ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

จับกุมสมยศ โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง จับคุณสมยศ

โดย กาหลิบ


ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะสำหรับเมืองไทย คราวนี้นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มีสไตล์เฉพาะตัวอย่าง คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกจับกุมอีกครั้ง เที่ยวนี้ด่านตรวจคนเข้าเมืองไทย-กัมพูชาเล่นบทผู้กักตัว แล้วแจ้งตำรวจกองปราบฯ บวกเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษมารับตัวไปดำเนินคดี เชื่อว่ากรณีนี้สัมพันธ์กับหมายเรียกและหมายจับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ อันเป็น ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ ของนิตยสารฝ่ายประชาธิปไตยที่คุณสมยศฯ เป็นบรรณาธิการบริหารอยู่ในขณะนั้นคือ Voice of Taksin

งานนี้คงมีคนหวังเอาหน้ากับเหล่าไดโนเสาร์โบราณกันเต็มที่ ข่าวที่ออกผ่านเว็ปไซต์ของสื่อสายพันธุ์เดียวกันอย่างเนชั่น จึงเขียนข่าวว่า

“30 เมษา. 2554 14:32 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสอบสวนสะกดรอยดีเอสไอ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.ส่วนสืบสวนสะกดรอย ดีเอสไอ ได้นำกำลังเข้าจับกุมจับนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการบริหารนิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ในคดีล้มเจ้า ได้ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งขณะนี้ได้นำตัวไปสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ

ความจริงคุณสมยศฯ ไม่ได้หนีหรืออำพรางตัวใดๆ เลยก่อนถูกจับกุม ขณะนั้นคุณสมยศฯ กำลังยื่นเอกสารให้ด่านตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบอย่างเปิดเผย เพราะกำลังนำคณะนักท่องเที่ยวไทยข้ามไปยังฝั่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำมาแล้วหลายครั้ง ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขอกักตัวไว้เพียงคนเดียว โดยอ้างว่ามีหมายเรียก/หมายจับ ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินทางข้ามแดนไป

การประโคมข่าวว่าคุณสมยศฯ หลบหนี” “กบดาน” (ต้อง) สะกดรอย” (เพื่อจับกุม) ช่วยชี้ว่าคนที่มีหน้าเกี่ยวข้องคงกำลังแข่งขันสร้างผลงานในคดี ล้มเจ้าจนต้องเร้าอารมณ์และสร้างความตื่นเต้นเพื่อเอาใจบุคคลระดับสูงที่ส่งสัญญาณมาให้ลุยเต็มที่ในคดีประเภทเดียวกันนี้

และนั่นก็คือตัวบ่งชี้ว่าสัญญาณนั้นได้ส่งลงมาแล้วจริงๆ

ภาพที่ปรากฏก็ชัดแจ้ง หน่วยคอมมานโดของกองปราบฯ และทหารได้เข้าปฏิบัติการปิดและยึดสถานีวิทยุชุมชนด้วยท่วงท่าราวกับหนังประเภทบู๊ล้างผลาญทั้งที่ไม่มีใครเขาต่อต้านหรือสกัดขัดขวางอะไรเลยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แถม เวทีราษฎรที่อนุสรณ์สถานดอนเมืองวันนี้ (วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔) ก็ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงขัดขวางจนแทบไม่อาจตั้งได้

การจับกุมคุณสมยศฯ และเหตุการณ์อื่นๆ ที่อ้างถึงนี้ บอกกับพวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยอย่างถนัดชัดเจนว่าการปรองดองที่หลงใหลกันนั้นหามีไม่

ความจริงคนที่ฝ่ายเขาพูดคำว่าปรองดองด้วยก็มีอยู่ แต่คนเหล่านั้นต้องแสดงตัวหมอบราบคาบแก้วกับฝ่ายผู้ถืออำนาจเก่าแก่โบราณเสียก่อน การออกมาสรรเสริญเกียรติคุณเหนือหัวใดๆ อย่างที่คนบางชนิดในฝ่ายประชาธิปไตยที่อุตส่าห์ไปเป็น นักเรียนนอกมาเกือบปียังกลับมาแสดงละครอย่างน่าคลื่นเหียนผ่านช่องแดง โดยอวดอ้างว่าตนมีกิจกรรมจงรักภักดียิ่งกว่าใครๆ จึงเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

อะไรจะน่าสะอิดสะเอียนกว่ากันคงบอกยาก เมื่อเทียบกับตัวอะไรที่มันไปรับงานฝ่ายเขามา ฆ่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์และร่วมต่อสู้มาด้วยกันอย่างโชกโชน

มาบัดนี้จึงไม่ใช่สองแนวทางประชาธิปไตยอย่างที่เคยเข้าใจเสียแล้ว หากเป็นการ ว่าจ้างและ ติดสินบนพวกเดียวกันมาไล่ล่าฆ่ากันเองในทางการเมือง เพียงเพื่อตัวจะได้กลับไปหมอบคลานแล้วเลียฝ่าเท้าของ เขาได้อย่างที่เคยทำ

สถานการณ์เช่นนี้นักประชาธิปไตยแท้จริงจึงตกอยู่ในอันตราย เพราะต้องผจญศึกสองทาง

การจับกุมคุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ก่อนหน้านี้ และคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุขซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้ประกันตัวหรือไม่ เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายแนวปฏิวัติโดยใช้พวกเดียวกันแต่เดิมเป็นเครื่องมือ

งานนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

แต่หัวใจคือมวลชนที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะตาสว่าง คลื่นมหาประชาชนเหล่านี้จะรวมตัวกันเพื่อโถมทับความเน่าเหม็นทั้งหลายของบ้านเมืองในเวลาไม่ช้านานนี้แน่ เพราะบ้านเมืองได้ครบวงจรของความเลวร้ายจนไร้ทางออกอย่างอื่นเสียแล้ว

ระหว่างนี้ขอให้คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุขและเพื่อนร่วมขบวนประชาธิปไตยทุกคนจงปลอดภัยและทำจิตใจให้มั่นคงไว้ก่อน.

------------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

Somyos Detained For Article 112 During A Tour


Somyos Detained For Article 112 During A Tour

(April 30): Somyos Prueksa-kasemsuk, Editor of "Red Power Magazine" and leader of a democracy group "June 24", was detained at the Thailand-Cambodia checkpoint today morning. It is reported that Somyos was about to pass through the checkpoint along with other members of his tour. He was informed of an arrest warrant against him and detained, pending the police's arrival. The allegation is said to be about Lese Majeste or Article 112, possibly based on Somyos's now-defunct "Voice of Taksin Magazine". Somyos was singled out and separated from the group. Our source reported that he is now on the way back to Bangkok in a police escort. The destination is believed to be either the police's Crime Suppression Department or the Department of Special Investigations or DSI. A supporter of Somyos asks to accompany out of fear for foul plays. - TPNews

------------------------------------------------------
สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ไพ่กัมพูชา (ตอน ๒) โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ไพ่กัมพูชา (ตอน ๒)

โดย กาหลิบ

เขาคาดว่าการจุดไฟเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยพูดไม่ออก ครั้นจะโจมตีไทยและแสดงความเห็นใจกัมพูชา ก็คงกลัวว่าพวกจะด่าประณามให้ว่าไม่รักชาติ ปันใจไปยังศัตรู ตัวละครที่เขากะว่าถูก ล็อคด้วยเกมนี้แน่คือคุณทักษิณฯ คนหนึ่ง พรรคเพื่อไทยทั้งพรรค และนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ที่เขารู้ดีว่าได้รับความเห็นใจจากกัมพูชาในฐานะฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน แต่ถ้าบุคคลเหล่านี้ถือธงอุดมการณ์ใหญ่ ใหญ่กว่ากระแสโฆษณาชวนเชื่อและลัทธิหลงชาติ จะสามารถนำพาสังคมไทยออกจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าอะไรถูกอะไรผิด และอะไรคือมิตรคือศัตรูได้ไม่ยาก

ขณะนี้สถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ ช่อง ๗ ช่อง ๙ ช่องทีวีไทย และช่องกรมประชาสัมพันธ์ ตลอดจนสื่อที่ต้องพึ่งพาอำนาจรัฐทั้งหลาย กำลังกลายสภาพเป็นน้ำใต้ศอกของใครบางคนที่คอยส่ง ธงของข่าวสถานการณ์สู้รบ ด้วยบทละครที่ไม่ได้ซับซ้อนอันใด

การปะทะกันด้วยกำลังในคราวก่อนจบลงตรงไหน หลายคนก็เริ่มจำไม่ได้ คราวที่แล้วกัมพูชาส่งเรื่องประท้วงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และขอผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศมาเป็นกรรมการกลาง แต่ด้วยอำนาจเบื้องหลังของมหาอำนาจบางราย คณะมนตรีความมั่นคงฯ จึงโยนเรื่องกลับมายังสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน อาเซียนโดยประธานปัจจุบันคืออินโดนีเซียก็เดินเรื่องทันที เปิดเจรจากับไทยและกัมพูชาว่าจะขอวางแนวทางส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาตรวจสอบสถานการณ์โดยด่วน

