ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สนามเล็กในระบอบใหญ่ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : สนามเล็กในระบอบใหญ่
โดย : กาหลิบ

วันนี้จำต้องสะท้อนถึงผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานคร (ส.ข.) ซึ่งเป็นชัยชนะทางตัวเลขอย่างขาดลอยของพรรคประชาธิปัตย์ ใครจะว่าซ้ำเติมกันอย่างไรก็ว่าเถิด

ขบวนประชาธิปไตยมาถึงขนาดนี้แล้ว พูดความจริงกันไม่ได้ ก็ควรไปเปิดกรวยอำนวยพรและกราบเท้ากันต่อไปให้มันเพลิดเพลินเจริญใจ อย่ามาเกะกะอยู่บนถนนสายปฏิวัติกับเขาเลย

ผลการเลือกตั้ง ส.ก. และ ส.ข. ครั้งนี้บอกอะไรกับเราบ้าง?

ผู้ที่กำลังหลงใหลใฝ่ฝันถึงการเลือกตั้ง กระหายใคร่เลือกตั้งใหญ่โดยเร็วที่สุด โปรดนำผลนี้มาพิจารณาสักหน่อย

บางคนกำลังฝันหวานว่าจะได้เลือกตั้งกันเร็วๆ นี้แล้ว ไม่กุมภาพันธ์ปีหน้าก็เร็วกว่านั้น วันนี้จึงจำเป็นต้องระดมทุนมาฟื้นฐานเสียงและวางยุทธวิธีกันแต่เนิ่นๆ ในระยะตกเขียวของคนที่ไม่มีอาชีพอย่างอื่นรองรับ ไม่น่าแปลกใจที่มีข่าว “แพ็คเกจคู่ ๘๐ ล้าน” หรืออะไรออกมาให้วุ่นวายไปหมด

บางคนกำลังหวังว่า เขาคงเจรจารวมไปถึงคดีความที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมด ว่ากันตั้งแต่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมาเลยทีเดียว นิรโทษกรรมเสียให้เกลี้ยงถาดแล้วกลับสู่สนามเลือกตั้งกันให้หมด เรื่องนี้คนที่พลัดบ้านพลัดเมืองมาบางคนก็ยังร่วมฝันหวานกับเขาไปด้วย

ต่างคนก็ต่างฝันกันไป จนมามองผลการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งเป็นการเลือกตั้งสนามเล็ก

ผู้คร่ำหวอดบางท่านเอะอะขึ้นว่า ประชาธิปัตย์เขาครองสนามนี้มาแต่ไหนแต่ไร ใช้เป็นมาตรวัดสนามใหญ่ไม่ได้หรอก พ่ายแพ้ในสนามนี้ไม่ได้แปลว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะไร้สิ้นทางสู้ในสนามใหญ่
ก็อาจจะจริง แต่ท่านลืมไปหรือเปล่าว่าสิ่งสำคัญกว่าความนิยมหรือเจตนารมณ์ของมวลชนที่รักท่านอยากเชียร์ท่านใจจะขาดนั้น คืออำนาจรัฐที่ฝ่ายเขาใช้ควบคุมและครอบงำกระบวนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นอีกต่อหนึ่ง

มีคนติงว่า เราเคยชนะอย่างสง่างามมาแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ท่ามกลางฝูงเผด็จการทั้งใน คมช. และรัฐบาล คราวนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยไม่ได้หรืออย่างไร ยิ่งมวลชนแดงกันทั้งประเทศอย่างไม่ยอมโรยราก็ยิ่งเป็นคะแนนสะสมที่หนักแน่นยิ่งกว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ใช่หรือ

คำตอบก็คือ คราวนั้นเขาเผลอไผล เชื่อมั่นในอำนาจควบคุมของกองทัพมากจนเกินไป บวกกับความไร้ประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อของรัฐบาลสุรยุทธ์ ความศรัทธาของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่เปี่ยมล้นจึงได้รับการสะท้อนออกมาผ่านการเลือกตั้ง แล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายเขาคนนั้นก็ต้องปลุกผีพันธมิตรฯ สั่งผู้พิพากษาฝ่ายเขา และระดมพวกทหารมองการณ์สั้นในกองทัพมาทำลายรัฐบาลของผู้ชนะลงถึงสองชุด

แต่คราวนี้ เขาใช้พลแม่นปืนหรือสไนเปอร์กับประชาชนผู้ไร้อาวุธและเรียกร้องเพียงการยุบสภาจนล้มตายกันเป็นร้อยๆ ทั้งที่เป็นทางการและตามความจริงแล้ว เขาจะไม่เรียนรู้ความผิดพลาดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ และหาทางกลบเกลื่อนความชั่วร้ายเลวทรามของตัวเองเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีนี้ คงเป็นไปไม่ได้แน่

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็สั่งให้การเลือกตั้งเป็นทุ่งสังหารแห่งใหม่

ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายเราที่มีทางชนะ จะถูกทำลาย ทำร้าย และทำให้แพ้ไปได้ อาจสูญเสียแม้กระทั่งชีวิต

สุดท้ายก็จะโกงที่ผลการเลือกตั้งนั้นเอง จนฝ่ายประชาธิปไตยแพ้ หรือไม่ชนะอย่างหนักแน่นพอจะถ่วงดุลกับอำนาจอันล้นพ้นของเขาได้

เมื่อคำว่า ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย แม้กระทั่งคำว่า ทักษิณ เริ่มเลือนราง ก็สั่งการให้ยึดอำนาจรัฐประหารรอบใหม่

ล้างไพ่ยังไม่พอ คราวนี้ให้ล้างโต๊ะที่นั่งเล่นไพ่นั้นด้วย

เลือกตั้งให้ตายในระบอบเขา ก็ได้แค่ตายครับ.

-------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ใครคุมคณะสงฆ์? โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ใครคุมคณะสงฆ์?
โดย : กาหลิบ

ทราบข่าวที่เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามฯ ท่านไม่ยอมให้คนเสื้อแดงเข้าไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับวีรชนผู้เสียชีวิตในบริเวณราชประสงค์แล้วก็เศร้าใจ

เศร้าใจแทนชาวประชาธิปไตย

เศร้าใจแทนวีรชนผู้กล้าเพื่อประชาธิปไตย

และเศร้าใจแทนพระสงฆ์ไทย ผู้ทรงศีลสูงกว่าฆราวาส

ข่าวแจ้งว่าท่านเจ้าอาวาสท่านเปลี่ยนใจ ทั้งที่ผู้จัดงานเข้าไปประสานงานและจองวัดไว้ล่วงหน้าตามระเบียบทุกอย่างของทางวัด จนออกข่าวและประชาสัมพันธ์ไปอย่างกว้างขวางแล้ว สุดท้ายก็เร่งประสานและเปลี่ยนไปทำบุญที่วัดหัวลำโพงแทน ออกจะทุลักทุเลอย่างไม่ควรที่

อ่านตามหน้าข่าวแล้วก็สรุปเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากว่า ได้เกิดแรงกดดันจากภายนอกกำแพงวัดมาสู่องค์ของท่านเจ้าอาวาส ให้ทบทวนท่าทีเสียใหม่ว่าท่านจะ “เข้าข้าง” มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยและผู้ที่ถูกฆาตกรรมกลางเมืองแน่หรือ

แรงกดดันนั้นคงจะสูงพอ มีน้ำหนักพอ และรุนแรงพอที่พระสงค์ผู้ทรงสมณศักดิ์ระดับนี้ได้รับแล้วถึงกับต้องเปลี่ยนใจกลางคัน

ลำพังรัฐบาลน่ะหรือจะไปสั่งการหรือกดดันอะไรกับท่านได้

ความจริงเรื่องเท่านี้ไม่กระทบผิวพวกเราชาวประชาธิปไตยอยู่แล้ว ผู้ร่วมจัดงานแต่ละคนเก่งพอที่จะรับแรงกดดันและวิชามารเยี่ยงนี้ได้สบาย

แต่กรณีไม่ให้สาธุชนเข้าวัดของพระพุทธเจ้าเที่ยวนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่ชี้เลยทีเดียวว่า ผู้เผด็จการตัวหลักของไทยเขาเข้าเขมือบและครอบงำสังคมทุกตารางนิ้ว รวมทั้งสังฆมณฑลของไทยอย่างไร พูดง่ายกว่านั้นคือ ทำให้เราเห็นได้ทีเดียวว่าพระสงฆ์องค์เจ้าถูกเหลือบระดับชาติรายเดียวกันนี้ดูดกินเลือดเนื้ออย่างไร ไม่เฉพาะกับพวกเราที่เป็นคฤหัสถ์หรอก

พระศรีปริยัติโมลี หรือ ท่าน ดร.สมชัย กุศลจิตโต แห่งมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ได้ผลิตงานที่ยอดเยี่ยมทางวิชาการในประเด็นนี้ออกมาหลายเล่ม เรียกว่าประเด็นการปกครองคณะสงฆ์ ใครเปิดอ่านอย่างตั้งใจจะพบว่า รัฐอันสามานย์ของไทยโบราณ โดยเฉพาะในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ได้ปล้นเอาอำนาจพุทธคุณอันบริสุทธิ์ที่ใช้ผ่านสาวกผู้ทรงศีลขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอย่างไร


นอกจากจะออกกฎหมายที่อ้างอำนาจสูงสุดมาบังคับผู้ที่มีศีลสูงกว่า ยังใช้ความเลวร้ายที่ไม่ผิดอะไรกับโจรมาทำร้ายพระศาสนาและพระสาวกอย่างต่อเนื่องอีกนับครั้งไม่ถ้วน

สมเด็จพระสังฆราชบางพระองค์เคยถูกฆาตกรรมมาแล้ว โดยทำให้เป็นอุบัติเหตุอำพราง โดยออกข่าวว่ารถพระประเทียบถูกรถใหญ่ชนจนตกทาง ทำให้ถึงกับสิ้นพระชนม์

สมเด็จ รองสมเด็จ พระสงฆ์ผู้มีสมณศักดิ์รายใดที่ไม่ฝักใฝ่ในเขา แถมแสดงความเลื่อมใสศรัทธาในของ “นอกรีต” อย่างประชาธิปไตย ก็จะโดนของหนักและแรงจนแทบจะเอาองค์ไม่รอดอย่างที่เกิดกับพระพิมลธรรมแห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์จนพลาดโอกาสที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราช


ไม่รวมพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงน้อยกว่าอีกหลายพันหลายหมื่นรูปที่ถูกละเมิดสิทธิ์และละเมิดศีลของพระ ถูกจับสึกและเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากองค์ ทั้งที่ท่านไม่เคยเปล่งวาจาขอลาสิกขาเลย


ไม่ต้องอื่นไกล ภาพที่เปลื้องผ้าเหลืองพระและบังคับสึกที่ราชประสงค์ก็ยังคงสะเทือนสะท้านอยู่ในใจของหลายคน เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

หน้าไหนในเมืองไทยเล่าครับที่มันทำร้ายพระทำร้ายเจ้าได้ลงคอขนาดนี้?

