ที่คุณจอมถามมาก่อนหน้านี้เป็นคำตอบในตัวด้วยว่า กลไกหลักมันไม่ขยับตัว ทุกคนบอกว่าฉันจะสร้างกฎใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา แต่กฎนี้บังคับเธอนะไม่ใช่บังคับฉัน แล้วอย่างนี้มันจะจบยังไง ถ้าคุณจอมกับผมจะทำความตกลงกัน ถ้าเราทะเลาะกันนะ เราก็ต้องตกลงกันว่า คุณจอม ห้องนี้เราแย่งกันว่าใครได้เช่าก่อน เราตกลงกันอย่างนี้ไหมเพื่อเราจะได้คบกัน เราไม่เอาห้องนี้กันทั้งคู่ เราจับมือกันแล้วเดินกันออกไป แต่ไม่ใช่ผมบอกว่า คุณจอม เพื่อความเป็นธรรมคุณจอมออกไปเถอะ ผมเอาห้องนี้ มันก็ไม่จบ

เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเรื่องการปรองดองผมห่วง แต่ถามว่าเห็นว่าจะประสบความล้มเหลวหรือไม่ ผมว่ามันเร็วไป ณ วันนี้มันก็มีสัญญาณที่มันผสมผสานระหว่างอะไรต่างๆ ออกมาว่ามันจะไปได้หรือไปไม่ได้ แต่ที่สำคัญก็คือเราต้องกล้าพูดถึงประเด็นปัญหา เหมือนที่ผมตอบไปตอนต้น ถ้าเราไม่พูดถึงประเด็นปัญหาเราปรองดองไปก็เป็นเพียงแค่การหยุดพักรถระหว่างทาง มันยังไม่ถึงที่

จอม ช่วงนี้ก็เป็นช่วงการพักรบ

จักรภพ พักร้อนนะ

จอม ส่วนตัวคุณจักรภพเอง โอกาสที่จะกลับประเทศไทยมีแค่ไหนและเมื่อไหร่ครับ วางไว้อย่างไร

จักรภพ ผมกำลังคิดอยู่ครับ และปรึกษามวลชนต่างๆ พี่น้องต่างๆ เยอะแยะ คือทุกท่านก็คิดแตกต่างกันไป หลายท่านก็บอกรีบกลับมาเถอะ ช่วยพัฒนาทำอะไรต่อ ตอนนั้นก็เป็นแผล็บเดียวก็กลับมาเป็นต่อ ท่านก็ตั้งให้เสร็จ อีกทางหนึ่งท่านก็บอกว่ามันยังไม่น่าไว้ใจนะอยู่ไกลไปก่อน ผมเองออกจากอาชีพสื่อมวลชนมาเข้าสู่การเมืองก็แปลว่าผมเองก็มีตัณหาทางการเมืองไม่ใช่ไม่มี ถามว่ามีตำแหน่งมาให้จะให้เป็นรัฐมนตรี อยากเป็น ทำไมจะไม่อยากเป็น เพราะเรารู้สึกว่าจะได้ทำงานอะไรที่มันผลักดันได้ดีกว่าที่เราเป็นคนทั่วไป แต่เงื่อนไขของการไปเป็นตำแหน่งต่างๆ ในขณะนี้มันคือเงื่อนไขของการเข้าไปร่วมส่งเสริมปัญหาเก่าหรือเปล่า ถ้าหากมันไปส่งเสริมปัญหาเก่าเราก็หักใจไว้ก่อน แล้วก็ทำงานที่มันเป็นเรื่องของการเลียบค่าย มันเหมือนกับเรามองสวนเกษตรว่าสงสัยใช้ปุ๋ยเคมีมากดินพังหมดแล้ว แทนที่เราจะเข้าไปทำท่าปลูกกับเขาแล้วก็จะตายก็ช่างมัน เราไม่ใช่คนซื้อกล้า เราไม่ใช่คนออกเงิน จะตายก็ช่างมัน มีประโยชน์หรือว่าเราอยู่นอกเขตที่สงสัยนั้นแล้วก็ทำแปลงใหม่ช้าๆ ไปเรื่อยๆ มีประโยชน์กว่า แล้วถึงวันหนึ่งไอ้แปลงอันนั้นก็อาจจะมีประโยชน์สำหรับคนที่จะต้องอพยพจากแปลงมีพิษมาใช้แปลงนี้ก็ได้ ผมค่อนข้างจะมองตัวเองว่าอยากจะเป็นส่วนเล็กๆ ในการทำอันที่สองนี่มากกว่า

จอม ครับ ขอบคุณมากที่ร่วมรายการ วันนี้เวลาหมดนะครับ หวังว่าคงจะมีโอกาสพบกันอีกครั้ง หรือว่าพูดคุยกันอีกครั้งในประเทศไทย

จักรภพ ขอบคุณมากครับ

จอม ขอบคุณมากครับที่ให้โอกาส สวัสดีครับ
มวลชนที่เคารพรักครับ ผมนําบทสัมภาษณ์นี้มาลงไว้ให้ท่านได้พิจารณา ไม่ใช่ว่าดีวิเศษหรือสลักสําคัญอะไร แต่ท่านจะได้ทราบว่าคนอย่างผมมีจุดยืนอย่างไร จะได้ประเมินค่าและเลือกใช้ผมในงานสร้างประชาธิปไตยของชาติบ้านเมืองได้อย่างเหมาะสมกับหน้าที่และอุดมการณ์

ขบวนประชาธิปไตยล้วนมีคนมากมายและหลายชนิด บางครั้งเสียงลือเสียงเล่าอ้าง โดยเฉพาะในทางลบ ก็ส่งผลให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้บ่อยๆ ยิ่งเกี่ยวกับตัวบุคคลยิ่งดูจะสับสนและเข้าใจผิดมาก ตัวผมเองก็ไม่ได้พ้นไปจากครรลองนี้ จึงหวังว่าคําพูดข้างต้นคงจะแทนคําอธิบายในหลายคําถามที่ค้างคาใจท่านได้บ้าง

ทั้งนี้ด้วยความนอบน้อมคารวะต่อมวลชนทุกท่านครับ

จักรภพ เพ็ญแข

-------------------------------------------------------------------------------------------
TPNews : ข่าวสั้นผ่านมือถือ ข่าวการเมือง, คนเสื้อแดง, นิติราษฎร์, พรรคเพื่อไทย, กิจกรรมเพื่อปชต. ฯลฯ สมัครสมาชิก เข้าเมนูเขียนข้อความ พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เชิญร่วมเป็นเกียรติในการเปิดร้านหนังสือ TPnews






















วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2555 เวลา 13.30-16.00 น.

สถานที่ ห้างอิมพีเรียล เวิร์ล ลาดพร้าว ชั้น 4 (หน้าลิฟต์แก้ว)

วิทยากรรับเชิญ : “อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล”

พิธีกรเสื้อแดง : “จ.เจตน์”

กำหนดการ :

13.30 น. ลงทะเบียน รับของที่ระลึก ดื่มชา,กาแฟ

14.00 น. “คุณแม่ณัฐวรรณ เพ็ญแข” ประธานทำการเปิด, ถ่ายภาพร่วมกัน

14.15 น.วิดีโอลิ้งค์จาก “คุณจักรภพ เพ็ญแข” (เจ้าของร้าน)

14.45 น. “อ.ปิยบุตร” พูดคุยในหัวข้อ “หนังสือไทยที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองของผม”

15.30 น. (ประมาณ) ประธานมอบของที่ระลึกแก่วิทยากร, เสร็จพิธี

***********************************************************************************

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“จุดยืน” (๒) โดย จักรภพ เพ็ญแข


คอลุมน์ เขียนถึงคนรัก
ตอน "จุดยืน" (๒)
ที่มา : Red Power ฉบับที่ ๒๗ (กรกฎาคม ๕๕)


มวลชนที่รักและเคารพครับ

พวกเราสบายดีไหมครับ ผมหวังว่าท่านจะสบายกายและสุขภาพดีกันถ้วนหน้า ถึงในใจจะไม่สบาย เพราะได้เห็นเล่ห์กระเท่และความชั่วร้ายของอำนาจเดิมอย่างกระจะตา ก็ขอให้รักษาร่างกายของท่านเตรียมไว้สำหรับขบวนประชาธิปไตยในปัจจุบันและอนาคต ถึงผมอยู่ห่างกายกับท่าน จนหลายท่านนึกเอาเองว่าผมคงทิ้งห่างจากมวลชนไปแล้ว บางครั้งก็เกิดข่าวลือต่างๆ นานาตามประสาคนที่อยู่ไกลกัน แต่ทำงานทุกอณูของชีวิตเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยในเมืองไทยโดยตรง ขอให้ท่านมั่นใจและอย่าได้ห่วง งานสร้างประชาธิปไตยมีทั้งเปิดเผยและปิดลับ มีทั้งงานระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โปรดอย่านึกว่าการโผล่หน้าแสดงตัวต่อมวลชนเท่านั้นจึงจะถือว่าทำงาน วันหนึ่งเมื่องานของเราบรรลุผลบ้างแล้ว ผมคงมีโอกาสเล่าให้ท่านฟังกันได้ว่าเราทำอะไรกันไปบ้างและจะทำอะไรต่อไปอีก

สิ่งสำคัญที่สุดคือจุดยืน ในคอลัมน์ "เขียนถึงคนรัก" วันนี้ ผมจึงขอเสนอบทสัมภาษณ์ตอนที่ ๒ กับ "คุณจอม เพชรประดับ" เพราะแสดงจุดยืนของผมได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ขอเชิญรับความสำราญครับ......

จักรภพ เพ็ญแข

Core Respondence จอม เพชรประดับ จักรภพ เพ็ญแข

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

จอม                 ผมก็ได้ฟังคุณจักรภพได้พูดไว้เหมือนกัน การปฏิรูปศาล การปฏิรูปกองทัพ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไรใน ๓ ส่วนนี้ครับ

จักรภพ           จริงๆ ไม่ได้พูดขึ้นมาก่อน ผมไปพูดคุยกับกลุ่มเล็กๆ เป็นการภายใน แล้วก็มีท่านหนึ่งถามขึ้นมาว่า ทำไมทางฝั่งประชาธิปไตยจึงไม่มีธงเกี่ยวกับการปฏิรูปศาลและปฏิรูปกองทัพ เพื่อจะไม่ให้วงจรอุบาทว์ในการทำร้าย ฆ่าฟันประชาชนกลับมาอีก

ผมก็ตอบว่า สถาบันศาลกับสถาบันกองทัพก็ได้พูดชัดเจนแล้วว่าเป็นสถาบันที่เกี่ยวพันกับอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างใกล้ชิด พูดง่ายๆ คือเกี่ยวข้องกับคำว่าพระราชอำนาจ อย่างกองทัพเองก็ออกมาพูดบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในยุคนี้ว่า กองทัพเทิดทูนสถาบัน ใครจะมาละเมิดหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ไม่ได้ กองทัพจะเอาชีวิตเข้าแลก ศาลเองก็พูดตลอดเวลาว่าเป็นการพิพากษาในพระปรมาภิไธย แล้วศาลเวลาออกมานั่งบัลลังก์ไม่ว่าจะเป็นองค์คณะหรือเป็นอย่างไรก็ตามก็จะอยู่ภายใต้พระบรมฉายาลักษณ์ทุกครั้ง เป็นเหมือนกับองค์ประกอบของกระบวนการพิจารณาคดี
           
เพราะฉะนั้นโดยสัญลักษณ์และโดยเนื้อหา การจะเปลี่ยนแปลงใดๆ กับสถาบันศาลหรือสถาบันกองทัพโดยไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์คงไม่ได้

ผมเองถามตัวเองว่าลัทธิที่ว่ามีผู้รู้ดีกว่าประชาชน เวลามันปรับสู่ประชาธิปไตยจะทำยังไง อย่างในสหรัฐอเมริกาเขาไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็ไม่มีผู้ดีเก่า เพราะต่างคนก็ต่างเป็นผู้อพยพกันมาทั้งนั้น ๒๐๐ กว่าปีที่แล้ว เขาก็ตกลงว่าระบบดีที่สุดคือเราต้องมาคานอำนาจกัน ก็คือสถาบันบริหารมีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้า สถาบันนิติบัญญัติมีสมาชิกวุฒิสภา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีสองสภา แล้วก็สถาบันศาลก็คือ ศาลสูงสุด คือ supreme court มีผู้พิพากษาศาลสูงสุด ๙ คน และเลือกกันเองได้ประธาน ๑ คน เรียกว่า chief justice เป็นระบบที่เขาตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ๒๐๐ กว่าปีที่แล้วเมื่อเขาสร้างประเทศ สุดท้ายมันก็ยังได้ผลอยู่ มีวิกฤติ มีเรื่องระหองระแหง มีเรื่องวิพากษ์วิจารณ์นินทากันมาตลอด แต่สุดท้ายระบบนี้ก็ยังมี ก็คือว่าเขาคานกันอยู่ เช่น ประธานาธิบดีเป็นคนเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดแต่สภาเป็นคนเลือก ศาลสูงสุดมีหน้าที่ในการตีความรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะเอาชนะประธานาธิบดีและสภาได้ทั้งหมด ในขณะเดียวกันกับการทำความผิดแต่ละครั้งก็จะมีปัญหาที่ทั้ง ๓ สถาบันต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สมัยประธานาธิบดีนิกสัน เรื่องวอเตอร์เกต สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เรื่องเซ็กส์-โมนิก้า ลูวินสกี้, พอล่า โจนส์ ก็ต้องเอาทั้ง ๓ สถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกัน

ผมกำลังพูดอย่างนี้ครับว่าการปฏิรูปศาล ผมว่าหลักการของการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นและคานอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ มันน่าจะเป็นวิธีการปฏิรูปที่ดี และขณะเดียวกันก็จะเป็นการทำให้สถาบันกษัตริย์พ้นข้อครหาว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

พูดง่ายๆ ว่าถ้าหากศาลเป็นของประชาชน หรือศาลอยู่ภายในระบบการถ่วงดุลและคานอำนาจกัน เวลามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นในความรู้สึกของคน คนก็จะไม่มองขึ้นไปในที่สูงมาก คนก็จะมองแค่ตรงผู้พิพากษา แล้วก็ตัดสินใจกันไป

ความจริงผู้พิพากษาในเมืองไทย ท่านมีระบบที่ดีนะ เช่น ท่านมีระบบศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้น แล้วแต่ละศาลก็จะมีเหมือนกับคณะกรรมการใหญ่ ซึ่งจะมีผู้พิพากษาอาวุโสอยู่ในนั้น แล้วก็ทำหน้าที่เป็นผู้กลั่นกรอง ขนาดประธานศาลฎีกาซึ่งถือว่าสูงสุดของสถาบันยุติธรรม ท่านก็ยังมีคณะกรรมการตุลาการ ซึ่งท่านเป็นประมุขแล้วก็ต้องตัดสินภายใต้ระบบกลุ่ม ระบบองค์คณะ ระบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ทำไมสถาบันศาลจำเป็นจะต้องอ้างถึงพระราชอำนาจในการมาใช้ในการพิพากษาคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีไหนก็ตาม

ผมคิดว่าถ้าหากสถาบันศาลหันมาผูกพันกับประชาชนมากขึ้น แล้วก็ลดความเกี่ยวข้องกับสถาบันกับงานของตนเองลง สถาบันตุลาการก็จะเป็นทางออกให้กับเรื่องต่างๆ มากขึ้น แต่แน่นอนครับ มันยังมีปัญหาอื่นอีกเยอะในการปฏิรูปศาล เช่น ระบบของการไต่สวนที่ยาวนานเจ็ดชั่วโคตร เป็นความกันตอนนี้ได้ผลอีกทีลูกโตแล้ว เข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว อย่างนี้มันก็ทำให้เกิดความไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่ามันไม่ได้ผลทางกฎหมายทันท่วงที อย่างนี้ศาลก็ต้องแก้ไข

ในสหรัฐอเมริกาเวลามีคดีเข้าศาลเขาจะไต่สวนคดีต่อเนื่องๆ จนจบ จะกี่เดือนกี่ปีก็ต่อนะ เพราะฉะนั้นทุกคนจะสามารถติดตามได้ว่าความยุติธรรมมันจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็เห็นชัด แต่บ้านเราช้าจนลืมกันไปเลย จำไม่ได้แล้วว่าคดีนี้เป็นยังไง เรียกไปไต่สวน “งง” นั่นก็เป็นเรื่องต้องปฏิรูปด้วย แล้วก็เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยึดโยงกับประชาชนที่ผมพูดตอนแรกมันต้องหาวิธี

อย่างในสหรัฐอเมริกา ผมไม่ได้บอกว่าเป็นโมเดลที่ดีที่สุดนะ เป็นแค่แนวคิดหนึ่ง ก็คือเขาให้ผู้ที่มีคุณสมบัติในทางกฎหมาย เช่น ต้องเรียนมาดีกรีนี้ มีตำแหน่งอย่างนี้ สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แต่ไม่ใช่ใครก็ไปลงได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นการลงสมัครรับเลือกตั้งนี่แหละแต่เฉพาะคนที่มีคุณสมบัติและไม่มีการหาเสียง เป็นเรื่องของการเลือก การตัดสินใจ คือเหตุที่เขาเอาประชาชนเลือก เพื่อเขาจะลากประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีด้วย ว่ามันมีความเป็นธรรมหรือไม่มี แต่แน่นอนครับ ระบบบางอย่างที่อเมริกามี ผมก็ไม่แน่ใจว่าพอมาอยู่ในเมืองไทยแล้วมันจะอลเวงไหม เช่น ระบบลูกขุน สมมุติว่าผมถูกกล่าวหาคดีฉ้อโกงแล้วผมขึ้นศาล ผมก็จะมีคน 12 คนซึ่งผมไม่รู้จัก ต้องให้แน่ใจว่าไม่รู้จักนะ มาฟังผมให้การในศาลว่าน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ แล้วเขามีอำนาจที่จะบอกว่า จักรภพ ผิดหรือไม่ผิด แล้วผู้พิพากษาซึ่งนั่งเป็นประธานในการประชุมอยู่จึงจะตัดสินว่า เมื่อเขาบอกว่าผิดแล้วต้องลงโทษอย่างไรตามกฎหมาย มันก็ทำให้เกิดการแบ่งอำนาจระหว่างผู้มีอำนาจตัดสินใจคือผู้พิพากษากับคณะลูกขุน คือตัวแทนประชาชน แต่แน่นอนมันก็มีข้อเถียงเยอะ บ้านเรา สงสัยลูกขุนจะถูกซื้อตัว ตังค์หมด มีคนมาจ่ายตังค์ ก็ว่ากันไป แต่ผมยกตัวอย่างว่าเราต้องเริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้ว่าวิธีการแบบไทยจะเอายังไง ที่จะทำให้ระบบศาลเป็นไปได้

ส่วนกองทัพผมคิดว่ากองทัพต้องเริ่มตระหนักว่าธงชาติมี ๓ สี คือ แดง ขาว น้ำเงิน สีแดงที่แปลว่าชาติ และสีน้ำเงินที่แปลว่าพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่สีเดียวกันนะ คนละสี คนละแถบ คิดกันมาแล้วนะว่าคนละแถบ เพราะฉะนั้นกองทัพนอกจากปกป้องสถาบันแล้ว กองทัพจะต้องปกป้องชาติ โดยแยกชาติจากพระมหากษัตริย์ด้วย

คือในวันนี้มีการพูดถึงเรื่องของการเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างสองสิ่ง มันก็ทำให้เกิดผลอันหนึ่งก็คือว่าเราไม่สามารถจะแยกระหว่างสถาบันกับตัวบุคคลได้ เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมการเมืองที่ซับซ้อนเข้าใจยากเหมือนกัน ประเทศที่มีประชาธิปไตยมานานเขาจะแยกออกชัดเจนนะครับ เช่น ยกตัวอย่างว่า อย่างกษัตริย์สวีเดน คาร์ล ที่ ๑๖ กุสตาร์ฟ เวลาท่านมาร่วมงานลูกเสือแจมบุรีในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน ท่านจ่ายเงินเองนะ เพราะมาในฐานะคาร์ลที่ ๑๖ กุสตาร์ฟ ไม่ใช่มาในฐานะสมเด็จพระราชาธิบดีของสวีเดน เพราะฉะนั้นคาร์ลที่ ๑๖ กุสตาร์ฟ บางทีก็เป็นคนบางทีก็เป็นกษัตริย์ เพื่อเขาต้องการที่จะบอกว่าสถาบันใหญ่กว่าบุคคล

ตรงนี้ผมเองก็ไม่บังอาจที่จะชี้แนะว่าสมควรหรือไม่ในเมืองไทย เพียงแต่อยากจะบอกว่าหลักคิดทุกอย่างต้องนำมาคิดหมด และที่สำคัญก็คือต้องยอมรับความจริงว่าของทุกอย่างที่อยู่คงทนทานในโลกนี้ต้องผ่านการพิสูจน์มาแล้วทั้งนั้น ถ้าหากไม่ผ่านการพิสูจน์ก็รอเวลาที่จะมีคนมาพิสูจน์ ถ้าพูดไม่เพราะก็คือรอคนมาลูบคมลองดี ซึ่งมันไม่ดี

จอม                 มองอย่างไรกับขบวนการการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงและ
กลุ่มนิติราษฎร์ สองกลุ่มนี้จะเป็นขบวนการที่ให้ความมั่นใจได้แค่ไหนว่าจะนำไปสู่การที่ทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้จริงๆ หรือมองว่าอย่างไร

จักรภพ          ความจริงชัดเจนมากครับ ขบวนการเสื้อแดงจะในนาม นปช. หรือกลุ่มใดก็ตามเป็นมวลชน แปลว่าประชาชนที่มีพลัง มวลชนต่างจากประชาชนตรงนี้ คือมีพลังบวกเข้าไป ส่วนนิติราษฎร์เป็นเสมือนที่ปรึกษามวลชน

คำว่าที่ปรึกษาหมายความว่า เขามีหน้าที่ในการเสนออะไรใหม่ๆ ให้มวลชนพิจารณา รับหรือไม่รับก็ไม่มีสิทธิบังคับ มวลชนอาจจะบอกว่าไร้สาระไม่ฟังก็ได้ หรือมวลชนจะบอกว่าดีน่าคิด แล้วเอามาทำอะไรกันต่อก็ได้

ผมคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสื้อแดงกับนิติราษฎร์สร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากเห็นหรือไม่อยากได้ยินใครมาพูดว่า นิติราษฎร์เงียบหน่อยช่วงนี้ นิติราษฎร์อย่าไปพูดเยอะ เขาจะอย่างนั้นอย่างนี้กัน

จริงๆ เราควรจะขอบคุณความหลากหลายในขบวนประชาธิปไตยไทยด้วยซ้ำ ว่าในเมื่อมีคนจะปรองดองก็มีคนที่เตือนอยู่ว่าระวังหน่อยนะ ตรงนั้นตรงนี้ ไม่ดีใจเหรอ ผมว่าเราเป็นคนเราก็ดีใจนะว่ามีคนคอยเตือนเรา

เพราะฉะนั้นประเด็นก็คือ นิติราษฎร์เป็นที่ปรึกษาและผมไม่ได้เชียร์เฉพาะนิติราษฎร์ ใครก็ตามที่มีสติปัญญา มีประสบการณ์ ควรจะเตือนทั้งสิ้น ควรจะรวมกลุ่มขึ้นมา อย่างไม่ต้องเรื่องการเมืองหรอกครับ เป็นต้นว่าเรื่องของธุรกิจเราก็สามารถที่จะทำตัวเป็นตัวอย่างได้ เช่น นักธุรกิจที่มีประสบการณ์มารวมตัวกัน ไม่ต้องเป็นหอการค้า ไม่ต้องเป็นสภาอุตสาหกรรม ทำเป็นกลุ่มอิสระขึ้นมาเหมือนนิติราษฎร์ แต่ในทางการค้าธุรกิจ แล้วเตือนรัฐบาลก็ได้ว่า ภาษีอย่างนี้ไม่มีใครเขาลงทุนนะ แรงงานอย่างนี้ตายนะ ก็ควรจะมีนิติราษฎร์ในทางธุรกิจหรือในทางอื่นขึ้นมาเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ทำให้สังคมเรามีวุฒิภาวะและลดการไปขึ้นกับตัวบุคคลแต่มาขึ้นกับพวกเรา ขึ้นกับองค์คณะของประชาชนมากขึ้น

จอม                 คิดว่าถึงที่สุดแล้วขบวนการของคนเสื้อแดงกับนิติราษฎร์จะสามารถ
เดินไปบนเรือลำเดียวกันได้ไหมครับ บนเส้นทางเดียวกันได้ไหม หรือจะมาความขัดแย้งกันในอนาคต

จักรภพ          พูดยากนะครับ ผมตอบได้เพียงแค่ว่าขณะนี้คนเสื้อแดงก็เรือลำหนึ่ง นิติราษฎร์ก็เรือลำหนึ่ง แต่ว่าเป็นเรือในขบวนเดียวกัน ลำใหญ่ลำเล็กแต่ว่ามาด้วยกันเป็นขบวนเรือ เหมือนพยุหยาตรา ต่างฝ่ายก็ต่างเห็นกันแล้วก็มีไมตรีต่อกัน โบกมือยิ้มแย้มแจ่มใส มีบางระยะเหมือนกันที่บอกว่า เรือนิติราษฎร์ไปขับห่างๆ หน่อย เดี๋ยวมาเปื้อนฉัน ก็มี แต่สุดท้ายก็อยู่ด้วยกันได้ แต่ที่คุณจอมถามคือจะมาเป็นเรือลำเดียวกันไหม ผมเองตอบไม่ได้ แต่พูดได้เพียงว่าสุดท้ายถ้าเป้าหมายเดียวกันมันก็เหมือนนั่งเรือไปเจอกันที่ปากแม่น้ำ ซึ่งมันแคบและจะต้องผ่านคอขวดเพื่อเข้าไปที่ใดสักที่หนึ่ง มันอาจจะไม่มีทางเลือกต้องเหลือลำเดียว ซึ่งคนที่อยู่ในเรือใหญ่จะลงมาเรือเล็กหรือเรือเล็กขึ้นเรือใหญ่ก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้มีความวิเศษวิโสที่จะไปวิเคราะห์ได้ รู้แต่เพียงว่าความคิดแบบกลุ่มนิติราษฎร์ ถ้าหากนำเสนอในเมืองไทยเมื่อ ๓๐ ปีก่อน ถ้าไม่โดนโห่ก็โดนยิง แต่มาวันนี้ก็กลายเป็นกระแสธรรมดาคนก็นั่งฟัง แล้วที่ผมปลื้มใจมากก็คืออาจารย์ทั้งหลายท่านก็พูดเป็นภาษาวิชาการ มีทฤษฎีเยอะแยะ พี่น้องที่ดูเหมือนเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยก็นั่งฟังนั่งจด สนใจ ไม่เข้าใจก็กลับไปค้น แรงผลักดันตรงนี้มันมาจากไหน แรงผลักดันที่พยายามจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็ตอบได้คำเดียวว่ามันมาจากความรู้สึกที่ว่าแนวทางนี้อาจจะเป็นทางออกของชีวิตเขาก็ได้