กัมพูชายินยอม

รัฐบาลไทยไม่ยอม นายกรัฐมนตรีออกมาแถลงเอาว่าจะไม่ให้อาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องเนื่องจากเป็นปัญหาระหว่างสองประเทศเท่านั้นและไม่ใช่ปัญหาของกลุ่ม

กระบวนการสันติภาพจึงหยุดชะงักเพราะท่าทีของไทย และชะงักมาจนถึงวันที่ปืนลั่นอีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่ทหารสองฝ่ายล้มตายไปหลายนาย บ้านเรือนและทรัพย์สินราษฎรเสียหายไปมาก

ตอนนี้ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบอบเก่า เผ่นไปถึงอินโดนีเซียเพื่อวางแนวทางให้ผู้สังเกตการณ์เดินทางเข้ามา สื่อมวลชนไทยก็ช่วยปูพื้นไปเรื่อยๆ ว่างานนี้ไทยไม่ได้ทำอะไรเลย กัมพูชาเกิดขลังอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ระดมยิงใส่ไทยอยู่ข้างเดียวด้วยอาวุธนานาชนิด

คนไทยดูข่าวก็งงแล้วงงอีก เพราะถ้าลำดับดีๆ แล้วจะพบว่าเรื่องไร้ความสมเหตุสมผล

สิ่งที่อินโดนีเซียเขาต้องถาม (เงียบๆ) ก่อนอื่นก็คือ ทำไมคราวก่อนคัดค้านผู้สังเกตการณ์นักหนา เสมือนว่ามีอะไรปิดบัง มาคราวนี้กลับกลายมาเป็นฝ่ายรุกว่าของให้เข้าไปเปิดกระบวนการสันติภาพให้ทีเถิด อากัปกิริยาก็เร่งเร้ารุกรี้รุกรนเป็นอย่างยิ่ง

ความจริงดูมาตามท้องเรื่องก็จะไม่งง คราวก่อนยังไม่ได้เตรียมการการเมืองในประเทศให้ดี ก็ดันไปเปิดเกมปะทะกับเขาเสียก่อน ถ้าผู้สังเกตการณ์เข้ามาในเวลานั้น ก็จะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดทางการเมืองต่อระบอบเก่าในเมืองไทย

แต่คราวนี้เขาวางแผนครบถ้วนขึ้น รอบใหม่จึงเริ่มต้นด้วยการไล่ปิดวิทยุชุมชนของฝ่ายประชาชนพร้อมกันหลายพื้นที่ ไล่ล่าผู้นำมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นอย่างจริงจัง วางแผนให้สื่อถือสัมปทานของรัฐออกมาโฆษณาชวนเชื่อตามแผนที่วางไว้คือ ทำให้ไทยเป็นพระเอก ๑๐๐% และชี้นำให้กัมพูชาเป็นผู้ร้าย ๑๐๐%

จากนั้นก็ออกเดินสายขอความเห็นใจจากโลกว่าไทยถูกแกล้งเหมือนนางเอกในละครหลังข่าว

นายกษิตฯ ช่วยทำเนียนขึ้นไปอีกด้วยการให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า กัมพูชาได้รับความสนับสนุนจากประเทศอื่นๆ ในการสู้รบกับไทย และขอให้ชาติเหล่านี้พิจารณาทบทวนการสนับสนุนกัมพูชาเพราะกัมพูชา มิได้นำความช่วยเหลือเหล่านั้นมาใช้พัฒนา แต่อาจกันเงินจำนวนหนึ่งมาซื้ออาวุธรบกับไทยเสมือนว่ากัมพูชามิได้มีกองทัพหรือความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ใดๆ อยู่เองเลย

ฟังเผินๆ ดูสมจริง เพราะคนไทยส่วนหนึ่งถูกจูงจมูกให้เชื่ออยู่แล้วว่ากัมพูชาเขาสิ้นไร้ไม้ตอก จนกรอบ และไม่อาจจะเปรียบเทียบด้านใดกับฝ่ายไทยผู้สูงส่งได้เลย

ทั้งหมดนี้เป็นบทละครที่เขียนไว้อธิบายฉากสงครามไทย-กัมพูชา ที่เขียนให้แสดงหน้าเวที หลังเวทีก็ปฏิบัติการปิดประตูตีแมวฝ่ายประชาธิปไตย โดยใช้การฆ่า การทำร้าย การจับกุมคุมขัง และย้ำวาทกรรม เผาบ้านเผาเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อผลประโยชน์การเมืองในประเทศเพียงเท่านั้น

ดีแล้วที่เผลอพาดพิงไปถึงจีนและเวียดนาม เกมตื้นๆ ที่นึกว่าใครเขาโง่กว่าตัวของคนบางคนนั้น จะได้กลายเป็นหลุมขวากที่ลากตัวเองลงไปถูกทิ่มแทงตายในบั้นปลาย.


---------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ไพ่กัมพูชา โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ไพ่กัมพูชา

โดย กาหลิบ


ความจริงราชอาณาจักรกัมพูชาก็เป็นประเทศเต็มตามคุณสมบัติ แต่เจ้าของประเทศไทยขณะนี้กำลังมองเขาเหมือนไพ่ในมือใบหนึ่ง จะเลือกเล่นเลือกใช้เมื่อไหร่ได้ทุกเมื่อ ตามแต่เกมการเมืองของตนจะชักนำไป ผลลัพธ์ทุกอย่างก็เพื่อผลการแย่งชิงอำนาจภายในประเทศไทย ไม่ได้เกี่ยวกับกัมพูชาหรือการเมืองข้ามชาติใดๆ เลย

ประเด็นคือกัมพูชาและอาเซียนที่จับตามองไทยมาตลอดตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เขาก็เข้าใจเกมของใครบางคนในเมืองไทย

เหตุต้องปะทะกันอีกครั้งใกล้ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม จึงเป็นเรื่องของหลักการปะทะตอบโต้ของฝ่ายทหาร ไม่ใช่นโยบายหรือจุดยืนทางการเมืองของรัฐบาลกัมพูชา

จุดยืนฝ่ายเขายังคงเป็นการไกล่เกลี่ยเจรจาทางการทูต ไม่ใช่ยิงใส่กัน โดยให้อินโดนีเซียผู้เป็นประธานอาเซียนเป็นเจ้าภาพ ปรากฏว่าไทยเล่นบทอันธพาลทุบโต๊ะ และไม่ยอมรับวิถีทางสันติขึ้นมาเสียเฉยๆ ชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาอ้างซึ่งอาเซียนเขาก็รู้ทันอีก

ความชัดเจนของเขาทำให้ประชาคมอาเซียนส่วนที่ยังมองภาพไม่ชัดถามว่า ถ้าไทยไม่ต้องการกติกาสากลแล้วไทยต้องการอะไรเล่า? คำตอบจึงผุดขึ้นมาเองว่า ไทยไม่ได้ต้องการอะไรหรอก เพียง จะหาเรื่องให้มีเกิดเหตุยิงกันที่ชายแดนเพื่อหวังผลบางอย่างที่กรุงเทพมหานครเท่านั้นเอง

ขาดความมั่นใจที่ศูนย์อำนาจเมื่อใด ก็ต้องอาละวาดฟาดฟันไปทั่วทิศเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและหาข้ออ้างที่จะเคลื่อนกำลังทหารทุกทีไป

ปัญหาการเมืองของคนที่ไฟธาตุใกล้จะแตกอีกแท้ๆ เป็นเหตุให้ไทยเสื่อมเสียชื่อเสียงที่เคยมีในสายตาเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอาเซียน เหมือนคนทะเลาะกับเมียมาจากบ้านแล้วมาหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนโดยไม่มีสาเหตุ คนที่มองเห็นเขาก็ลดความนับถือไปเรื่อยๆ ทุกวัน

ถามว่าปัญหาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชามีจริงหรือไม่ ตอบได้ว่าจริง ไม่เฉพาะผืน ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ยังมีอีกหลายจุดตลอดแนวชายแดนที่ยาวถึงประมาณ ๘๐๐ กิโลเมตร เช่นเดียวกับที่เรามีปัญหาทางเมียนมาร์ ลาว และมาเลเซีย และเช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่เขาก็มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับเพื่อนบ้านของตน แต่เขาก็ไม่ใช้สงครามมาแก้ไขปัญหานั้น

ผู้นำล่าสุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่แก้ไขปัญหาพิพาทในดินแดนด้วยกำลัง คือซัดดัม ฮุสเซ็น อดีตประธานาธิบดีอิรัก บัดนี้ก็ถูกจับแขวนคอตายไปแล้ว