หน้าไหนในเมืองไทยเล่าครับที่มันมีอำนาจตามกฎหมายและจารีตถึงขนาดนี้?

ก็หน้าเดียวกับที่ประกาศตัวเองว่าลุโสดาบันสำเร็จอรหันต์มีคุณอันวิเศษ จนสามารถสั่งรัฐบาลให้ยิงหัวคนไทยผู้ไร้อาวุธได้กลางถนน เพื่อเอาตัวและครอบครัวรอดนั่นไง.

--------------------------------------------------------------------------------

ข่าวSMSของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เข้าใจเพื่อน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : เข้าใจเพื่อน
โดย : กาหลิบ

ถามกันมากว่า เบื้องหลังการลาออกของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร จากตำแหน่งที่ปรึกษาในกัมพูชาทั้งสองตำแหน่งคือที่ปรึกษาของราชอาณาจักรและที่ปรึกษารัฐบาลนั้น เกิดจากความขัดแย้งระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีไทยกับผู้นำกัมพูชา หรือกัมพูชาปรับเปลี่ยนนโยบายต่อฝ่ายประชาธิปไตยไทยแล้วหรืออย่างไร

สอบถามจากเพื่อนฝูงที่มีอยู่บ้าง ได้ความว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ทั้งหมดคือมารยาทของฝ่ายไทยที่เป็นห่วงภาระทางการเมืองที่ฝ่ายกัมพูชาเขาได้รับอยู่เท่านั้นเอง

ความจริงทางกัมพูชาก็ตอบกลับมาก่อนหน้านี้ว่า อย่าห่วง ความกดดันใดๆ จากฝ่ายไทยไม่ได้มีผลอะไรต่อเขาเลย

ตรงกันข้าม เมื่อเจ้าของประเทศไทยสั่งฆ่าประชาชนของตนเองอย่างโหดเหี้ยมกับสำแดงนิสัยคนพาลในกรณีปราสาทพระวิหารออกมาชัดแจ้ง ยิ่งทำให้กัมพูชาได้เพื่อนบ้านใกล้เคียงมาเป็นพวกเพิ่มอีก เพียงแต่เขาไม่แสดงออกให้กระเทือนซางกันเท่านั้น

ไม่มีความจำเป็นที่คุณทักษิณต้องลาออก

อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้แต่ขอบคุณ และสนองถ้อยคำไปว่า การสนับสนุนต่อฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งกัมพูชาแสดงออกตลอดมานั้น ก็ซาบซึ้งอยู่นักหนาแล้ว จะให้ตัวเองถ่วงน้ำหนักการทูตต่อไปโดยไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรให้เต็มที่ตามความตั้งใจนั้นก็ไม่ใช่นิสัย จึงขอตัวก่อน

ทางกัมพูชาก็เข้าใจ กราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวสีหโมนีทราบฝ่าละลองธุลีพระบาทแล้วก็หมดขั้นตอนกันไป ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลนั้นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็ได้แจ้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามระเบียบ

ความสัมพันธ์ทางใจไม่ถูกกระทบกระเทือนอะไร เพราะจะให้เปลี่ยนใจจากประชาธิปไตยไปสู่โจร ประเทศที่โผล่พ้นน้ำมาแล้วอย่างเขาคงทำไม่ได้

แต่รัฐบาลไทยก็ฉวยโอกาสนี้ส่งเอกอัครราชทูตกลับไปประจำการที่กรุงพนมเปญ หลังจากที่แอบส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมาเพิ่มเติมก่อนหน้านี้แล้วนับสิบคน ในภารกิจลับเพื่อเอาใจเจ้าของประเทศไทย


การเอาทูตใส่ถาดกลับมาเช่นนี้ มองตามตัวอักษรแล้วก็ผิดธรรมเนียม เพราะการยกระดับความสัมพันธ์จะต้องเกิดจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ไม่ใช่จากการลาออกของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ไม่เกี่ยวอะไรกับฝ่ายกัมพูชาเขา

ท่าทีละล่ำละลักอย่างนี้ส่อแสดงว่า ผู้มีอำนาจเมืองไทยในยุคนี้คงกลัวที่จะทำสงครามกับกัมพูชาเหลือเกิน

ท่าทีเก่งกาจที่แสดงออกมาตั้งแต่นายถึงพลนั้น ความจริงปากกล้าขาสั่นกันทั้งนั้น

สงครามนั้น ไม่ใช่ของดี ลดเงื่อนไขให้สงครามห่างตัวไปได้ก็เป็นเรื่องที่ควรสาธุการ แต่ปัญหาคือผู้มีอำนาจไทยเขาไม่ได้กลัวในมุมนั้น เขากลับกลัวว่าหากเกิดการปะทะด้วยกำลังขึ้นมา จะฉาวโฉ่ไปทั่วโลกว่ากรณีพิพาทครั้งนี้เกิดขึ้นจากความพาลหาเรื่องของฝ่ายไทย เพียงเพื่อสนองตอบตัณหาการเมืองภายในประเทศของคนแก่ตกโลกบางคนเท่านั้น หาสาระใดๆ ให้เขาเคารพนับถือไม่ได้เลย

รู้อย่างนี้ก็เลยรีบส่งทูตแบบอ้าขาผวาปีก ให้ได้อายกันอีกรอบหนึ่ง เรื่องนี้วงการทูตอาเซียนเขาก็หัวเราะกันคิกคักกันอยู่

ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยึดอะไรเป็นเป้าหมายใหญ่และวิถีใดเป็นถนนสายหลัก ชาวประชาธิปไตยทั่วไทยและทั่วโลกเขาก็คอยให้ท่านชี้ชัดอยู่ แต่ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาที่ได้แสดงออกมาคราวนี้ ก็ได้รับความชื่นชมจากผู้คนที่เขาจ้องมองอยู่มาก เพราะเห็นว่าท่านช่วยให้ขบวนประชาธิปไตยมั่นคงแข็งแรงขึ้น

เพราะขบวนนี้ยังต้องเดินกันอีกไกลนัก.

--------------------------------------------------------------------------------
ข่าวSMSของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เอกสังคมกับหล่มการเมือง โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : เอกสังคมกับหล่มการเมือง
โดย : กาหลิบ

ข่าวจากพวกเราที่อยู่ข้างในแจ้งว่า เขากำลังเตรียมจับกุมคุมขังพวกเราอีกนับร้อยคนในเร็ววันนี้ เนื่องจากคำนวณพลาด เข้าใจว่าการไล่ล่า สังหาร จับกุม คุมขังที่ผ่านมา จะทำลายฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่าง “พอเพียง” ที่ไหนได้ ขบวนประชาธิปไตยกลับสลับบทบาทกันได้เหมือนดาราละครสัตว์ที่โยนบ่วงกลมไปมาระหว่างกันได้โดยไม่มีตกพื้น จนต้องนั่งดูเหมือนถูกสะกดจิต ข้างบนจึงต้องโวยวายลงมาว่าทำไมไม่กำจัดกวาดล้างกันต่อ

สัญญาณลงมาแล้ว คำสั่งในระดับปฏิบัติการก็ต้องออกมาว่าตาม

ความจริงการทำตามคำสั่งนี้ แทบไม่มีผู้ปฏิบัติคนไหนที่กระทำด้วยความชื่นบาน มีแต่จะคอยหนีจากคำสั่งนั้น เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังถลำลึกลงไปทุกที ยิ่งทำตามคำสั่งยิ่งขุดหลุมฝังตัวเองลงไปเรื่อยๆ เว้นเฉพาะพวกทหารเกาะชายกระโปรงไม่กี่คนเท่านั้นที่ดูจะกระเหี้ยนกระหือรืออยู่บ้าง เพราะตกรางวัลกันเสียเต็มเหนี่ยว

ส่วนคนอื่นถอดใจหรือวิ่งหัวซุกหัวซุนไปเสียไกลแล้ว ถูกเขาใช้จนเน่าไปทั้งตัว รางวัลก็ไม่ได้เพิ่มเติม ดูชีวิตรันทดของ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ในฐานะตัวอย่างแค่หนึ่งหยิบมือ ก็จะเข้าใจได้ดี

ล่าสุดคงจะมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มาต่อแถวอีกคน แต่รายนี้ยังปั่นป่วนอยู่ ไม่รู้จะแก้ปมเอาตัวเองและภรรยาหลุดรอดออกมาได้อย่างไร จึงยังเดินไม่ถึงหลักประหาร

ข่าวที่พวกเราบอกมานั้น เมื่อฟังเผินๆ รู้สึกเป็นข่าวร้ายที่พวกเราต้องระมัดระวังตัวกันให้มาก แต่สุดท้ายกลายเป็นข่าวที่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง เพราะให้ความหมายของทฤษฎีวิวัฒนาการสังคมได้อย่างแจ่มแจ้งที่สุด

สังคมไทยขณะนี้กำลังเปลี่ยนผ่านจากเอกสังคมมาเป็นพหุสังคม

เอกสังคมคือสังคมที่มีศูนย์กลางเดียว ใครสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำสูงสุดได้ คนทั้งหลายก็เอาคนนั้นคนเดียว คนนั้นรักใคร ไว้ใจใคร ใครคนนั้นก็มีอำนาจราชศักดิ์ขึ้นมา ถ้าคนนั้นยังไม่แสดงความเลวและความชั่วร้ายออกมาจนเห็นชัด สังคมก็หลงละเมอไปได้นานว่าระบบคนเดียวปกครองนี่มันงามเลิศเหลือล้ำ ประชาธิปไตยสู้ไม่ได้ นานเข้าเลยกลายเป็นเผด็จการเต็มรูปและโบราณขึ้นเรื่อยๆ ตามทัศนะ