จอม                คุณจักรภพ มองอดีตนายกฯ ทักษิณ ว่าเป็นนักประชาธิปไตยไหมครับ หรือเป็นแค่นักการเมือง

(อ่านต่อฉบับหน้า)

*********************************************************************************
ข่าวสั้นผ่านมือถือ ข่าวการเมือง, คนเสื้อแดง, นิติราษฎร์, พรรคเพื่อไทย, กิจกรรมเพื่อปชต. ฯลฯ สมัคร เข้าเมนูเขียนข้อความ พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"จรรยา ยิ้มประเสริฐ" เปิดตัวหนังสือ "แรงงานอุ้มชาติ"




ที่มา : เว็บไซต์ไทยอีนิวส์ วันที่ 1 เมษายน 2555

ไทยอีนิวส์สัมภาษณ์ "จรรยา ยิ้มประเสริฐ" นักกิจกรรมแรงงานที่อยู่ระหว่างลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศเขียน หนังสือที่ "ต้องอ่าน"ผ่าลึกประเทศไทยผ่านมิติด้านแรงงาน 

1.ทำไมคุณจรรยาเขียนเล่มนี้ออกมา และพล็อตสำคัญของหนังสือนี้คืออะไร และเพราะอะไรคนควรควัก 300 บาท ไปซื้อมาอ่าน


จรรยา ยิ้มประเสริฐ: เล็กเชื่อและพูดมาโดยตลอดว่า “ประเทศจะพัฒนาก้าวหน้า ไม่ได้ต้องการผู้นำเก่งเท่านั้น แต่ต้องการประชาชนที่เก่งและรู้เท่าทันผู้นำที่เก่งด้วย”

แต่การเมืองไทยหรือจะพูดว่า วิธีการเมืองไทยที่เห็นและสัมผัสมาตลอดชีวิต เป็นเรื่องของการล่อหลอกและกล่อมเกลาประชาชนด้วยข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อ “เท็จปนจริง” ที่แยกกันไม่ออก และมักจะนำเสนอข้อมูลเฉพาะ “ด้านเดียว" และ "ด้านดี” ของผู้นำ

ไม่ว่าจะมาจากสถาบันระดับสูง และ/หรือสถาบันนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาบริหารบ้านเมือง ที่อัดฉีดแคมเปญต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุค จอมพล ป. ที่ว่า “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” เป็นวิถีการเมือง “บนลงล่าง รองรับด้วยโครงสร้างชนชั้นในสังคมวิถี “ไพร่-ผู้ดี-สมมุติเทพ” ที่ให้ค่าและความสำคัญกับชนชั้นสูงมากกว่าประชาชนทั่วไป

ดูได้จากคำกล่าวของทักษิณที่นั่งเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว และได้รับการต้อนรับอย่างหรูหราในทุกประเทศที่ไปเยือน แล้วบอกว่า "ผมคือผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด" นี่คือตัวอย่างของการให้คุณค่าตัวเองของผู้นำ

ซึ่งภาพที่ได้เห็นมันต่างกันอย่างสุดขั้วกับภาพของประชาชนที่ออกมาต่อสู้จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 หลายคนเสียสละเงินทองกันจนหมดเนื้อหมดตัวเพื่อการต่อสู้ แม้จะยากจนกว่าทักษิณหลายร้อยหลายพันเท่า

หลายคนต้องสูญเสียชีวิต บางคนเสียหัวหน้าครอบครัว และยังมีอีกนับร้อยที่ "สูญเสียอิสรภาพอยู่ในเรือนจำ" และ "อีกไม่ทราบจำนวนที่ต้องลี้ภัยในต่างแดน" เป็นการอยู่ที่ต่างแดนยากลำบากแสนสาหัสกว่าผู้ที่อ้างว่า "ได้รับผลกระทบมากที่สุด" เสียด้วย

ถ้าจะพูดแรงๆ ก็คงขอบอกว่าทักษิณพูดโดยไม่มีความรับผิดชอบมากๆ ซึ่งถ้าเป็นผู้นำมวลชนที่มีวุฒิภาวะ จะไม่มีทางอ้างว่า "ผมได้รับผลกระทบที่สุด" เพราะ ความสูญเสียของประชาชนที่ไม่มีอะไรจะเสีย แต่ยอมเสีย มันเป็นอะไรที่ผู้นำต้องตระหนักถึงก่อนเสมอ

การเมืองชนชั้นสูงและนายทุนของไทย จึงเป็นการเมืองที่หล่อเลี้ยงประชาชนด้วยความฝัน ให้อยู่ด้วยการฝากความหวัง และรอคอยความช่วยเหลือไว้ ภายใต้วิถีการเมืองระบอบ “พ่อขุนอุปภัมภ์เผด็จการ” ที่ อ.ทักษ์ เฉลิมเตียรณ ให้คำนิยามนี้ไว้ดียิ่ง

วิถีคิดแบบนี้มันควรจะเปลี่ยนได้แล้วในทศวรรษที่ 21 ที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีได้หลายทาง และก็ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนควรจะต้องขวนขวายศึกษาและทำความเข้าใจสังคมและการเมืองด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากการรับเพียงชุดข้อมูลด้านเดียวที่ถูกยัดเยียดให้ เพื่อการหวังผลทางการสร้างมวลชนสนับสนุนของผู้มีอำนาจ

อีกทั้งไม่ต้องพูดกันถึงลักษณะของข้อมูลที่แทบจะไม่เคยตีแผ่เรื่องราวการต่อสู้ของประชาชนระดับล่างที่ไม่ยอมจำนน

การนำเสนอของกระแสหลักทั้งรัฐบาลและสื่อมวลชน ทั้งหมดทั้งมวลพุ่งไปที่ความสูญเสีย(ในผลประโยชน์และอำนาจ) ของชนชั้นสูงเพียงเท่านั้น

เป็นการเมืองที่ไม่ว่า “ทักษิณจะไป อภิสิทธ์จะมา” หรือไม่ว่า “อภิสิทธิ์จะไป ยิ่งลักษณ์จะมา” ประชาชนก็ยังต้องเผชิญกับปัญหามากมายอยู่ดี

หนังสือเรื่อง "แรงงานอุ้มชาติ" เล่มนี้ จึงเป็นหนังสือที่ตีแผ่เรื่องราวของความเดือดร้อน การต่อสู้ และการไม่ยอมจำนนต่อนายทุน และรัฐ (รัฐบาลและลูกจ้างรัฐ) ของคนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง - คนงาน กรรมกร ชาวไร่ชาวนาตาสีตาสา - จากบทเรียนการทำงานกว่ายี่สิบปี

และเป็นเรื่องราวที่เล็กได้เขียนไว้ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา บางเรื่องอาจจะผ่านตาผู้อ่านแล้ว แต่หลายเรื่องมั่นใจว่าผู้อ่านยังไม่เคยเห็น

และยิ่งไม่นับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่รวมข้อเขียนกว่า 30 เรื่องไว้ด้วยกัน ที่หนาถึง 430 หน้า ซึ่งจริงๆ ควรจะตั้งราคาขายที่สูงกว่านี้ แต่ด้วยเราไม่ใช่ต้องการค้ากำไรเกินควร และต้องการร่วมแสดงสัญลักษณ์เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ จึงตั้งราคาแค่ 300 บาท

ถ้าคนงานไทยได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เขาจะเข้าใจได้ทันทีว่า “การทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้นั้น จะได้มาด้วย “การรวมตัวต่อรองทั้งกับนายจ้างและรัฐ ไม่ใช่ได้มาด้วยการร้องขอ” และการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็มาจากการสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐ ทุนและนักการเมืองมาโดยตลอด

2. มีนักกิจกรรม เอ็นจีโอ นักแรงงานที่เกลียดกลัวทักษิณและคนเสื้อแดงซะส่วนมาก เลยพลอยหันไปสนับสนุนเผด็จการ คุณจรรยาน่าจะเป็นเพียงในไม่กี่คนที่โปรประชาธิปไตย อะไรคือความแตกต่างและมีผลสะเทือนอย่างไรตามมา

จรรยา ยิ้มประเสริฐ: ใช่ค่ะ เล็กตัดสินใจไม่ร่วมกับ NGOs ที่มีการประชุมกันเมื่อปลายปี 2548 ว่าควรจะเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนของสนธิ ลิ้มทองกุล เพราะ “สนธิมีมวลชน” และก็ตัดสินใจไม่ร่วมกับกลุ่มที่ก่อร่างมาเป็น นปช. ในปี 2552 ที่บอกว่า “ต้องรวมตัวกับค่ายเพื่อไทยเพราะมีมวลชน”

แต่สุดท้ายทั้งสองทางเลือก ก็ใช้วิถีการโฆษณาและระดมมวลชนแบบเดียวกัน คือการอัดฉีดความดี และความเป็นสุดยอดมนุษย์ ของคนๆ เดียว ที่แต่ละฝ่ายเชิดชู และ/หรือ ชูและเชิด

ทั้งสองฝ่ายอ้าง “เพื่อประชาธิปไตยคนดี” กับ “เพื่อประชาธิปไตยคนเก่ง” แต่ไม่ได้พยายามกันเลยที่จะเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมแห่งการหล่อหลอมหลักการ "ประชาธิปไตยประชน"

อีกทั้งการประท้วงก็ใช้รูปแบบรวมศูนย์ ด้วยเวทีปราศรัยของแกนนำ และสั่งการเคลื่อนไหวจากแกนนำเท่านั้น ไม่มีการเลือกตั้งแกนนำโดยมวลชน ไม่มีการสร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ ในที่ชุมนุม

พันธมิตรนี่ไม่มีการเลือกตั้งด้วยซ้ำ นปช. ก็เป็นการตั้งกันเองช่วงแรก พอถูกดันหนักขึ้นมาประกาศเลือกตั้งประธาน นปช. เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ล็อคสเป็คชิงเลือกตั้งแกนนำระดับชาติก่อนแบบไร้คู่แข่งขัน (อ. ธิดา) แทนที่่จะเปิดให้มีการเลือกตั้งแกนนำระดับฐาน (หมู่บ้าน จังหวัด) ก่อนที่จะจัดเลือกตั้งแกนนำระดับชาติ ตามครรลองประชาธิปไตย “ล่างขึ้นบน” ที่ควรจะส่งเสริม

การเมือง 6 ปี ที่ผ่านมา จึงน่าเสียดายตรงที่การจัดตั้งหรือนำมวลชน เลือก “ยุทธวิธีทางการเมือง” มากกว่า “การเมืองหลักการ” เป็นการเมืองที่มุ่งจัดตั้งมวลชนขนาดใหญ่ และแม้ว่ามวลชนร่วมลงขันมาต่อเนื่องตลอดหลายปี แต่่แกนนำก็ไม่เคยวางใจและดูถูกมวลชนมาแบบเดียวกันนี้ทุกยุค ทุกสมัยไม่เปลี่ยนแปลง

ที่สำคัญไม่น่าเชื่อว่า นปช. ที่ดึงมวลชนใส่เสื้อแดงได้มากที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ กลับไม่สามารถหล่อหลอมวิถี “การเมืองประชาธิปไตยแห่งการมีส่วนร่วมของประชาชน” และเลือกยุทธวิธีการทำงานเป็นกองกำลังของพรรคเพื่อไทย อย่างแยกไม่ออก

ผลสะเทือนและเป็นจุดหักเหของตัวเอง คือ การสังหารประชาชนเดือนเมษาและพฤษภา 2553 ที่ทำให้เล็กลุกขึ้นมาเขียนบทความ “ทำไมถึงไม่รักXXX” แล้วมีปฏิกิริยาของทั้งคนรอบตัว และคนอ่านค่อนข้างแรงทั้งในด้านบวกและด้านลบ

จนต้องตัดสินใจลาออกจากงานทั้งๆ ที่ไม่มีงานใหม่รองรับ ตัดสินใจไม่ติดต่อครอบครัวอีกต่อไป และมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาธิปไตยของประเทศไทยจากต่างแดน ที่ให้พื้นที่เสรีภาพในการคิด เขียน และพูด ได้ดีกว่า “ยอมลำบากกาย แต่มีอิสระทางความคิด”

เล็กมองว่าประเทศจะก้าวหน้า วิถีการเมืองของทุกฝ่ายจะต้องไม่ผูกติดแค่ว่า "คนดีแต่ไม่เก่ง ไม่เป็นไร" หรือ "คนโกงแต่เก่ง ไม่เป็นไร" เราบอกไม่ได้ว่าคนดีนั้นดียังไง คนโกงนั้นโกงจริงหรือเปล่า คนเก่งนั้นเก่งอะไร เก่งแค่ไหน เรื่องพวกนี้มันกลายเป็นเหมือมายาคติมากกว่าที่จะยืนอยู่บนการตรวจสอบ และมาตรฐานด้านกระบวนการศาลสถิตยุติธรรมของไทยก็ถูกตั้งคำถามอีกเช่นกัน

เพื่อวิถีการเมืองที่จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาดเดิมๆ สังคมต้องพร้อมที่ยอมรับว่า

1. เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนประเทศ และต้องไม่มีกฎหมายปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทั้งหลาย โดยเฉพาะข้อเขียนในรัฐธรรมนูญที่ต้องไม่ละเมิดความเสมอภาคของประชาชน และมาตรา 112 ต้องถูกยกเลิก - ต้องไม่มีนักโทษการเมืองและนักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าประเทศเปิดรับฟังความคิดเห็นและการแสดงออกของประชาชน