เปิดฉากเถียงกับเขาว่าใครยิงก่อนยิงหลัง แต่พอทั้งหมู่บ้าน (ประชาคมอาเซียน) เขาชวนแก้ไขอย่างเป็นระบบและมีกฎเกณฑ์​ให้ประธานอาเซียนเป็นตัวกลางในการสังเกตการณ์และหาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นแค่ขั้นตอนแรกที่ยังไม่ได้ชี้ถูกผิดอะไร ก็ดิ้นหนี ปฏิเสธอารยะประเทศเขาอย่างทื่อๆ เถื่อนๆ จนกระบวนสันติภาพชะงักงัน

ผู้อารยะเขาต้องวิ่งเข้าหาพิสูจน์ความจริงที่ประกอบด้วยพยานหลักฐานครบครัน การอ้างด้านๆ ว่าฉันถูกแกผิด แต่พอเขาชวนหาความจริงกลับหนีหัวซุกหัวซุนย่อมชวนให้สงสัยในความถูกต้องและเจตนาของผู้ก่อปัญหานั้น

คนอยากแก้ไขปัญหากับคนที่อยากหาเรื่องโดยไม่คิดจะแก้นั้นมองโลกแตกต่างกันมาก

กัมพูชาจึงคือไพ่ใบหนึ่งในเกมอำนาจของชนชั้นนำไทย ที่หยิบมาเป็นเครื่องมือในขณะที่ศึกช่วงชิงอำนาจ ณ ศูนย์กลางเข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้น หากรั้งสังขารไม่อยู่ ก็จะเข้าใช้ประโยชน์จากประเด็นที่จุดเอาไว้นี้ เช่น อาจขยายให้กลายเป็นสงครามจริงเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ถือโอกาสเปลี่ยนรัฐพลเรือนให้เป็นรัฐทหารเพื่อเว้นวรรคประชาธิปไตย แสวงประโยชน์ส่วนตนจากอาวุธสงคราม งบราชการลับและอื่นๆ เป็นต้น

แต่ถ้าขบวนประชาธิปไตยถูกปราบจนราบคาบด้วยเครื่องมืออื่นๆ ไม่ว่าจะหลอกล่อให้ปรองดองและดึงเข้าสู่เกมเลือกตั้งที่ฝ่ายเขาเตรียมรุกฆาตฝ่ายประชาชนเอาไว้เต็มที่ เขาก็จะไม่ทิ้งไพ่กัมพูชา ทิ้งไว้ในมืออย่างนั้นจนกว่าจะถึงจังหวะต่อไป

นิสัยอย่างนี้ทำให้ชนชั้นนำไทยเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ไปทั่วโลก ยิ่งดูถูกเขาว่าโง่เง่าไม่รู้เท่าทัน เขาก็ยิ่งเกลียดชังเป็นทวีคูณ

ชาติที่รู้เจ็บรู้จำเหล่านี้เขาจึงสัมผัสใจกับชาวประชาธิปไตยและประชาชนชาวไทยที่ไม่ใช่ศักดินาและอำมาตย์แนบแน่นขึ้นทุกวัน

ไม่นานก็เหลือตัวคนเดียวในตึกสูง.

------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้อคิดของข่าวลือ โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ข้อคิดของข่าวลือ

โดย กาหลิบ


มีข่าวลือมากมายตลอดวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องทหารบกกำลังจะก่อการยึดอำนาจหรือรัฐประหาร มีข่าวการเคลื่อนกำลังพล รถถัง รถเกราะ และอื่นๆ จุดนั้นบ้างจุดนี้บ้าง และไปรวมกันที่ ร.๑๑ รักษาพระองค์ มีข่าวลือเกี่ยวกับการยึดสถานีโทรทัศน์ เพราะสัญญาณหายไปหลายชั่วโมง และมีข่าวลือเกี่ยวกับอาการป่วยไข้ของบุคคลสำคัญ ซึ่งทำให้ความเชื่อเรื่องยึดอำนาจทวีความเข้มข้นขึ้น

สุดท้ายก็เกิดการปะทะกันที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะที่ปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นจริง มีทหารตายและบาดเจ็บจริง ไม่ใช่ข่าวลือ

ทั้งหมดนี้นอกจากจะชี้ว่า เมืองไทยทั้งเมืองกำลังอยู่บนปากเหว ความขัดแย้งลึกซึ้งทางการเมืองที่ยกระดับขึ้นไปสู่ระดับระบอบทำให้เกิดสภาพการขาดความไว้วางใจในกันและกันอย่างรุนแรง สภาพเช่นนี้ถือกันในทางการทูตและทางทหารว่า มีอันตรายสูง เพราะเหตุเล็กน้อยในลักษณะน้ำผึ้งหยดเดียวก็สามารถจุดชนวนการใช้กำลังและความรุนแรงได้

เหมือนมหาอำนาจนิวเคลียร์ในทศวรรษที่ ๑๙๖๐-๑๙๙๐ ซึ่งหวาดระแวงสูงถึงขั้นวิตกจริต ขนาดจ่อนิ้วไว้ที่ปุ่มปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ตลอดเวลา ในสภาพจิตเช่นนั้นใครทำอะไรปังขึ้นมาก็ผวาตกใจและอาจปล่อยอาวุธล้างโลกออกมาได้ทุกเมื่อ

แต่เราล้วนมีสติปัญญา แม้กระทั่งข่าวลือที่ไร้มูลความจริงหรือมีจินตนาการเสริมแต่งอยู่มาก เราก็นำมาใช้ประโยชน์ได้หากวิเคราะห์ได้ถูกต้องและรอบคอบ ที่สำคัญคือนำมาใช้เป็นการ ซ้อมใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสำหรับฝ่ายประชาชนได้

ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้มีสภาพจิตใจที่เหมือนน้ำเดือดอยู่ในกาตลอดเวลา ความหลุกหลิกและแปรปรวนไปได้ตามสั่งจากที่สูงทำให้เกิดความเครียดทั้งต่อตัวเองและองค์กรภายใต้บังคับบัญชา เราก็คงจะประมาทมิได้ แต่ขณะเดียวกันไอความร้อนที่ล้นออกมาให้เห็น ก็ใช้เป็นมาตรวัดอุณหภูมิในสิ่งที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นได้ และเราก็ควรใช้

ความไม่มั่นใจในตัวเองอันเนื่องมาจากปัญหา ทหารเสือราชินีและ วงศ์เทวัญตลอดจนทหารอื่นๆ ที่คลื่นเหียนวิงเวียนกับการเมืองในกองทัพประเภทนี้ ล้วนเป็นปัจจัยทำให้ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้มีแนวโน้มที่จะ เกินหรือ “over-react” อยู่เป็นประจำ การเป่าหูจากบทบาทของ ฝ่ายในซึ่งเป็นผู้มีความรู้ แต่ใช้ความรู้นั้นปั่นให้เกิดความคิดแบ่งแยกระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมผ่านสามีที่ตื้นเขินกว่า ก็ยิ่งทำให้ การเมืองวงไพ่ครอบงำการเมืองไทยเป็นอย่างสูงขนาดมองไม่เห็นทางออก

ข้อคิดจากการฟังคำให้สัมภาษณ์หรือสีหน้าท่าทีกิริยาของพลเอกประยุทธ์ฯ คือเราอาศัยสิ่งเหล่านี้ไปวัดประเมินข่าวสารต่างๆ ที่ไหลเข้ามาได้ ประโยชน์ไม่ได้อยู่ที่สาระหรือเขาพูดอะไร แต่อยู่ที่เขาพูดอย่างไร เมื่อไหร่ และ น็อตหลุดกับคำถามประเภทใด

ถึงผู้บัญชาการทหารบกในวันนี้ไม่ใช่ ผู้สั่งการอิสระเป็นเพียงผู้รับคำสั่งหรือสัญญาณให้เตรียมลงมือปฏิบัติการ แต่การสังเกตวิธีปฏิบัติการในบางครั้งก็ช่วยเราได้มาก

การตัดสัญญาณโทรทัศน์และปิด gateway อินเตอร์เน็ตโดยอ้างว่า ดาวเทียมหลุดวงโคจรเราถือได้เลยว่าเป็นการซ้อมใหญ่ของนโยบาย จอมืดหรือ “blackout” อันเป็นวัตรปฏิบัติปกติในยามยึดอำนาจ สิ่งที่เราต้องคิดคือการสื่อสารระหว่างกลุ่มพลังต่างๆ ในฝ่ายประชาชนจะทำอย่างไร วันนั้นหายไปเพียงสามชั่วโมงเราก็งุ่นง่านและสับสนกันแล้ว ใครที่มีประสบการณ์และพลังสมองในแง่นี้ ได้โปรดชี้ทางสว่างให้กับมวลมหาประชาชนด้วย

โลกปัจจุบันถูกชักจูงให้เดินตามกระแส “hi-tech” โดยทำให้รู้สึกว่าทันสมัยกว่าและ ดีกว่าเดิม แต่การรักษาวิธีสื่อสาร “low-tech” ก็อาจมีประโยชน์ในยามที่อำนาจรัฐเข้าเกาะกุมและครอบงำสื่อ hi-tech ได้

เรื่องนี้ก็ควรคิดต่อกันให้มาก

ข่าวเรื่องสุขภาพบุคคลก็เป็นข้อคิด มวลชนต้องทำใจล่วงหน้าว่าเราจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เขาจะยอมให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริง กลุ่มอำนาจที่กำลังยื้อแย่งกันอย่างชุลมุนจะต้องรู้ก่อนและเคลื่อนตัวก่อน เพื่อความลงตัวในอำนาจของฝ่ายเขา โอกาสที่เราจะรู้ข่าวพร้อมกับฝ่ายเขามีน้อยถึงน้อยที่สุด ความสับสนก็จะมีมากจนถึงขั้นลงมือปฏิบัติใดๆ ไม่ได้เพราะขาดความมั่นใจ

ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยผู้มีฐานข้อมูลปิดลับและเปิดเผยดีกว่าประชาชนทั่วไป จะต้องออกมาทำหน้าที่นี้ ข่าวไทยไม่จำเป็นต้องออกมาจากเมืองไทย แต่ส่งผลกลับไปที่เมืองไทยได้มากมาย

หากเรามีแนวทางการเมืองที่ชัดเจนเสียอย่าง แม้แต่ข่าวลือยังมีประโยชน์.