พหุสังคมคือสังคมที่ยอมรับความหลากหลายของกลุ่มคน ไม่บีบบังคับว่าทุกผู้ทุกคนต้องเหมือนกันหรือเดินตามกันเซื่องๆ เหมือนฝูงสัตว์ หาทางวางระบอบการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ยอมรับจนอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก อะไรที่ขัดแย้งแย่งชิงกันก็หาทางลงได้ก่อนที่สังคมจะบอบช้ำ การเลือกผู้นำก็กระทำร่วมกันทั้งสังคม ผู้นำนั้นก็ต้องถูกคานและถ่วงดุล ไม่ใหญ่อยู่คนเดียวหรือครอบครัวเดียวจนกำเริบเสิบสาน

ปัญหาคือผู้นำที่หลงระเริงมาจากระบบสังคมศูนย์กลางเดียวหรือเอกสังคม กลายเป็นรถติดหล่มที่พาทั้งประเทศชาติติดกับ เขาเชื่อมั่นว่าระบบที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา วนอยู่รอบตัวเขา และยึดเขาเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่กว่าศาสดาทั้งปวงนั้น คือระบอบที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศนี้จะมีได้ และมองต่อไปว่าคนในชาติโง่เง่าไร้ปัญญา ไม่อาจปกครองตัวเองได้ เลือกผู้นำมาก็ผิด

คนส่วนใหญ่ในประเทศยืนยันว่าผู้นำที่ผ่านมาทำถูก ชีวิตเขาดีขึ้น เขาต้องการแบบนั้นอีก ก็ยังสั่งกระทืบผู้นำของคนส่วนใหญ่โดยหวังให้แบนติดดิน และกระทำการเถื่อนนี้ต่อหน้าต่อตาผู้ที่รักใคร่ในตัวเขาเสียด้วย เพื่อแสดงอำนาจว่าใครใหญ่กว่า

ความชัดเจนจึงบังเกิดขึ้นว่า ผู้นำเอกสังคมที่ผ่านมานั้น ความจริงคือพระเอกหรือผู้ร้าย

ไม่ต้องยั่วให้เขาพูดออกมาหรอกครับ มวลชนท่านฉลาดกว่านั้น วันหนึ่งท่านจะเคลื่อนไหวลงมือทำโดยไม่ต้องพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

การไล่ล่าระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ จึงเป็นตะปูอีกตัวบนฝาโลงทอง

ฝากตอกให้แน่นๆ หน่อยครับ อย่าช้า.

--------------------------------------------------------------------------------
ข่าวSMSของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้นทุนของขบวนการ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ต้นทุนของขบวนการ
โดย : กาหลิบ

มีผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านหนึ่งเตือนสติมาว่า อย่ากระหน่ำซ้ำเติมพวกเราที่เดินพลาดมากนัก อยากให้ให้กำลังใจกันบ้าง มวลชนผู้สนับสนุนจะได้เกิดความฮึกเหิมที่จะสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง

นี่คือคำเตือนด้วยความปรารถนาดีที่ผมต้องสดับตรับฟัง

ความจริงผมเห็นแง่งามในการต่อสู้ของเราตลอดมา เพียงแต่ส่วนวิจารณ์มันอาจจะแหลมคมกว่าส่วนสนับสนุน ทำให้มองเห็นได้ชัดเท่านั้นเอง ก็ถ้าเราต่อสู้ผิดทางมาโดยตลอด ฝ่ายตรงข้ามคงกลบฝังเรามิดชิดไปเสียนานแล้ว แต่พวกเราก็ยังเดินได้ดีอยู่ เพียงแต่เดินเงียบ เดินต่ำ และเดินช้าบ้าง รอเวลาที่จะรวมพลังกันใหม่เพื่อเอาสิทธิธรรมชาติของเราคืนมาอย่างสมบูรณ์เท่านั้น

เมื่อท่านติงมาด้วยความรัก ผมขอย้อนกลับไปชี้แง่งามของฝ่ายเราอย่างไม่เกินจริง

แรกที่สุด ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะจารึกยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอย่างไร แต่เวทีสนามหลวง ทำเนียบรัฐบาล ผ่านฟ้า และราชประสงค์ ในห้วงเวลาหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ จนถึงปฏิบัติการล้อมฆ่าประชาชนในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ คือการรวมกลุ่มของมวลชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยในเมืองไทย

ยิ่งใหญ่ด้วยจำนวนและความมุ่งมั่น

ยิ่งใหญ่ด้วยความลุ่มลึกของทัศนะ

ยิ่งใหญ่ด้วยความเป็นครอบครัวเดียวกัน มาจากทั่วสารทิศแต่รักกันเหมือนพี่น้องเพื่อนฝูงที่คลานตามกันมา

ยิ่งใหญ่ด้วยเครือข่ายที่จัดตั้งอย่างสอดรับกันทั่วทั้งประเทศและทั่วโลก เสมือนชุมนุมอยู่ด้วยกันที่หน้าเวที

ยิ่งใหญ่จนมหาอำมาตย์ใหญ่และขี้ข้าม้าครอก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง คนหรือสัตว์ หวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเกิดอาการ “เผด็จการแตก” คือใช้อำนาจอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนที่สุดในชีวิต

บาปอันยาวนานของเขา จนบัดนี้มวลชนตาสว่าง เขาต้องวิ่งโฆษณาตัวเองชุลมุน ใช้ทุกสื่อ ประโคมมันทุกที่ทุกทาง โดยหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามายาอย่างที่เคยช่วยชีวิตของเขาและวงศ์วานญาติเครือจะยังคงอยู่ แต่แล้วมันก็ไม่เกิดผลอย่างเดิม

การชุมนุมจะจบลงอย่างไรไม่สำคัญ เพราะสงครามนี้มีหลายศึก แต่การจัดตั้งรวมตัวของมวลชนอย่างมืออาชีพรอบนี้เป็นต้นทุนอันล้ำค่าสำหรับการต่อสู้ในศึกต่อๆ ไป ความดีในเรื่องนี้แบ่งกันได้หมด ตั้งแต่มวลชนผู้เสียสละ องค์การนำที่อยู่เบื้องหลัง และแกนนำที่สละตัวเองไปเปิดหน้าอยู่บนเวที อย่างชนิดลืมกันไม่ได้

สูงสุดคือวีรชนผู้สละชีพเป็นพลีแด่ประชาธิปไตย

แง่งามที่สองคือการศึกษาของผู้เป็นใหญ่ในฝ่ายประชาธิปไตยเอง

ผมเชื่อว่าประสบการณ์ที่ฝ่ายประชาธิปไตยได้รับในรอบนี้ จะทำให้ความล้าหลังที่ดำรงอยู่ในวิธีคิดของฝ่ายนำบางคนมีความก้าวหน้าขึ้น อย่างน้อยก็ต้องสำนึกในความบกพร่องผิดพลาดและตั้งสติเสียใหม่

อัตตาสูงล้ำของบางคนต้องคานด้วยความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ไม่เรียน เพราะคุ้นชินกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นระวิงจนเผลอคิดว่าพลาดไม่ได้ผิดไม่เป็น

ขนาดอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ยังพูดว่าท่านผิดพลาดตรงจังหวะชีวิต ขณะที่มีอำนาจ ก็ขาดความจัดเจน พอจัดเจนมีประสบการณ์ขึ้นมาในภายหลัง ก็ไร้สิ้นซึ่งอำนาจเสียแล้ว

มหาตมะคานธีสู้กับอังกฤษอย่างอหิงสา จนได้รับเอกราช ยิ่งใหญ่ปานขุนเขาออกอย่างนั้น ท่านยอมรับเลยว่าท่านก้าวผิดเรื่องฮินดูกับมุสลิม และประกาศไม่ยอมรับตำแหน่งแห่งหนใดๆ จนกว่าท่านจะแก้ไขปัญหาโลกแตกนี้ได้

เหมือนผู้นำอีกหลายคนที่พุ่งทะลุอัตตาของตัวเองกล่าวยอมรับผิดกับประชาชนและขอโอกาสในการเดินใหม่ด้วยทัศนะที่ถูกต้อง

ความผิดพลาดเป็นคุณอันอเนกอนันต์ หากนอบน้อมพอที่จะเรียนรู้

สองข้อนี่ล่ะครับ คือต้นทุนที่เราทั้งหลายในฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินได้อย่างมั่นคง ในห้วงเวลาจากนี้ไป.

--------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฝันเปียก โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ฝันเปียก
โดย : กาหลิบ

พรรคพวกเราเข้าไปเยี่ยมให้กำลังใจกันที่พรรคเพื่อไทยไม่กี่วันมานี้ เขาเล่าว่าท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้ที่หวังจะได้เป็นทั้งหลายต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะได้ลงเลือกตั้งกันทั้งนั้น ขนาดใครทักถามเบาๆ ว่าเลือกแล้วจะได้ประชาธิปไตยคืนมาหรือ ก็ถึงกับตวาดว่าอย่างไรก็จะต้องมีเลือกตั้งและฉันจะลงเลือกตั้งอย่างแน่นอนร้อยพันเปอร์เซ็นต์

มวลชนผู้ได้รับบทเรียนจากมายาของระบอบเผด็จการโบราณมาจนอิ่ม ก็ทำตาปริบๆ ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่โง่

ทั้งนี้ก็มิใช่ว่าผู้คนอยากเลือกตั้งนั้นโง่ เราเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็ย่อมอยากได้ชัยชนะในวิถีทางอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะเป็นปลาที่ยังว่ายอยู่ในน้ำ

คนเข้าพรรคการเมืองก็ย่อมอยากลงสมัครรับเลือกตั้ง

คนสมัครรับเลือกตั้งย่อมวาดหวังจะได้รับเลือกตั้งจากประชาชน

พรรคที่ลงเลือกตั้งก็วาดหวังได้เสียงข้างมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลได้

เพราะคนการเมืองอยากได้อำนาจรัฐมาชี้นำบ้านเมืองตามที่ตนเห็นควร

เรื่องเหล่านี้เป็นศีลหรือความปกติของระบอบประชาธิปไตย ไม่ผิดอะไรที่ไหนเลย

แต่ที่เรานั่งท้วงติงจนถึงขั้นฉุดกระชากลากขากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะการวิเคราะห์สถานการณ์ยังมีปัญหาอยู่มากในหมู่คนการเมือง คนที่ไม่เข้าใจเลยนั้นมีบ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่คือคนที่เข้าใจซาบซึ้งดีว่าอะไรมันส่งคำสาปมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลาจากเบื้องหลัง แต่กลับเลือกที่จะรับมือกับปัญหาต่างกัน