2. สิทธิในการรวมตัวในนามสหภาพแรงงาน องค์กร สมาคม และสิทธิการเจรจาต่อรองร่วมกับนายจ้างหรือกับรัฐบาล เป็นสิ่งที่ต้องส่งเสริม และการประท้วงของทั้งคนงานและเกษตร ไม่ใช่เรื่อง “ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายต่อนายทุน” เช่นที่รัฐบาล รัฐมนตรีและข้าราชการกระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรฯ รวมทั้งสื่อต่างๆ พยายามจะโจมตีทุกครั้งที่คนงานหรือเกษตรกรประท้วง

3. การยอมรับและส่งเสริมให้ประชาชนแต่ละกลุ่มสาขาอาชีพตั้งพรรคการเมืองของตัวเองเข้ามาต่อสู้ในครรลองประชาธิปไตยในรัฐสภาตัวแทนของประชาชน

4. ปรับปรุงคุณภาพ ศักยภาพและการควบคุมราคาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งวางระบบสวัสดิการสังคมที่จำเป็นต่อประชาชน ที่ครอบคลุมประชาชนทุกคนในประเทศ

5. ประเทศไทยจำเป็นต้องให้สัตยาบันและเคารพกติกาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน สิทธิการมีส่วนร่วมของพลเมือง และบรรจุเรื่องสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศที่ครอบคลุมเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองประชาชน ไว้ในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งยกเลิกกฎหมายที่ให้สิทธิพิเศษเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชน อาทิ พรก. ฉุกเฉิน และ พรก. ความมั่นคง

6. จำเป็นที่จะมีการปฏิรูปการศึกษา การศาสนา การทหาร สถาบันข้าราชการ สถาบันการเมือง และโดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นประเด็นถกเถียงในสังคมมานับตั้งแต่ 2549 ให้สอดรับกับอารยประเทศทั้งหลาย

7. การเมืองที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ และสังคมต้องถูกหล่อหลอมให้เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง และการต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ

8. ต้องให้คำนิยามร่วมกันของคนในชาติใหม่ในเรื่อง "ชาติ" และ "ความมั่นคงของชาติ" ที่ปัจจุบันผูกขาดคำนิยามโดย "ทหาร" และ "ชนชั้นสูง" เท่านั้น

ฯลฯ

3. ทราบว่าได้ลี้ภัยการเมือง(self exile)ในต่างประเทศตั้งแต่ 19 พฤษภา 53 ไปอยู่ต่างประเทศ ฟังแล้วก็น่าจะดูดีเพราะไปอยู่ทางยุโรปคงสุขสบายดี ตอนนี้ยังทำงานในตำแหน่งเดิมก่อนลี้ภัยไหม หรือมีองค์กรใดสนับสนุนการทำงานเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิืปไตยบ้าง หรือมีผลกระทบต่อเรื่องการงาน การเงิน ครอบครัวอย่างไรบ้าง

จรรยา ยิ้มประเสริฐ: มันเป็นความเข้าใจผิดของคนไทยว่าการอยู่ยุโรปนั้นสุขสบายดี เพราะยุโรปดูพัฒนาและเจริญรุ่งเรือง คนที่นี่จำนวนมากอิจฉาคนไทยที่ “โยนเมล็ดพืชผักอะไรตรงไหนก็งอกงาม” และ “มีอาหารกินกันอย่างหลากหลายเหลือเฟือ” ไม่นับว่าเล็กอยู่ที่ฟินแลนด์ ประเทศที่ค่าครองชีพแพงอันดับสามในยุโรปได้กระมังตามการสังเกตของตัวเองที่เดินทางทั่วยุโรป (รองจาก นอรเวย์ และสวิสเซอร์แลนด์)

แน่นอนว่าสองปีที่ผ่านมาเล็กต้องเผชิญกับความยุ่งยากและลำบากมากมาย ทั้งเรื่องอยู่เรื่องกิน และเรื่องขอวีซ่าอยู่ยุโรป ในขณะที่ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนไทยจำนวนมากที่เผชิญกับปัญหาการล้มละลาย และความยากลำบากทางเศรษฐกิจ เพราะการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย

แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมา เล็กก็ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวในทุกทางที่สามารถทำได้ ทั้งทำการศึกษาและเขียนบทความการเมืองไทยต่อเนื่อง ทั้งติดตามปัญหาคนงานไทยที่ถูกพามาเก็บเบอร์รี่ที่สวีเดนและฟินแลนด์ จัดผลิตสารคดีหลายเรื่องด้านแรงงานและการเมือง

และไม่นับว่าช่วยดูแลเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองไทยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษอีกสองสามแห่งโดยเฉพาะ www.timeupthailand.net อีกทั้งยังได้พยายามทำงานกับกลุ่มคนไทยที่ยุโรป และจัดรายการวิทยุทางอินเตอร์เน็ทอีก ทำให้ไม่มีเวลาไปทำงานหารายได้อื่นๆ

และนี่ก็เป็นปัญหาที่ส่งผลมาถึงปัจจุบันนี้คือการไม่สามารถผ่อนส่งคืนเงินกู้กับธนาคารได้ จนธนาคารที่ประเทศไทยกำลังดำเนินเรื่องยึดทรัพย์ สมบัติชิ้นเดียวที่มีคือ "ไร่เปิดใจ" และก็เป็นที่มาของการต้องผลิตหนังสือเรื่อง “แรงงานอุ้มชาติ” เล่มนี้ เพื่อขายสร้างรายได้ทำกิจกรรมการเมืองเช่นที่ทำนี้ต่อไป และหวังว่าจะมีรายได้มากพอจะทำให้ไปจ่ายธนาคารไม่ได้ยึดบ้านตัวเองได้

และคงต้องขออนุญาตใช้โอกาสนี้ กล่าวขอบคุณคนตัวเล็กตัวน้อยจำนวนไม่น้อยเลย ทั้งที่เมืองไทยและที่ต่างประเทศ ทั้งคนไทยและเพื่อนฝูงคนต่างชาติ ที่ช่วยกันลงขันและสนับสนุนด้านการเงินมาบ้าง (เป็นการช่วยของผู้รักประชาธิปไตย โดยไม่มีนายทุนใหญ่ใดๆ หนุนหลังทั้งสิ้น) และแม้จะไม่พอกับค่าใช้จ่าย แต่ก็ทำให้อยู่และทำงานได้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ก็ต้องขอกราบขอบคุณทุกท่านที่อาจจะไม่สามารถเอ่ยนามได้มา ณ ที่นี้ด้วย

แม้แต่หนังสือเล่มนี้ก็ต้องขายแบบ "สั่งจองและจ่ายเงินล่วงหน้า" เพราะเล็กไม่มีเงินจ่ายค่าพิมพ์หนังสือ ต้องรวบรวมเงินจากผู้สั่งจองไปจ่ายค่าพิมพ์ เป็นการทำงานที่พึงพิงมวลชน (ไม่ใช่นายทุน) อย่างแท้จริง

ก็หวังว่าการตอบรับหนังสือจะเป็นไปด้วยดี ไม่ใช่เพราะต้องช่วยเล็ก แต่เพราะว่าหนังสือเรื่องแรงงานที่ให้ภาพองค์รวมของปัญหาแรงงานและโยงถึงต้นตอของการเมืองไทยเช่นนี้ ไม่ค่อยมีการผลิตออกมา การต่อสู้ของแรงงาน ปัญหาแรงงานเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความสนใจของทั้งสาธารณชนและรัฐบาลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมสหภาพแรงงานไม่ได้รับการส่งเสริมในประเทศไทย

4. มีคนที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับคุณจรรยามากไหม ที่ยังกลับประเทศไม่ได้ และต้องการหนุนช่วยอย่างไรบ้างจากองค์กรต่างๆ หรือเพื่อนมิตร

จรรยา ยิ้มประเสริฐ: เท่าที่ทราบและติดต่อกันอยู่บ้าง ก็มีกว่าสิบคน ทุกคนลำบากกันถ้วนหน้า ทั้งเรื่องการทำเรื่องขอสถานภาพผู้ลี้ภัยกับ UNHCR ก็ไม่ได้ง่าย เรื่องการขอวีซ่าอยู่อย่างถูกกฎหมายในประเทศที่เขาเลือกอยู่ก็ยุ่งยาก เรื่องเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง ต้องขายบ้าน ขายรถ และทรัพย์สินที่ขายได้เพื่ออยู่กินที่เมืองนอก หลายคนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่กว่าเล็กมาก – ฟังเรื่องของเขาแล้ว ไม่บ่นเรื่องตัวเองเลยค่ะ สงสารพวกเขาแทน

อยากเชิญชวนผู้ที่สนใจช่วยกันตั้งกองทุนอะไรซักอย่างเพื่อผู้ลี้ภัยทางการเมืองของประเทศไทย มันจำเป็นยิ่งที่การเมืองไทยยังไม่สามารถปล่อยวางได้ ที่จะมีกองทุนตรงนี้ ให้คนกลุ่มนี้ที่ลี้ภัยสามารถทำงานเพื่อประชาธิปไตยของไทย แม้ว่าต้องอยู่ต่างแดนก็ตาม

ไม่ใช่ให้พวกเขาต้องอยู่อย่างปิดตัวและความวิตกกังวลว่าจะเอาชีวิตรอดที่ต่างแดนได้อย่างไร ในสภาพที่หลายคนไม่เคยใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก และภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง และที่สำคัญเล็กมองพวกเขาเป็น "ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญยิ่งกับประเทศไทย" ที่ควรสนับสนุนให้ได้ทำงานเพื่อสร้างการตื่่นรู้ทางการเมืองไทยกันต่อไป

เสียดายทุกครั้งที่เวลาและสมองของมนุษย์ไม่ได้ถูกใช้คุ้มค่ากับสิ่งที่เขาควรจะทำ และถูกใช้ไปเฉพาะความสุขส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อความสุขของมนุษยชาติ

5. ในอดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ใช้ฐานในต่างประเทศรณรงค์ปฏิวัติใหญ่ทั้งยุคเลนิน ซุนยัดเซ็็น โฮจิมินห์ รวมทั้งปรีดี พนมยงค์ กับ คณะราษฎร์ คิดว่าเวลานี้ขบวนทำนองนี้ของไทยมีหรือไม่และมีศักยภาพเพียงใด

จรรยา ยิ้มประเสริฐ: เล็กคิดเรื่องนี้อยู่มากเช่นกัน และคิดว่าจะทำได้ไหมในศตวรรษที่ 21

ข้อสรุป ณ ตอนนี้ คือ การจัดตั้งจากต่างประเทศในยุคนี้ไม่ประสบความสำเร็จแน่ เพราะว่านักการเมืองแบบพรรคนายทุน และพรรคชนชั้นสูงก็รู้เกมส์นี้ และใช้การจัดตั้งมวลชนคนไทยจากต่างแดนเป็นฐานหนุนวิถีการเมืองของพรรคพวกตนเช่นกัน และพวกเขามีทุนมากกว่า และทำได้สำเร็จกว่า และไม่ปล่อยให้คนไทยในเอเชีย ยุโรปและอเมริกาเป็นอิสระจากวิถีการเมืองของเขา

เล็กได้เดินทางไปพบคนไทยที่ยุโรปในหลายประเทศ เพื่อพูดคุยกันเพื่อร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยและเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองในประเทศไทย ทั้งยังได้พยายามเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งที่ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ และเยอรมัน แต่ก็พบสภาพที่ว่าคนไทยในต่างประเทศก็ไม่ต่างจากในประเทศนักคือมีกลุ่ม “รักทักษิณ” มีเงินทุนจัดตั้งดีกว่า และมีทักษิณเป็นตัวพรีเซนเตอร์ จึงเป็นขบวนใหญ่กว่ากลุ่มที่เอาเรื่องประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมจากประชาชน

ต้องยอมรับว่าคนไทยที่มาตั้งรกรากหรือทำงานที่ยุโรปมีฐานครอบครัวมาจากชนบท โดยเฉพาะจากอีสาน พวกเขาก็ฝากความหวังไว้กับทักษิณเยอะว่า อาจจะช่วยดันหรือเทงบประมาณมาช่วยพวกเขาสร้างเศรษฐกิจที่ยุโรปด้วย โดยเฉพาะทำร้านอาหารไทย นอกเหนือไปจากเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยในประเทศไทย

กระนั้น เล็กก็เชื่อว่า การก่อร่างของการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการเมืองไทย ได้เริ่มขึ้นแล้วและต่อเนื่องที่ประเทศไทย นับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 และเป็นการก่อตัวของกลุ่มการเมืองที่มีจำนวนไม่ใช่ไม่กี่คนเหมือนอดีต

ไม่ใช่การนำด้วยนักคิดที่โดดเด่นคนใดคนหนึ่งเช่นในอดีต แต่มีมากมายมหาศาลมากกว่าที่ผ่านมา และแต่ละกลุ่มก็เลือกยุทธศาสตร์การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นยุทธวิถีของตัวเอง ไม่ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง

เป็นการผลักดันให้การเมืองประเทศไทยหลุดพ้นจากวิถี “การเมืองเรื่องบุคคลและตระกูล” สู่ “การเมืองเรืองระบอบและหลักการ” และจากคนหลากหลายแนวคิดมาก และไม่มีตัวผู้นำโดดเด่นคนใดคนเดียว แต่เป็นขบวนการผู้ให้แนวคิดทางความรู้มากกว่า

เป็นพัฒนาการทางการเมืองที่ควรจะเป็น และสอดคล้องกับยุคสมัยแห่งโลกศตวรรษที่ 21 ที่วุฒิภาวะของคนส่วนใหญ่ในสังคมหลุดพ้นจากวิถีการเมืองผู้นำเผด็จการไปกันมากแล้ว และกระแสเทพนิยายและสมมุติเทพก็เป็นเพียงนิทานก่อนนอน ที่ก็ไม่ค่อยมีใครอ่านให้ลูกฟังกันก่อนนอนกันแล้วเช่นกัน

สังคมต้องการความเป็นเหตุเป็นผล เป็นประชาธิปไตย มีความหลากหลาย และยอมรับความแตกต่างกันได้

และการเปลี่ยนแปลงก็ได้เริ่มแล้วมากมาย จากหลายกลุ่ม อาทิ ข้อเสนอของนิติราษฎร์ การรณรงค์ของครอบครัวและเพื่อนนักโทษการเมือง และการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องร่วมสองปีของกลุ่มญาติวีรชน 2553 ฯลฯ

มันเป็นวิถีการปูทางลงของการเมืองผู้นำเทวดา ตามวิถีสมมติเทพที่มีอัตตาสูงเทียบเขาพระสุเมรุ อย่างไม่หักโค่น เป็นการพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงจากการศึกษาจากชุดข้อมูลความรู้ของประเทศอื่นๆ “ถ้าอำมาตย์ไม่ลงตอนนี้ก็ถึงคราวแตกหัก” ซึ่งไม่มีใครต้องการให้ไปถึงขั้นนั้น

เพราะมันจะต้องมีคนล้มตาย และไม่มีใครอยากเห็นและเจ็บปวดไปกับการเสียชีวิตในประเทศไทยอีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีบทเรียนการยอมรับการเมืองวิถี "คนเท่ากัน" ด้วยสันติวิธี ในหลายประเทศให้เห็นและศึกษาเป็นตัวอย่าง

6. คุณอยากบอกอะไรที่สุดในเวลานี้

จรรยา ยิ้มประเสริฐ: ในฐานะของคนทำงานเขียน ก็คงบอกว่าอยากให้หนังสือขายได้ ฮา . .