-----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ระดับระบอบ โดย กาหลิบ


******************************************************************************

“ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ
เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ยอมฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร “

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๔๕ นาที


*****************************************************************************

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ระดับระบอบ

โดย กาหลิบ


ถ้ามองให้ทะลุหมอกควันที่ปกคลุมเมืองไทยในขณะนี้อยู่ เราจะเห็นได้ว่าการสู้รบในทุกมิติของทั้งสองฝ่ายหลัก คือฝ่ายอำนาจเก่าและฝ่ายประชาชน ได้ยกขึ้นไปสู่ระดับระบอบเรียบร้อยแล้ว

เราเคยพูดกันแล้วว่า ระบอบ กับ ระบบ อยู่คนละระดับ ระบบคือส่วนเล็กที่อยู่ภายในระบอบ โดยระบอบเป็นเสมือนกรอบใหญ่ที่สุดหรือหลังคาที่ครอบคลุมทุกระบบย่อยนั้นไว้ อำนาจสูงสุดของรัฐย่อมอยู่ในระดับระบอบ แต่ผู้มีอำนาจที่ต้องการยื้อยุดอำนาจนั้นไว้ในมือ จะสกัดกั้นทุกวิถีทางมิให้การปะทะทางการเมืองยกระดับขึ้นไปสู่การเผชิญหน้าในระดับระบอบได้ เพราะถ้าถึงแล้ว ก็จะไม่มีทางเลือกใดๆ เหลืออีกเลย นอกจากสงครามกลางเมืองที่จะต้องสูญเสียกันมาก

ปัญหาคือ ยิ่งไม่ต้องการการต่อสู้ในระดับระบอบ แต่ตัวแทนของระบอบกลับส่งสัญญาณให้เครือข่ายของตนแสดงบทบาททางการเมืองที่สร้างแรงกดดันทางการเมืองและผลักดันสถานการณ์รวมไปสู่จุดนั้นมากขึ้นทุกขณะ

โดยเฉพาะกองทัพบกที่เป็นเครื่องมือหลัก (สลับกับสถาบันตุลาการในฐานะเครื่องมืออันดับหนึ่งและสอง) ขณะนี้ออกมาแสดงบทบาทมากเป็นพิเศษ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก สั่งให้หน่วยงานคุมกำลังในบังคับบัญชาออกมาปรากฏตัวจนประจักษ์แก่สายตา (visibility) ลูกน้องในสายเดียวกันอย่าง พลตรี กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ ให้สัมภาษณ์ยืนยันสนับสนุน จุดยืนของผู้บัญชาการทหารบก ด้วยวาทกรรมเก่าๆ ย้อนยุค ที่มีความหมายทางการเมือง เช่น นักการเมืองเล่นการเมือง” “บูชาเกียรติยศมากกว่าเงินตราเป็นต้น

การกล่าวหาว่านักการเมืองเล่นการเมือง เป็นวิธีสื่อสารว่า ผู้มีบทบาททางการเมืองทั้งหลายที่มาจากการเลือกตั้ง ต่างขาดความเหมาะสมที่จะเข้ารับอำนาจรัฐเพื่อบริหารประเทศ คนเหล่านี้ถูกฝึกให้ใช้คำว่าการเมืองในมิติลบโดยตลอด โดยต้องการให้มวลชนนึกถึงความฉ้อฉล ผลประโยชน์ และความโง่เขลาในการบริหารชาติ มากกว่าความเป็นประชาธิปไตยและประโยชน์ในทางนโยบาย ในขณะที่ปกปิดความชั่วร้ายเชิงระบอบของตนเองด้วยสื่อกระแสหลักและนักวิชาการสมุนรับใช้

การจี้ไปที่บทบาทของ เงินตราก็หวนกลับไปโจมตี ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยใช้บทละครเดิมที่เขียนขึ้นมานานแล้วโดยสื่อในเครือผู้จัดการ โดยปิดบังความจริงว่า เงินตราสะพัดอยู่ในระบอบเก่าของไทยหนักหนาสาหัสกว่าในระบอบประชาชน ทั้ง ทรัพย์สินฯทั้งกลุ่มธุรกิจที่รับใช้ผู้มีอำนาจสูงสุดจนได้รับสัมปทานผูกขาดและต้องคอยจ่ายค่าต๋งย้อนคืน แม้กระทั่งรัฐประหารแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการอัดฉีด เมื่อครั้ง พ.ศ.๒๕๔๙ ก็เอาเงินสดใส่ถุงพลาสติกออกไปจ่ายแจกตามรถถังจุดละหลายล้านบาท เพื่อประกันความ จงรักภักดี

ยิ่งฝ่ายอำนาจเก่าเข็นกันออกมาเล่นบทบาทเท่าไหร่ ก็ยิ่งเร้าให้สถานการณ์ยกระดับจากการต่อสู้เผด็จการเฉพาะหน้า กลายเป็นต่อสู้กับเผด็จการระดับโครงสร้าง ที่เปรียบเสมือนเซลล์มะเร็งในร่างกาย จนสุดท้ายก็ถึงความคิดที่จะเปลี่ยนโครงสร้าง และดุลทางอำนาจทั้งหมด เนื่องจากหมดหนทางใดๆ อีกต่อไป

สำหรับผู้ที่ยังเชื่อว่า การต่อสู้ในระดับระบอบและโครงสร้างนั้น ใหญ่โตเกินไปหรือ ไม่มีทางจะเป็นไปได้โปรดทราบด้วยว่าท่านอาจจะไม่มีทางเลือก

การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในประวัติศาสตร์ไม่เคยกระทำสำเร็จเมื่อ ทุกๆ ฝ่ายในสังคม พร้อมหากเกิดขึ้นเมื่อมวลมหาประชาชนมีมติตรงกันว่า สถานภาพทางการเมืองที่เป็นอยู่มีความเลวร้ายจนเหลือที่จะกล่าว ไม่อาจยอมให้ดำรงสภาพอยู่ต่อไปได้ต่างหาก

ปฏิวัติฝรั่งเศสก็ไม่พร้อม ได้อำนาจรัฐในห้วงแรกแล้วก็ต้องล้างเลือดกันระลอกแล้วระลอกเล่ากันอีกหลายสิบปี จนระบบต่างๆ เริ่มลงตัว ระบอบจึงบังเกิดขึ้น และเสถียร ถือเป็นหลักชัยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ได้

ปฏิวัติรัสเซียเมื่อล้มพระราชวงศ์ได้แล้วก็ปฏิวัติซ้ำ โค่นกันอีกหลายครั้งจนพรรคคอมมิวนิสต์ใต้ วลาดิเมียร์ เลนิน ได้รับอำนาจสูงสุดและวางเครือข่ายของประเทศใหม่ สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนแปลงอีก

แม้แต่ปฏิวัติในยุคหลังอย่างชิลี อิหร่าน กัมพูชา ยูเครน ยูโกสลาเวีย ตูนิเซีย อียิปต์ ฯลฯ ก็ล้วนต้องอาศัยเวลาในการปฏิวัติเป็นระยะๆ ไปทั้งสิ้น ไม่มีรายไหนเลยที่ทำครั้งเดียวแล้วลงตัวได้ผล นี่คือสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมโดยมนุษย์

เมืองไทยเราเดินเข้าสู่ถนนสายปฏิวัติเพราะรู้สึกอย่างเดียวกับมวลชนปฏิวัติในอดีตว่าวิกฤติในปัจจุบันไร้ทางออกตามประเพณีเสียแล้ว เพียงแต่หลายคนยังติดยึดกับ ระบบเล็กๆ น้อยๆ เช่น เวทีชุมนุมประท้วง พรรคการเมืองแนวเก่า การเลือกตั้งในระบอบเดิม เป็นต้น ถึงขั้นนั่งแก้ตัวให้กับระบอบเก่าที่ประสบความล้มเหลว ถ้ากลับตัวไม่ทันอาจจะพลาดพลั้งลงหลุมไปพร้อมกับเขาอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด

รัฐไทยในการเผชิญหน้าใน ระดับระบอบถือเป็น สถานการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากห้าปีที่ผ่านมา.