บางคนทำแกล้งโง่ ข้าก็จะทำเป็นสู้กับประชาธิปัตย์ เนวิน ชิดชอบ และอนุทิน ชาญวีรกูล โดยไม่แสดงให้โลกภายนอกรู้ว่าข้ารู้ว่าสู้อยู่กับใคร เพื่อจะได้ไม่ถูกอำนาจลึกลับเล่นงาน

บางคนทำแกล้งโง่ คิดในใจว่าเถ้าแก่คงไม่ชนะเกมการเมืองเที่ยวนี้หรอก แต่ข้าทำเป็นฟิตปั๋งล่อหลอกแกไปเรื่อยๆ เอาเงินมาใช้เลี้ยงครอบครัวและบริษัทบริวารทางการเมืองไปพลางก่อน

บางคนทำเนียน กับสื่อมวลชนวางตัวเป็นนักเลือกตั้งไม่กระโตกกระตาก แต่กับกลุ่มมวลชนผู้ตาสว่างแกล้งทำเป็นแนวปฏิวัติ เหมือนจะเอาตำแหน่ง ส.ส. ไปพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอะไรทีหลังโน่น

บางคนสิ้นหวังมาจากเวทีราชประสงค์ ก็เลยไม่อยากคิดอะไรมากแล้วนอกจากเลือกตั้ง เลือกตั้ง และเลือกตั้ง เหมือนเอ่ยบ่อยๆ มันจะเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้เอง ใครทักก็มักจะโกรธเพราะในใจตัวเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อ

แต่ความอยู่รอดทางการเมืองของใครไม่ใช่ประเด็นของพรรคเพื่อไทย ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเห็นการเลือกตั้งเป็นยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีต่างหาก?

ถ้าสับสนในประเด็นนี้จะกลายเป็นอวิชชาขึ้นมากลางพรรค และอาจนำพาขบวนประชาธิปไตยทั้งขบวนตกรางเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่ถลาลงสู่พื้นดินได้

หากเลือกตั้งเป็นยุทธวิธี เอาการมีส่วนร่วมของมวลชนไปสร้างเครือข่ายและเสริมความแข็งแกร่งของระบอบประชาชน โดยหวังชัยชนะแท้จริงที่อยู่เหนือระบบเลือกตั้งขึ้นไป อย่างนี้พอมีหวัง

ไม่กลายเป็นปลาที่มองไม่เห็นน้ำ

แต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นว่าเลือกตั้งคือยุทธศาสตร์ เอาเป็นเป้าหมายสูงสุดชนิดที่ชีวิตนี้จะไม่ไปไหนอีกแล้วนอกจากรัฐสภา โดยไม่มีมาตรการใดๆ อีกเลยที่จะต่อสู้ฟาดฟันกับเจ้าของระบอบเผด็จการโบราณและอำมาตย์ผู้เป็นขี้ข้าสามัญ ความหวังนั้นก็จะลดสภาพลงเป็นเพียงความฝัน

ฝันเปียกเสียด้วย.

--------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สนิมเนื้อใน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : สนิมเนื้อใน
โดย : กาหลิบ

มีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าสู่กันฟังในครอบครัวประชาธิปไตย ความจริงระยะนี้ศัตรูของเราก็กำลังโหมกระหน่ำอย่างหนัก ทั้งไล่ฆ่า ไล่จับ ไล่ยึด ไล่สาดโคลน จนเกิดคดีความต่างๆ นับจำนวนไม่หวาดไหว และกำลังเดินหน้าต่ออย่างเต็มสูบ เวลาอย่างนี้คนทั่วไปคงคิดว่า ครอบครัวประชาธิปไตยของเราจะสมัครสมานสามัคคีกันเต็มที่ ช่วยกันอย่างไม่คิดชีวิต ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ประเทศชาติให้ระลึกถึง แต่ทว่า

มันเกิดมีเหลือบบางประเภทขึ้นในขบวนการของเรา มีหน้าที่ทิ่มแทงทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไปทีละคนสองคน แต่ละคนที่กำลังถูกทำลายก็มีลักษณะบางอย่างร่วมกันเสียด้วย

นั่นคือแต่ละคนประกาศตัวสู้รบในระดับระบอบและโครงสร้างของอำนาจเก่าทั้งสิ้น

พูดง่ายๆ คือนักประชาธิปไตยที่รับสัญญาณจากมวลชนว่า เจ้าจงเดินไปให้สุดทาง ถล่มทำลายอำนาจเก่าที่ขัดขวางอำนาจของประชาชนอยู่ให้ราบคาบเพื่อประชาธิปไตยแท้จริงจะได้เกิดขึ้น กลายเป็นเป้าหมายของการถูกทำลายเสียเอง

ไม่ใช่จากฝีมือศัตรู คราวนี้จากน้ำมือและน้ำใจ (สีดำ) ของมิตรร่วมขบวนการประชาธิปไตยเองเลย

คนๆ นี้จะแอบกระซิบกระซาบเข้าหูฝ่ายประชาธิปไตยระดับบน (กำหนดแนวทางและวางกรอบ) และประชาธิปไตยระดับปฏิบัติการ (รวมผู้ที่ทำตามมติของเครือข่ายและที่ทำตามจิตสำนึกของตัวเองอย่างเป็นอิสระ) ให้ส่งข่าวลือร้ายๆ เกี่ยวกับคนฝ่ายประชาธิปไตยเราเอง เพราะเขารู้มาว่าขบวนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว และเขาก็เดือดร้อนกับความสำเร็จขั้นต้นนี้มาก

ทำไม?

เพราะคนๆ นี้เขาเสแสร้งเข้ามาเป็นผู้นำคนหนึ่งในขบวนประชาธิปไตยมาตลอด จนมวลชนส่วนมากนึกว่าเป็นจริงและมวลชนส่วนหนึ่งก็ให้ความยอมรับนับถือว่าเขาเป็นตัวจริง แต่เนื้อแท้แล้วเขาคือนักฉวยโอกาสทางการเมืองธรรมดาคนหนึ่ง เขาหาเงินกับการเมือง สูบเลือดใครก็ตามที่หลงเชื่อในตัวเขาจนหมดตัว และหลอกล่อคนสำคัญๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของขบวนประชาธิปไตยปัจจุบันให้เชื่อฟังเขา แล้วเขาก็เอาบารมีนั้นไปหลอกคนอื่นต่อ

ความต้องการเขาคือผลประโยชน์ทางการเงินและทางอำนาจเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยชนะ เขารู้ดีว่ามวลชนของเราต่างมีน้ำใจงามและไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย เขาก็เตรียมเอาเปรียบมวลชนอย่างเต็มที่ โดยก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งแห่งหนสำคัญๆ เมื่อเวลามาถึง

ระหว่างรอคอยก็คอยหยอดยาฆ่าหญ้าทำลายนักประชาธิปไตยใจบริสุทธิ์ที่คนบาปอย่างเขามองว่าเป็นคู่แข่งไปเรื่อยๆ

คนถูกทำลายก็ปิดปากไว้ไม่พูด เพราะกลัวพูดแล้วจะกระเทือนจิตใจและการต่อสู้ของมวลชนผู้ที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่า เขาก็ยอมถูกกระทืบจากฝ่ายที่สวมเสื้อประชาธิปไตยแต่หัวใจสัตว์ป่าบางคนซ้ำแล้วซ้ำอีก

ภาวนาอยู่ในใจว่าความจริงต้องปรากฏเข้าสักวัน

คัดสรรพวกมาจำนวนหนึ่ง ใช้เงินเล็กๆ น้อยๆ หยอดหมับเข้าไป แล้วก็หลอกใช้เครือข่ายของคนเหล่านี้ขยายงานทำลายล้างให้ลึกและกว้างขึ้นไปอีก จนนักจัดตั้งทางการเมืองรุ่นลายครามบางคนใกล้สูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองอยู่รอมร่อ เพราะดันไปรับงานสกปรกมาทำ ความจริงคนที่ถูกหลอกมานี่ก็น่าสงสาร อุตส่าห์อุทิศตัวเผยความชั่วร้ายของวิถีพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะวิชามารที่พวกเอาเข้ามารับใช้ระบอบเก่า มาจนตลอดชีวิต ถึงเวลาแกดันลดลงไปเป็นลูกน้องโจรการเมืองที่เป็นประชาธิปัตย์เสียยิ่งกว่าประชาธิปัตย์ไปฉิบ

ที่เล่ามานี้ก็เพราะอยากให้มวลชนใจแข็งๆ ระยะนี้มีคนพูดอะไรต่อมิอะไรเยอะ ท่านกรุณาอย่าเอาข่าวลือมาเป็นข่าวจริง ขอให้ดูไปนานๆ ว่า การกระทำของใครเป็นประโยชน์จริง และใครคือมนุษย์ลวงโลกในขบวนประชาธิปไตย

ถ้ายังไม่เลิกบ้ากัน วันหลังจะเล่าให้มันเจาะลงกว่านี้ครับ.