ต้องขอบคุณทนายประเวศ ประภานุกูลมา ณ ที่นี้ เป็นอย่างยิ่ง ที่รับอาสาโดยไม่เอาค่าใช้จ่ายในการติดตามเรื่องคดียึดบ้าน และเปิดบัญชีให้เพื่อใช้ในการขายหนังสือเล่มนี้ และดูแลค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นที่เมืองไทยให้

อยากบอกว่า สองปีที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตัวเองหยุดนิ่ง ศึกษา และวิเคราะห์บทเรียนและข้อมูลต่างๆ ที่ตัวเองสั่งสมมาตลอดกว่า 20 ปีของการเป็นคนทำงานเพื่อการพัฒนาประเทศ ที่ได้มีโอกาสมากกว่าคนจำนวนมาก ในการเดินทางลงศึกษาปัญหาและการพัฒนาในร่วม 70 จังหวัดทั่วประเทศไทยและหลายสิบประเทศทั่วโลก

ซึ่งเมื่อคิดในแง่นี้ เล็กก็ใช้ทรัพยากรโลกไปเป็นจำนวนมาก เพื่อการศึกษาเรียนรู้ และก็ควรจะใช้มันอย่างคุมค่า และจำเป็นจะต้องร่วมเป็นหนึ่งในประชากรไทยและประชากรโลก ที่ร่วมใช้สมอง สองมือและสองเท้า เพื่อแก้ปัญหาความยากจน การละเมิดสิทธิ และการเอารัดเอาเปรียบคนชั้นล่างในสังคม หรือที่เรียกว่าประชาชนกลุ่มใหญ่ "กลุ่ม 99%"

เล็กทำงานด้วยความเชื่อว่า "จะต้องไม่ทำตัวเป็นผู้นำ" แต่เป็นคนทำงานการศึกษาให้ประชาชนเห็นปัญหาและตัดสินใจหาทางแก้ปัญหาร่วมกันตามวิถีการศึกษามวลชนของเปาโล แฟร์ นักปฏิวัติชาวบราซิล และก็ไม่ได้เชื่อว่าชาวบ้านบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ไม่เล่นเกมส์ไปกับการเมืองด้วย

จากบทเรียนการคลุกคลีและทำงานต่อสู้ร่วมกับชาวบ้านและคนงานมากมาย ทำให้ตระหนักว่า ประชาชนหรือคนที่ถูกเรียกว่าชาวบ้านนั้นฉลาดและเล่นเกมส์การเมืองต่อรองกับอำนาจตลอดเวลา ด้วยวิถีของเขา คือ "เมื่อการต่อรองและพูดกันตรงๆ มันมาด้วยลูกปืน พวกเขาก็ใช้ยุทธิวิถีขอความเมตตา ขอความช่วยเหลือ"

แต่สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคือ ประชาชนคนไทยเปลี่ยนวิถีการต่อรองกับอำนาจเบื้องบนด้วย วิถีการร้องขอ ฟูมฟาย และปรักปรำกันไปมา แบบนี้เสีย ซึ่งเป็นวิถีที่ชาวบ้านได้ประโยชน์ระยะสั้น แต่ไม่ส่งผลต่อพัฒนาการประเทศในระยะยาวและอย่างยั่งยืน

จากบทเรียนการพบเห็นบรรยากาศการเมืองในหลายประเทศ ทำให้ตระหนักว่าเพื่อประเทศก้าวหน้าและพัฒนาอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน "การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอย่างมีวุฒิภาวะ และอย่างเสรี" คือ หัวใจของการพัฒนาที่แท้จริง

ประชาชนต้องหยุดกันตัวเองออกจากความรับผิดชอบในการบริหารประเทศมาสู่การคิดแบบใหม่ ที่ “ต่อรอง นำเสนอข้อเรียกร้อง และร่วมรับผิดชอบในทิศทางการพัฒนาของประเทศ" ไม่ใช่ลอยตัวทุกครั้งที่มีปัญหาด้วยข้ออ้างว่าเป็นเพราะ “ผู้นำไม่เก่ง นักการเมืองคอรัปชั่น หรือเพราะข้าราชการโกงกิน”

เป็นการเมืองที่คนทั้งประเทศก็ร่วมเหนื่อยด้วย สนุกด้วย และไม่ได้ฝากภาระการคิด การลงมือทำ การนำพาประเทศไว้กับผู้นำ และนักการเมือง หรือข้าราชการเท่านั้น

การทำให้คนในสังคมอยู่ได้อย่างเคารพศักดิ์ศรีในตัวเอง และศักดิ์ศรีของคนอื่นอย่างเท่าเทียม เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะคนในสังคมต้องอ่อนไหวต่อประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน เคารพกติกาประชาธิปไตย และต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา

และไม่ใช่ไม่มีคน "รู้ทันชาวบ้าน" และ ยังหลงคิดว่าชาวบ้านใสซื่อบริสุทธิ์และเดียงสา เช่นที่ NGOs หรือคนโปรชาวบ้าน เอาชาวบ้านเป็นฐานกิจกรรมทั่วไปมักจะนำเสนอภาพชาวบ้านกันแบบนั้น

อาจจะไม่ถูกใจคนอ่านเหมือนกันว่าถ้าจะบอกประชาชนคนไทย "ที่ไม่สี" หรือ "สีใด" ก็ตามว่า “หยุดเล่นการเมืองลอยตัวเหนือปัญหาและไม่ต้องรับผิดชอบ” แล้วลงมาร่วม "รับผิดชอบกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ” กันเสียที เพื่อรวมกันนำพาประเทศไปข้างหน้าอย่างเท่าเทียมกันโดยทุกคนในประเทศไทย

หนังสือต้องอ่านโดยนักเขียนต้องห้าม-จรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมแรงงานที่อยู่ระหว่างลี้ภัยการเมืองพิกลพิการในต่างประเทศเขียน หนังสือ"ต้องอ่าน"ผ่าลึกประเทศไทยผ่านมิติด้านแรงงาน ท่านสามารถสนับสนุนนักสู้ที่อุทิศตัวเพื่อการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยให้อยู่ ได้อย่างยืนหยัด


สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่าย โดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอิมพีเรียลลาดพร้าว เลขที่ 224-242394-3 ชื่อบัญชี นุชรินทร์ ต่วนเวช จำนวน 330 บาท (หนังสือราคา300 บวกค่าจัดส่ง30บาท) และส่งอีเมลแจ้งรายละเอียดที่อยู่และการสั่งจองไปที่ tpnews2009@gmail.com หรือโทร. 085-5049944

**************************************************

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จุดยืน (๑) โดย จักรภพ เพ็ญแข


คอลัมน์ เขียนถึงคนรัก
ตอน จุดยืน (๑)
จาก Red Power ฉบับที่ ๒๖ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕)

มวลชนที่รัก

ก่อนจะเขียนจดหมายถึงมวลชนคนรักกันเป็นฉบับที่ ๒ นั้น ผมได้รับการติดต่อขอสัมภาษณ์จาก “คุณจอม เพชรประดับ” แห่ง Voice TV ในห้วงเวลาเดียวกับที่อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเยือนนครเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อพบปะมวลชนจำนวนหลายหมื่นที่ข้ามชายแดนมารอพบท่านในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทยหรือในวันสงกรานต์ ผมตอบรับทันที เพราะ Voice TV เป็นสื่อที่ช่วยพัฒนาขบวนการประชาธิปไตยมาตลอดและตัวผู้สัมภาษณ์เองก็เป็นพี่น้องเพื่อนฝูงกันมานาน แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน เพราะไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีก

การบันทึกเทปสัมภาษณ์เป็นไปอย่างราบรื่น เวลาเป็นชั่วโมงๆ ผ่านไปโดยที่ผู้สัมภาษณ์และวิทยากรแทบจะไม่รู้ตัว ผมเองนึกนิยมอยู่ในใจว่า ทั้ง “คุณจอมฯ” และ Voice TV มีความกล้าหาญ เราต่างก็รู้กันว่าการเปิดช่องทางสื่อสารให้ผมขณะนี้ถือเป็นความเสี่ยง เสี่ยงอันตรายทั้งจากคนที่เห็นผู้ที่มีความคิดอย่างเราเป็นฝ่ายตรงกันข้าม และเสี่ยงความกดดันจาก “ฝ่ายเดียวกัน” ที่เขาเห็นว่าเราเป็นกระแส “เกินธง” ผมก็ได้แต่ขอบคุณที่ทีมสัมภาษณ์เขาเลือกมองการณ์ไกล ไม่ร้อนรนรอมชอมกับศัตรูของฝ่ายประชาธิปไตยจนฝ่ายตรงข้ามดูแคลน แต่ก็ไม่ลืมว่าทีมเดียวกันนี้เคยมาสัมภาษณ์ผม และถูกห้ามออกอากาศโดยผู้บริหารงานของทางสถานีเองมาแล้วครั้งหนึ่ง

และประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้ง เมื่อผู้บริหารระดับใดไม่ปรากฏของ Voice TV สั่งห้ามออกอากาศการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดนี้อีก คราวนี้ผมไม่ได้รับแจ้งโดยตรงจาก Voice TV แต่กลับทราบจากนักข่าวคนหนึ่งของเว็บไซต์ “ประชาไท” เนื่องจากมีผู้ส่งเทปสัมภาษณ์ดังกล่าวให้ “ประชาไท” พิจารณานำออกเผยแพร่แทน ผมเองไม่รู้จักผู้บริหารทั้ง Voice TV และเว็บประชาไทเป็นการส่วนตัว และไม่ได้สนใจจะสอบสวนอะไรในเรื่องนี้ ได้แต่นึกเอาเองว่า ยิ่งนานไปเรายิ่งเห็นความซับซ้อนของขบวนประชาธิปไตยในขณะนี้ คำว่า “เรา” และ “เขา” มีความหมายอันลี้ลับในตนเอง จนไม่อาจแยกพวกได้อย่างชัดเจนจนเกิดพลัง นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องมีความรอบคอบระมัดระวัง ไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันจนแยกไม่ออก และไม่ห่างเหินจนขาดความเชื่อมโยงระหว่างกัน ซึ่งเป็นทักษะที่เรียนรู้จากความผิดพลาดเป็นส่วนใหญ่ Voice TV ในวันนี้คือใคร จึงเป็นโจทย์ที่ไม่ต้องรีบตอบอะไรนัก

แทนที่จะเขียนจดหมาย ผมจึงนึกถึงท่านผู้อ่านที่อาจจะไม่มีโอกาสเข้าเว็บไซต์ประชาไท และขอให้เขาช่วยนำบทสัมภาษณ์มาตีพิมพ์ในหน้ากระดาษนี้แทน ซึ่งอาจต้องใช้เนื้อที่ต่อกันถึงสามฉบับจึงจะหมดสิ้นพลความ ถือเป็นจดหมายรักอีกรูปแบบหนึ่งจากผมสู่ท่านผู้อ่านที่รัก....


Core Respondence จอม เพชรประดับ – จักรภพ เพ็ญแข

จอม หลังจากที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง คุณจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในคดีหมิ่นสถาบันฯ ไปแล้วนั้นนะครับ หลังจากนี้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย บทบาทของคุณจักรภพ จะเป็นอย่างไร...