-------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

กวาดล้าง ๑๑๒


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง กวาดล้าง ๑๑๒

โดย กาหลิบ

ขณะนี้ได้เกิดบรรยากาศกวาดล้างขึ้นอีกระลอกหนึ่งแล้ว เป้าหมายคือประชาชนชาวไทยหรือต่างชาติที่สามารถจะเอาผิดว่าหมิ่นกษัตริย์หรือรัชทายาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ได้ เพื่อนำตัวไปลงโทษร่วมกับคนเป็นร้อยๆ ที่ต้องคดีหมิ่นกษัตริย์อยู่แล้ว

สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความเชื่อของใครบางคนว่าเราจะได้ร่วมเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมในบรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์อย่างจริงใจ

กองทัพบก โดยสำนักงานเลขานุการกองทัพบก เพิ่งส่งหนังสือเวียนตีตรา ลับออกมาฉบับหนึ่ง ส่งไปยังหน่วยขึ้นตรงทั้งหมดของตนและหน่วยงานเครือข่ายในกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักนายกรัฐมนตรี กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น สั่งการและแจ้งให้หน่วยงานทุกๆ หน่วยจัดการรวบรวมพยานหลักฐานที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมายหมิ่นกษัตริย์ในเครือข่าย Twitter และ Facebook โดยให้เลขานุการกองทัพบกเป็นศูนย์อำนวยการ

นั่นคือระยะแรก

ระยะที่สอง จะแยกผู้ถูกกล่าวหาออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่มีถิ่นพำนักในประเทศไทย ก็ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การสื่อสารฯ กระทรวงยุติธรรม และเอกชนผู้รับสัมปทานให้บริการอินเตอร์เน็ตเป็นคนจัดการ ส่วนกลุ่มที่กระจายอยู่ในต่างประเทศก็มอบให้กระทรวงการต่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปร่วมกันไล่ล่า

หนังสือเวียนฉบับนี้ตีตรา ลับตัวเบ้อเริ่มที่หัวกระดาษ แต่ก็ไหลออกมาในลักษณะเดิมคือ ทหารส่วนที่รักศักดิ์ศรีของตนเองและเครื่องแบบเขาเกิดความละอายใจที่ต้องเป็นเครื่องมือของคนเลวที่พลัดเข้าไปได้ตำแหน่งสูงของบ้านเมือง เขาก็นำออกมาบอกกล่าวเล่าแจ้งกัน

ถึงเรื่องอย่างนี้จะบ่งบอกถึงความเลวอันชัดแจ้งของระบอบปัจจุบัน แต่ก็ให้ความหวังว่าพลเมืองสายพันธุ์ประชาธิปไตยมีแทรกอยู่ในทุกอณูของบ้านเมือง แม้แต่ในกองทัพบกอันมืดดำ

แต่ประเด็นของเราอยู่ที่กรอบความคิดเรื่อง ๑๑๒ ซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยในรอบเวลา ๕ ปีที่ต่อสู้กันมา เสียงเรียกร้องและการยกระดับความคิดของมวลชนเสมือนราดน้ำรดหัวตอหรือสีซอให้ควายฟัง

เห็นประชาชนเป็นปฏิปักษ์อย่างไรก็ยังเห็นอยู่อย่างนั้น

เห็นระบอบประชาธิปไตยว่าแสลงต่อระบอบผูกขาดโดยคนกลุ่มเดียวอย่างไรก็ยังเห็นเช่นนั้น

ปฏิกิริยาโต้ตอบก็เหมือนย้อนยุคกลับสยามประเทศก่อน พ.ศ.๒๔๗๕ เมื่อความเป็นคนสามัญยังไม่ต่างอะไรจากสัตว์

นักวิชาการแสนซื่อบางคนก็จะบอกว่า ประมุขของระบอบเขาไม่มีอำนาจสั่งการอะไรแบบนี้หรอก ลูกน้องสายต่างๆ ต่างหากที่มันทำแทน แล้วก็อ้างว่านายใหญ่ใช้ให้ทำ

ขนาดหลักฐานชี้อยู่โทนโท่ว่าเขายังแข็งแรงพอจะควบคุมอะไรต่อมิอะไรได้ โดยเฉพาะการสั่งให้หยุดพฤติกรรมที่ตัวไม่เห็นด้วยซึ่งง่ายกว่าสั่งทำเอง ก็ยังเชื่อฝังหัวอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีเหตุผลรองรับที่เพียงพอ ยึดเอาความเชื่อตัวเองเป็นฐานเพราะความหลง (ego) ขนาดหนักเท่านั้นเอง

สถานการณ์จริงของบ้านเมืองอยู่ที่คำสั่งกองทัพบกแบบนี้ ต่อให้สิบ ส.ส.มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ออกมาเรียกร้องให้ทหารกลับกรมกองก็จะไม่ได้ผล เพราะเขาออกมาเคลื่อนไหวในนามระบอบและเพื่อประโยชน์ของระบอบ ไม่ใช่ผลประโยชน์เฉพาะกิจของตัวเขาเองอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ นี้ต้องยกเลิกสถานเดียว หากฝ่ายประชาธิปไตยจริงจังและจริงใจกับการต่อสู้ของตน มาตรานี้และประเภทเดียวกันนี้คือภูเขากั้นขวางวิถีแห่งประชาธิปไตยเพราะรับรองระบอบการเมืองการปกครองบนหลักการตรงข้ามกับประชาธิปไตย

มาตรา ๑๑๒ เป็นทั้ง สาระ และ สัญลักษณ์ ของการต่อสู้ที่บัดนี้มวลชนนับล้านคนทั่วไทยและทั่วโลกให้การสนับสนุนแล้ว

จะนั่งรอให้เขาไล่ล่าฆ่าฟันเราก่อนให้โง่อีกหรือ?

------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

วุฒิสภาต่างระบอบ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง วุฒิสภาต่างระบอบ
โดย กาหลิบ

นักปรองดองทั้งหลายเห็นรายชื่ิอสมาชิกวุฒิสภาประเภทแต่งตั้งชุดใหม่แล้วรู้สึกอะไรกันบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้ จะเริ่มได้สติว่าขบวนการหลอกล่อและหลอกลวงฝ่ายประชาธิปไตยยังคงเข้มข้นรุนแรงขนาดชี้เป้าฆ่า หรือจะลุ่มหลงว่าตัวเองมีเวลาที่จะลับลวงพรางฝ่ายตรงข้ามแล้วไปหักหลังเขาทีหลัง หรือเชื่อใจเขาจริงๆ ว่าบัดนี้ดวงตาเขาเริ่มเห็นธรรมหรือไม่ก็ “ใจอ่อน” ลงแล้ว พวกหลังนี่ก็กลับมาเล่นเกมเรื่องผัวไม่รู้ไม่ชี้-เมียเป็นคนทำ ฉายซ้ำอีกรอบหนึ่ง คงเผื่อจะให้อภัยผัวเขาได้ในภายหลัง

สมาชิกวุฒิสภา (หรือพฤฒิสภา) ประเภทแต่งตั้ง เป็นผลสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งมาตั้งแต่การปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ.๒๔๗๕ ในขณะที่ระบอบประชาชนกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อใช้อำนาจผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ผู้กุมอำนาจเดิมจะแต่งตั้งตัวแทนของตนมาปะปนอยู่ในรัฐสภา นัยว่าเป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับกลุ่มที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา โดยมักสัญญาว่า ถึงวันหนึ่งเมื่อประชาชน “พร้อม” สมาชิกประเภทแต่งตั้งเหล่านี้จะถูกลดอำนาจไปเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไป รัฐสภาก็จะเหลือแต่ตัวแทนของประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเท่านั้น

แต่ทุกครั้งที่เจ้าของระบอบโบราณเกิดหวงอำนาจและให้สั่ง “กระชับพื้นที่” ทางการเมือง จะใช้วิธีรัฐประหารโฉ่งฉ่างหรือรัฐประหารเงียบ จะหลบอยู่หลังประชาชนอย่าง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือออกมาเป็นกรรมการกลางอย่างในช่วงวิกฤติแห่งเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ ก็ตาม อำนาจที่เริ่มไหลสู่ประชาชนเหล่านี้ก็จะไหลย้อนกลับ วุฒิสภาก็จะเกิดมีอำนาจถ่วงดุลกับสภาผู้แทนราษฎรขึ้นมา กองทัพเริ่มแสดงบทบาทชี้นำนั่นนี่ ทั้งที่กินเงินเดือนจากประชาชนเหมือนกับข้าราชการเหล่าอื่นๆ โดยไม่ได้สูงส่งไปกว่าเขา สุดท้ายรัฐบาลของประชาชนก็จะถูกโจมตีว่าชั่ว โกง คิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ครบชุดแล้วก็จะถูกโค่นล้มด้วยกำลังอาวุธที่ประชาชนเป็นคนออกเงินซื้ออีกนั่นแหละ