--------------------------------------------------------------------------------

ข่าวSMSของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไล่กษิต โดย กาหลิบ

คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ไล่กษิต
โดย : กาหลิบ

ดูคลิปที่พี่น้องชาวไทยผู้รักประชาธิปไตยตะโกนโห่ไล่และวิ่งด่าประณามใส่หน้า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเหตุการณ์ที่เยอรมนีแล้ว ยอมรับว่าได้เห็นอะไรที่ลึกซึ้งสูงล้ำกว่าความสะใจ แต่ยาวไกลไปถึงขั้นระบอบการปกครองเมืองไทยเลยทีเดียว

คนไทยในวันนั้น เขาไม่ได้รุมด่าข้าราชการเกษียณอายุที่สติไม่สมประกอบที่ชื่อนายกษิตเท่านั้น แต่เขาด่าฝากไปถึงคนที่เลือกนายกษิตมาเป็นตัวแทนทางการทูตในระดับชาติ และคอยรักษาเก้าอี้ให้นายกษิตในยามที่คนรอบตัวเกิดคลื่นเหียนและทนทานไม่ได้ขึ้นมา

ใครนึกว่านายกษิตเป็นตัวแทนพันธมิตรฯ ก็คงไร้เดียงสาไปหน่อย เส้นสายของเขาก๋วยจั๊บกว่านั้นมากนัก

คำด่าจากเยอรมนีจึงทะลวงสังคมหวงห้ามของไทยไปถึงคนโรคจิตบางคนที่ชอบคนบ้าด้วยกันอย่างนายกษิต จนแทบจะกระอักเลือด

คนไทยในต่างประเทศมีเสรีภาพที่สมบูรณ์กว่าในการเข้าถึงข้อมูลความจริงของเมืองไทย เขาก็บุกตลุยไปถึงก้นบึ้งของปัญหาอย่างคนตาสว่างและมีปัญญา ระดับต่ำๆ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุน หรือแม้แต่คนอย่าง เปรม ติณสูลานนท์ นั้น เขาก้าวข้ามไปหมดแล้ว

คนไทยในเมืองไทยที่มีปัญญา และแสวงหาความรับรู้ที่สูงกว่าที่สังคมถูกบังคับให้สั่งสอนกันมา ก็รู้ข้อมูลความจริงอย่างเดียวกันและเป็นแนวร่วมรอความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอยู่ เขาก็เข้าใจทันทีว่าพี่น้องเราที่เยอรมนีกำลังตีวัวกระทบคราด

คราดที่ว่านี้ไม่เคยถูกกระทบ คราวนี้ถูกกระทบจากคนที่เขาขับไล่ออกไปจากเมืองไทยด้วยความยากจนค่นแค้นทางเศรษฐกิจ จนเขาต้องไปตายดาบหน้า บางคนพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้สักคำ เงินทองก็ไม่มี อาศัยแต่ความทรหดอดทนที่ปู่ย่าตายายฝังไว้ในเนื้อตัวจนกระทั่งตั้งตัวได้ เขาจึงรักและเห็นคุณค่าในระบอบประชาธิปไตย เพราะเขาลืมตาอ้าปากได้จากระบอบนั้น เมื่อเมืองไทยในยุคก่อนทำท่าจะเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ขึ้นมา เขาก็รักและหวงแหนไปด้วย

เมื่อคราดเก่าๆ สนิมขึ้นเข้ามาทิ่มตำทำลายระบอบประชาธิปไตยรอบนี้เขาจึงลุกขึ้นสู้กับคราดนั้น

ครั้งหนึ่งเมื่อ นายกษิต ภิรมย์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี เขาเคยขึ้นเวทีด่ากราดว่าผู้หญิงไทยที่แต่งงานร่วมครอบครัวกับชาวเยอรมันว่า น่าอับอาย เสียเกียรติยศชาติ จนผู้จัดต้องไล่ออกจากงานบุญที่พี้น้องคนไทยร่วมจัดและอุตส่าห์เชิญฝ่ายการทูตมาร่วมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์

วันนั้นเขานึกแค่ว่านายกษิตคือศักดินาหลงฝูงที่พลัดมาเป็นใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศไทย ซึ่งมีข้าราชการสันดานแบบนี้อยู่มากเท่านั้น

แต่วันนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่า ทัศนะของนายกษิตคือทัศนะของชนชั้นบนในเมืองไทยที่มองคนไทยเป็นฝุ่นเมือง ไม่มีราคาค่างวด อยากจะฆ่าฟัน จับยัดคุก ทำลายชีวิตของเขาและครอบครัวเมื่อไหร่ก็ทำได้ทุกเมื่อ นายกษิตเป็นตัวแทนของสังคมพิกลพิการของไทยที่คนชั่วได้เป็นใหญ่และคนไทย (แท้ๆ) ต้องน้ำตาไหลริน

เสียงด่าที่เยอรมันนีจึงด่าลึกลงไปถึงกล่องดวงใจของเมืองไทย โดยฝากขี้ข้าอย่างนายกษิตไป
ลึก เจ็บ และบอกถึงอนาคตของไทยได้เป็นอย่างดี

ต้องขอบคุณคนอย่างนายกษิตที่ทำให้ขบวนปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยของไทยมีความเข้มแข็งมั่นคงและเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ เพราะนายกษิตเป็นตัวแทนที่ดีเหลือเกินของความชั่วร้ายที่สมบูรณ์.

---------------------------------------------------------------------------------
ข่าวSMSของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขุดเรื่องพระวิหาร...สันดานใคร


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ขุดเรื่องพระวิหาร..สันดานใคร
โดย : กาหลิบ

น่าเวทนาเป็นที่สุด เดี๋ยวนี้ตกต่ำถึงขนาดไปควักเรื่องเก่าเล่าใหม่ในกรณีปราสาทพระวิหารมาเล่นเป็นเรื่องระดับชาติ โดยมีจุดประสงค์เพียงจะเร้ากระแสชาตินิยมมารักษาระบอบเก่าที่เสื่อมทรุดอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีลูกเล่นอะไรอีกแล้ว

มียุคไหนบ้างที่โหมโฆษณาระบอบเผด็จการโบราณผ่านทุกสื่อภายใต้อำนาจรัฐอย่างล้นเหลือมากมายจนเกินพอดีและขาดความ “พอเพียง” อย่างในยุคนี้

มียุคไหนบ้างที่พล่ามคำว่า “สมานฉันท์” “สามัคคี” “ปรองดองในชาติ” พร้อมไล่ล่าฆ่าคนไทย กักขัง จำคุก ซ้อมจนกระอักเลือดกันทั่วราชอาณาจักรอย่างในยุคนี้

มียุคไหนบ้างที่อ้างความเป็นประชาธิปไตย แต่ใช้อำนาจเผด็จการทุกทิศทางเหมือนในยุคนี้

แต่เลวบริสุทธิ์ชนิดครบวงจรกันแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ของเผด็จการเก่าก็ยังเสื่อมลงไปทุกวันในหัวใจของประชาชน จนจะเน่าคาเตียงอยู่แล้ว เขาจึงต้องดิ้นรนกระวนกระวายหาสิ่งอื่นมาเป็นลูกเล่นทดแทนเล่ห์กลเก่าๆ ที่ใช้ไม่ได้ผลเหมือนกระสุนด้าน

เรื่องนั้นคือความโกรธแค้นของชนชั้นสูงของไทยในกรณีประสาทพระวิหาร

แพ้เขามาอย่างเปิดเผยกลางศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศจนเป็นที่รับรู้กันทั่วระดับโลกตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๕ ภายใต้เผด็จการสฤษดิ์ครองเมือง จนไม่กล้าไปวอแวอะไรกับเขาอีก นั่งนิ่งเฉยมาเกือบ ๕๐ ปีจนคนทั่วโลกเขามั่นใจว่าประเทศไทยเป็นชาตินักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ และกล้ายืดอกยอมรับความจริงในชีวิตอย่างผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

เราจะใช้ประโยชน์ใดๆ จากปราสาทพระวิหาร โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ก็ทำได้ทุกอย่าง เพียงร่วมมือกับเขาอย่างอารยประเทศเท่านั้น ยิ่งวันนี้เขามาเป็นสมาชิกร่วมประชาคมอาเซียนลำดับที่ ๑๐ ก็ยิ่งง่าย แสวงหาความร่วมมือในระดับทวิภาคีกันได้ทุกเรื่อง

แล้วไปขุดความแค้นเก่าๆ มาขายความขี้เท่อของตัวเองหาพระแสงด้ามยาวอะไรกัน?

เรื่องนี้จึงไม่ต้องดูลึกซึ้งอะไรเลย เอาตาตุ่มมองก็รู้แล้วว่าทั้งเจ้านายและไพร่พลที่ร่วมกันจุดไฟเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ได้สนใจเลยว่ากรรมสิทธิ์ในปราสาทพระวิหารและที่ดินโดยรอบหรือใกล้เคียงจะเป็นของใครอย่างไร แต่ต้องการหาเรื่องเขาเพื่อเอาผลทางการเมืองในประเทศอย่างคนใจแคบเห็นแก่ตัวจัดเท่านั้นเอง

แล้วไปหลอกล่อคนไทยที่เขารักชาติรักแผ่นดิน แต่อาจไขว้เขวในข้อมูลสำคัญ เรียกร้องให้เขาออกมาสละชีพเพื่อชาติทั้งๆ ที่ชาติไม่ได้มีปัญหาอะไร เว้นแต่มีเผด็จการชั่วๆ ครองเมืองอยู่เท่านั้น

เหมือนพันธมิตรฯ ที่ใช้ชื่อในช่วงแรกว่า “ขบวนการกู้ชาติ” อย่างไม่รู้จักอายนั่นล่ะครับ

กรณีปราสาทพระวิหารถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเมื่อเครื่องมืออื่นๆ เริ่มไม่ได้ผล

ภาวะฉุกเฉินก็เริ่มถูกกดดันจากรอบทิศให้ยกเลิก

รัฐบาลทำงานไม่ได้ ทำงานไม่เป็น ประเทศจมลงเรื่อยๆ

ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ เริ่มละอายแก่ใจ ไม่อยากทำงานตามสั่งของผู้เผด็จการที่ไม่ต้องมาร่วมรับผิดชอบในอาชญากรรมที่ตัวสั่งให้เขาทำ

ทหารใหญ่ที่วางตัวให้เป็นแม่ทัพคนใหม่ก็โง่เง่าบ้าดีเดือด มีลักษณะเหมือนระเบิดเวลามากกว่ามนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ

การแสดงความรักเทิดทูนในอะไรบางอย่างก็เข็นไม่ขึ้น ถึงขนาดต้องเกณฑ์คนมาแสดงความรักความห่วงใยกันแล้วในวันนี้

สุดท้ายต้องไปเอาโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์มาเล่นซ้ำ โดยเอาคนเสื่อมสภาพอย่าง พลตรี จำลอง ศรีเมือง มาเป็นตัวชู โดยหวังจะเร้าใจคนไทยให้ตื่นเต้นตื่นตัวเพื่อรักษาปราสาท โดยไม่รู้เลยพวกที่อยู่เหนือหัวของเขาแต่ละคนขึ้นไปนั้น เขาหลอกใช้ตัวเองเพื่อรักษาอำนาจอันล้นพ้นของเขาไปเรื่อยๆ แบบข้ามยุคข้ามสมัยเท่านั้นเอง

ไม่อย่างนั้นเขาจะนั่งนิ่งเฉยกับเรื่องนี้มาครึ่งค่อนศตวรรษแบบคนหูหนวกตาบอดได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น ท่านวิญญูชนทั้งหลายครับ กรุณาอย่าเป็นเหยื่อเขาเลย.

--------------------------------------------------------------------------------
ข่าวSMSของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้นำหาย โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ผู้นำหาย
โดย กาหลิบ

ในขณะที่ผู้นำลึกลับแห่งระบอบอำนาจโบราณไทยกำลังใช้อำนาจและสยายปีกเต็มที่ ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยกลับหายตัวไปอย่างผิดสังเกต ปล่อยให้ประชาชนเผชิญหน้ากับอำนาจนอกรีตเหมือนกำลังสู้รบกับภูตผีปิศาจตามลำพัง

นี่ไม่ได้หมายถึงผู้นำ นปช. บนเวทีสนามหลวง ทำเนียบรัฐบาล ผ่านฟ้า และราชประสงค์ ผู้คนเหล่านั้นท่านไม่ใช่ผู้นำประชาธิปไตยในระดับระบอบ แต่ท่านเป็นผู้นำเวทีประท้วงกลางเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งชิ้นจากหลายร้อยหลายพันชิ้นที่รวมขึ้นเป็นขบวนประชาธิปไตย บัดนี้ท่านก็ถูกไล่ล่า กักขัง หรือสังหารผลาญชีวิตอย่างหนัก ก็ต้องหาทางดิ้นรนไป จะมานำเวทีอะไรตอนนี้คงไม่ได้

เราหมายถึงผู้นำของระบอบประชาธิปไตยที่ใหญ่กว่าเวที ผู้ต้องสร้างเครือข่ายและขบวนการประชาธิปไตยขึ้นสู้กับระบอบเผด็จการโบราณ ในระดับที่เท่ากันหรือมากกว่าฝ่ายเขา

ขณะนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ทราบชัด รู้แต่ว่าการนำหายไป

ความจริงมีเสียงที่ส่งมาเป็นระยะๆ แต่เสียงนั้นกลับบอกให้รู้ว่า แนวทางยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไปข้างหน้า ไม่มีความก้าวหน้าอย่างที่เราต่างมุ่งหวัง

เสียงนั้นยังสื่อความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเราจะฟื้นอำนาจที่เขาฉุดกระชากไปจากประชาชนด้วยความหน้าด้านใจดำด้วยกลไกการเลือกตั้ง

เหมือนจะเสนอต่อขบวนประชาธิปไตยว่ามาช่วยกันสร้างรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ภาค ๒ หรือรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ๒ กันเถิด แล้วทุกอย่างจะดีไปเอง

ปัญหาคือผู้คนเขาไม่ได้ลืมง่ายเหมือนก่อน เขาจำได้ว่านายกรัฐมนตรีที่ชื่อสมัครต้องหล่นจากเก้าอี้เพราะรายการทำกับข้าว และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อสมชายต้องหมดอำนาจเพราะพรรคการเมืองหลักของรัฐบาลถูกยุบจนหมดสภาพลง

เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณมีอำนาจเต็มมือ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่ารัฐบาลเลือกตั้งชุดใดๆ ในประวัติศาสตร์ เป็นรัฐบาลที่เสนอแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพ เป็นรัฐบาลที่ไม่มีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าเพราะประเทศชาติกำลังเฟื่องฟูก้าวหน้า สถานะระหว่างประเทศกำลังสูงส่งอย่างไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน

เป็นรัฐบาลที่ได้รับความนิยมจากประชาชนส่วนใหญ่ มีทีท่าว่าจะได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่สี่ที่ห้า หลังจากที่ชนะเลือกตั้งแบบรวดเดียวมาแล้วถึง ๓ ครั้งซ้อนๆ

แล้วอย่างไรเล่า? ก็ถูกเขายึดอำนาจเหมือนไม่ได้มีความหมายอย่างไรเลยในประเทศนี้

ประชาชนเขายังจำสิ่งเหล่านี้กันได้ครับ

การนำขบวนประชาธิปไตยชั่วโมงนี้ ท่านต้องนำแนวทางมากกว่านำการปฏิบัติ อย่าเอายุทธวิธี เช่น การเลือกตั้ง เป็นต้น มาทดแทนภาวะผู้นำที่ต้องเริ่มต้นจากการคิดให้ใหญ่เท่าระบอบของเขาและวางเครือข่ายให้เป็นสัดส่วนกันกับเครือข่ายของฝ่ายเขา แล้วชี้ให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าเราจะออกจากหลุมดำทางการเมืองได้ด้วยวิธีนี้

จะนานเป็นเดือนเป็นปีเขาก็ทนได้รอได้ รอบนี้ก็กลั้นใจมาเกือบครึ่งทศวรรษแล้ว

ขอเพียงให้รู้ว่าฝ่ายเรามีแนวทางอย่างไร เขาก็จะเกิดความเชื่อมั่นว่าชีวิตเลือดเนื้อของเขามิได้สูญเปล่าไปเลย

บางคนบอกว่าชูเลือกตั้งเพื่อลับลวงพราง ก็ต้องถามว่าจะลับลวงพรางไปถึงไหนอีก
เขาเผาบ้านช่องของฝ่ายประชาธิปไตยไปเกือบหมดแล้ว จะให้กระซิบเบาๆ แทนที่จะตะโกนให้กึกก้องไปว่าไฟไหม้ๆ อีกหรือ

เหมือนบางคนที่บอกว่า รู้หมดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่อย่าเอ็ดไปนะ

สู้แบบกราบเขาไป กลัวจะเอ่ยชื่อเขาออกมา แสดงความเล็กกระจ้อยร่อยของเราเขาจะได้มองไม่เห็น ฯลฯ

เหล่านี้เป็นสภาพที่ขาดการนำ หรือไม่ก็นำอย่างขลาดทั้งสิ้น

ลุกขึ้นมาทำเสียให้ถูกครับ เวลาไม่คอยท่าแล้ว.

---------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วีรกรรมคุก โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : วีรกรรมคุก
โดย : กาหลิบ

ขอถามอีกครั้งกับคนที่เชื่อว่าการติดคุกเป็นวีรกรรมหรือกรรมอันกล้าหาญในการต่อสู้เผด็จการโบราณว่า วันนี้ยังยืนยันเช่นนั้นอยู่หรือไม่

เรื่องนี้เป็นทัศนคติแบบฝังจิตฝังใจของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลายคน เชื่อว่าการติดคุกเป็นยุทธวิธีที่นำไปสู่ชัยชนะ เพราะทำให้มวลชนรู้สึกโกรธแค้น ห้าวหาญ และรวมพลังกันทลายกำแพงคุกได้ในที่สุด

บางคนมีโอกาสหลบหนีได้ก็ไม่หนี เพราะคิดว่าชีวิตนี้ขอแสดงวีรกรรมคุกสักครั้ง เพื่อให้ชีวิตคุ้มค่าและมีความหมาย

ความจริงเรื่องจิตใจของแต่ละคน ถือเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัว ใครจะโง่ฉลาดอย่างไรก็ถือเป็นสิทธิ์ ส่วนบุคคล ว่ากล่าวกันยาก แต่ขอตราไว้ตรงนี้อีกครั้งด้วยข้อเท็จจริงและความปรารถนาดีอย่างเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัวเดียวกัน

การติดคุกในขณะที่เรายังมิได้วางแนวทางที่ชัดเจนว่า เราต่อสู้กับระบอบไหนในประเทศไทย ได้แต่สุ่มเสี่ยงไปโดยขาดแนวทางในการเดินไปสู่ชัยชนะนั้น สุดท้ายจะเป็นการติดคุกอันยาวนานชนิดรอวันเน่า

ติดคุกคราวนี้ต่างไปจากครั้งที่ชุมนุมปราศรัยหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ครั้งแรก

ครั้งนั้นยังไม่ชัดว่านี่คือสู้เชิงระบอบและชนชั้น ฝ่ายอำนาจเก่ายังคิดว่าฝ่ายประชาชนรู้ไม่ทันและเชื่อว่าจะย่อยสลายมวลชนได้ด้วยกลวิธีเก่าๆ ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ เผ่า ถนอม-ประพาส-ณรงค์ เปรม ฯลฯ จนถึง กอ.รมน. ทั้งนี้รวมถึงวิธีตัดไม้ข่มนาม คือกระทำการข่มขู่มากกว่าจะเอาผลกันจริงจัง

แต่เมื่อเกิดพันธมิตรฯ กลุ่มสีชมพู และกลุ่มประชาธิปัตย์ที่อ้างว่าทำเพื่อเบื้องบนขึ้นมาแล้ว ขนาดยึดสนามบินนานาชาติและทำเนียบรัฐบาลของประเทศก็ทำมาแล้ว ย่อมส่อแสดงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาก้าวเข้ามาสั่งการชัดเจนขึ้น เหี้ยมโหดขึ้น

ยิ่งเขาเห็นฤทธิ์ของฝ่ายประชาธิปไตยในการโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เขาสั่งทำขึ้น แถมด้วยชัยชนะของพรรคไทยรักไทยเดิมเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ด้วยแล้ว ความบ้าคลั่งของเขาก็พุ่งสูงขึ้นเป็นทวีและตรีคูณ

มาระเบิดเอาที่ทำเนียบรัฐบาล ผ่านฟ้า และราชประสงค์ ระหว่างเมษายน ๒๕๕๒ ถึง พฤษภาคม ๒๕๕๓

สั่งยิงหัวและหน้าอกของประชาชนแล้ว คิดได้อย่างไรว่าเขาจะเอาแกนนำและมวลชนไปติดคุกขู่เฉยๆ

นอกจากจะหวังทำร้ายที่ตัวแล้ว คดีต่างๆ จะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่มีวันที่ออกจากคุกได้โดยง่าย

นี่ก็ได้แล้วอีก ๑ คดี คือคดีร่วมกันก่อความไม่สงบและก่อเหตุวุ่นวายขึ้นในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ และ ๒๑๕ ที่มีผู้ต้องหารวม ๑๗ ราย ทั้งที่อยู่ในเมืองไทยและที่หลบหนีออกนอกประเทศ

ต่อไปก็จะได้รับของขวัญชั้นสูงเช่นนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พูดอย่างนี้ก็มิใช่ซ้ำเติมพรรคพวกและคนในครอบครัว แต่อยากบอกกับพวกเราที่ยังมีโอกาสอยู่นอกคุกว่า อย่าไปดิ้นรนติดคุกในระบอบนี้เลยครับ

ทางเลือกที่ดีกว่าคือออกมาวางแผนกอบกู้ฟื้นฟูประชาธิปไตยกันเสียที่นอกประเทศ ใครรู้จักใครประสานมา มองกันไม่ทั่วถึงก็อย่าไปน้อยใจหรือไปด่าเงียบๆ อยู่ที่มุมไหน ลืมอดีต แล้วมุ่งมั่นต่อสู้เพื่ออนาคตกันเถิด

เพื่อจะย้อนกลับไปช่วยพวกเราที่เป็นเหยื่อคุกอยู่เมื่อถึงเวลาอันควรได้

ติดคุกยุคนี้คือเวรกรรม ไม่ใช่วีรกรรมครับ.

---------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เลือกตั้งระวังพลาด โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : เลือกตั้งระวังพลาด
โดย : กาหลิบ

หมู่นี้ได้ยินเสียงลอยลมมาจากพรรคเพื่อไทยบ่อยๆ ว่า ใกล้จะถึงวันเลือกตั้งแล้วหนา โดยเฉพาะคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พูดอยู่แทบทุกเวทีก็ว่าได้ บางครั้งก็ว่าชนะศึกเลือกตั้งแล้วจะพา ดร.ทักษิณฯ กลับบ้าน บางทีก็เผยว่าเลือกตั้งเที่ยวนี้เพื่อไทยมีนโยบายใหม่เด็ดดวงถึง ๗ ข้อ ซึ่งเป็นนโยบายที่อดีตนายกรัฐมนตรีส่งตรงมาจากแดนไกล

ฟังแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นานนี้แล้ว

พอรู้สึกอย่างนั้นก็คิดต่อไปว่า อะไรทำให้บางท่านในพรรคเพื่อไทยคิดเช่นนั้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เขากำลังสนุกสนานกับ “ชัยชนะ” เหนือชีวิตเลือดเนื้อของประชาชน คนวัยทองสองสามคนที่อุปถัมภ์ค้ำจุนรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็รู้สึกมั่นใจว่าระบอบดึกดำบรรพ์ของเขาได้ “คว่ำ” ระบอบประชาธิปไตยลงเรียบร้อยแล้ว นโยบายสมานฉันท์ก็ไม่ต่างอะไรกับไอร้อนจากกาที่พวยพุ่ง โชนออกไปแล้วก็ระเหยหายไปอย่างไม่มีร่องรอย การปิดประตูตีแมวมวลชน ก็กระทำอย่างต่อเนื่องทารุณโหดร้าย ไม่มีวี่แววว่าจะบรรเทาเบาบางลงเลย

ตกลงที่แหย่ว่าจะเลือกตั้งกันแล้วนี่คือความฝันข้างเดียวของพลพรรคเพื่อไทยเท่านั้นใช่ไหม หรือเป็นความปรารถนาในใจที่มันล้นทะลักออกมาจากอก (wishful thinking) ชนิดเก็บไม่อยู่?

ไหนๆ พูดเรื่องการเลือกตั้งแล้ว น่าจะพิจารณาเรื่องนี้เสียทีเดียว ๒ ประเด็นเลย

ประเด็นแรก การเลือกตั้งคือกลไกที่สำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตย คนที่ชอบวิจารณ์การเลือกตั้งและนักเลือกตั้งอย่างเสียๆ หายๆ ก็เคยถูกถามซึ่งๆ หน้ามาแล้วว่าจะเอากลไกอะไรมาแทน ก็เห็นเงียบๆ ไปเพราะตอบเขาไม่ได้ ความปรารถนาของพรรคเพื่อไทยว่าจะได้เลือกตั้งในเร็ววันนี้ จึงเป็นความใฝ่ฝันที่ไม่ได้ออกนอกกรอบของระบอบประชาชนและไม่ผิดอะไร
แต่ถ้าเอาแต่เลือกตั้งโดยไม่มีอะไรอื่นเลยในพรรค ก็จะส่งผลให้พรรคจัดตั้งตัวเองให้เป็นฐานการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว วันๆ ก็คุยเรื่องเลือกตั้ง นโยบายหาเสียง และกิจกรรมการตลาดที่จะเป็น “ลูกเล่น” ใหม่ๆ ให้ชนะเลือกตั้งได้ นักเลือกตั้งมืออาชีพก็จะเล่นเกมการเมืองกันไปมาอยู่ในพรรค เพื่อให้มีที่ลงสมัครรับเลือกตั้งและสามารถระดมเงินสนับสนุนจากพรรคได้มากที่สุด

สิ่งที่ขาดหายไปคือแนวร่วมประชาธิปไตยที่ร่วมต่อสู้กันมาตั้งแต่ครั้งเป็นไทยรักไทย ผู้คนเหล่านี้หลายคนไม่ใช่นักเลือกตั้ง ไม่ปรารถนาจะเป็นนักการเมืองอาชีพ และต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงโดยไม่สนใจจะเสวยสุขในอำนาจรัฐ

ผู้คนเหล่านี้เขายังต่อสู้อยู่ และมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องพอที่จะสนธิกำลังกันขึ้นมาเป็นพลังต่อต้านอำนาจเก่าที่คอยรังควาญระบอบประชาธิปไตยอยู่ได้

จะไล่เขาไปเร่ร่อนอยู่กลางสนามหลวงอีกหรือ?

พรรคเพื่อไทยในฐานะที่ชูธงประชาธิปไตยควรสร้างเวทีและกิจกรรมนอกเหนือจากการเลือกตั้งเพื่อรองรับพลังนอกระบบเลือกตั้งเหล่านี้ เอาประสบการณ์ร่วม และความทรงจำที่ดีระหว่างกันในช่วงหลายปีนี้มาเป็นต้นทุนทำงาน

ขบวนการที่สำคัญนี้จะช่วยห่อหุ้มการเลือกตั้ง โดยเป็นเปลือกนอกที่แข็งแรงให้

ประเด็นที่สอง การเลือกตั้งที่ชอบพูดบ่อยๆ นี้ หากเตรียมจะวัดดวงกับ “เขา” โดยเอาไข่ไก่ของเราทุกฟองใส่ในตะกร้าเดียวกันตามสำนวนฝรั่ง สุ่มเสี่ยงต่อการแตกทั้งตะกร้าอย่างนี้ ต้องถามว่าแน่ใจขนาดไหนว่าจะมีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมจริง

เจอวิชามารจนเก้าอี้ ส.ส. ลดวูบไปจนจัดตั้งรัฐบาลเองไม่ได้ หรือไม่อาจจะร่วมรัฐบาลกับพรรคอื่นๆ ได้เพราะเจอเสียงขู่คำรามว่าห้ามร่วม แล้วจะทำอย่างไร

จะตะโกนบอกฟ้าว่าข้าถูกกลั่นแกล้งรังแก ฟ้าก็คงจะผ่าเปรี้ยงลงมาบนหัวตัวเอง

จะโวยกับนานาอารยประเทศ เขาก็จะบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พวกคุณขมีขมันอยากร่วมเองไม่ใช่หรือ พอแพ้เขามาแล้วโวยวาย ขี้แพ้ชวนตีหรือเปล่า

ถึงวันนั้นแล้วการยึดทรัพย์และยึดสิทธิในความเป็นคนของฝ่ายประชาชนก็จะดำเนินต่อไป จนหมดเซฟหรือหมดชีวิตไปเลย

ขบวนการประชาธิปไตยแท้ๆ นั้นคงไม่หมดตาม แต่จะซวนเซตามไปด้วยอย่างไม่ควรที่

ลองเปิดหัวใจให้กว้างแล้วพิจารณาดูครับ.

--------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มือระเบิด โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : มือระเบิด
โดย : กาหลิบ

แล้วเมืองไทย-เมืองพุทธก็มาถึงจุดนี้จนได้ ระเบิดที่ตูมตามขึ้นในที่ต่างๆ ทั้งที่ออกข่าวและปิดข่าวกันให้แซด กำลังทำให้ภาพลักษณ์เมืองไทยดูคล้ายตะวันออกกลางและบางประเทศในแอฟริกาขึ้นทุกที

น่าเสียใจและน่าผิดหวังเป็นที่สุด

ฝ่ายแค้นต่างๆ ก็นำเรื่องนี้มาโจมตีกันไม่เว้นวัน ฝ่ายอำนาจเดิมบอกว่ากลุ่มฮาร์คอร์ของเสื้อแดงเดิมเป็นคนทำ ฝ่ายเสื้อแดงประชาธิปไตยก็สวนกลับว่าฝ่ายรัฐไล่ฆ่า ตามล่า จับกุมคุมขัง และยัดข้อหาอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ จะไปทำได้อย่างไร ฝ่ายรัฐนั่นแหละที่สร้างสถานการณ์เพื่อคงอำนาจพิเศษเอาไว้

แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่สอบสวนหาข้อเท็จจริงจนบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครทำ ที่เห็นออกข่าวพาดพิงถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล-ผู้วายชนม์ บ้างใครบ้างนั้นคือกิจกรรมโฆษณาชวนเชื่อเพื่อผลทางการเมืองโดยแท้ ความจริงคืออะไรนั้นยังงงกันอยู่

ใครมีพรรคพวกในสำนักงานตำรวจแห่งชาติลองแอบถามดูสิครับ

ไม่รู้หรอก

นี่คือปัญหาใหญ่หลวงของเมืองไทยวันนี้

ระบอบอำนาจเก่าเริ่มรู้หรือยังว่า การบีบคั้นทางการเมืองจนไม่มีรูหายใจแล้วปิดประตูตีแมวกันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานนั้น สุดท้ายมันนำเมืองไทยไปสู่จุดไหน

การใช้อำนาจที่ไร้ความชอบธรรมเป็นทางลัดที่จะนำพาสังคมอารยะไปสู่ความเป็นกลียุค

ระเบิดและความรุนแรงต่างๆ นั้น ยากที่จะนำสังคมไปสู่เสรีภาพ สันติภาพ และความเสมอภาคอันเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เรื่องนี้สาธุชนน่าจะรู้ดีอยู่ แต่สาธุชนรู้ด้วยหรือไม่ว่าการเข่นฆ่าทำลายล้างทางการเมืองที่ฝ่ายประชาธิปไตยตกเป็นเหยื่ออยู่ในขณะนี้อาจทำให้คนที่มีเหตุผลที่สุดกลายเป็นคนสิ้นคิดได้

เมื่อสิ้นคิดก็สิ้นปัญญา สัมมาทิฐิก็ถึงคราวสิ้นสุดหรือเจือจางลง

ความคิดทางต่ำทางชั่วหรือมิจฉาทิฐิไหลเข้ามาแทนที่ในช่องว่างนั้น

ในที่สุดความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่ล้วนขัดแย้งต่อหลักประชาธิปไตยพื้นฐานก็เกิดขึ้นได้