หลังจากที่อัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว หลายคนก็คิดถึงและก็ถามว่าจะกลับประเทศไทยไหมครับ มีโอกาสไหมครับ

จักรภพ คิดถึงบ้านอยู่เสมอแหละครับ เพียงแต่อยู่ก็เพราะว่าการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยของเรายังไม่ถึงจุดที่เราปรารถนา คำว่าเราผมอาจจะพูดทึกทักไปหน่อย ผมหมายถึงตัวผมเองกับผู้ที่มีความเห็นใกล้เคียงกัน เรื่องการสั่งไม่ฟ้อง ผมคิดว่าในแง่ความกล้าหาญที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของ สนง.อัยการสูงสุดท่านแสดงออกมา ผมต้องแสดงความชื่นชมและแสดงความขอบคุณ แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นการบอกว่าข้อกล่าวหาแบบนี้มันเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีมูล หรือมีเหตุให้ต้องเป็นคดีความ ผมก็เอาเรื่องนี้มานึกถึงคน ๒ กลุ่ม

กลุ่มแรกคือ เพื่อนร่วมทุกข์ ที่โดนคดีใกล้เคียงกัน อย่างคุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข, คุณดา ตอร์ปิโด, อากง-อำพล ตั้งนพกุลหรือท่านอื่นๆ อีกมากมายหลายท่าน ว่าถ้าหากท่านเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับอิสรภาพหรือยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ผมเองคงไม่สามารถดีใจในการพ้นเปลาะนี้ของตัวเองได้

และคนกลุ่มที่ ๒ ที่ผมนึกถึงก็คือ คนไทยทั่วประเทศที่อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ และมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญ ว่า สามารถที่จะทำให้ทุกคนมาอยู่ในสภาพเดียวกันกับผม และท่านที่ผมเอ่ยนามมานั้นได้ทุกเวลา เนื่องจากว่าเป็นกระบวนวิธีที่ค่อนข้างจะแปลก คือทุกคนสามารถเป็นผู้เสียหายได้หมด สามารถจะเดินเข้าไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานสอบสวน แล้วเจ้าพนักงานสอบสวนก็สามารถจะรับเรื่องแล้วก็ดำเนินคดี และคดีก็สามารถจะไปได้เร็วหรือช้าตามใจท่านหรือตามคำสั่ง และจนสุดท้าย ก็ต้องไปลุ้นกันว่าแม้กระทั่งยังไม่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาล มีสิทธิ์ที่จะได้รับประกันหรือไม่ ถ้าไม่ได้รับการประกันก็ต้องติดคุก อย่าง คุณสุรชัย, คุณสมยศ, คุณดา, คุณอำพลหรืออากงที่เราเรียกกัน ทุกคนก็คือโดนชะตากรรมนี้หมด คือก่อนเข้าสู่การพิจารณาคดีก็ติดคุกหมด ตรงนี้ผมถือว่าเป็นการดำเนินคดีที่น่าจะมีปัญหา นี่แหละครับที่ผมนึกถึง

เพราะฉะนั้นการพ้นเปลาะตรงนี้ไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ แต่ก็ขอบคุณทุกท่านที่แสดงความยินดีเข้ามา เพราะท่านรัก แล้วก็เป็นห่วง เพราะฉะนั้นความปรารถนาดีระหว่างกันผมรับเต็มๆ และผมก็ชื่นใจที่มีคนเป็นห่วงเรา แต่ต้องกราบเรียนท่านด้วยความเคารพว่า ไม่ใช่ดัดจริต หรือพยายามจะพูดให้เป็นอื่น แต่เรื่องนี้มันยังไม่สามารถปลงใจได้ว่าปัญหามันสิ้นสุดยุติลง สำหรับโครงสร้างของสังคม มันอาจจะดีขึ้นขั้นหนึ่งสำหรับตัวผมเองก็ได้

จอม ครับ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ดำเนินการอยู่ ณ เวลานี้ เป้าหมายคืออะไรครับ แค่ไหน อย่างไร

จักรภพ คืออย่างนี้ครับ วันนี้เราพยายามจะพูดถึงเรื่องกระบวนการปรองดอง พอหลังจากที่เราเกิดความขัดแย้งทางการเมือง มีการแบ่งสีแบ่งข้าง มีการพูดถึงเรื่องที่เราไม่เคยคิดว่าจะมาพูดกันด้วยเสียงดังๆ เราก็สะเทือนขวัญกันทั้งประเทศว่ามันจะพาประเทศไปสู่จุดไหน มันจะแตกสลายกันไปหมด เราก็นัดกันว่า เอาล่ะ จะมาขีดเส้นแล้วก็ปรองดองกัน แต่บังเอิญว่าการล้ำเส้นของช่วงที่ผ่านมา มันหนักไง มันถึงขั้นเอาอำนาจรัฐผ่านทางอาวุธสงคราม โดยฝีมือของกองทัพมาฆ่าประชาชนกลางถนน โดยที่ประชาชนเองนั้นก็ไม่ได้มีวี่แววหรือมีหลักฐานว่าจะเป็นผู้ที่เข้าข่ายเรื่องการก่อการร้าย หรือผู้ก่อความไม่สงบในทางที่ใช้อาวุธแต่อย่างใด

อย่าลืมว่าเหตุเกิดขึ้นที่ราชประสงค์ ไม่ได้เกิดขึ้นนอกฟ้าป่าหิมพานต์ที่ไหน แล้วก็มีสื่อมวลชนต่างประเทศ มีชาวต่างประเทศ และชาวไทยอีกมากจับตามองดูอยู่ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป้าหมายในขณะนี้ก็คือ เราต้องรวบรวมความกล้าหาญทางจริยธรรมแล้วตั้งประเด็นปัญหาของบ้านเมืองให้ได้ ว่าการปรองดองครั้งนี้ มันปรองดองแล้วจะนำไปสู่การพูดคุยเรื่องอะไรกัน พูดง่ายๆ ว่าคนไทยต้องมาสนทนาธรรมกันต่อจากปรองดองอีกนะ

ปรองดองพูดกันตรงๆ เถอะ มันก็คือภาวะที่ไม่มีทางเลือกใช่ไหม ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันมาจนเปลืองเลือดเปลืองเนื้อ เปลืองจิตเปลืองใจมามาก แล้ววันหนึ่งก็บอกว่าเอาล่ะ จับมือกันแล้วก็ถอยกัน มีเส้นขนานที่ ๓๘ ขึ้นมาเหมือนเกาหลี แล้วก็มายืนอยู่คนละข้าง แล้วหาทางให้กฎหมายมันตอบสนองความเป็นธรรม แต่คำถามก็คือว่า มันแก้ปัญหาในระยะยาวของประเทศได้หรือไม่

เพราะฉะนั้นเป้าหมายประชาธิปไตยตามที่คุณจอมถาม ผมคงต้องตอบว่า มันต้องเป็นปรองดองบวก คือเป็นปรองดอง plus กับการพูดคุยกันในเรื่องสำคัญอื่นๆ ในอนาคต จะบอกว่าปรองดองเป็นทางออกของสังคมไทยคงจะไม่ได้ แต่ถามว่าจะเป็นการแก้ปัญหาระยะเฉพาะหน้าตอนนี้ไหม ก็ลองดู มันอาจจะได้ผลก็ได้ ซึ่งมันก็ดีตรงที่ช่วยให้เราไม่ต้องมานั่งเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรง แต่ถ้าหากปรองดองกันแล้ว ตัดสินใจว่าจะเลิกคิดกันทั้งหมด แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองเดิม ผมก็คิดว่ามันก็รอให้วงจรอุบาทว์เวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง

จอม ครับ ถ้าพูดถึงเรื่องการปรองดองโดยไม่ได้พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ สามารถที่จะปรองดองได้ไหมครับ

จักรภพ ผมคิดว่าเราปรองดองได้เสมอแหละ แต่ถามว่าผลมันเบ็ดเสร็จสมบูรณ์หรือไม่ ผมขออนุญาตตอบว่า เราไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตของประเทศไทยได้โดยไม่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องเลิกเลี่ยงเรื่องนี้เสียทีนะครับ ถ้าหากว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ หรือมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคในการพูดเรื่องนี้ ก็ไปแก้ตรงนั้นก่อน

นี่คือเหตุที่กลุ่มอย่างนิติราษฎร์, อย่างอาจารย์สมศักดิ์, อย่างมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน, อย่างอีกหลายกลุ่มเรียกร้องว่าไปแก้ตรงนี้ เขาไม่ได้เรียกร้องให้แก้เพื่อจะไปทำร้ายหรือทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นะ เขาเรียกร้องเพื่อจะให้พูดกันเรื่องนี้ได้ ไม่ใช่ว่าใครตั้งต้นพูดก็คดีมารออยู่แล้ว คุกมารออยู่แล้ว อย่างนี้วันไหนจะได้พูดอย่างสร้างสรรค์ แล้วถ้าหากไม่ได้พูดอย่างสร้างสรรค์แล้วเมื่อไหร่จะแก้ปัญหาได้

เหตุที่ผมพูดอย่างนี้ทั้งๆ ที่หลายคนบอกว่า คุณจะไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง

จอม ใช่ครับ

จักรภพ อยู่เหนือจริงไหมล่ะ? ถ้าหากว่ามีวิกฤติทางการเมืองขึ้นมา ทุกครั้งเกี่ยวข้องกับสถาบันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถาบันเข้ามาช่วยแก้ปัญหา หรือคนอัญเชิญสถาบันเข้ามาแก้ปัญหา ตั้งแต่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖, พฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ จนกระทั่งมาถึงล่าสุด แม้กระทั่งการที่มีการรัฐประหาร แล้วหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้าไปกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ ให้ลงพระปรมาภิไธย ตั้งคณะบริหารราชการแผ่นดินต่อจากการรัฐประหาร นี่ก็คือการเมือง

เพราะฉะนั้น เราอย่าเอาคำว่าสถาบันอยู่เหนือการเมืองมาเป็นเหตุให้เราไม่แก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดของบ้านเมือง แล้วเรื่องนี้แหละครับที่ผมคิดว่า การตัดสินใจของสถาบัน ผมพูดถึงสถาบันไม่ใช่องค์หรือบุคคลนะครับ เป็นการตัดสินใจที่อาจจะหมายถึงอนาคตของประเทศ คือทุกอย่างในโลกนี้มันมีครรลองของมัน ไม่มีอะไรที่มันตั้งอยู่ได้โดยที่ไม่มีปัจจัยแปรปรวนเข้ามามีผล บางทีเรายืนอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าหากน้ำไหลมาที่พื้น ดินที่เรายืนอยู่มันก็เปลี่ยน เราก็ยืนไม่อยู่เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น ผมกำลังพูดว่า ถ้าสถาบันเป็นผู้เป่านกหวีดเองว่าเราจะนัดคุยกันยังไง ปัญหาที่ผ่านมาเป็นยังไง แล้วต่อไปจะเป็นยังไง นี่คือเรื่องที่ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์มาก ทุกประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ, ญี่ปุ่น, กัมพูชา, สวีเดน, นอรเวย์ และอื่นๆ อีกหลายประเทศ อีกเกือบ ๓๐ ประเทศ ล้วนแล้วแต่ผ่านวิกฤติเรื่องของสถาบันกับประชาชนมาแล้วทั้งนั้น

พูดง่ายๆ ว่าเขาผ่านบทพิสูจน์ ว่าถ้าสถาบันกับประชาชนเกิดความ

เข้าใจไม่ตรงกันจะปรับตัวกันได้ยังไง ถามว่าประชาชนต้องการสถาบัน ทั่วโลกมีไหม ก็ดูตัวอย่างประเทศเหล่านี้สิครับ นี่คือตัวอย่างเพราะเขาผ่านการเผชิญหน้ามาแล้ว และคนส่วนใหญ่ยังบอกว่าต้องการอยู่

อังกฤษ-ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์เต็มที่ เรียกว่าไม่มีบันยะบันยังกันเลย จนถึงขั้นหนึ่งต้องลงประชามติเกี่ยวกับสถาบัน ปรากฏว่าสถาบันชนะ คนรักมีมากกว่าคนไม่รัก สถาบันพระมหากษัตริย์ในอังกฤษก็อยู่มาได้อย่างมีเสถียรภาพ คือทั้งหมดมันก็อยู่ในสร้อยพระนามของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์นั่นแหละ คือ “อเนกนิกรสโมสรสมมติ” อเนกคือมากมาย, นิกรคือประชาชน, สโมสรคือมารวมกัน, สมมติคือให้เป็น, “อเนกนิกรสโมสรสมมติ” ก็คือประชาชนมารวมกันแล้วยกให้ท่านเป็น เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดปัญหาว่ามีคนไม่พอใจก็เรียกประชุมใหม่ สโมสรกันใหม่ อเนกนิกรจะได้มา แล้วจะสมมติอะไรต่อไปก็ว่ากัน

เพราะฉะนั้นผมคิดว่าหลักไทยโบราณของเราก็สามารถใช้ได้ ผมเองเป็นคนที่บังเอิญส่วนตัวสนใจเรื่องของสถาบันมามากนะครับ คือสนใจเพราะชอบ ชอบว่าเป็นวัฒนธรรมอันดีงามยิ่งใหญ่ มีความอลังการ มีความมลังเมลือง มีความละเมียดละไมทุกอย่าง สิ่งที่ดีที่สุดของชาติหลายอย่างอยู่ในสถาบันกษัตริย์ เช่น เรื่องช่างสิบหมู่ เรื่องการก่อสร้างพระราชวัง แม้กระทั่งพิธีอวมงคล อย่างพระราชพิธีถวายพระเพลิงยังสวยงาม

เพราะฉะนั้นมันมีของดีที่เราจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงระหว่างคนไทยด้วยกันโดยผ่านสถาบันอีกมาก แต่วันนี้มันมีคำถามเดียวเท่านั้นเอง ว่าบทบาททางการเมืองจะทำอย่างไร ขออนุญาตพูดเป็นภาษาอังกฤษคำหนึ่ง เพราะไทยมันอาจจะแปลไปแล้วยวบยาบ คือต้อง depoliticized สถาบันพระมหากษัตริย์ คือเอาการเมืองออกไปจากสถาบัน นี่แหละคือวิธีการที่เราจะต้องเดินไป เพียงแต่ว่าด้วยความที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นของสูงในวัฒนธรรมไทย แล้วก็มีกฎหมายห้ามไม่ให้พูดถึง แล้วก็เสี่ยงหมด แค่พูดถึงก็ไม่รู้แล้วจะอยู่จะไปนะ มันก็ทำให้เริ่มนับหนึ่งไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าทุกคนรู้โจทย์ แต่ทุกคนนับหนึ่งไม่ได้ อย่างนี้มันก็แก้ไขปัญหาไม่ได้