เพราะฉะนั้นชื่อของสมาชิกวุฒิสภาในยามปิศาจสยายปีกครองเมืองอีกครั้ง ย่อมมีความสำคัญและควรพิจารณาอย่างใกล้ชิด เช่นในขณะนี้

ยกบางชื่อขึ้นมาก็คงพอ เพราะยกมาทั้ง ๗๓ ชื่ออาจทำให้เมืองไทยดูเหมือนสงครามกลางเมืองมากเกินไป

นายคำนูณ สิทธิสมาน, พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์, นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์, พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม, พล.อ.อ.ชาลี จันทร์เรือง, พล.อ.ชูชาติ สุขสงวน, นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์, ศ.เกียรติคุณตรึงใจ บูรณสมภพ, นายตวง อันทะไชย, นายถาวร ลีนุตพงษ์, รศ.ทัศนา บุญทอง, พล.อ.ธีรเดช มีเพียร, นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช, ม.ล.ปรียพรรณ ศรีธวัช, นายพิเชต สุนทรพิพิธ, พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี, นางยุวดี นิ่มสมบุญ, พล.อ.รัชกฤต กาญจนวัฒน์, พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์, นายวันชัย สอนศิริ, นายวิบูลย์ คูหิรัญ, พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์, ม.ร.ว.วุฒิเลิศ เทวกุล, พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ, ศ.สม จาตุศรีพิทักษ์, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม, นายสมชาย แสวงการ, พล.ต.ท.สมยศ ดีมาก, นายสัก กอแสงเรือง, พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ฯลฯ

ถ้าจะแยกแต่ละชื่อออกมาวิเคราะห์ คงจะเขียนสายสัมพันธ์และพฤติกรรมทางการเมืองได้เป็นเล่มๆ โดยเฉพาะในช่วงจ้องทำลายระบอบประชาธิปไตยของประชาชนภายใต้คำว่าการต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร และขบวนประชาธิปไตยที่พัฒนาขึ้นหลังจากนั้น

แต่ในภาพรวมก็พอเห็นได้ว่าอะไรเป็นอะไร ขบวนการฝั่งตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยเขายังเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งตัวแทนนายพลเกษียณอายุ นักกฎหมายเอกชนที่ผูกตัวเองเข้ากับอำนาจรัฐของระบอบโบราณ สื่อมวลชนที่เป็นตัวแทนของสัมปทานสื่อผูกขาด ข้าราชการและนักวิชาการเกษียณที่คอยบอกสังคมว่าระบอบประชาธิปไตยไม่ดีอย่างไร ฯลฯ

วันดีคืนดีหรือวันร้ายคืนร้าย พอปั่นสถานการณ์เข้าทางตัวเองเต็มที่ วุฒิสภาสายพันธุ์นี้แหละที่จะเชิดชูนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นมาแทนนายกรัฐมนตรีเลือกตั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อค้ำยันระบอบวิปริตที่ใกล้จะล่มสลายลงด้วยความชั่วร้ายของตัวเอง วิธีการก็สารพัด ใช้มาตรา ๗ บ้าง แก้รัฐธรรมนูญให้ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งรวมเสียงกันไม่ติดบ้าง (โดยเฉพาะให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกเสียงเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องฟังมติพรรคของตน) เป็นอาทิ

จึงขอให้นัก “ปรองดอง” ทั้งหลายลองมองโลกตามความเป็นจริง อย่ามองตามฝันที่สลายมาแล้วไม่รู้จักกี่หนกี่ครั้งในรอบ ๕ ปี บางทีจะเห็นเองว่าระบอบเผด็จการศักดินา-อำมายาธิปไตยผู้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชน เขามิได้แสดงท่าทีที่ดีขึ้นกับฝ่ายประชาชนเลย ตรงกันข้ามเขากำลังเตรียมยึดอำนาจจากประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จด้วยซ้ำไป เมื่อได้คืบแล้วเขาคงจะเอาศอก และการสังหารผลาญชีวิตอย่าง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ก็คงจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อมีจังหวะ

วุฒิสภาย้อนยุคจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปิศาจแห่งระบอบเก่าเท่านั้น.

-----------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaip
eoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

แทงปลา โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง แทงปลา

โดย กาหลิบ

แล้วผู้บัญชาการทหารบกก็ออกโรง ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้เจ้าหน้าที่กองทัพบกผู้เป็นลูกน้องไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ กับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒ คนคือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ คุณวิเชียร ขาวขำ และกับอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก ๑ คนคือ คุณสุภรณ์ อัตถาวงศ์ โดยอ้างคำพูดและการแสดงออกของคนทั้งสามบนเวที นปช. แดงทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔

กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI โดย ธาริศ เพ็งดิศ ในฐานะอธิบดี ก็รับลูกว่าจะดำเนินการถอนประกันกับคนเหล่านี้รวมไปถึงแกนนำ นปช. ๗ คนที่ต้องติดคุกอยู่หลายเดือน ในทำนองว่าได้เกิดการละเมิดข้อตกลงและเงื่อนไขที่ให้ไว้กับศาลขึ้นจริง

ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดและการแสดงออกตามที่เห็นในข่าว ส่วนการกระทำและผลสืบเนื่องจริงๆ จะเป็นอย่างไรต้องติดตามต่อไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในบรรยากาศที่พูดย้ำซ้ำซากกันว่า ปรองดองคือความไม่เป็นมิตรและเห็นกันและกันเป็นศัตรู จนถึงขั้นแบ่งกันโจมตี บางระยะก็ให้ผู้พิพากษามีบทบาทมากหน่อย บางระยะย้ายไปใช้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บางทีก็เอาสื่อมวลชนสายศักดินา-อำมาตย์รวมทั้งเครือข่าย ASTV มาเขย่า บางระยะเช่นในระยะนี้ ก็เอาทหารอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สั่งให้รูดซิปปากไประยะหนึ่งออกมาใช้ใหม่ ฯลฯ

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายเขาเคลื่อนไหวในจังหวะเดียวกัน เพราะเขาเป็นทีมเดียวกันที่รับคำสั่งจากแหล่งอำนาจเดียวกันทั้งนั้น

ถ้าจะพูดให้ชัดเจนคือมาจากระบอบเดียวกันนั่นเอง

ถึงขนาดนี้แล้วควรหยุดพูดเสียทีว่า ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นแล้ว แต่เขาเก็บไว้ในใจเพราะ ฉลาด” “ลึกซึ้ง” “ไม่ไร้เดียงสาอย่างที่เล่นปมเขื่องกันอยู่ ถ้าฉลาด ลึกซึ้ง และรู้เดียงสา ก็คงจะหลอกฝ่ายเขาได้แนบเนียนและทำให้ฝ่ายประชาชนได้รับประโยชน์มากกว่านี้

ทั้งนี้ด้วยความเห็นใจผู้ที่ถูกกล่าวหาใหม่ โดยเฉพาะคุณจตุพรฯ ที่ปราศรัยถึง ทหารเสือราชินีและ ทหารรักษาพระองค์เพราะสิ่งที่พูดนั้นถูกต้องและสมควรพูดอย่างยิ่ง เพียงแต่ความมั่นใจว่าจะได้ ปรองดองกันจริงอาจจะสูงไปสักนิดหนึ่ง

บัดนี้เจอสถานการณ์จริงเข้าแล้ว คงเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น

การต่อสู้ของระบอบประชาชนเราต้องขยายออกไปทุกทิศ ทั้งทางกว้างและทางลึก เลิกผูกขาดว่าต้องนำโดยคนนั้นหรือองค์กรนี้ หากเราตีกรอบแคบๆ ให้ตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายเขาตระบัดสัตย์หรือหักหลังเราเราจะกลับตัวยาก ความเสียหายต่อแนวทางจะมหาศาล เราควรสำนึกในสถานการณ์จริงด้วยการชี้ให้ประชาชนเห็นทางเลือกที่จะเดินไป ทำให้ผู้ร่วมต่อสู้เห็นทางเลือกมากกว่าหนึ่งทางเลือก เราไม่ควรบี้กันเองเพื่อลดทางเลือกของประชาชนลง

คนที่มีอาชีพแทงปลาเขาจะเลือกร่องน้ำแคบๆ ตื้นๆ ที่ปลาว่ายผ่านด้วยความยากลำบาก ทางน้ำแคบๆ ทำให้ปลาต้องว่ายช้าลง เพราะต้องเอี้ยวตัวหลบทั้งดินดอนต่างๆ และปลาตัวอื่นๆ คนแทงปลาก็ถือโอกาสนั้นแทงปลาเอาตามสบาย สวบลงไปก็ได้ตัวขึ้นมาดิ้นพราดๆ

ใครก็ตามในฝ่ายประชาธิปไตยทำให้ช่องทางการต่อสู้อันกว้างขวางกลายเป็นร่องน้ำแคบๆ ตื้นๆ เพราะอยากจำกัดช่องทางว่ายน้ำของพวกเดียวกัน ก็จะพบเวรกรรม

รู้แล้วนี่ว่าเขายืนรอแทงปลาอยู่ที่ดอนตรงนั้น แล้วทำไมถึงดาหน้าว่ายไปทางเดียวกันจนต้องผ่านร่องน้ำแคบๆ ตื้นๆ ที่แสนจะอันตราย

สุดท้ายจึงกลายเป็นเหยื่อพวกแทงปลาจนหมด

เมื่อเราต่างรู้แล้วว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ พระราชบัญญัติประเภทความมั่นคงทั้งหลายและกฎหมายรองรับอำนาจอีกมากมาย มีไว้เล่นงานผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจนสิ้นซาก แล้วต้องรอใครมาบอกอีกหรือว่า กฎหมายเหล่านี้คือฉมวกแทงปลาอย่างเดียวกันทั้งนั้น

ตอนที่เขียนบทความเรื่อง ขอโทษที่ไม่ยินดีเมื่อแกนนำ ๗ คนได้รับการประกันตัว ก็มีคนบ่นกันไม่น้อยว่า กาหลิบใจร้ายและเสมือนมีความอาฆาตแค้นต่อแกนนำเหล่านั้นด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่ใครจะเห็นแล้วหรือไม่ก็ไม่รู้ว่า ความยินดีหรือลิงโลดใจด้วยอารมณ์ โดย ลืมมองภาพรวมของการต่อสู้ ทำให้เราเผลอคิดไปได้ว่าเรากำลังได้รับชัยชนะ ทั้งๆ ที่กำลังโดนกระหน่ำหนักกว่าเดิมจากฝ่ายเขา

พิจารณาลดอารมณ์กันสักนิด เพิ่มความคิดเรื่องแนวทางใหญ่กันอีกหน่อย เราอาจจะไม่เลี้ยวออกนอกทางกันมากนัก

ขอสนับสนุนให้คุณจตุพรฯ และผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดลุกขึ้นสู้กับข้อกล่าวหาตามมาตรา ๑๑๒ และเผื่อการต่อสู้นั้นไปยังผู้ถูกกล่าวหาใน ฐานความผิดเดียวกันนี้ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ถูกพรากอิสรภาพไปจากตัวในขณะนี้ด้วย.


----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

รบแบบลิเบีย (๒) โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง รบแบบลิเบีย (๒)
โดย กาหลิบ

ประชาชนลิเบียที่ลุกขึ้นสู้ (uprising) กับระบอบกัดดาฟี่ที่นำโดยผู้นำสูงสุดของรัฐคือพันเอกมูฮัมมา กัดดาฟี่ ล้วนมีเป้าหมายปฏิวัติ (revolution) เพื่อจะเปลี่ยนระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จมาเป็นระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น ปัญหาคือจะรบเพื่อสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของตัวเองกับอำนาจรัฐที่ฝังรากยาวนานอย่างระบอบโบราณของลิเบียนี้อย่างไร

ภาพฝ่ายรัฐบาลใช้อาวุธสงครามเข้าไล่ล่าฆ่าฟันฝ่ายประชาชน จนล้มตายกันราวใบไม้ร่วง ถึงจะถูกยับยั้งด้วยเขตห้ามบินตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอยู่ส่วนหนึ่ง เป็นภาพที่ทำให้ทั่วโลกต้องรันทดใจ แต่ก็ไม่อาจช่วยระงับยับยั้งความสูญเสียในขณะนี้ได้อย่างมีประสิทธิผล

อย่างน้อยเราควรส่องกล้องเข้าไปดูว่า ฝ่ายประชาชนปฏิวัติของลิเบียเขาทำอะไรมาแล้วบ้างและกำลังทำอะไรอยู่ หากไม่ได้อะไรเลยก็ควรได้ข้อคิดและบทเรียนในการลุกขึ้นสู้ของประชาชน

เราพูดกันมาแล้วว่าขณะนี้ฝ่ายประชาชนลิเบียสามารถยึดฐานที่มั่นทางภาคตะวันออกได้ โดยใช้นครเบงกาซีเป็นเสมือนนครหลวงของฝ่ายตน และขยายไปจนถึงเมืองราส-ลานูฟ เบรก้า และมิสราต้า เมืองมิสราต้านี้อยู่ใกล้กับนครหลวงทริปโปลีมากถึงขนาดถูกมองได้ว่าตีขนดหางพญานาคราช

ความสำคัญของภาคตะวันออกคือทรัพยากรทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะน้ำมัน

ลิเบียเป็นประเทศที่ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกหลัก ปริมาณน้ำมันปกติที่ผลิตขาย ๑,๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาร์เรลต่อวันคิดเป็น ๒% ของปริมาณน้ำมันที่ค้าขายกันทั่วโลก ประเด็นคือ น้ำมันของลิเบียส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกของประเทศที่ฝ่ายประชาชนเข้ายึดกุมอำนาจในขณะนี้

คำว่าส่วนใหญ่คือ ๗๐% ของน้ำมันทั้งหมดในลิเบีย

ขณะนี้มีข่าวว่า ฝ่ายประชาชนเริ่มระดมผู้เชี่ยวชาญน้ำมันที่หลบหนีไปในช่วงสู้รบกลับมาได้บ้างแล้ว โดยเฉพาะจากบริษัทน้ำมันต่างชาติที่ทำมาค้าขายอยู่ในลิเบียก่อนเกิดสงครามกลางเมือง ว่ากันว่าปฏิบัติการน้ำมันของฝ่ายประชาชนเริ่มต้นขึ้นด้วยดีจนสามารถผลิตน้ำมันได้ ๑๓๐,๐๐๐ บาร์เรลต่อวัน ต่อไปในเวลาสามสี่สัปดาห์หรือเดือนหนึ่ง น่าจะเพิ่มยอดผลิตได้เป็น ๓๐๐,๐๐๐ บาร์เรลต่อวัน

เงินที่กำลังจะไหลเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ฝ่ายประชาชนสถาปนาอำนาจรัฐได้

ปัญหาคือน้ำมันส่วนนี้กำลังจะเป็นดาบสองคม

โควต้าน้ำมันที่ลิเบียส่งขายให้กับบริษัทน้ำมันต่างๆ ทั่วโลกในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมานี้ ถือ เป็นการจัดการที่ลงตัวแล้วทางด้านผลประโยชน์ อะไรที่เคยขัดแย้งกันก็เจรจาหมดแล้ว นี่คือเหตุผลสำคัญที่ระบอบกัดดาฟี่อยู่มาได้อย่างผาสุก การเข้ายึดครองบ่อน้ำมันของฝ่ายประชาชนเท่ากับเปิดแผลเดิมขึ้นมาทำสงครามเศรษฐกิจกันใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะในหมู่ชาติตะวันตกที่อ้างว่าเข้ามาช่วยฝ่ายประชาชนลิเบียด้วยจิตสำนึกประชาธิปไตยแท้ๆ นั่นแหละ ความขัดแย้งรอบใหม่จะนำแรงหนุนเสริมมาให้กับฝ่ายประชาชน หรือจะช่วยสร้างความขัดแย้งจนฝ่ายประชาชนพ่ายแพ้ไปเลย ก็ยังไม่อาจพูดได้

ส่วนฝ่ายประชาชนลิเบียนั้นก็ยังมีปัญหาองค์กรนำและผู้นำ อดีตรัฐมนตรีและอดีตผู้นำทางทหารกำลังแก่งแย่งกันอย่างชุลมุนเพื่อก้าวขึ้นสู่บทบาทนำ จนแทบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร โดยเฉพาะเมื่ออำนาจในการชี้นำเรื่องน้ำมันจะอยู่ในมือของผู้มีอำนาจใหม่ด้วยแล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นศึกสายเลือดเสียยิ่งกว่าในกรณีของไทย

คนที่เป็นประชาชนแท้ๆ จึงน่าสงสารเป็นที่สุด ขณะนี้ก็ฝึกอาวุธกันไปตามมีตามเกิด ข่าวว่าเน้นที่การฝึกอบรมสามประเภทคือ ปืนกลใหญ่ ปืนครก และปืนประจำกายแบบอาก้า ๔๗ (AK47) ผู้ที่เข้ามาอาสารบก็ไม่ใช่นักรบอาชีพ วิศวกร ครู สถาปนิก ปัญญาชนที่บางคนไม่เคยเห็นปืนจริงๆ ในชีวิต กำลังเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อแลกกับการปฏิวัติที่เขามีความเชื่อถือ คนเหล่านี้แหละที่ล้มตายไปทีละมากๆ อย่างน่าสังเวชใจ

บทเรียนจากกรณีลิเบียที่ยังไม่จบและคงยังดำเนินต่อไปอีกนาน บอกเราว่าความไร้ประสบการณ์ของฝ่ายประชาชนและการแก่งแย่งชิงดีกันในบทบาทนำ เป็นอุปสรรคสำคัญในการรณรงค์ต่อสู้ ยิ่งเมื่อมีน้ำมันเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญอย่างนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งชลมุนวุ่นวายจนแทบแตกสลายจากภายใน โดยไม่ต้องรบกับศัตรูเลยด้วยซ้ำ

มองในแง่นี้อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังมีโอกาสดีกว่าฝ่ายประชาชนในลิเบีย อยู่ที่ว่าท่านจะเลือกเดินอย่างไรในวันนี้.
---------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

รบแบบลิเบีย (๑)

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง รบแบบลิเบีย (๑)

โดย กาหลิบ

สงครามกลางเมืองในลิเบียขณะนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีแนวคิดปฏิวัติประชาชน สิ่งที่เรานึกว่าเป็นทฤษฎีหรือประวัติศาสตร์ชนิดเก่าสุดกู่ที่ประชาชนธรรมดาๆ ลุกขึ้นสู้กับอำนาจรัฐอันใหญ่โตอลังการจนแทบไม่กล้าคิด กลายเป็นภาพปัจจุบันของลิเบีย เช่นเดียวกับการต่อสู้ของมวลชนตูนิเซียและมวลชนอียิปต์ก่อนหน้านี้ไม่นาน ส่วนสภาพการณ์ในซีเรียและเยเมนก็กำลังเข้าไคลและเคลื่อนไปสู่ทิศทางที่คล้ายคลึงกัน

ขณะนี้คนลิเบียแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ได้แก่ ผู้สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จของผู้นำสูงสุดในลิเบียคือพันเอกมูฮัมมา กัดดาฟี่ที่ไม่ได้เป็นทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ผู้ได้อำนาจมาด้วยการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน กับมวลชนผู้สนับสนุนการเปลี่ยนระบอบการปกครองของลิเบียให้เป็นประชาธิปไตย ฝ่ายแรกยึดกุมศูนย์อำนาจเดิมที่นครหลวงทริปโปลี ในขณะที่ฝ่ายหลังมีนครเบงกาซีทางภาคตะวันออกเป็นศูนย์ประสานงานหลัก และเข้ายึดครองเมืองน้ำมันอย่างราส-ลานูฟ ตลอดจนเมืองเศรษฐกิจอย่างเบรก้าและมิสราต้าได้ แต่ฝ่ายรัฐบาลใช้กำลังเข้าตีชิงมิสราต้ากลับคืนอยู่เต็มที่และดูเหมือนจะได้ผลด้วย

สิ่งที่น่าสนใจคือสงครามกลางเมืองครั้งนี้มีฝ่ายที่สาม นั่นคือ ประชาชาติตะวันตกและโลกอาหรับบางส่วนรวมตัวกันภายใต้มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ส่งกองกำลังทางอากาศเข้ามาในน่านฟ้าลิเบียที่ถูกประกาศให้เป็นเขตห้ามบิน (no-fly zone) นัยว่า เพื่อป้องกันมิให้กัดดาฟี่สามารถส่งกำลังเข้าถล่มทำลายที่มั่นของฝ่ายประชาชนได้โดยง่าย

ระหว่างนี้ก็เกิดการแปรพักตร์หักหลังกันไปตามประสาการปฏิวัติ กัดดาฟี่ก็สูญเสียมือไม้สำคัญๆ ไปจำนวนหนึ่ง อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่หนีไปอังกฤษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ไปช่วยนำฝ่ายประชาชน แม่ทัพนายกองทั้งที่อยู่ในประจำการและเกษียณอายุแล้ว เป็นต้น

ความจริงกัดดาฟี่เตรียมจะล้างบางฝ่ายประชาชนมาตั้งแต่วันแรก แต่การแทรกแซงจากต่างชาตินั่นเองที่ทำให้เสียแผน สิ่งที่น่าสนใจและควรจับตาให้ใกล้ชิดคือกัดดาฟี่พยายามปั้นการแทรกแซงจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นความขัดแย้งทางศาสนา เขาเอ่ยถึงคำว่า ครูเสด (The Crusade)” เมื่อกองกำลังรวมชาติเข้าพิทักษ์เขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย ซึ่งหมายถึงประวัติศาสตร์ส่วนที่ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ยกกำลังฆ่าฟันกันอย่างนองเลือดจนยุโรปว่างคนไปหลายร้อยปี หากกัดดาฟี่ปลุกสำเร็จ อาจทำให้ภาพรวมเปลี่ยนจากการปฏิวัติประชาชนของลิเบีย ไปเป็นสงครามศาสนาระหว่างชาติได้ ซึ่งจะทำให้ยุ่งยากและมีอันตรายมาก

แต่ปัญหาระหว่างประเทศแท้จริงมาจากบทบาทของจีนและอินเดีย ซึ่งยืนหยัดอยู่กับรัฐบาลลิเบียของพันเอกกัดดาฟี่อย่างเหนียวแน่น ความมั่นคงของยักษ์เศรษฐกิจทั้งสองทำให้บางชาติในยุโรปลังเลในนโยบาย ไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองเข้าข้าง ถูกหรือไม่ ขณะนี้ทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสเกิดรวนเรและไม่เข้าช่วยฝ่ายประชาชนที่กำลังต่อสู้ป้องกันเมืองมิสราต้า จนมีข่าวว่า ฝ่ายประชาชนสูญเสียกำลังพลนับร้อยในขณะนี้

เราจึงเห็นว่า ปัจจัยสำคัญในกรณีลิเบียขณะนี้คือการแทรกแซงจากกองกำลังต่างชาติ โดยเฉพาะเมื่อสามารถอ้างความชอบธรรมขององค์การสหประชาชาติได้ แต่แนวร่วมอย่างนั้นก็มีจุดอ่อน จุดอ่อนก็คือความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างชาติ เมื่อผลประโยชน์เหล่านี้ยังไม่ขัดกัน ฝ่ายประชาชนลิเบียก็มี ผู้ปกป้องและสามารถเดินหน้ายึดเมืองตลอดจนสถาปนาอำนาจรัฐใหม่ของตัวเองได้สะดวก เมื่อเกิดภาวะผลประโยชน์ขัดกัน ประชาชนก็กลายเป็นเหยื่อสงครามไปในฉับพลันทันทีอีก ความรุนแรงในฝ่ายรัฐบาลมีแต่จะเพิ่มขึ้นเพราะต้องฉกฉวยโอกาสและบวกด้วยความแค้นที่ถูกขัดขวางปฏิบัติการทางทหารในห้วงก่อนหน้านี้

บทเรียนของฝ่ายไทยในเรื่องนี้จึงสำคัญ หากจะนำองค์การระหว่างประเทศและต่างชาติเข้ามาในการต่อสู้ของเรา จะต้องคำนึงถึงจุดอ่อนและปัญหาใหม่ที่จะติดตามมาด้วย อย่าคิดเอาแต่ได้หรือทางดีแต่อย่างเดียว

ฝ่ายประชาชนจึงอาจสูญเสียมิสราต้าในเร็ววันนี้ ฝ่ายรัฐบาลคงได้ใจและรุกคืบต่อไปจนถึงฐานที่มั่นอื่นๆ โดยเฉพาะราฟ-ลานูฟและเบรก้า หรือไม่ก็เจาะไข่แดงที่เบงกาซีเอาเลยทีเดียว สิ่งที่แน่นอนคือพันเอกกัดดาฟี่ไม่มีทีท่ายอมจำนนหรือยอมรับการต่อรองใดๆ และพร้อมจะทำสงคราม ครั้งสุดท้ายเหมือนกับสิ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเมืองไทยชอบประกาศ แต่ไม่อาจทำเหมือนเขาได้เพราะไม่ใช่เจ้านายเหนือหัวของตัวเอง

ปัญหาคือฝ่ายประชาชนจะผลิตน้ำมันส่งขายเพื่อสร้างเศรษฐกิจของตัวเองได้ตามความตั้งใจหรือไม่?

นี่ก็เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต่อมา.
(ยังมีต่อ)
--------------------------------------
-----------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

สุรชัยพินัยกรรม โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สุรชัยพินัยกรรม
โดย กาหลิบ

เหล็กก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทานหรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น

นี่ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชนจนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้นเอง มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้

นี่คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เอาตัวเองเป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย

เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก

ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน

ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี) ระบบขับถ่ายไม่ปกติ

ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้

๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ

๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ

ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ

ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้ การ ฝากเรื่องในประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้และมีความประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม

คำประกาศจะไม่ให้ เผาศพจนกว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการนำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่าการกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย ตัดความยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น

หากการหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย

ความแน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓ เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา

ใครกำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเองจนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด

พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย

พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียวแต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้

และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.
------------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/