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะจู่ๆ ก็เกิดมีคนชั่วคนเลวขึ้นมาในเมืองไทย เหมือนเชื้อโรคที่แพร่เข้ามา หากระบอบและโครงสร้างเดิมที่เคยเป็นที่พึ่งที่ระลึกของผู้คนเป็นจำนวนมากนั่นต่างหาก ที่กลายเป็นความผิดหวังระคนสนเท่ห์

ไม่รู้จะพึ่งใครเขาก็หันหน้ามาพึ่งกันเอง

ผิดบ้าง ถูกบ้าง เขาก็ดั้นด้นกันไป

แล้วในที่สุดก็ต้องทำเหมือนประเทศปฏิวัติอื่นๆ คือต้องไปจนสุดทางแล้วย้อนกลับมาสมานแผลใหญ่น้อยที่เกิดขึ้นในกระบวนเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานนั้น บางทีใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี หรือข้ามรุ่นไปเลย

เห็นไหมว่า จากเดิมที่เขาขอเพียงมีรัฐบาลประชาธิปไตย เมื่อเขาตั้งแล้วก็อย่ามาทำลายของเขา ก็กลับทำลายอย่างทารุณโหดร้ายจนระบอบประชาธิปไตยเดินไม่ได้ เขากัดฟันเอากลับเข้ามาด้วยการเลือกตั้ง ก็ทำลายของเขาอีกเป็นครั้งที่สองที่สาม

มวลชนออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบสันตินานเป็นปีๆ ด้วยความอดทนอย่างยิ่งยวด ก็ฆ่าเขาทำลายเขาด้วยอาวุธสงครามที่ใช้เงินภาษีของเขาซื้อ จนเขาต้องคิดป้องกันตัวเองและโต้ตอบบ้างตามสิทธิของมนุษย์ผู้รักชีวิตของตน

ก็เลยเอาอาวุธที่มุ่งหน้าประหัตประหารกันอย่างปืนกับพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์มาใช้ เพื่อฆ่าให้หมดให้สิ้น พร้อมกับโปรยคำว่า สมานฉันท์ สามัคคี ความรักชาติ ฯลฯ ออกมาให้เขาเจ็บปวดเพิ่ม
เกลียดระเบิดแค่ไหน คงไม่สงสัยกันแล้วว่าทำไมวันนี้ต้องมีระเบิด.

---------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คำแปลสัมภาษณ์พิเศษของ จักรภพ เพ็ญแข ต่อ สถานีโทรทัศน์แห่งชาติออสเตรเลีย (ABC)


คำแปลสัมภาษณ์พิเศษของ จักรภพ เพ็ญแข ต่อ สถานีโทรทัศน์แห่งชาติออสเตรเลีย (ABC)
โดย : ทีมงาน TPNews
ออกอากาศ : วันศุกร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓
ผู้สื่อข่าว : โซอี เดเนียล

ผู้ประกาศ ลีห์ เซเลส: ผู้นำอาวุโสในขบวนการประท้วงเสื้อแดงของไทยเผยกับรายการ “เลทนิวส์” ว่าขณะนี้มีผู้สนับสนุนการเงินจากต่างประเทศเพื่อสนับสนุนขบวนการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐในเมืองไทย

จักรภพ เพ็ญแข ยังกล่าวด้วยว่า อดีตนายกรัฐมนตรีและมหาเศรษฐี ทักษิณ ชินวัตร อาจกำลังพิจารณายุติบทบาทและความเกี่ยวข้องกับขบวนการประชาธิปไตย

นายจักรภพฯ ให้สัมภาษณ์กับ ABC จากสถานที่ที่ไม่เปิดเผยนอกเขตไทย เนื่องจากกำลังลี้ภัยทางการเมืองอยู่

ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา โซอี แดเนียล รายงาน

โซอี แดเนียล: ในกรุงเทพฯ ทางการกำลังตรวจสอบหลักฐานหลังเหตุระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๑ คน บาดเจ็บอย่างน้อย ๙ คน

นี่คือภาพสะท้อนของความปั่นป่วนทางการเมืองที่เคลื่อนลงใต้ดิน นับตั้งแต่รัฐบาลเข้าสลายชุมนุมต่อต้านอำนาจรัฐของคนเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคม

จักรภพ เพ็ญแข คือคนหนึ่งที่กำกับการเคลื่อนไหวจากแดนไกล เขาเคยเป็นมือขวาของ ทักษิณ ชินวัตร และกำลังลี้ภัยการเมืองอยู่ในขณะนี้ เนื่องมาจากกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลและข้อกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์

เขาให้สัมภาษณ์กับ ABC จากสถานที่ที่ไม่เปิดเผย ยืนยันชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยว่ากำลังทำหน้าที่ประสานงานในขบวนประชาธิปไตยและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในขบวนการนั้น

จักรภพ: ใช่ เราตั้งกลุ่มยุทธวิธีขึ้นมาช่วยเหลือให้คำแนะนำต่างๆ ให้กับแกนนำในการชุมนุมในเมืองไทย

โซอี: แล้วคุณคิดว่าได้แนะนำถูกต้องแค่ไหน เมื่อดูจากผล?

จักรภพ: ไม่ใช่ความถูกผิดของคำแนะนำหรอก ประเด็นอยู่ที่ระบบบริหาร จนในที่สุดก็มาถึงวันที่แกนนำบนเวทีบางส่วนมีความเข้มข้นจริงจังน้อยกว่ามวลชนที่เข้าร่วมชุมนุม

โซอี: คุมไม่อยู่หรือ?

จักรภพ: มีส่วน การปราบปรามประชาชนเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม แต่พอจะคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้น

โซอี: คุณพูดว่าการปราบปรามป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม แต่อาวุธไม่ได้มีเฉพาะในฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น คุณยอมรับตรงนี้ไหม?

จักรภพ: ผมยอมรับ แต่ผมไม่ยอมรับว่ามีการจัดตั้งขบวนการติดอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาล ตามที่รัฐบาลสร้างเรื่องกล่าวหาขึ้น

โซอี: นั่นอาจจะถูก แต่เราได้เห็นการโจมตีด้วยระเบิดมือหลายครั้ง และบางส่วนของฝ่ายเสื้อแดงก็น่าจะมีการใช้อาวุธมากกว่าที่ได้กล่าวมา อย่างการระเบิดระลอกล่าสุด ใครทำ?

จักรภพ: เราไม่รู้

โซอี: ไม่ใช่คุณหรือ?

จักรภพ: ไม่ใช่ผมและไม่ใช่...

โซอี: คุณไม่ได้จัดตั้งขบวนการติดอาวุธเช่นนี้หรือ?

จักรภพ: ไม่ และไม่มีใครที่เกี่ยวข้องกับเราทำด้วย

โซอี: คุณจักรภพฯ ยอมรับว่าเขาอาจจะถูกสังหารหากเดินทางกลับประเทศ เขาจึงลี้ภัยอยู่ เขากล่าวด้วยว่า อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อาจจะยุติบทบาทในขบวนการ หากเป็นเช่นนั้นจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร?ขณะนี้เหมือนทุกอย่างหยุดชะงักหมด?

จักรภพ: ถูก

โซอี: ขณะนี้คุณไม่เจรจา ยังไม่มีทางเลือกใดๆ สู่ความสมานฉันท์ ฐานะของคุณทักษิณอยู่ตรงไหนในการกำหนดยุทธศาสตร์ชนิดวันต่อวัน?

จักรภพ: ท่านนายกฯ ทักษิณฯ ยังอยู่ในภาพ ท่านคือสัญลักษณ์ที่แจ่มชัดของขบวนการ แต่ท่านกำลังใช้เวลาพิจาณาก้าวเดินต่อๆ ไปของตัวท่านเอง ไม่ใช่ของขบวนการ

โซอี: คุณหมายความว่าอย่างไร?

จักรภพ: ผมคิดว่าท่านกำลังประเมินสถานการณ์ว่ายังคงคุ้มค่าที่จะต่อสู้อยู่หรือไม่

โซอี: จริงหรือ?

จักรภพ: อาจเป็นเช่นนั้น

โซอี: ทำไม?

จักรภพ: ผมพูดแทนท่านไม่ได้ ผมไม่ได้ทำงานใกล้ชิดกับท่านมากพอที่จะพูดอะไร แต่ผมเชื่อว่าทุกคนในขบวนการ รวมทั้งท่านด้วย สามารถกำหนดจุดยืนใหม่ของตนเองได้ ผมพูดได้เพียงเท่านั้น

โซอี: คุณคิดว่าเขาอาจจะถอนตัวหรือลดบทบาทการนำหรือ?

จักรภพ: ผมไม่ได้พูดเช่นนั้น ผมพูดว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะนั่งคิดในเรื่องนี้

โซอี: แล้วขบวนการจะเป็นอย่างไรถ้าคนสำคัญๆ ถอนตัวจากการนำ?

จักรภพ: ประเด็นที่เผชิญหน้าเราอยู่คือเราจะได้รับความสนับสนุนอย่างไร แต่ปีที่แล้วทั้งปี ก็พิสูจน์แล้วว่าการสนับสนุนมาจากแหล่งอื่นๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากคุณทักษิณฯ จากครอบครัวของท่าน หรือผู้ที่ท่านมอบหมาย

โซอี: พูดถึงเรื่องเงินหรือ?

จักรภพ: เรื่องเงิน เรื่องสถานที่อยู่ที่ปลอดภัย เรื่องความร่วมมือกับรัฐบาลที่เราไปพำนักและอาศัยอยู่กับเขา เรื่องต่างๆ เหล่านี้เราได้รับความสนับสนุนอย่างเป็นธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมา ระบบในอดีตอาจจะแน่นเกินไปสักหน่อย ช่วงปีที่ผ่านมาเมื่อเราออกนอกระบบนั้น ก็รู้สึกผ่อนคลายดี และทำให้เรารู้ว่าแหล่งสนับสนุนสากลพอจะแสวงหาได้ เราจึงให้ความสำคัญกับการอธิบายความในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

โซอี: หมายความว่าเขาช่วยบริจาคทุนเพื่อให้ขบวนการอยู่ได้หรือ?

จักรภพ: ถูกต้อง

โซอี: ต่างชาติหรือไทย?

จักรภพ: โดยเฉพาะต่างชาติ

โซอี: คุณจักรภพฯ ขอบคุณที่สละเวลาให้กับเรา

---------------------------------------------------------------------------------