จอม ครับ แต่ทีนี้ถ้าจะให้สามารถนับหนึ่งได้ จะต้องเป็นสถาบันเองใช่ไหมครับ ที่เริ่มต้นให้ประชาชนนับหนึ่งในการที่จะพูดถึงได้ วิจารณ์ได้

จักรภพ ผมคิดว่าหลายเรื่องมันเป็นจิตวิทยา หลายเรื่องมันเป็นความรู้สึก อย่างเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทั้งสองฝ่ายเข้ามา ทั้งฝ่าย รสช. ซึ่งตัวแทนคือ พลเอกสุจินดา คราประยูร ทางฝ่ายผู้ประท้วงตอนนั้นคือ พลตรีจำลอง ศรีเมือง แล้วท่านก็เรียกประธานองคมนตรี คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งตอนนั้นรู้สึกเป็นแค่องคมนตรีด้วยซ้ำ เพราะอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ท่านยังอยู่ แต่ก็เป็นบทบาทนำแล้ว เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา

คนที่ไม่รู้อะไรเลยมองภาพนั้นภาพเดียวก็จะสรุปว่า ประเทศไทยมีลักษณะการเมืองการปกครองพิเศษที่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยองค์พระมหากษัตริย์สามารถจะแก้ไขปัญหาที่คนอื่นเขาแก้ไขไม่ได้ ปัญหาที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง คนต้องฆ่ากันตายเป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ แต่เราแก้ไขด้วยวิธีนี้ คำถามก็คือ ภาพประทับใจในวันนั้น เมื่อปี ๓๕ มันมีความหมายยังไงใน พ.ศ.นี้ จู่ๆ เราจะลุกขึ้นมาบอกว่าบัดนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวแล้วหรือ แล้วปี ๓๕ คืออะไร

เพราะฉะนั้นเราต้องสม่ำเสมอต่อเนื่องในความคิด ในเมื่อเรารู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่าในทางปฏิบัติแล้วต้องช่วยแก้ปัญหาทางการเมืองหรือมีบทบาททางการเมือง ในตอนนี้ก็คือปัญหาการเมืองล้วนๆ เพราะฉะนั้นผมไม่เห็นเลยว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร ส่วนว่ากระบวนการในการเข้ามาเกี่ยวข้องผมจึงเห็นด้วยกับกลุ่มนิติราษฎร์ที่ว่า อย่างน้อยที่สุดต้องมีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะผมโดนคดีหมิ่นฯ แล้วจะหาทางให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่ เพราะมันไม่มีผลย้อนหลัง แต่เราพูดถึงคนในอนาคตที่เขาจะลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้

อย่าลืมนะครับว่าสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป รุ่นคุณจอม, รุ่นผม เราก็เรียกพระเจ้าอยู่หัวว่าเป็นเหมือนกับบิดาแห่งชาติ เป็นพ่อแห่งชาติ วันที่ ๕ ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาก็เป็นวันพ่อ คนรุ่นลูกของคุณจอมหรือผมหรือหลานเรา โดยอายุแล้วก็มีฐานะถ้าจะนับไปแล้วเป็นหลานหรือเป็นเหลนแล้ว มันมีความห่างโดยธรรมชาติในอายุ ยิ่งจำเป็นจะต้องสร้างความเกี่ยวพันเกี่ยวข้องระหว่างสถาบันกับประชาชนมากขึ้น พูดในเชิงถ้าใช้ศัพท์การตลาดก็ต้อง rebranding จะต้องทำให้สิ่งที่เขารับรู้รับทราบมันเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันเขา

ปัญหาของสถาบันหรือปัญหาเรื่องสถาบันไม่ใช่เรื่องความดีหรือความไม่ดี ปัญหาที่ควรห่วงก็คือ ในอนาคตยังมีความเกี่ยวพันกับชีวิตของคนแต่ละคนอยู่หรือเปล่า ชีวิตแต่ละวันของเขายังเกี่ยวข้องกับสถาบันอยู่ไหม ถ้าหากเขารู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้องวันหนึ่งมันก็จะหมางเมินห่างกันไปเอง โดยไม่ต้องมีใครมาทำอะไรเลย จะมีกฎหมายป้องกันกี่ฉบับก็ป้องกันไม่ได้ ถ้าสายใยนั้นมันไม่มีเชื่อมโยง ผมกำลังพูดถึงสิ่งนี้

จอม ครับ เพราะฉะนั้นการที่จะสร้างให้สายใยเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันตลอดไปก็จะต้องเริ่มจากอะไร

จักรภพ ผมคงจะไปเสนออย่างนั้นไม่ได้ เป็นเพียงว่าพูดว่าถ้าหากบุคคลในสถาบันท่านมีความประสงค์จะทำท่านทำได้ ผมขอพูดไว้แค่นี้แล้วกันครับ...

(ต่อฉบับหน้า)
************************************************************************************
ข่าวสั้นผ่านมือถือ ข่าวการเมือง, คนเสื้อแดง, นิติราษฎร์, พรรคเพื่อไทย, กิจกรรมเพื่อปชต. ฯลฯ สมัคร เข้าเมนูเขียนข้อความ พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คอลัมน์ เขียนถึงคนรัก โดย จักรภพ เพ็ญแข



คอลัมน์ เขียนถึงคนรัก
นิตยสาร Red Power ฉบับที่ ๒๕
เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๕

มวลชนที่รัก

ผมได้รับคำชวนเชิญจาก Red Power ให้เขียนข้อความลงในหน้ากระดาษของท่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว ถึงผมจะเป็นผู้อ่านระดับเหนียวแน่นของนิตยสารแห่งการต่อสู้ฉบับนี้มาตลอดทั้งในชื่อนี้และชื่ออื่นๆ ผมก็ยังเฉยอยู่ เหตุที่เฉยก็มิใช่อวดดีหยิ่งยโส หรือคิดว่าตัววิเศษวิโสไม่เหมือนใคร แต่เป็นเพราะผมกำลังเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมืองไทยอย่างพินิจพิจารณา ชั่วเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาบวกกับอีกไม่กี่ปีจากนี้ไป เมืองไทยได้ปรับตัวมามากและกำลังเปลี่ยนแปลงจนถึงรากถึงโคนในทางการเมือง ทั้งนี้เพราะสายสัมพันธ์ระหว่าง “เจ้าของบ้าน” กับ “ผู้อาศัย” ได้ถูกกระทบกระแทกจากสถานการณ์การเมืองจนแลเห็นพระไตรลักษณ์ นั่นคือความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป มาปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงเกิดแรงเหวี่ยงเป็นวงๆ ไปโดยรอบ เหมือนโยนหินก้อนใหญ่ลงในบ่อน้ำนิ่งจนเกิดระลอกคลื่น เราทุกชีวิตในหมู่มวลชนต่างได้รับผลกระทบจากระลอกคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ทั้งนั้น แม้คนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ปฏิเสธที่จะมีทัศนะทางการเมืองใดๆ หรือพวกค้าสงครามที่ได้รับผลประโยชน์เต็มฟายมือจากความขัดแย้งในทางการเมืองแห่งพุทธศักราชนี้ ล้วนได้รับผลกระทบจนชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไป มวลชนผู้มีสำนึกรับผิดชอบและติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างคนรู้ทันเสียอีก จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดีกว่าคนที่ไหลตามน้ำอย่างเห็นแก่ตัว

เมื่อถึงคราวเขียน ผมจึงขอเขียนความในใจมาในรูปจดหมายเปิดผนึกต่อมวลชนที่ผมรักและเคารพ ซึ่งก็จะได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองและอื่นๆ ตามควร โดยอาศัย Red Power เป็นพาหนะ เมื่อเป็นจดหมายและใช้ชื่อจริง ผมก็ต้องขอออกตัวล่วงหน้ากับทุกท่านว่าผมคงเขียนไม่ได้ตามใจทุกอย่าง เรื่องหยิกเล็บเจ็บเนื้อยังคงมีความสำคัญและจำเป็นต้องข่มเอาไว้ในใจเพื่ออนาคตของขบวนการบ้าง แต่ทุกอย่างที่ตัดสินใจเขียนนั้นจะเป็นของจริงทั้งความคิดเห็นและข้อเท็จจริง ผมตระหนักดีว่าอนาคตของชาติและของทุกชีวิตรวมทั้งของตัวผมเองขึ้นอยู่กับมวลชน ถึงจะมีนายหน้าการเมืองแทรกเข้ามาทุกยุคสมัย   ทั้งนายหน้าผู้ใหญ่โตไปจนถึงคนระดับไส้ติ่งของนายหน้า แต่มวลชนจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเสมอ

จดหมายนี้เป็นฉบับแรก ผมขอใช้เวลาอธิบายความเกี่ยวกับตัวผมเองสักครั้ง เพื่อตอบคำถามหลายคนว่าผมหายไปไหน ทำอะไร มีความสุขทุกข์เป็นประการใด และกำหนดแนวทางในการต่อสู้ไว้อย่างไร ซึ่งล้วนเป็นคำถามของคนที่รักกันและมีความจริงใจต่ออนาคตของบ้านเมืองทั้งสิ้น ฉบับต่อๆ ไปคงจะไม่มีลักษณะพร่ำพรรณนาเรื่องของตัวเองให้ท่านรู้สึกรำคาญ แต่คงจะแทรกอยู่กับบทวิเคราะห์วิจารณ์ต่างๆ ไปตามเพลง

นับถึงวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ผมออกจากประเทศไทยมาครบสามปีแล้ว เหตุที่ออกมาก็เพราะมีสถานการณ์รุนแรงที่เราเรียกว่า “สงกรานต์เลือด” เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่มีวีรชนของเราล้มตายไปอย่างเงียบเชียบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในบริเวณรอบๆ สามเหลี่ยมดินแดง และไม่มีใครไว้อาลัยหรือคิดชดเชยอะไรให้จนกระทั่งบัดนี้ แต่ถึงจะบาดเจ็บล้มตายกันมาก การลี้ภัยในขณะนั้นดูจะไม่มีเหตุผลเท่าที่ควร แม้แกนนำที่เป็นเพื่อนกันอย่าง “คุณจตุพร พรหมพันธุ์” ซึ่งบัดนี้กลายเป็นรัฐมนตรีโดยไม่ต้องอาศัยพระบรมราชโองการ ก็ยังออกปากผ่านสื่อมาอย่างไม่เข้าใจว่า “จักรภพหนีทำไม” เหตุที่ผมตัดสินใจเช่นนั้นก็ชัดเจน เพราะการจัดตั้งกำลังของรัฐเมื่อคราวสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๕๒ รวมทั้งกำลังเสริมอย่าง “เสื้อสีน้ำเงิน” เป็นไปเพื่อการบดขยี้มวลชนประชาธิปไตยอย่างนองเลือดทั้งสิ้น หากแกนนำ นปก. ในขณะนั้นไม่ประกาศสลายการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล การฆาตกรรมหมู่ ณ ใจกลางเมืองคงจะเกิดขึ้นที่นั่นก่อนคราวราชประสงค์ ถามต่อว่า เพราะกลัวการนองเลือดที่ว่านี้หรือจึงตัดสินใจเดินทางออกไป ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่ เหตุที่ออกไปเพราะได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า โอกาสในการรอมชอมตามวิถีประชาธิปไตยกับผู้ที่สั่งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ มาฆ่าเราอย่างเป็นระบบนั้น ได้หมดสิ้นไปแล้ว หากผู้ที่ออกคำสั่งมีความเป็นประชาธิปไตยเจือปนอยู่บ้าง เขาคงจะได้สติจากการต่อสู้ของมวลชนด้วยหัวใจตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมา และน่าจะตื่นจากหลับด้วยผลการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๐ แต่เมื่อได้เห็นการจัดตั้งกองกำลังฆ่าคนในคราวนั้น ผมก็รู้โดยประจักษ์แจ้งว่าเราต้องไปจัดตั้งแนวทางการต่อสู้ที่อยู่นอกพื้นที่อำนาจของเขา นี่คือเหตุผลที่ผมต้องวิจารณ์การกระทำต่างๆ ของพวกเราเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ หรือการเชิญฝ่ายตรงข้ามขึ้นเวทีเพื่อแสดงอะไรก็ตาม ทุกๆ ครั้งที่วิจารณ์ออกไปก็ดูเหมือนจะขัดใจแกนนำที่เป็นพรรคพวกกันทุกครั้ง จนต้องยกทีมออกมาโต้ตอบกันแรงๆ มวลชนบางส่วนก็พลอยไม่เข้าใจผม บางท่านก็ตัดพ้อต่อว่า บางท่านก็แสดงความผิดหวังหรือเสียใจที่เห็นเราทะเลาะกันเอง ความรู้สึกเช่นนี้เกิดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่ผมอยากให้มวลชนทุกท่านทราบเถิดครับ คนที่ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยหัวใจจริงโดยไม่มีผลประโยชน์อื่นๆ เคลือบแฝง ไม่มีวันที่จะทะเลาะกันจริงหรอกครับ เรายังร่วมงานกันได้ในทุกเวลานาที อย่างที่เราเรียกกันติดปากว่า “พบกันเมื่อชาติต้องการ” คนที่ผมจะทะเลาะด้วยจริงและรู้สึกรังเกียจคือเหลือบทางการเมืองที่อาศัยมวลชนมาเป็นพรมเช็ดเท้าของตัวเอง เพื่อก้าวเข้าไปสู่ห้องอันสวยงามอัครฐาน ขณะเดียวกันก็กดหัวมวลชนเพื่อไม่ให้เติบโตทางความคิด อยากให้มวลชนอยู่ในสภาพเด็กที่ว่านอนสอนง่ายและตามใจคนสั่ง ซึ่งเป็นเจตนาที่ไม่ต่างอะไรจากฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ที่มวลชนถือเป็นคู่ต่อสู้เลย พวกที่น่ารังเกียจนอกจากนี้ คือพวกที่เล่นเกมการเมืองจนถึงขั้น “ฆ่า” คนในขบวนการเดียวกันเพื่อรักษาความเป็นนายหน้าค้าประชาธิปไตยแต่เพียงผู้เดียวของตนเองเอาไว้ คนจำพวกนี้ต่างหากที่ผมขออยู่ห่าง ไม่ขอร่วมสังฆกรรมใดๆ ด้วย หากคนเหล่านี้ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผมก็จะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องต่อสู้ให้หมดสิ้นไปด้วย รวมความแล้ว การลี้ภัยในวันนั้นเกิดขึ้นเพราะผมตัดสินใจลุกขึ้นสู้อย่างเป็นระบบและหวังผลระยะยาวโดยร่วมมือกับมวลชนในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องจนบัดนี้ บางเรื่องก็ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน จึงไม่ควรที่จะนำมาเล่าขานกัน
แต่ประสบการณ์สามปีของผมสอนผมว่า ปัญหาใหญ่มิได้อยู่ที่ฝ่ายตรงข้าม แต่อยู่ที่เซลล์มะเร็งในเนื้อตัวของขบวนประชาธิปไตยเอง ผมพยายามปฏิบัติภารกิจตามความตั้งใจมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงหลักปักฐาน แต่แล้วผมก็รู้รสของ “พวกเรา” ที่มิใช่พวกเรา แทรกตัวเข้ามาเป็นผู้นำหรือผู้สนับสนุนที่มิได้มีแนวทางเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองตามอุดมการณ์เลย คนเหล่านี้ใช้ศิลปะในทางการเมืองที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป เนื่องจากเขามีคุณธรรมที่ต่ำกว่า ขับเคลื่อนมวลชนแบบเข้าเกียร์ว่างหรือถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อยๆ แทนที่จะถนอมและประคองขบวนประชาธิปไตยให้เดินหน้าไปตามธรรมชาติ และนำการจัดตั้งตามอุดมการณ์และมีระบบที่ดีเข้ามาเสริม ผมถามตัวเองหลายครั้งว่าคนเหล่านี้เขาต้องการอะไร เหตุใดจึงไม่ต้องการประชาธิปไตยอันแท้จริงเหมือนพวกเรา สุดท้ายผมต้องตอบตัวเองว่า เขายังต้องการประชาธิปไตยแบบที่เขาควบคุมได้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มวลชนเข้ามาควบคุมและชี้นำเขา เขาเพียงต้องการให้กลุ่มพวกของตัวเองเข้ามาแทนกลุ่มเก่าที่เป็นเหลือบเบียดบังบ้านเมืองมาเนิ่นนาน โดยไม่ต้องการระบบการเมืองใหม่ใดๆ พูดง่ายๆ คือการ “ปฏิวัติ” ของคนเหล่านี้ คือการอาศัยกำลังมวลชนมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากกลุ่มเก่ามาใส่มือของตนเท่านั้น เขาจึงต้องเข้ามาควบคุมขบวนพัฒนาประชาธิปไตยเพื่อให้เคลื่อนไหวไปในทางที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของเขาเสียตั้งแต่ต้น ผลคือการต่อสู้ของมวลชนหันเหออกจากแนวทางอันเหมาะสม จังหวะแห่งชัยชนะกลับล่าถอย จังหวะที่ต้องต่อสู้เพื่อมวลชนกลับรอมชอม และจังหวะที่ได้ครอบครองอำนาจรัฐก็กลับยกประโยชน์ให้จำเลย ทำให้มวลชนจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า “ตาสว่าง” รู้สึกอึดอัดขัดใจขึ้นเป็นลำดับ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังเดินไปทางไหนกัน สู่อิสรภาพหรือกลับเข้าคอกวัวคอกควาย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยรอบนี้แตกต่างจากประวัติศาสตร์มีหลายประการ โดยเฉพาะสองเรื่องหลักที่นักปฏิวัติตั้งแต่ ร.ศ.๑๓๐ เรื่อยมาได้แต่ฝัน นั่นคือ เทคโนโลยีการสื่อสารที่มอบอิสรภาพตามธรรมชาติกลับสู่คนแต่ละคนมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ไม่กลัวเทคโนโลยีและวิ่งเข้าใส่ และการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับสากลหรือระดับโลก ที่ทำให้การต่อสู้ในประเทศไทยไม่โดดเดี่ยว ผมขอตราไว้ตรงนี้ในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายประชาชน

การเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารที่ทำให้ความเป็น “สื่อมวลชน” หรือ “mass media” ลดลงมาเป็น “การสื่อสารส่วนบุคคล” หรือ “personalized media” มากขึ้น ผู้คนสามารถใช้เครื่องมือเล็กๆ ในมือของตัวเองในการรับและส่งข้อมูลที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของเขาได้เกือบตลอดเวลา ได้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงอานุภาพของฝ่ายประชาธิปไตยไปโดยอัตโนมัติ วันนี้คนถวิลหา I-Phone, I-Pad, tablet และวันที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ก็จะมีอีกหลายชื่อจนจำกันไม่หวาดไหว ก็เพราะในส่วนลึกของจิตใจแล้ว คนแต่ละคนกระหายโอกาสที่จะหลุดพ้นออกไปจากกรอบที่คนอื่นขีดให้ใช้ชีวิต และเครื่องมือเหล่านี้กลายเป็นพาหนะชนิดใหม่ในการเดินทางสู่อิสรภาพที่ว่านั้น ผมระลึกถึงด้วยความชื่นใจว่า การกดขี่ทางการเมืองในเมืองไทยได้ช่วยให้คนไทยวิ่งเข้าหาเทคโนโลยีมากขึ้น กี่คนล่ะครับที่ไม่กี่ปีก่อนยังไม่กล้าแตะคอมพิวเตอร์ แต่บัดนี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญย่อมๆ ขึ้นมาแล้ว เข้าใจหมดทั้งโปรแกรมพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ใหม่ๆ เพราะความกระหายที่จะได้รับและส่งข้อมูลอย่างนักประชาธิปไตยนั่นเองที่เป็นเหตุ เว็บไซต์ที่มีมากมายเหลือคณานับ โปรแกรมพูดคุยต่างๆ และกิจกรรมอีกมากหลายในโลกไซเบอร์ ได้ กลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงทางสังคมขั้นวิเศษอย่างชนิดที่เครื่องมือเก่าๆ ต้องยอมศิโรราบ คนที่ส่งนวัตกรรมเหล่านี้มาสู่โลก เขาก็ทำเพื่อการค้าและผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของเขาเองก็จริง แต่ขณะนี้ผลข้างเคียงของการนี้ทำให้โลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ระบบการเมืองก็กำลังเปลี่ยนตาม เพราะตระหนักกันแล้วไม่มากก็น้อยว่า ไม่มีระบบการเมืองใดๆ อีกแล้วที่สามารถรับมือกับพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาถึงขนาดนี้ได้ ยกเว้นระบอบและระบบประชาธิปไตย หลายประเทศที่หมกมุ่นกับการ “ควบคุม” คือตรงข้ามกับการ “ปลดปล่อย” ซึ่งรวมถึงผู้มีอำนาจในเมืองไทยด้วย ก็เป็นการงัดข้อที่คนทั้งโลกกำลังจับตามองว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าจะประสบความล้มเหลว คนฉลาด (แกมโกง) เพียงไม่กี่คนในระบบรัฐแบบโบราณ จะมาสู้พลังมวลชนขนาดโลกทั้งโลกได้อย่างไร ต่อให้บางส่วนโง่เขลามืดทึบบ้าง เห็นแก่ตัวอย่างหนักชนิดเป็นภัยต่อโลกบ้าง หรือเป็นเผด็จการลึกอยู่ในขั้วหัวใจบ้าง จำนวนคนที่มีความสามารถโต้กลับย่อมมีมากกว่า และรวมถึงคุณภาพโดยรวมที่ย่อมจะสูงกว่าด้วย เทคโนโลยียุคนี้จึงเป็นธรรมชาติการต่อสู้ของมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและมีฐานคิดที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้หล่นจากสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหนเลย แท้ที่จริงแล้ว อินเตอร์เน็ตคือความกระหายอย่างถึงแก่นของสัตว์สังคมที่จะสื่อสารกันด้วยเสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมเท่านั้นเอง นับเป็นของขวัญของฝ่ายประชาธิปไตยโดยแท้

ไม่เฉพาะกัมพูชาเท่านั้น ที่ออกโรงสนับสนุนฝ่ายประชาชนของไทยอย่างเต็มอัตราศึก ชาติอื่นๆ ในย่านสุวรรณภูมิและอาเซียนส่วนใหญ่ล้วนมีบทบาทในทางบวกต่อเราทั้งสิ้น ต่างเพียงว่าบางประเทศท่านไม่ประสงค์จะออกนามเท่านั้นเอง วันหนึ่งผมคงมีโอกาสเล่าให้ท่านฟังว่าใครช่วยเหลืออะไรเราอย่างไรบ้างในรายละเอียด ต้องขอโทษท่านว่าวันนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเล่าได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อใคร ณ จุดนี้เองที่ผมก็เห็นอัศจรรย์ ประเทศเหล่านี้มีลักษณะพึ่งพา (inter-dependent) ไทยในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เท่าๆ กับที่เราก็พึ่งพาเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเราค่อยๆ ลดจากการพึ่งพิงหรือ dependent ลงโดยลำดับ ซึ่งทำให้เราคบกันอย่างคนที่มีวุฒิภาวะสูงขึ้น ไม่ต้องหน้าเนื้อใจเสือหรือมีลักษณะปลิ้นปล้อนตลบแตลงระหว่างกันเหมือนอดีต ผลจากความเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ผมพบเห็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ผมเคยคิดว่าผู้มีอำนาจไทยที่ไม่ใช่พวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยเขาสามารถสนองตอบผลประโยชน์เหล่านี้ได้ดีกว่าเรา เพราะเขาปกครองมาเนิ่นนาน รู้วิธีกดปุ่มระดมทุนและทรัพยากรทุกชนิดได้ดีกว่าพวกมือใหม่หัดขับอย่างเรามากนัก เหล่าเพื่อนบ้านน่าจะถูกดึงดูดให้ไปคบกับเขามากกว่าเรา  แต่การณ์กลับปรากฏว่า เขาเสนอตัวคบกับเรา โดยเหตุผลอันเรียบง่ายและเข้าใจได้ทันทีว่า ฝ่ายผู้กุมอำนาจเดิมของไทยเป็นต้นเหตุของความคิดหวาดระแวงในภูมิภาค การทรยศหักหลัง และความคิดที่นำมาสู่การดูถูกดูแคลนเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด เขารู้รสเหล่านี้มานานปี จนตัดสินใจชัดเจนแล้วว่าฝ่ายประชาชนด้วยกันเท่านั้นที่จะคบค้าสมาคมกันได้โดยสนิทใจและบังเกิดผลดีในระยะยาว มีหลายตัวอย่างและหลายเหตุการณ์ที่ไม่ควรเล่าในวันนี้ ที่ยืนยันถึงแนวโน้มแห่งความเปลี่ยนแปลงในระดับโลกและระดับภูมิภาคที่ทำให้ฝ่ายอำนาจเดิมของไทยอยู่ในฐานะตั้งรับและเสียเปรียบ ถึงเราไม่ควรตั้งตนอยู่ในความประมาทเลยก็ตาม เราจะรู้สึกชื่นใจบ้างก็คงไม่ผิดอะไร

พี่น้องมวลชนที่รักครับ ผมจะเขียนจดหมายมาหาท่านเรื่อยๆ บางครั้งก็เล่าแนวคิดทางการเมืองบ้าง บางครั้งก็อาจเล่าเรื่องที่เป็นข้อมูลความรู้อื่นๆ บ้าง เพื่อให้รู้ว่าเรามีกันและกันเสมอไป

ฉบับแรกแปลกตรงไหนใครว่าแปลก
ก็เพียงเริ่มวันแรกเราสื่อสาร
ถึงเว้นว่างห่างเหินมาเนิ่นนาน
อุดมการณ์เดียวกันก็ทันที

คิดถึงกันอยู่เสมอเพราะเกลอเก่า
ครอบครัวเราก็ยังรักในศักดิ์ศรี
วีรชนยังอยู่ท่านรู้ดี
ถนนยาวสายนี้ว่าใครจริง

เขียนจดหมายมาเพราะตัวมาไม่ได้
เพราะเมืองไทยในวันนี้ผียังสิง
หากช่วยล้างสร้างน้ำมนต์บนความจริง
สาดจากหิ้งพระเก่าก็เบาใจ

ใครเล่าท่านมันจะไม่คิดถึงบ้าน
แต่เรื่องงานบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่
เพียงรู้ว่ามวลชนยังมีใจ
ก็สู้ไหวเพราะใจยอมพร้อมพลีตน...

ด้วยรักและเคารพ
จักรภพ เพ็ญแข

----------------------------------------------------------------------------------
ข่าวสั้นผ่านมือถือ ข่าวการเมือง, คนเสื้อแดง, นิติราษฎร์, พรรคเพื่อไทย, กิจกรรมเพื่อปชต. ฯลฯ สมัคร เข้าเมนูเขียนข้อความ พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน