ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 69 แฟชั่นครม.


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 69 : แฟชั่นครม.
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
นายกรัฐมนตรีแต่ละคนย่อมต้องการจะส่งสัญญาณบางอย่าง โดยเฉพาะการ “เปลี่ยนยุค” และแฟชั่นมักจะเป็น “วิธีสื่อ” อย่างหนึ่งเสมอ

*******************************************************************************
แฟชั่น ครม.

ใครสังเกตหรือไม่ว่า คณะรัฐมนตรีแต่ละชุดก็มีแฟชั่นการแต่งกายของตัวเองไม่แพ้นางแบบและนายแบบทั้งหลาย ทั้งๆ ที่สูงวัยกว่ามาก มาแตกต่างอยู่ที่ว่า ครม. ไม่ต้องการสื่อสารหรือเป็นผู้นำในทาง design แต่ต้องการส่งข้อความบางอย่างในทางการเมืองมากกว่า

ผ้าไทยดูเหมือนจะหายไปแล้วในยุคนี้

ในรัฐบาลของคุณทักษิณซึ่งมีภาพลักษณ์และวิธีคิดที่ออกจะเป็นธุรกิจอยู่มาก และกรอบการมองโลกดูจะเป็นฝรั่งอยู่หน่อยๆ กลับเป็นรัฐบาลที่กำหนดเป็นกฎเหล็กเลยว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีตลอดจนทีมสนับสนุนจะต้องสวมเสื้อที่ตัดจากผ้าไทยในวันประชุม ครม. นัยว่าเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมผ้าไทย

เมื่อถึงคราวประชุมเอเปก ก็ใช้ผ้าไทยจากสุรินทร์เป็นเครื่องมือสื่อสารความเป็นไทยอย่างสำคัญ ขณะนี้ผลิตไม่ทันความต้องการของตลาดโลก จนมีคนนินทาว่าเลิกสนใจคนไทยไปแล้วด้วยซ้ำ จะเอาแต่ฝรั่งอย่างเดียว

ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เมื่อเห็นแฟชั่นอย่างนั้นก็แต่งบ้าง เดินตามกันอย่างว่าง่าย ขยายตลาดของผ้าไทยออกไปหลายสิบเท่าในเวลาไม่กี่ปี เช่นเดียวกับคนระดับผู้นำในภาคธุรกิจเอกชน

แฟชั่น ครม. จึงออกจะมีอิทธิพล

มาคราวนี้เห็นแต่ละท่านสวมสูทขึงขัง ไม่มีพื้นที่ขนาดเดิมให้กับผ้าไทยอีก ก็เลยนึกว่าทำไมจะต้องคิดมากจนถึงขั้นว่าจะไม่เดินตามกัน

นายกรัฐมนตรีสวมเสื้อพระราชทานแขนยาวเหมือนคุณเปรมอยู่คืนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นงานที่ตึกสันติไมตรี จากนั้นก็ไม่เห็นกลับมาสวมอีกเลย

ครม. อื่นๆ ไม่เห็นเคยใช้ผ้าไทย วันประชุมคณะรัฐมนตรีก็เห็นฝรั่งคลาคล่ำไปทั้งสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

อิทธิพล ครม. ขณะนี้แผ่กว้างไปอย่างรวดเร็ว ในทำเนียบรัฐบาลดูจะไม่มีใครกล้าหาญขนาดสวมเสื้อที่ตัดเย็บจากผ้าไทยมาเดินลอยชาย เพราะอาจจะถูกมองได้ว่าฝักใฝ่ในรัฐบาลเก่า ส่วนข้าราชการนั้นไม่ต้องพูดถึง ขณะนี้เข้าแฟชั่นสูทสากลกันอย่างเต็มตัว

เหมือนยุคเสื้อพระราชทานคอปิดที่รัฐบาลคุณเปรมส่งเสริมนัก พอพลเอกชาติชายมาสืบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อก็กลายเป็นสูท และเป็นสูทเรื่อยมาจนกระทั่งถึงคุณทักษิณ

นายกรัฐมนตรีแต่ละคนย่อมต้องการจะส่งสัญญาณบางอย่าง โดยเฉพาะการ “เปลี่ยนยุค” และแฟชั่นมักจะเป็น “วิธีสื่อ” อย่างหนึ่งเสมอ

ความจริงผ้าไทยนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่มีสายโซ่อุปทาน (supply chain) ที่ยืดยาวมาก ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมีประชาชนคนไทยได้รับประโยชน์เยอะ

เมื่อได้รับความนิยมจากคนระดับบนของสังคม ก็เป็นกำลังใจให้มุ่งมั่นพัฒนางานมาตลอด จนบัดนี้ยกระดับจากผลิตภัณฑ์ชาวบ้านที่ไม่ค่อยจะมีมาตรฐาน มาเป็นสินค้าสากลที่น่าภูมิใจที่สุดอย่างหนึ่งของอารยธรรมไทย มีคนไทยที่ลืมตาอ้าปากได้ไม่น้อยจากการนี้

จึงไม่อยากจะเห็นผ้าไทยกลายเป็นปิงปองการเมืองให้ตีกันไปตีกันมา

จริงอยู่ล่ะครับ ผ้าไทยนั้นก็มิได้สะดวกใช้ได้ในทุกที่ บางครั้งถึงกับต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในระหว่างวันเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์

จุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังคงมีอยู่ อย่างคนจำได้ง่าย ใส่ซ้ำไม่ค่อยจะได้ ค่าซักก็ออกจะแพง หรือถ้าอ้วนขึ้นสักหน่อยก็จะอึดอัดคับคั่ง ไม่เหมือนสูทที่ยืดหยุ่นกว่า แถมยังซ่อนพุงได้ดีกว่าด้วย

แต่เมื่อเราตั้งใจจะส่งเสริมกันแล้วก็ต้องทำ ขยักขย้อนอย่างนี้ชาวบ้านก็ตายลูกเดียว

รัฐบาลนั้นมีหน้าที่ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่มุ่งทำเฉพาะสิ่งที่ถูกใจ โดยเฉพาะให้ถูกใจตัวเองคนเดียวยิ่งถือว่าไม่สมควร

เห็นรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ใส่สูทกันไปหมดก็เลยขอติงกันไว้ตรงนี้หน่อยเถอะครับ

เกลียดคุณทักษิณนั้นก็เกลียดไป แต่อย่าฟาดงวงฟาดงาไปจนถึงอุตสาหกรรมผ้าไทยเลยเจ้าประคุณ

ชาวบ้านเขาเดือดร้อนแล้วครับ.
-------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

มองเตสกิเออ...ฝังรากรัฐธรรมนูญ โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : มองเตสกิเออ...ฝังรากรัฐธรรมนูญ
ที่มา : คอลัมน์ กว่าจะเป็นประชาธิปไตย นสพ.ข่าวมุสลิม พับลิกโพสต์
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

*****************************************************************************

มองเตสกิเออ...ฝังรากรัฐธรรมนูญ

ดูไปแล้ว ความยุ่งยากของการเมืองไทยปัจจุบันมีรากเหง้าเดียวกับปัญหาของยุโรปในศตวรรษที่ ๑๗ ข้ามเกี่ยวกับศตวรรษที่ ๑๘ นั่นคือรัฐบาลควรมาจากอะไรและควรมีอำนาจขนาดไหนในการบริหารบ้านเมือง เราได้เห็นการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามา ได้เห็นรัฐบาลนั้นถูกประณามโจมตีโดยกลไกของรัฐว่า คดโกง ไม่รักชาติ และไม่จงรักภักดีต่อกษัตริย์ ได้เห็นการแผลงฤทธิ์ของศูนย์การปกครองไทยที่ไม่แสดงตัวอย่างเปิดเผย แต่ใช้อำนาจผ่านรัฐบาลตัวแทน (proxy government) ในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยและสถาปนาระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยในทางปฏิบัติขึ้น

และเราต่างก็ได้เห็นความก้าวหน้าของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่ไม่ยอมรับต่ออำนาจโบร่ำโบราณนั้น เพียงยังไม่ชัดเจนนักว่าจะเอาชนะอำนาจรวมศูนย์และเหลือล้นดังกล่าวได้อย่างไร

มองเตสกิเออ เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสที่ยังปรากฏชื่ออยู่เสมอในการถกเถียงเรื่องนี้ ผมจะขอเล่าเรื่องของเขาโดยสังเขป รวมทั้งแนวความคิดในหลายร้อยปีที่แล้วแต่ยังสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่กับเราในปัจจุบัน อย่าลืมว่าคนอย่างเขานี่แหละที่ทำให้เรื่องนามธรรมอย่างหลักรัฐศาสตร์ ทั้งปรัชญาและการวิพากษ์สังคม กลายเป็นการปฏิวัติที่เป็นรูปธรรมขึ้นในฝรั่งเศส อ่านแล้วอาจจะเกิดความคิดเกี่ยวกับปัญหาของเราขึ้นบ้างก็ได้

เขาเกิดมาในชื่อ ชาร์ลส์-หลุยส์ เดอ เซกอนดาท ชีวิตอำมาตย์ของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เกิดจนถึงเข้าโรงเรียนและแต่งงาน อายุเพียง ๒๗ ปีบุญหล่นทับอีก ได้รับมรดกและสืบตำแหน่งจากลุงที่ถึงแก่กรรม กลายเป็นท่านบารอน เดอ มองเตสกิเออไปในบัดดล แถมตำแหน่งสืบตระกูลจากลุงในสภาท้องถิ่นในเมืองบอร์โดห์อีกด้วย ชีวิตมองเตสกิเออจึงไม่มีอะไรต้องกระเสือกกระสนในทางเศรษฐกิจ แต่ทางการเมืองแล้วเขาเริ่มพัวพันตัวเองเข้าไปเรื่อยๆ เขาเขียนบันทึกในภายหลังว่า เหตุการณ์ ๒ อย่างที่กระทบใจมองเตสกิเออและเป็นที่มาสู่ปรัชญาการเมืองของเขาคือ การปฏิวัติล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในอังกฤษภายหลัง “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ พ.ศ.๒๒๓๑” ที่มาก่อนยุคสมัยเขา และการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์หลุยส์ที่ ๑๔ กับการสืบราชสันตติวงศ์ใน พ.ศ.๒๒๕๘ โดยหลุยส์ที่ ๑๕ ที่มีพระชนมายุเพียง ๕ พรรษา ในงานเขียนช่วงหลังๆ มองเตสกิเออเอ่ยถึงเรื่องทั้งสองนี้บ่อยครั้งมาก ส่วนใหญ่ในเชิงเปรียบเทียบว่า อังกฤษก้าวหน้าไปถึงขั้นที่กษัตริย์กับประชาชนแบ่งอำนาจกันแล้ว แต่ฝรั่งเศสยังวนเวียนอยู่กับชนชั้นกษัตริย์ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดจนเอาเด็กอนุบาลขึ้นมาครองแผ่นดินได้

ความจริงงานเขียนช่วงนั้นก็สะท้อนปรัชญาที่ตกผลึกในภายหลังออกมาบ้างแล้ว มองเตสกิเออสมมติตัวเองเป็นชาวเปอร์เซียน (ปัจจุบันคือชาวอิหร่าน) ที่มาทัศนาจรในฝรั่งเศส เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวแล้วก็เขียนจดหมายหลายฉบับกลับไปเล่าให้ทางบ้านฟัง “จดหมายเปอร์เซียน” ชุดนี้ดังตั้งแต่การตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ.๒๒๖๔ เพราะพรรณนาสภาพความวิปริตผิดเพี้ยนของสังคมภายใต้หลุยส์ที่ ๑๕ ซึ่งเป็นพฤติกรรมทุเรศทุรังของสมาชิกพระราชวงศ์และเหล่าขุนนางของระบอบอำมาตย์ฝรั่งเศสทั้งมวลได้อย่างสละสลวยและก่ออารมณ์ร่วมทางสังคม เขาเขียนเล่าถึงความเหลวแหลกทางชนชั้นที่ศาลทุกระดับช่วยปกป้องให้ ในขณะที่จับตัวประชาชนผู้ไม่มีอำนาจต่อรองไปเข้าคุกด้วยเหตุไม่สมควรต่างๆ

หรือความหรูหราฟู่ฟ่าในพระราชวังหลวงขณะที่ราษฎรอดอยากยากจน คนอ่าน “จดหมายเปอร์เซียน” ในยุคนั้นต่างสะใจและอาจลืมไปเลยว่าคนเขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ที่ว่าด้วย แต่สายตาอันตรายจริงๆ ย่อมส่งมาจากเหล่า “ชายหญิงผู้สูงศักดิ์” ผู้มองเขาว่าเป็นกบฏต่อชนชั้นและดูแคลนว่าใฝ่ต่ำ งานนิพนธ์ที่สร้างชื่อให้มองเตสกิเอออีกชิ้นหนึ่งคือชิ้นต่อมา นั่นคือ “Considerations on the Causes of the Grandeur and Decadence of the Romans” หรือ “ข้อพิจารณาเกี่ยวกับสาเหตุแห่งความยิ่งใหญ่และช่วงทศวรรษของชาวโรมัน” ตีพิมพ์อย่างแพร่หลายเมื่อ พ.ศ.๒๒๗๗ แต่เมื่อเรามองย้อนเวลาในประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่างานทั้งสองเพียงชิ้นอุ่นเครื่องรอเวลาสำหรับงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้มองเตสกิเออเป็นอมตะ

งานชิ้นนี้วางรากฐานสำหรับหลักกฎหมายทั้งมวลโดยเฉพาะในการปกครองรัฐโดยใช้กฎหมายหรือหลักนิติธรรมที่มักเริ่มต้นจากลัทธิรัฐธรรมนูญ (constitutionalism) มองเตสกิเออเรียกงานเขียนของเขาว่า “The Spirit of the Laws” หรือ “วิญญาณ (จิตสำนึก) แห่งกฎหมาย” แต่ไม่กล้าใส่ชื่อจริงของผู้เขียน ตีพิมพ์ออกมาอย่างนิรนามใน พ.ศ.๒๒๙๑ ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจก็คือเล่มนี้เขียนแล้วงานเข้าทันที ผู้มีอำนาจในยุคนั้นกระโดดออกมางับและพยายามฉีกทิ้ง ผู้ที่ต่อต้านหนักหน่วงที่สุดคือผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิค ออกมาประกาศเลยว่าเป็นหนังสือต้องห้าม รวมกับเล่มอื่นๆ ที่เขาเขียนและคนอื่นเขียนใน “ดรรชนีหนังสือต้องห้าม “ หรือ “Index of Prohibited Books” แต่ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนไปทั่วแล้วในยุโรปขณะนั้น โดยไปดังที่อังกฤษมากที่สุด

“รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อมิให้มนุษย์คนใดต้องกลัวมนุษย์ด้วยกันอีกต่อไป” นี่คือหนึ่งในวาจาอมตะของมองเตสกิเออ อ่านประโยคนี้ในวันนี้หลายคนคงรู้สึกธรรมดา (เว้นแต่ในคนไทยที่ถูกครอบความคิดอย่างโบร่ำโบราณไม่ยอมให้ตามโลกได้) แต่ในยุคนั้นเป็นความกล้าหาญยิ่ง รัฐบาลตามแนวทางเดิมเป็นรัฐบาลของผู้มีอำนาจกว่าราษฎร ตั้งรัฐบาลก็เพื่อมาปกครองราษฎรอย่างครอบงำด้วยหอกดาบและอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนข้อกฎหมายเข้าข้างตน ไม่ได้ตั้งมาช่วยเหลือราษฎรเลย แต่งานของมองเตสกิเออชี้ว่ารัฐบาลต้องเป็นของประชาชน ประชาชนช่วยกันตั้งและรับรอง เพื่อใช้อำนาจรัฐในการช่วยเหลือดูแลราษฎรธรรมดาให้มีความผาสุกตามอัตภาพ เพราะมองเตสกิเออ แนวความคิดของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงเริ่มต้นมาตั้งแต่บัดนั้น

คนไทยหลายคนที่เคยปรารภว่า เหตุใดรัฐบาลเลือกตั้งในช่วง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ที่มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีผลงานมาก ชัดเจน และกระทบกับพี่น้องประชาชนในทางบวกมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในอดีต จะได้รับคำตอบจากประโยคนี้ของมองเตสกิเออ รัฐบาลชุดนั้นสร้างโดยคนไทยธรรมดา ไม่ใช่ผู้มีอำนาจเดิมของไทย ไม่ใช่ตัวแทนหรือร่างทรงของระบอบอำมาตยาธิปไตย มาสู่อำนาจก็เพื่อราษฎรธรรมดา ไม่ใช่เพื่อราษฎรพิเศษหรืออภิสิทธิ์ชน ประชาชนไม่ต้องกลัวรัฐบาลแบบนี้ ตรงกันข้าม ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ผลงานและเร่งเร้าให้ทำงานตรงกับความต้องการของตนได้เสมอโดยผ่านระบบตัวแทนและการเลือกตั้ง รัฐบาลไทยที่ “มนุษย์คนใดต้องกลัวมนุษย์ด้วยกัน” จึงค่อยๆ ถูกลบไปจากความทรงจำ ประชาธิปไตยไทยเริ่มเข้าลู่ เตรียมจะพุ่งโชนต่อไป หากถูกทำลายลงเสียก่อนใน พ.ศ.๒๕๔๙ โดยการรัฐประหาร หลังจากนั้น “รัฐบาลที่มนุษย์ต้องกลัวมนุษย์ด้วยกัน” ก็หวนกลับมา พร้อมคดีความที่ไม่ได้เห็นมากนักในสมัยประชาธิปไตย อย่างคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นจำนวนมากมาย ตลอดจนคดีทาง “ความมั่นคง” อีกนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดมาให้ “มนุษย์ต้องกลัวมนุษย์ด้วยกัน” ทั้งสิ้น

มองเตสกิเออจึงมีอิทธิพลอย่างสูงในการปฏิวัติเพื่ออิสรภาพของสหรัฐอเมริกา หรือเป็นหลักให้กับการประกาศเอกราชของประเทศนั้นนั่นเอง คณะบุคคลที่ถูกเรียกในภายหลังว่า “บิดาผู้สร้างชาติ” หรือ “Founding Fathers” ของสหรัฐฯ​ล้วนได้อ่านและนำความคิดของมองเตสกิเออไปใช้ทั้งนั้น คนที่นำไปประยุกต์โดยตรงที่สุดคนหนึ่งคือ เจมส์ เมดิสัน ซึ่งมีบทบาทในการยกร่างรัฐธรรมนูญและต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ด้วย เมดิสันมิได้หยิบมาอย่างผิวเผิน แต่นำเอาหลักการดังกล่าวมาใช้เป็นพื้นฐานในหลักการปกครองแบบ “ตรวจสอบและถ่วงดุล” ระหว่างผู้มีอำนาจ จนเกิดเป็นการขีดเส้นอย่างชัดเจนที่สุดระหว่างฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) ฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรสส์)​และฝ่ายตุลาการ (ศาลสูงสุด) และได้ผลในการส่งเสริมประชาธิปไตยพร้อมสกัดกั้นเผด็จการมาจนถึงทุกวันนี้

ความลึกซึ้งของมองเตสกิเอออย่างหนึ่งคือ เขาศึกษาการเมืองมากกว่าหลักรัฐศาสตร์ปกครองและการใช้อำนาจรัฐ ศาสตร์อีกสองสาขาที่เขาศึกษาจนถึงแก่นและเขียนเป็นตำราไว้ให้เราอ่านจนถึงวันนี้ ได้แก่ วัฒนธรรมมนุษย์ และ มานุษยวิทยา ทำให้เขาเข้าใจธรรมชาติวิสัยของมนุษย์และวางหลักการปกครองบ้านเมืองที่สอดคล้องต่อวิถีมนุษย์ได้ นักมานุษยวิทยารุ่นหลังๆ ยกย่องมองเตสกิเออว่าช่วยวิเคราะห์แยกแยะสังคมมนุษย์ไว้อย่างละเอียด เราจึงแบ่งสังคมออกเป็นสถาบันต่างๆ จนกระทั่งวางกลไกการอยู่ร่วมกันได้ สิ่งที่สร้างปัญหาก็เห็นเด่นชัด เหมือนที่เขาแบ่งสังคมฝรั่งเศสออกเป็น ๓ ชนชั้นคือ เจ้า อำมาตย์ และราษฎร หรือแบ่งรัฐบาลทั่วไปออกเป็น ๒ ระดับชั้นคือ ผู้ปกครอง (sovereign) กับ ข้าราชการ (administrative) หรือชัดเจนและมีประโยชน์ที่สุดคือการแบ่งกลไกของรัฐออกเป็น ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ที่ใช้กันทั่วโลก

ประชาธิปไตยจึงเกิดได้และมีความเสถียร แต่ก่อนจะเสถียรคนเขียนก็โดนกระแทกกระทั้นทางสังคมจนแทบวางวาย อย่างในฝรั่งเศสกับเรื่องของ ๓ ชนชั้นใหม่นั้น แนวคิดของมองเตสกิเออเกือบจะทำลายชนชั้นเดิม (พระ อำมาตย์ ราษฎร) ลงในคราวเดียว เป็นเชื้อไฟที่นำมาสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

พูดง่ายที่สุดคือ มองเตสกิเออทำให้เกิด “ราก” ขึ้นมาหยั่งลึกใน “รัฐ” ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เป็นประชาธิปไตยนั่นเอง.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

กลอน : สัญญาณผ่านเมือง โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : สัญญาณผ่านเมือง
ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 46
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

*********************************************************************************
สัญญาณผ่านเมือง

ความเหี้ยมโหดโคตรใครใครสั่งสอน
ลูกอุทรประชาธิปไตยใยจึงเหี้ยม
ขั้วหัวใจของผู้นำมันดำเกรียม
คงถูกเสี้ยมสอนต่อจากพ่อมัน

เมื่อมิใช่ครั้งแรกที่แหลกร้าว
จงสืบสาวราวกลับจับให้มั่น
ประวัติศาสตร์กล่นเกลื่อนว่าเหมือนกัน
เลือดตุลาครั้งนั้นยังไหลมา

กระสุนปืนสาดใส่ไม่ยั้งคิด
ราวโรคจิตผิดเพี้ยนคนเจียนบ้า
ผิดประหลาดแสนสุดมนุษย์มนา
สิบเมษาห้าสามตามรอยมาร

เชิญทั้งเลือดท่วมร่างมาวางไว้
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยให้กล่าวขาน
คลื่นมนุษย์ไหลท่วมมาร่วมงาน
ตระหนักรู้วิญญาณวีรชน

เห็นกระจะในภาพจนซาบซึ้ง
แม้คนที่ก้ำกึ่งยังลืมต้น
หากสำนึกยังเห็นคนเป็นคน
คุณก็คือมวลชนและคนไทย

ปืนทหารจังก้ายังกล้าสู้
คงเพราะรู้เดิมพันนั้นแค่ไหน
แต่หัวใจเหล็กกล้ามาอย่างไร
จึงวิ่งใส่มีแต่ตัวไม่กลัวปืน

คิดถึงเกียรติพี่น้องต้องร้องไห้
เพราะดวงใจกร้าวแกร่งจึงแข็งขืน
กระสุนสาดห้อมล้อมเขายอมยืน
จึงเกิดคืนศักดิ์ศรีแห่งวีรชน

อาวุธหนักหักล้างกลางสี่แยก
จนเกิดเสียงปืนแตกกลางถนน
เมื่อทหารระส่ำระสายทั้งไพร่พล
ก็รู้ว่ามวลชนไม่เหมือนเดิม

เตรียมจะปราบพิราบไทยฝ่ายเดียวหรือ
เขาก็ฮือหน้าหลังกำลังเสริม
ปิดประตูตีแมวนั่นแนวเดิม
อย่าฮึกเหิมให้สัญชาติแห่งฆาตกร

หลายชีวิตพลีไปในคืนนั้น
ได้ยินเสียงปืนลั่นยังหลอกหลอน
ศึกสงครามชนชั้นนิรันดร
ไพร่จะสอนสั่งอำมาตย์ชิงชาติไทย

คนที่คอยสั่งตีจากที่มั่น
ประชาชนรู้ทั้งนั้นไม่หวั่นไหว
คุณคือภูติกาลีปิศาจไทย
บัดนี้มองทะลุใจไม่หลงกล

เมื่อสิบแปดปีก่อนเราอ่อนหัด
แรงที่เคยยืนหยัดจึงร่วงหล่น
ประชาธิปไตยผูกมิตรแต่ผิดคน
เจอถนนสายไม่ตรงก็หลงทาง

นึกว่าเทพเจ้าแน่แท้ปิศาจ
เขาก็ตัดสะพานขาดร่วงลงล่าง
คืนที่สิบเมษาเหมือนสร้างทาง
ประชาชนอ้างว้างเข้ารวมตัว

เลือดที่รินหยดหยาดประกาศร้อง
เหล่าพี่น้องชาติเชื้ออยู่เหนือหัว
เห็นพวกเราดับดิ้นยิ่งสิ้นกลัว
ประกาศทั่วหมายปองจะครองเมือง.

--------------------------------------------------------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 68 คุณค่าคำขอโทษ


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 68 : คุณค่าคำขอโทษ
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
อธิบายออกมาเลยสิครับว่า นโยบายที่แล้วมาผิดอย่างไร จึงจำเป็นต้องขอโทษ และต่อไปจะดำเนินนโยบายอย่างไรในรายละเอียดไม่ใช่ถามทีไรได้แต่ “หลักการและเหตุผล” กลับมา เหมือนเอกสารโครงการสไตล์ราชการที่อ่านแล้วก็โง่ลง


******************************************************************************

คุณค่าคำขอโทษ

หลายคนอดประทับใจไม่ได้กับภาพและเสียงของนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ได้เอ่ยปากขอโทษพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โทษฐานที่ได้เกิด “ความผิดพลาดในการดำเนินนโยบาย” ของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรัฐบาลที่พลเอกสุรยุทธ์ไม่ได้ร่วมและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ด้วย

คนที่เป็นปรปักษ์กับรัฐบาลที่แล้วก็เชียร์สะบัด ประหนึ่งว่าได้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นอย่างฉับพลันทันใด

ความจริงสิ่งที่ได้รับจากท่าทีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มีเพียงอย่างเดียว คือพิสูจน์ว่ารัฐบาลขอโทษเป็น

ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นจากบุคลิกของคุณชวน หลีกภัย หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่การเปลี่ยนท่าทีที่ออกจะมากนี้ ก็ยังไม่ได้ลงลึกไปถึงสาระอันแท้จริงของการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เท่ากับการฟื้น ศอบต. ขึ้นมา และตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี คุณพระนาย สุวรรณรัฐ ไปเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ

ระบบเก่าที่หวนคืนมาใหม่คือสาระสำคัญ และตัวบุคคลก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะไม่ได้เห็นการสืบตระกูลบ่อยครั้งนักในสมัยนี้ น่าจะทำให้องคมนตรี นายพลากร สุวรรณรัฐ มีความสบายใจดี

การเปลี่ยนแปลงนโยบายเมื่อมีรัฐบาลใหม่เป็นเรื่องธรรมดา แต่การแสดงท่าทีเจ็บปวดต่อนโยบายของรัฐบาลเดิมจนถึงขั้นต้องแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา

คำขอโทษจึงเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลนี้จะไม่ดำเนินนโยบายอย่างที่แล้วมา และตีตราไว้เสร็จสรรพว่าใครที่คิดจะกลับไปทำอีกคงจะเจอกระแสต่อต้านอย่างหนัก

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้กระทำจึงเป็นการผนึกกำลังกับคนระดับนำในท้องถิ่นเพื่อตีกันการเปลี่ยนแปลงนโยบายหากจะมีอีกในอนาคต บอกโดยอ้อมว่าวิธีการที่แล้วผิด และวิธีการที่กำลังกระทำอยู่ทุกวันนี้เท่านั้นจึงถือว่าถูก ซึ่งเป็นสิทธิ์ของคนที่เป็นรัฐบาล

แต่สิ่งที่ดูจะสำคัญมากกว่าหรือไม่น้อยไปกว่ากัน คือการอธิบายให้คนไทยทั้งประเทศเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แท้จริงคืออะไร

อะไรคือของจริง

อะไรคือ “บริการเสริม” และเสริมโดย “ใคร”

ขณะนี้รัฐบาลกำลังขอโทษประชาชนส่วนหนึ่งของประเทศ ในขณะที่ประชาชนส่วนมากกำลังกระซิบกระซาบกันอุตลุตว่าเรื่องจริงไม่ผ่านจอนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

อธิบายออกมาเลยสิครับว่า นโยบายที่แล้วมาผิดอย่างไร จึงจำเป็นต้องขอโทษ และต่อไปจะดำเนินนโยบายอย่างไรในรายละเอียด

ไม่ใช่ถามทีไรได้แต่ “หลักการและเหตุผล” กลับมา เหมือนเอกสารโครงการสไตล์ราชการที่อ่านแล้วก็โง่ลง

คำขอโทษที่ดีควรประกอบด้วยท่าทีที่ดี และสาระที่สามารถสื่อสารให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจได้โดยตลอด ขณะนี้ได้ครึ่งแรกมาเพียงครึ่งเดียว

หรือบังเอิญคิดว่า ปัญหาภาคใต้สามจังหวัดเป็นประเด็นเจ้าขุนมูลนาย (imperial issue) ที่ประชาชนทั่วไปไม่เกี่ยว ระวังเขาจะแอบเรียก ศอบต. ว่าเป็นศูนย์เกี้ยเซียะ เพราะแบ่งอำนาจและผลประโยชน์ลงตัวแล้วก็แล้วกันไป

ใครประกาศจะ “แก้” ปัญหาก็แอบหัวเราะเยาะเขา เพราะหลักการที่แท้จริงคือแสวงหาสมดุลระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายโดยไม่คิดที่จะแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงเลย

วันนี้เรายกประเด็นเรื่องการขอโทษคนไทยสามจังหวัดขึ้นมาคุยกัน ก็เลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ความผิดฐานฉกชิงประชาธิปไตยไปจากมือของคนไทยทั้งประเทศ ๗๖ จังหวัดนี่มันจะขนาดไหน

และต้องอาศัยรัฐบาลในอนาคตอีกกี่ชุดมาขอโทษจึงจะสาสม.


------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 67 เสียดายน้ำ


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 67 : เสียดายน้ำ
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
นโยบายที่หวังผลระยะยาว อย่างแนวนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานจะโยงตนเองเข้ากับโลกาภิวัตน์หรือจะตัดรอนเลยนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลชั่วคราวและไม่ควรจะไปเจ๋อทำ

*******************************************************************************

เสียดายน้ำ

เห็นใครหลายคนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์แล้วผมก็กลุ้มใจพิลึก

ไม่ได้กลุ้มใจตรงความคิดเห็นหรอกครับ เพราะคนเราคิดเห็นแตกต่างกันได้โดยไม่ต้องเป็นศัตรูกัน ยิ่งความเห็นมากก็ยิ่งมีทางเลือกเชิงนโยบายมากขึ้น นับเป็นเรื่องที่ดี

ปัญหาอยู่ที่ว่า ความเห็นที่ออกมาจากปากของหลายคน ดูเหมือนจะอนุมานว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ได้พ้นอำนาจไปในเวลา ๑๗ เดือนอย่างที่ประกาศ แต่ทำท่าจะอยู่ต่อไปอีกนานหลายปี จึงแสดงความเห็นประหนึ่งว่าคุณสุรยุทธ์มีเวลาทำงานถึงสี่ปีเต็มๆ หรือมากกว่า

พูดกันให้ดีนะครับ รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาโดยครรลองที่คนส่วนใหญ่เขาจะชื่นชมกัน เมื่อขืนจะเข้ามาให้ได้ก็ต้องมีห้วงเวลากำกับเอาไว้ให้ชัดว่า ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้อีกเมื่อไหร่

๑๗ เดือนก็นานนักหนาแล้ว เมื่อเทียบกับปฏิทินโลกาภิวัตน์ นี่ยังส่งสัญญาณว่าประเทศไทยจะแยกตัวออกจากโลกอย่างถาวรอีกหรือ?

นโยบายของรัฐบาลชุดใดก็ตาม จะต้องเริ่มต้นจากที่มาของรัฐบาลนั้น ไม่ใช้ไปควักนโยบายสำเร็จรูปจากนักวิชาการคนใดมาใช้เหมือนผูกปิ่นโตและไม่สนใจสิ่งแวดล้อม

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสร้างสิ่งที่เรียกว่า สัญญาประชาคม ในระหว่างการหาเสียง เมื่อประชาชน “อนุญาต” ให้ครองอำนาจรัฐได้ชั่วคราวก็จะต้องวางนโยบายของตนเองบนฐานของสัญญาประชาคมนั้นเอง จะบิดพลิ้วพลิกลิ้นไปเสียมิได้

แต่รัฐบาลที่ตั้งตัวเองขึ้นมา ย่อมไม่มีโอกาสจะไปสร้างสัญญาประชาคมกับใครที่ไหน ก็ต้องพึ่งพาข้อกล่าวอ้างที่ตนเองพร่ำพูดมาตั้งแต่เริ่มต้นยึดอำนาจจากเขา เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างที่มาของรัฐบาลกับความคาดหวังของประชาชน

รัฐบาลชุดนี้เกิดจากการรัฐประหารโดย คปค. ที่ภายหลังแปลงกายเป็น คมช. หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และข้ออ้างของการยึดอำนาจก็คือความเลวร้ายนานัปการของรัฐบาลชุดเก่า ตั้งแต่ความไม่สุจริตไปจนถึงการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด

นโยบายของรัฐบาลแบบนี้จึงไม่ควรจะมีอะไรมากมายนัก นอกจากวางอยู่บนเหตุแห่งการได้มาซึ่งอำนาจของตน โดยแบ่งเป็นสองกรอบคือ การไล่ล่าผู้ทุจริต และ การกลับทวนนโยบายบางอย่าง

ส่วนนโยบายที่หวังผลระยะยาว อย่างแนวนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานจะโยงตนเองเข้ากับโลกาภิวัตน์หรือจะตัดรอนเลยนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลชั่วคราวและไม่ควรจะไปเจ๋อทำ

เข้าใจล่ะครับว่านโยบายทุกระยะย่อมพุ่งตรงไปสู่เป้าหมายระยะยาวหรือเป้าหมายถาวรแห่งชาติทั้งนั้น

แต่ก็ต้องคำนึงเช่นเดียวกันว่า รัฐบาลที่จะวางชิ้นส่วนภาพต่อไปทีละตัวทีละขั้น เป็นรัฐบาลประเภทไหน

ถ้าประชาชนส่งมาบริหารประเทศเองก็ไม่ทางเลือก ต้องทำเต็มกำลังความสามารถ ผิดถูกอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่ประชาชนถูกกันออกไปดูอยู่นอกวง ก็จะต้องสำนึกว่าตัวไม่ได้มีอำนาจอันชอบธรรมในการบริหารประเทศนัก ทำอะไรก็ต้องยั้งมือและหาทางถามประชาชนเสียก่อน

อะไรที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยมันก็ต้องยุ่งยากอย่างนี้

ก็เลยอยากจะบอกไว้ว่า อย่าไปเสียเวลามากนักกับการถกเถียงเชิงนโยบายในระยะเวลาอย่างนี้ พูดไปก็เหมือนนั่งคุยเรื่องวิชาการกับมือปืน เขาก็ย่อมจะออกไปทำตามที่เขาถนัดคือไล่ยิงคนอยู่ดี รอให้นักวิชาการตัวจริงมาเสียก่อนแล้วค่อยพูดกันน่าจะได้ประโยชน์กว่า

น้ำในยุคนี้มีค่านัก หลายประเทศเริ่มจะทำสงครามชิงน้ำกันแล้ว อย่างในตะวันออกกลาง

เสียดายครับ ถ้าจะเอาไปใช้แค่รดหัวตอ.


-------------------------------------------------------------------------------


วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

แนวคิดปฏิวัติของวอลแตร์ โดย จักรภพ เพ็ญแข


คอลัมน์ : กว่าจะเป็นประชาธิปไตย นสพ.ข่าวมุสลิม พับลิกโพสต์
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง : แนวคิดปฏิวัติของวอลแตร์

******************************************************************************

นอกจากการปฏิวัติกรรมกรในรัสเซียและการปฏิวัติชาวนาในจีนแล้ว ผู้คนมักจะย้อนกล่าวถึงการปฏิวัติก่อนหน้านั้น ซึ่งโด่งดังระดับโลกและสร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้ที่ไม่ยอมดำรงชีวิตแบบสวะลอยน้ำได้มาก นั่นคือการปฏิวัติในฝรั่งเศส และนักคิดนักเขียนที่คู่มากับการปฏิวัติในครั้งนั้นก็คือ ฟรังซัวร์-มารี อาคัวร์ ที่ผู้คนรู้จักกันในนามแฝงหรือนามปากกาของเขา-วอลแตร์

วอลแตร์คือคนระดับเดียวกับมองเตสกิเออ จัง-จาคส์ รุสโซ จอห์น ล็อค หรือโธมัส ฮอบส์ ที่เราจะทยอยทำความรู้จักกันไป

วอลแตร์ไม่ใช่คนนอกของสังคมฝรั่งเศสในยุคก่อนเจ้าล่มสลาย แต่เป็นเนื้อในของระบอบเจ้าเช่นกัน ครอบครัวของเขามีพ่อเป็นนักกฎหมายใหญ่ และเป็นนักกฎหมายชนิดที่ยอมรับความ อยุติธรรมในขณะนั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน เรียกได้อีกอย่างว่าเป็นไพร่ที่ติดสันดานไพร่จนคุ้นชิน ใครจะมาปลดแอกปลดโซ่ตรวนก็เอะอะว่าเขามาสร้างปัญหาให้ จึงเป็นไพร่ที่กอดตีนเจ้าไว้อย่างแน่นหนา และเรียกสภาพอันน่าเอน็จอนาถนั้นว่าความมั่นคง แต่วอลแตร์แตกต่างจากพ่อ พ่อส่งไปเรียนกฎหมายที่กรุงปารีส แกก็แอบเขียนหนังสือทั้งวันทั้งคืนและหลอกพ่อว่ากำลังศึกษาวิชากฎหมาย วันหนึ่งพ่อจับได้ โกรธจนไม่รู้ว่าพูดอย่างไร ได้แต่ส่งตัวไปเรียนกฎหมายในเขตชนบทห่างไกลอารยธรรม แกก็ยังอุตส่าห์ไปหลังขดหลังแข็งเขียนหนังสืออยู่ที่นั่น

พ่อรู้เข้าอีกก็โกรธอีก คราวนี้ใช้เส้นสายส่งตัวไปเป็นเลขานุการอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำเนเธอร์แลนด์ ทุกอย่างทำท่าว่าจะเข้าที่ วอลแตร์นักฝันก็ไปตกหลุมรักสาวสวยชาวฝรั่งเศสที่ย้ายไปพำนักอยู่ที่นั่น จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว พ่อก็เลยสั่งให้เลิกกันและคุมตัวกลับมาอยู่ในฝรั่งเศสเหมือนเดิม แต่พ่อก็ราข้อไปมาก เริ่มยอมรับกับตัวเองเงียบๆ ว่าแรงผลักดันในตัวลูกชายในอาชีพนักเขียนมันรุนแรงจนเกินกำลังของตน วอลแตร์ก็เลยก้มหน้าก้มตาผลิตงานเขียนและเขียนมันทุกแนวอย่างขยันขันแข็งเหลือที่จะกล่าว ตลอดชีวิตเขาเขียนหนังสือที่ได้รับการพิมพ์ถึง ๒,๐๐๐ เล่ม จดหมายที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการปฏิวัติและปฏิรูปสังคมอีกกว่า ๒,๐๐๐ ฉบับ ยังไม่นับรวมงานย่อยๆ ในรูปแผ่นพับใบปลิวอีกมากมายจนเหลือจะคณานับ เรียกว่าเป็นงานเขียนตลอดชีวิตของเขา ไม่ว่าจะยากดีมีจน อยู่สบายๆ ที่บ้านหรือถูกจองจำ หรือแม้ถูกเนรเทศไปจากฝรั่งเศส เขาก็ไม่เคยหยุดเขียนหนังสือ

งานของวอลแตร์ไม่ใช่การสื่อสารการเมืองทั้งหมด หรือไม่ใช่โดยตรงเสมอไป บางครั้งซ่อนไว้ในรูปงานวิพากษ์สังคมและแม้กระทั่งข้อเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ เขาใช้ทักษะอย่างสูงในการอธิบายแนวคิดยุ่งยากสำหรับมนุษย์ทั่วไปให้กลายเป็นเรื่องที่ย่อยง่าย ใกล้ตัว และบางครั้งก็สนุกสนานรื่นเริงด้วย งานเขียนบางเรื่องของวอลแตร์จึงออกมาเป็นนวนิยาย บทละคร บทกวี และอื่นๆ สุดแต่ว่ากลวิธีใดจะเหมาะสมแก่การสื่อสารในเรื่องนั้นๆ หรือในห้วงอารมณ์นั้นๆ ของคนเขียน

งานเขียนเหล่านี้แหละที่กลายมาเป็นเชื้อเพลิงแห่งการปฏิวัติ ขบวนการปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งนั้นโชคดีตรงที่ว่า ชนชั้นปกครองที่ประกอบด้วยเจ้า ศักดินา และอำมาตย์ก็เลวเสียจริงๆ เสวยสุขกันอย่างหน้าด้านท่ามกลางความลำบากเดือดร้อนของชาวฝรั่งเศส วิถีชีวิตอันหรูหราของคนชั้นบนไม่ได้ถูกซ่อนเร้นอย่างแนบเนียนเหมือนในบางสังคมเลย หรือแม้แต่ความพยายามจะซ่อนเร้นก็ไม่มี ว่าไปแล้วก็ต้องชี้ว่าความประพฤติของชนชั้นนำในฝรั่งเศสยุคนั้นกลายเป็นบทเรียนของเจ้า ศักดินา และอำมาตย์ยุคหลังๆ ความซับซ้อนของสังคมมีมากขึ้น เผด็จการซ่อนรูปขึ้น การปฏิวัติก็ยากลำบากขึ้น

แนวคิดใหญ่ของวอลแตร์ตั้งอยู่บนฐานของเสรีภาพพลเมือง (civil liberties) เขาถือว่าคนเกิดมาอย่างเสรีและมีเสรีภาพเป็นอาภรณ์ประดับตัว รัฐหรือรัฐบาลที่มีอำนาจควบคุมมนุษย์และสังคมเกิดขึ้นในภายหลัง กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ในการจัดระเบียบสังคมก็มาทีหลัง แม้กระทั่งสิทธิของพระ (คริสต์) ในการชี้นำความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนาก็มาทีหลัง งานเขียนของวอลแตร์จึงเน้นเสรีภาพอันสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง สังคม และศาสนา ต่อมาเพิ่มเสรีภาพทางเศรษฐกิจเข้าไปด้วย สรุปว่าเขาไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ในเรื่องเสรีภาพเลย

เรื่องนี้สำคัญนัก เพราะพวกเราบางคนเรียกร้องให้มีเสรีภาพอันสมบูรณ์ในทางการเมือง แต่เราลืมเสรีภาพในรูปแบบอื่นๆ อย่างเศรษฐกิจและสังคม ทำให้เราก็เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยแนวคิดที่แคบเกินไป แถมบางครั้งยังเรียกร้องประชาธิปไตยแต่กลับใช้วิถีของเผด็จการในองค์กรหรือวงศ์วานของตนเอง เหมือนไล่ทรราชเดิมด้วยการสถาปนาระบอบทรราชใหม่ จนมวลชนต้องออกมาขับไล่กันอีกอย่างไม่รู้จบ

วอลแตร์มีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เพราะพื้นฐานจิตใจที่เป็นกบฏทางสังคม และท้าดวลกับศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองมาก เมื่อเขาเขียนหนังสือโจมตีพฤติกรรมของศักดินาหนุ่มรายหนึ่งคือ เชอร์วาลิเย่ เดอ โคฮัน เขาก็โดนลงโทษอย่างหนักโดยพระบรมราชโองการโดยตรงจากกษัตริย์หลุยส์ที่ ๑๕ ส่งตัวไปยังคุกบาสติลล์โดยไม่ต้องไต่สวนมูลความใดๆ ทั้งนั้น ต่อมาถูกเนรเทศออกไปอยู่อังกฤษหลายปีอย่างไม่ยุติธรรมเช่นเดียวกัน เพราะศักดินาและอำมาตย์สมัยนั้นสั่งกษัตริย์ได้ด้วยเงิน ด้วยเงินที่หนาพอก็อาจ “ซื้อ” พระบรมราชโองการเพื่อเล่นงานศัตรูของตัวเองได้เสมอ อย่างกรณีโคฮันเล่นงานวอลแตร์นี่เอง

ซึ่งก็นับเป็นเคราะห์ดี เพราะนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา วอลแตร์ก็มั่นคงตลอดชีวิตในแนวความคิดปฏิวัติการเมืองและปฏิรูปสังคม และใช้ปลายปากกาตนเองเพื่อการนี้อย่างไม่ไหวหวั่น เขาได้อะไรดีๆ มามากระหว่างถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะอังกฤษ อย่างการค้นพบ วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ก่อนที่คนส่วนใหญ่ในยุโรปจะรู้จักและตระหนักในความยิ่งใหญ่ และลอกเลียนกลวิธีของเช็คสเปียร์ในการสื่อสารกับสังคมด้วยความบันเทิงเริงรมย์แต่แทรกปรัชญาที่ลึกซึ้งและมีอิทธิพลสูง

แต่ความรู้ที่สำคัญที่สุดคืออังกฤษในขณะนั้นมีระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญหรือ Constitutional Monarchy แล้ว ในขณะที่ฝรั่งเศสยังงมโข่งอยู่กับระบอบกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและชักใยมันทุกอย่างที่เรียกว่า สมบูรณาญาสิทธิราช จนความชั่วร้ายของระบอบเผด็จการแอบอ้างอำนาจเทวดาหรือเทวสิทธิ์มันแสดงตัวออกมาชัดเจนและกลายเป็นเงื่อนไขแห่งความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ตามมา

น่าสังเกตว่าชีวิตของวอลแตร์มีปัญหากับผู้มีอำนาจรัฐเฉพาะในช่วงแรกที่ติดคุกและถูกเนรเทศเท่านั้น ช่วงหลังของชีวิตเขาพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้มีปัญหาใดๆ กับทางการ ชีวิตของเขากับภรรยาใหม่ ซึ่งเป็นปัญญาชนคู่เคียงกับสามีและสะสมหนังสือในครอบครองถึง ๒๑,๐๐๐ เล่ม มากมายเหลือหลายในมาตรฐานของยุคนั้น เป็นชีวิตของวิชาการและการศึกษาโดยแท้ ทั้งสองคนศึกษาร่วมกันทุกขั้นตอน แม้กระทั่งการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้วอลแตร์มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเข้าหูเข้าตากษัตริย์และคนสำคัญในยุคนั้น จนได้รับเชิญเข้าวังอยู่บ่อยครั้ง ทำท่าจะกลายเป็นอำมาตย์เอา

จุดเปลี่ยน (อีกครั้ง) ของวอลแตร์เกิดจากความอยุติธรรมของระบอบการปกครองในยุคนั้น โดยเฉพาะใน “ตุลาการภิวัตน์” เขาติดตามคดีความบางเรื่องด้วยความสนใจใคร่ครวญ ในที่สุดก็ตัดสินใจกระโดดเข้าช่วยในบางคดี บทบาทของเขาในฐานะผู้รู้และปราชญ์ทางสังคมทำให้เขาทำงานนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้หลายคดีเกิดการยกเลิกหรือกลับคำพิพากษา จนเป็นที่เขม่นของกษัตริย์กับเครือข่ายของกษัตริย์ในยุคนั้น

เราขยายความในส่วนนี้กันสักนิด น่าสนใจที่วอลแตร์มีชื่อเสียง ๒ ระยะ ได้แก่ วอลแตร์นักเขียน และ วอลแตร์นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน (ซึ่งเป็นคำที่มาในภายหลังสมัยของเขา) ในระยะที่สองนี่เองที่ชีวิตของเขาสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคมหรือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม เป็นเงื่อนไขหลักที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงถอนรากถอนโคนอย่างที่เรียกว่าปฏิวัติได้ ก่อนหน้านี้ระบบชนชั้นก็เกิดขึ้นมานานและเป็นที่ยอมรับ เหล่าไพร่ก็กระสันจะเป็นชนชั้นนำ ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์และสถานภาพที่หยิบยื่นให้โดยคนข้างบน จนไม่เห็นว่าเป็นปัญหาหรืออยากเห็นความเปลี่ยนแปลง ฐานะทางเศรษฐกิจที่ลักลั่นก็ดูเหมือนจะรู้สึกเฉยเมยกัน ไม่เห็นเป็นเหตุให้ต้องต่อสู้แย่งชิงอะไร เหมือนจะชี้ว่าความไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมไม่เป็นเงื่อนไขที่รุนแรงเพียงพอต่อการปฏิวัติ หรือแรงพอแต่ต้องใช้เวลานานเกินไปที่จะมองเห็น ทั้งหมดนี้จะแพ้เงื่อนไขสำคัญที่นำวอลแตร์ไปจุดไฟการปฏิวัติในฝรั่งเศส นั่นคือความอยุติธรรมทางกฎหมาย

พูดง่ายๆ ว่าตุลาการภิวัตน์นี่แหละครับ ทำให้มวลชนเกิดความเร่าร้อน โกรธเคือง และไม่อยากรักษาสถานภาพเดิม (status quo)

ตัวผมเองสนใจวรรณกรรมวอลแตร์ที่ชื่อ “Candid of the Optimist” หรือเรียกกันแพร่หลายว่า “Candide” มากกว่าเพื่อน ใครจะเริ่มอ่านวอลแตร์ก็ขอแนะนำเล่มนี้ เพราะวอลแตร์เขียนชิ้นนี้ออกมาตอบโต้งานของลิปนิตส์ที่ว่าด้วยการมองโลกในแง่ดี เขาโต้ว่าการมองโลกในแง่ดีเกินไปเพาะสันดานตั้งรับในหมู่มนุษย์ (passivity) และไม่เร่งเร้าให้เกิดการปฏิรูปทางสังคมในเชิงรุก วอลแตร์เรียบเรียงเล่มออกมาได้อย่างหมดจดงดงามขนาดทำให้ผู้อ่านรู้สึกละอายที่จะนั่งเป็นเบื้อหรือเฉยเมย ทั้งที่บ้านเมืองและสังคมใกล้จะล่มสลาย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่คนไทยอีกส่วนหนึ่งน่าจะรู้สึกรู้สมอย่างนี้บ้าง งานของวอลแตร์เล่มนี้มีคุณค่าตรงที่ทำให้ไม่เสียชาติเกิด

บางท่านอาจจะไม่รู้ว่า วอลแตร์เคยเขียนชมสยามประเทศไว้ไม่น้อย คู่ไปกับจีนและญี่ปุ่น โดยระบุว่าเป็นสามสังคมนอกยุโรปที่มี “อารยธรรม” แต่กลับเล่นงานคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนาและบรรพบุรุษของศาสนายิวอย่างหนัก ทำให้เขาสร้างศัตรูมากพอๆ กับสาวกและผู้ที่รับเชื่อทางปัญญาจากเขา

“วอลแตร์” ซึ่งไม่ใช่นามจริง แต่เป็นนามปากกาหนึ่งในร้อยกว่าชื่อของเขา (๑๔๘ นามปากกา ตามบันทึกของวิกิพีเดีย) จึงเป็นผู้ที่เผยแพร่แนวคิดปฏิวัติด้วยการย้ำถึงสิทธิและเสรีภาพพลเมืองที่แตกออกเป็นเสรีภาพในหลายด้าน และเผยแพร่ในขณะที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองที่ขาดความก้าวหน้าและล้าหลังแบบเผด็จการยุคเก่า แสดงว่าชนชั้นกลางและชนชั้นนำในทุกสังคมมีโอกาสร่วมปฏิวัติสังคมได้เหมือนกันถ้าต้องการ อย่างวอลแตร์นี่เอง.


----------------------------------------------------------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)


วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 66 คุณนวมทองกับประชาธิปไตยไทย


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 66: คุณนวมทองกับประชาธิปไตยไทย
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
ประชาธิปไตยเริ่มมีความหมายต่อการดำรงอยู่ของเราคล้ายกับลมหายใจ คือมีความจำเป็น คุณนวมทองคือคนที่ประกาศถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น

*******************************************************************************
คุณนวมทองกับประชาธิปไตยไทย

จากนี้ไปชื่อของคุณนวมทอง ไพรวัลย์จะอยู่คู่กับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างที่ไม่มีใครจะมาถอดถอนได้

เพราะการแขวนคอตายหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและจดหมายลาตายที่ระบุสาเหตุเอาไว้ชัดแจ้งเกินกว่าที่ใครจะบิดเบือนได้ เป็นศักดิ์ศรีของคนที่หายใจได้ด้วยประชาธิปไตยเท่านั้น

เมื่อเกิดมลพิษเผด็จการขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ก็เลือกที่จะลาโลกนี้ไปแทน

คำลงท้ายในจดหมายลาตายที่ว่า “...ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก...” อ่านแล้วเจ็บปวดสิ้นดี
ผมได้ข่าวคุณนวมทองแล้วก็เกิดอาการประหลาด คือเศร้าสลดใจและปลื้มใจขึ้นพร้อมกัน มีน้ำตารื้นๆ ที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาจากต่อมความรักหรือความชัง

คุณนวมทองสร้างวีรกรรมด้วยการขับแท็กซี่คู่ใจเข้าชนรถถังที่ลานพระบรมรูปทรงม้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ไปรักษาตัวจนหาย แล้วก็มาแขวนคอตายในภารกิจที่คุณนวมทองกำหนดให้เป็นการพลีชีพเพื่อประชาธิปไตย

อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ใครที่เคยพูดพล่อยๆ ว่าคุณนวมทองขับรถชนรถถังเพราะ “แก่” และ “ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ” คงจะต้องอับอายขายหน้ามาก หากยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่ เพราะคุณนวมทองเขียนด้วยความมีสติ เต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ และมีเหตุผลอธิบายความคิดและการกระทำของตนเองอย่างสมบูรณ์

จดหมายของคุณนวมทองมีน้ำหนักมากกว่าประกาศฉบับแรกๆ ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็กล้าลงชื่อว่า “นวมทอง ไพรวัลย์” ในขณะที่ประกาศฉบับแรกๆ เหมือนหล่นลงมาจากยอดไม้ ไม่ปรากฏแม้แต่ชื่อผู้รับผิดชอบในการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง

แต่สาระที่สำคัญอยู่ที่คุณนวมทองประกาศก้องไปทั่วโลก และได้ยินกันไปทั้งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ว่า คุณนวมทองไม่อาจร่วมโลกกับคนที่ทำลายประชาธิปไตยได้

วิธีการอันสุดโต่งของคุณนวมทองกระทบกระแทกจิตใจของเราอย่างรุนแรง เพราะทำให้หวนคิดว่าเผด็จการแปลว่ากระไร และคนเกิดมามีชีวิตจิตใจควรที่จะต้องอดกลั้นกับภาวะเช่นนั้นหรือไม่

คำพูดทางวิชาการหลายครั้งไม่ผิดอะไรกับความกะล่อนที่ห่อหุ้มด้วยศัพท์แสงอันรุงรัง แต่คำเขียนของคุณนวมทองผุดพุ่งขึ้นมาจากสายธารแห่งความเพิกเฉยละเลย จนหลายคนต้องกลับมาทบทวนท่าทีของตัวเองกับการเมืองไทยในปัจจุบัน

คนที่มีหน้าที่สอนหนังสือควรให้นักศึกษาของท่านอ่านจดหมายของคุณนวมทอง โดยเฉพาะนักเรียนรัฐศาสตร์ควรจะได้อ่านก่อน “หลักรัฐศาสตร์” ทั้งเล่ม

เหมือนอนุทินหรือไดอะรี่ของเด็กสาวตัวเล็กๆ ชื่อ แอนน์ แฟรงค์ ที่กลายเป็นแถลงการณ์ของมนุษยชาติต่อความทารุณโหดร้ายของนาซีเยอรมันและสงครามโลกครั้งที่สองไปโดยไม่รู้ตัว

ครับ ผมเห็นว่า นวมทอง ไพรวัลย์ คือ แอนน์ แฟรงค์ ของประเทศไทย และก็จะคอยเตือนใครๆ ในประเทศนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้น จะมองเป็นเรื่องเล็กก็ได้ถ้าหากว่าศักดิ์ศรีของความเป็นคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ใครถูกข่มขืนแล้วจะลุกขึ้นเชิญคนที่กำลังกระทำการล่วงเกินตัวเองให้ช่วยเป็นพ่อของเด็กที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็คงจะทำได้

และบอกอย่างหน้าตาเฉยว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว

แต่ประเทศไทยและคนไทยเปลี่ยนไปมาก ประชาธิปไตยเริ่มมีความหมายต่อการดำรงอยู่ของเราคล้ายกับลมหายใจ คือมีความจำเป็น

คุณนวมทองคือคนที่ประกาศถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น

ขอให้ท่านไปสู่สุคติเหนือพานแว่นฟ้าประชาธิปไตยเทอญ.
------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 65 ใกล้พม่า


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 65: ใกล้พม่า
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
นายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุนเซ็น เดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ในชาติ ด้วยการตั้งพระอนุชาของเจ้ารณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านสังคมและวัฒนธรรม

*******************************************************************************
ใกล้พม่า

นึกอยากจะถอดวิญญาณได้ ผมจะได้ไปเข้าร่างของคนมาเลเซีย คนจีน คนอเมริกัน คนอังกฤษ ฯลฯ เพื่อดูซิว่าเขานึกคิดกับประเทศไทยอย่างไรในขณะนี้

เพราะนัดคุยกันทีไรก็ได้รับคำตอบแบบกระท่อนกระแท่นทุกที ไม่ค่อยจะกล้าบอกตรงๆ ว่าไม่สบอารมณ์ที่ประเทศไทยตัดสินใจแก้ปมปัญหาการเมืองด้วยการรัฐประหาร แต่เมื่อถามรุกๆ หน่อย ก็ยอมคายออกมาว่าผิดหวังกับประเทศไทยมาก

ถามต่อว่าทำไมผิดหวัง เขาก็ตอบว่าประเทศไทยในใจของเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้

เอกอัครราชทูตคนหนึ่งพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบว่า เขาจะไม่แปลกใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ในพม่าหรือกัมพูชา

ฟังแล้วก็ซึมไป ผมก็เลยไม่ค่อยอยากจะสังสรรค์เสวนากับนักการทูตหน้าไหนในระยะนี้ เพราะชอบทำให้ผมหดหู่และหัวใจเศร้าหมอง

แต่ก็ควรจะยอมรับโดยถ้วนหน้าถึงกันว่า ประเทศไทยกับการรัฐประหารเป็นของที่ชาวต่างชาติเขาเชื่อว่าไม่เข้าคู่กันแล้ว เมื่อเข็นให้เกิดจนได้ เขาก็ย่อมจะรู้สึกว่าเป็นปรากฏการณ์ประหลาด เหมือนที่บางสำนักข่าวใช้คำว่า bizarre

คำว่า “แปลก” ในภาษาอังกฤษนั้นมีหลากหลาย

strange คือแปลก

extraordinary คือพิเศษกว่าปรกติ

eccentric คือไม่เหมือนมนุษย์มนา คล้ายๆ ศิลปินสติเฟื่อง

odd คือพิกล

ส่วน bizarre คำนี้แปลว่า ประหลาด ซึ่งเป็นความแปลกที่อยู่กลางๆ ระหว่างแปลกในทางที่ดี (พิเศษ) กับแปลกในทางที่แย่ (พิกล) แต่มีแนวโน้มจะเป็นแบบหลังในที่สุด

เมื่อหาคำจำกัดความไม่ค่อยได้ว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย เพื่อนต่างชาติเหล่านี้ก็เริ่มเปรียบเทียบประเทศไทยกับบ้านใกล้เรือนเคียง

แล้วก็พบอะไรที่ออกจะพิกล (odd)

เวียดนามซึ่งเป็นรัฐควบคุมแบบคอมมิวนิสต์ ประกาศยกเลิกกฎหมายโบราณที่ให้อำนาจรัฐบาลในการจองจำบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ากระทำการที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้องได้นานถึงสองปี

ลาวภายใต้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ กำลังแสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างอุตลุต ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อเพิ่มพูนทางเลือกในการใช้พลังงาน โดยสวมกอดเอกชนทุกๆ ชาติอย่างไม่รังเกียจ ทั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์อยู่อย่างนี้แหละ

กัมพูชาของนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุนเซ็น เดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ในชาติ ด้วยการตั้งพระอนุชาของเจ้ารณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านสังคมและวัฒนธรรม ทำให้การแบ่งแยกประเทศเป็นสองซีกดูจะเบาลง

ก็เลยเหลือแต่พม่า ที่จะใช้เทียบกับไทย

ทหารเป็นใหญ่เหมือนกัน

กำลังร่างรัฐธรรมนูญอยู่เหมือนกัน
เกิดปัญหากับชนกลุ่มน้อยเหมือนกัน

เต็มไปด้วยยาเสพติดเหมือนกัน ทั้งในประเทศและผ่านทาง

ในวันนี้เมืองไทยจึงใกล้พม่ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ในทางภูมิศาสตร์

ใกล้นิสัยดั้งเดิมของแต่ละคน.
----------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

หมิ่นน้ำใจ โดย จักรภพ เพ็ญแข

เรื่อง : หมิ่นน้ำใจ
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

********************************************************************************

เพิ่มจำนวนขึ้นทุกที “คดีหมิ่นฯ”
เกิดอะไรในถิ่นแผ่นดินสยาม
หรือจารีตประเพณีที่งดงาม
มาเกิดความต่ำทรามเพราะตัวคน

ความเคารพนบน้อมระบอบไทย
บัดนี้หายไปไหนไม่เห็นหน
นี่มิใช่จืดจางเพียงบางคน
แต่ชี้ผลทั้งระบอบตอบอย่างไร

เริ่มต้นด้วยความรักและศรัทธา
เดี๋ยวนี้มาใช้กฎหมายแล้วใช่ไหม
ใช้อำนาจบีบบังคับจับอย่างไร
กุมหัวใจคนเสรีไม่มีทาง

สถาบันสังคมอันสมศักดิ์
ต้องแน่นหนักยิ่งใหญ่ต้องใจกว้าง
ดำเนินทนโดยตลอดระยะทาง
เสมือนช้างดุ่มไพรไม่ครณา

อันภูเขาสูงส่งดำรงรัก
มวลชนถือเป็นหลักอยู่หนักหนา
ทนแดดทนฝนบนพสุธา
ก็เข้มจัดศรัทธามหาชน

เหตุไฉนใจเปลี่ยนจึงเพี้ยนพลาด
ริษยาอาฆาตช่างเข้มข้น
หรือมวลชนมีพลังกำลังพล
จึงตัดไฟตั้งแต่ต้นให้พ้นลม

เพราะประชาธิปไตยใช่ไหมเล่า
จึงเขย่านคราอย่างสาสม
เผด็จการครั้งใดได้คำชม
แต่อารมณ์ประชาธิปไตยไม่เคยมี

เพียงความเห็นแตกต่างวางกับดัก
ก็หมดแล้วความรักและศักดิ์ศรี
ระบอบสิ้นซึ่งน้ำใจและไมตรี
เป็นระบอบที่ดีได้อย่างไร

เราภูมิใจว่าไทยไม่เหมือนเขา
น้ำใจเรามีค่าจะหาไหน
ชาวต่างชาติเคยเคารพนบนอบไทย
เพราะน้ำใจไมตรีมีเมตตา

เราขัดแย้งก็เลิกรบสงบได้
สงครามเย็นก็สลายเลิกซ้ายขวา
เหตุปะทะมีบ้างก็สร่างซา
เป็นนคราล้นพ้นอยู่บนดิน

แต่วันนี้นครากลับอาฆาต
เกิดประหลาดอาเพศไปทั่วถิ่น
หรือว่าซ่อนเร้นมาเป็นอาจินต์
เกิดหมดสิ้นอดทนเพราะจนมุม

มองครอบครัวเป็นศัตรูกู่ไม่กลับ
ไม่ช่วยดับไฟด้วยยังช่วยสุม
ปวงชนถูกทำร้ายก็ให้รุม
คอยควบคุมเกมใหญ่อย่างใจดำ

เมื่อไหร่เล่าเมืองไทยจะสันติ
หวังดำริสานไทยไม่เหยียบย่ำ
ธารน้ำใจอย่าได้หมิ่นแผ่นดินธรรม
ล้างแผ่นดินสีดำด้วยธรรมทาน.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ยุบสภาสไตล์ใคร? โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : ยุบสภาสไตล์ใคร?
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ภาพประกอบ : มติชนรายสัปดาห์

*******************************************************************************
การยุบสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษในวันจักรีของไทย ๖ เมษายน ๒๕๕๓ และประกาศเลือกตั้งใหม่ในเวลา ๑ เดือนจากนั้น ดูเป็นสิ่งปกติธรรมดาเสียเหลือเกิน หลังเข้าเฝ้าองค์พระประมุขคือสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่ ๒ เพื่อกราบบังคมทูลให้ทรงยุบสภา ก็ทรงยุบตามนั้น มีผลให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสภาพอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายนเป็นต้นไป ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรี รีบกลับมาแถลงข่าวหน้าทำเนียบรัฐบาล คือเลขที่ ๑๐ ถนนดาวน์นิ่ง และยืนยันรายละเอียดต่างๆ ที่ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงข่าวลือให้ทั้งประเทศอังกฤษและทั่วโลกได้รับรู้

ที่สนุกมากคือเมื่อแถลงเสร็จ บราวน์ก็ออกจากทำเนียบรัฐบาลไปขึ้นรถไฟกับผู้ช่วยหนึ่งคนและตำรวจติดตามอีกหนึ่งคนมุ่งหน้าไปยังเคนท์และเข้าไปหาเสียงในซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ในโรเชสเตอร์ทันที

คู่แข่งรายสำคัญ เดวิด แคมมารอน หัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม กวดไปติดๆ แวะเยี่ยมคนไข้และหาเสียงที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเบอร์มิงแฮม ขณะที่ นิค เกล็ก หัวหน้าพรรคใหญ่อันดับสามคือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrats) หาเสียงอยู่กับเยาวชนที่วัตฟอร์ด

ถึงทุกคนจะรู้ว่ากอร์ดอน บราวน์จะต้องประกาศวันเลือกตั้งก่อน ๖ มิถุนายน แต่ก็ยังถือว่าสร้างความตื่นตัวให้กับวงการเมืองอังกฤษมาก กิจกรรมหาเสียงของผู้นำพรรคทั้งสามคนเป็นสัญลักษณ์ที่บอกเราว่าระบบรัฐสภาของอังกฤษเป็นธรรมชาติแค่ไหนในใจเขา ถึงเวลาเลือกตั้งเมื่อไหร่ต้องพร้อม และชี้ว่าระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษที่ห่อหุ้มระบบรัฐสภาไว้อีกชั้นหนึ่ง มีความแข็งแกร่งเพียงใด

ประชาธิปไตยถือเป็นธรรมชาติที่สอง (second nature) ของคนอังกฤษไปแล้ว

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ กอร์ดอน บราวน์ มิได้รอให้คะแนนนิยมในพรรคของตัวเองนำพรรคฝ่ายค้าน แต่ประกาศยุบสภาในขณะที่ตัวเองมีคะแนนรอง

จากการวัดผลโดยเฉลี่ยหลายสำนักเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พรรคแรงงานของบราวน์ตามหลังพรรคอนุรักษ์นิยมอยู่ประมาณ ๑๐% ซึ่งยังแปรผันได้ เพราะถ้าบวกความนิยมของพรรคที่สามและพรรคอื่นๆ แล้วยังสูงถึง ๒๘% คือเกือบหนึ่งในสาม แต่ละพรรคใหญ่ต้องพยายามช่วงชิงคะแนนส่วนนี้มาเป็นของตน ในขณะที่พรรคเล็กๆ ต้องรักษาไว้อย่างสุดความสามารถ

แถมนักวิเคราะห์ทั้งหลายยังพยากรณ์ว่า การเลือกตั้งทั่วไปแรกในรอบห้าปีนี้น่าจะเป็นครั้งที่สูสีมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทำให้พรรคที่สามคือเสรีประชาธิปไตยมีโอกาสสูงขึ้นมาทันที สองพรรคแรกอาจจะไม่ได้รับเสียงมากพอที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว

สภาผู้แทนราษฎรอังกฤษเที่ยวนี้จะได้สมาชิกมานั่งที่เวสมินสเตอร์มากกว่าชุดก่อน ๔ ที่นั่งเพราะการเปลี่ยนแปลงสำมะโนประชากร คราวนี้มีทั้งหมด ๖๕๐ ที่นั่ง และพรรคผู้นำจัดตั้งรัฐบาลต้องมีเสียงในมือ ๓๒๖ เสียงขึ้นไป

เล่ามาทั้งหมดนี้ ท่านก็คงเดาใจผมได้ว่าต้องวกเข้าไทย เพราะเวทีเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ผ่านฟ้า และทั่วประเทศเรียกร้องอย่างเดียวกันหมดว่า ต้องการให้นายกรัฐมนตรียุบสภาและ “คืนอำนาจให้กับประชาชน”

วลี “คืนอำนาจให้กับประชาชน” ท่านคงเห็นผมใส่เครื่องหมายอัญประกาศกำกับไว้ เพื่อชี้ว่าเรื่องนี้คือทัศนะที่ยังแตกต่างกันมากในเมืองไทย ทำให้การยุบสภาอังกฤษครั้งนี้หรือครั้งไหนๆ ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานที่แตกต่างนักหนากับเมืองไทย

ความเหมือนกันมีเพียงประการเดียวคือ ยุบสภาเมื่อไหร่เป็นได้เลือกตั้งแน่ วงเล็บว่าถ้าไม่มีโจรที่ไหนชิงก่อรัฐประหารหรือยุบพรรคบางพรรคเสียก่อน ส่วนอำนาจจะเป็นของใครหลังจากยุบสภาคือเรื่องที่น่าปวดกบาลกว่า

อย่าหาว่าขัดคอกันเลยครับ หรือใครยังไม่อยากฟังก็โปรดตราไว้ก่อนในวันนี้ เผื่อวันหน้าท่านจะเปิดใจกว้างและปล่อยให้เข้าสู่สมองและภาวะจิตได้ เรารู้เหมือนกันไม่ใช่หรือว่าปัญหาเมืองไทยขณะนี้ไม่ได้อยู่ตรงระบบย่อยๆ อย่างระบบเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง กระบวนการยุติธรรม การคานและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร ฯลฯ แต่อยู่ที่ระบอบใหญ่คือสิ่งที่หุ้มระบบเหล่านี้เข้าด้วยกันทั้งหมด

ใครยังจำพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ ได้บ้างไหม?

“...ก็เขาเลือกตั้งอยู่คนเดียว ซึ่งมีความสำคัญเพราะว่าถ้าไม่ถึง ๒๐% แล้วก็เขาคนเดียว ในที่สุดการเลือกตั้งก็ไม่ครบสมบูรณ์... ถูกต้องหรือไม่ไม่พูดเลย ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ไข แต่ก็อาจจะให้การเลือกตั้งนี้เป็นโมฆะหรือเป็นอะไร ซึ่งท่านจะมีสิทธิที่จะบอกว่าอะไรที่ควรที่ไม่ควร...”

ระบบเลือกตั้งพังมาตั้งแต่วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ ที่ผลการเลือกตั้งถูกยกเลิกแล้วครับ

อาจมีคนเถียงว่าในครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์ประกาศคว่ำบาตรไม่ลงเลือกตั้งร่วมด้วย แต่ครั้งนี้เป็นไฟท์บังคับ ทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และพรรคอื่นๆ คงจะลงสมัครกันถ้วนหน้า ปัญหาอย่างเดิมคงไม่เกิด แต่คำถามของผมก็คือ การคว่ำบาตรของประชาธิปัตย์ในครั้งนั้น ซึ่งตามด้วยการเรียกหานายกรัฐมนตรีมาตรา ๗ ซึ่งเป็นวิธีพิเศษ เป็นลูกเล่นที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีอำนาจควบคุมแต่อย่างใด ใครจะรับประกันกับมวลชนที่กำลังเหนื่อยยากอยู่ในที่ชุมนุมประท้วงได้ว่า ฝ่ายอำมาตย์จะไม่ปล่อยลูกเล่นอื่นๆ ออกมาบังคับทางจนประชาชนไม่ได้รับการ “คืนอำนาจ” อย่างแท้จริงอีก

ถึงวันนั้นแล้ว หากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นเพียงตรายางประทับรับรองว่า บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว โดยที่ปวงชนชาวไทยไม่ได้รับอำนาจนั้นจริง ผมหวังว่าจะมีคนจริงสักคนหรือสองคนออกมาประกาศรับผิดชอบและลงโทษตัวเองทางการเมืองด้วยการประกาศถอนตัวจากการเมืองไปโดยเด็ดขาด

เข้าใจดีครับว่า บางท่านกำลังคิดว่าเราต้องได้ผลทีละขั้น ใจร้อนไม่ได้ และต้องลับลวงพรางเสียจนบางครั้งมวลชนก็งุนงงสับสน และออกจะหงุดหงิดกับใครก็ตามที่เอ่ยปากชี้ปัญหาเชิงระบอบเพราะคิดว่ายกปัญหาใหญ่เกินไปและไม่สามารถทำได้

แต่ผมก็ต้องย้ำไว้เช่นกันว่า ทีละขั้นๆ ของท่านมันอาจไม่ได้นำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่กลับช่วยเสริมฐานเผด็จการโบราณแบบไทยให้มั่นคงยิ่งขึ้น

เปิดใจกว้างสักนิดเถิดครับ อย่าคิดเอาชนะกันเองมากเกินไป.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

อริสมันต์ ฮีโร่เสื้อแดง ฝ่าระเบิด โรยตัวหนีจาก เอส ซี ปาร์ค





อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ฮีโร่เสื้อแดง
โดย : ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ภาพข่าวจาก : สำนักข่าว AP

*******************************************************************************
16 เมษายน 2553

วันนี้ (16เม.ย.) เวลาราว10.00 น.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯระบอบหุ่นเชิดแถลงทางทีวีพูลว่า เจ้าหน้าที่กำลังไปที่โรงแรมSC PARKเพื่อจับกุมผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 10.00 น. กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดได้เข้าทำการตรวจค้น เพื่อทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ หลังจากสืบทราบว่า มีแกนนำคนเสื้อแดง จำนวน 4 คน เข้าพักในโรงแรมดังกล่าว ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้ อีสาน และเจ๋งดอกจิก

โดยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการปิดล้อมเพื่อตรวจค้นจับกุม ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงประมาณ 1 พันคนทราบข่าว ได้รีบรุด เดินทางมาทำการปิดล้อมโรงแรม เพื่อกดดันไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจค้น พร้อมกับทำการปิดถนนแยกประชาอุทิศ-ประดิษฐ์มนูธรรม ทำให้การจราจรปิดตายต่อมาเวลา 10.30 น.

ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปภายในบริเวณโรงแรม ได้เห็นนายอริสมันต์ ทำการโรยตัวลงมาจากชั้น 3 โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บนรถปราศรัย ทำการรับตัว ก่อนที่จะลงมาอยู่บนหลังคารถ โดยนายอริสมันต์ อยู่ภายในวงล้อมของกลุ่มผู้ชุมนุมตลอดเวลา จากนั้นได้บัญชาการให้ผู้ชุมนุมปิดล้อมและเข้าค้นโรงแรมเพื่อช่วยเหลือแกนนำที่เหลือพร้อมกับนำตัวไปอยู่ภายในรถตู้สีขาว หมายเลขทะเบียน ฉจ 4470 กทม.โดยนั่งอยู่ภายในรถตู้ เพื่อรอให้แกนนำอีก 3 คนที่เหลือ ลงมาจากโรงแรม ท่ามกลางการคุ้มครองของกลุ่มผู้ชุมนุม

ต่อมาเวลา 10.50 น.นายอริสมันต์ได้เจรจาให้ตำรวจปลดอาวุธหัวหน้าชุดจับกุมคือ พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ออกมาจากโรงแรม พร้อมกับให้ตำรวจที่เหลือปลดอาวุธ แล้วให้พล.ต.ต.สุเมธขึ้นรถกับคณะนายอริสมันต์ไปยังเวทีชุมนุมใหญ่ราชประสงค์

พ.ต.อ.สมิต เชิงสะอาด ผกก.สน.วังทองหลาง เปิดเผยว่า หลังจากสืบทราบว่า แกนนำทั้ง 3 คน มาพักที่โรงแรมดังกล่าว จึงได้นำกำลัง ตำรวจ ปจ.และตำรวจ บก.น.4 เข้าทำการปิดล้อม เพื่อจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ตามหมายจับ แต่ก็ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง เข้าปิดล้อม ขณะที่ตำรวจบางส่วนเข้าไปภายในโรงแรมแล้ว

นอกจากนั้น ได้มีการจับกุมตำรวจ ปจ.อีก 1 นาย เป็นตัวประกัน ห้ามไม่ให้ตำรวจเข้าจับแกนนำเมื่อไปถึงเวทีราชประสงค์

ราว 11.00 น. นายอริสมันต์แถลงข่าวว่า ตำรวจเข้ามาโดยไม่มีหมายจับ ถีบประตูเข้ามา พร้อมโยนระเบิดควันและระเบิดเสียงใส่ ผมได้ปีนออกจากหน้าต่างบอกประชาชนที่มาชุมนุมช่วยเหลือให้เข้ามาช่วยเหลือ และได้โรยตัวลงจากชั้นสามลงมา และให้ผู้ชุมนุมเสื้อแดงปิดล้อมโรงแรม และขอให้ตำรวจยุติปฏิบัติการไล่ล่าแกนนำพร้อมกันนี้นายอริสมันต์ได้โชว์กระเดื่องระเบิดและบอกว่านายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพมีเจตนาจะฆ่า หรือจับแกนนำ ทั้งสองจึงเป็นศัตรูของคนเสื้อแดง ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พามา 3 คน ให้นั่งมาเป็นเพื่อนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของแกนนำ

ต่อมาเวลาราว12.20 แกนนำเสื้อแดงนำตำรวจ 3 นายมาร่วมแถลงข่าว โดยระบุว่า ทั้งสามสสมัครใจมาด้วยเพื่อความปลอดภัยของแกนนำที่ตกเป็นเป้าหมายการจับกุม

**********************************************************************

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ราษฎร์ประสงค์ โดย จักรภพ เพ็ญแข


ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 45
เรื่อง : ราษฎร์ประสงค์
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

*******************************************************************************
ราษฎร์ประสงค์

เสื้อแดงดารดาษราชประสงค์
ด้วยเป้าหมายซื่อตรงคือสู้ต่อ
เงื่อนเวลานานเนาว์ที่เรารอ
ที่ยอมงอมิได้หักเพราะรักไทย

ประชาธิปไตยของไทยล้วน
ย่อมเป็นสิ่งที่สมควรหรือมิใช่
เมื่ออำนาจมวลชนถูกปล้นไป
เหมือนควักกล่องดวงใจไปจากตัว

เพราะเหตุใดจึงมิให้ไทยอิสระ
คอยเกะกะระรานผลาญไปทั่ว
หรือเมื่อมวลชนเป็นใหญ่ใจนึกกลัว
ว่าสิ่งชั่วตัวปิดจะเปิดโปง

เราปวงชนพัฒนาก้าวหน้าแล้ว
ใช่เรือแจวเลาะข้ามแม่น้ำโขง
เป็นเรือเร็วรี่ไหลใช่เรือโยง
แม้จะโคลงเคลงอยู่ก็ดูดี

แต่ไทยกลับเล่นไทยคลื่นใต้น้ำ
หวังสกัดมิให้ข้ามตามวิถี
เพราะริษยาอาฆาตจึงฟาดตี
ด้วยฝีมือคนดีเป็นศรีเมือง

จึงเป็นสงครามใหญ่ไทยประเทศ
จนแบ่งเขตรุนแรงเป็นแดงเหลือง
อนิจจาไทยเอ๋ยเคยรุ่งเรือง
มาเกิดเรื่องราวใหญ่เพราะใจโจร

มหาชนเจ็บปวดกรวดเม็ดร้าว
เรื่องไหลรวมค่ำเช้าราวกระโถน
ถูกกระสุนถึงฆาตเมื่อพลาดโดน
ไม่ต้องพึ่งพาโหรก็เห็นเอง

เหมือนลานวัดราชประสงค์พระลงสวด
จี้ระบอบสอบตรวจที่อวดเบ่ง
แม้นสุ่มเสี่ยงชุลมุนกระสุนเล็ง
จะตรงเผงหรือจะพลาดไม่หวาดกลัว

ถึงเวลาคนไทยร่วมใจต้าน
เผด็จการผู้ขยายเครือข่ายทั่ว
ด้วยภาพอันเกรงขามให้คร้ามกลัว
เราสร้างขั้วมวลชนด้วยคนจริง

ราชประสงค์คือสวรรค์ชนชั้นกลาง
แบ่งระหว่างรายได้และหลายสิ่ง
ประโยชน์รู้อยู่ทั้งปวงเขาช่วงชิง
ที่แอบอิงอัดกันอยู่เราสู้ใคร

รู้ทั้งรู้ก็ประกาศราชประสงค์
เจตจำนงคือปลุกมารุกไล่
เห็นมวลชนอยู่ละลานนั่นฐานไทย
มิใช่ใครแปลกหน้ามาราวี

เมืองไทยเราถึงเวลาหันหน้าพบ
เอาสงบสันติเป็นวิถี
แต่บนสุดถึงข้างล่างเป็นลางดี
แต่หากไร้ไมตรีก็ขาดกัน

มาพร้อมตรงธงชาติราชประสงค์
มาธำรงความเป็น “ราษฎร์” ใช่ทาสท่าน
ปรับเป็น “ราษฎร์ประสงค์” คงสำคัญ
เมื่อถึงวันประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ 3


แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ ๓
เรื่อง จุดยืนของขบวนประชาธิปไตยภายหลังการปราบปรามประชาชน ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓


พวกเราผู้สนับสนุนแนวทางแดงสยามทุกคนขอร่วมแสดงความเสียใจอย่างลึกซึ้งต่อการเสียชีวิตของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยทุกท่าน เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า ๑๕ คน ด้วยอาวุธสงครามหลายประเภทที่ศัตรูของฝ่ายประชาธิปไตยนำมาใช้ ตลอดจนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางกายและทางใจ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ และขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารหลายนาย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับคำสั่งอันไม่ชอบธรรมให้มาปฏิบัติการในครั้งนี้

แดงสยามชูธงปฏิวัติประชาธิปไตยโดยสันติตลอดมา เราจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทนอดกลั้นไม่ส่งเสริมความรุนแรงในรูปแบบใดๆ อีกต่อไป และเราขอประณามการใช้อาวุธสงครามและอาวุธใดๆ ในคืนนั้นโดยสิ้นเชิง

เราเห็นว่าการแก้ไขวิกฤติการเมืองขณะนี้ต้องกระทำในระดับโครงสร้างและด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ ข้อเรียกร้องใดๆ ที่เล็กไปกว่านี้ ย่อมไม่สอดคล้องต่อขนาดของปัญหา และสภาพการณ์ในปัจจุบัน รังแต่จะสร้างเงื่อนไขแห่งความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคตเท่านั้น


แถลงไว้ ณ วันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓


-------------------------------------------------------------------------------


วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

น้อมคารวะดวงวิญญาณผู้กล้าเพื่อประชาธิปไตย



น้อมคารวะดวงวิญญาณผู้กล้าเพื่อประชาธิปไตย
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553
โดย จักรภพ เพ็ญแข

********************************************************************************

เลือดระบอบ

เลือดหยดรดถนน
คือเลือดข้นคนเสื้อแดง
บทเรียนราคาแพง
จี้ระบอบตอบคำถาม

อภิสิทธิ์คนเดียวหรือ
ควรลุกฮือควรติดตาม
เชื้อร้ายโรคลุกลาม
ทั่วโคตรพงศ์และวงศา

คนไทยไม่มืดบอด
ไม่หลุดรอดจากสายตา
คนยิงก็เพียงหมา
เจ้าของคลั่งผู้สั่งยิง

เกิดซ้ำและเกิดซาก
ใต้หน้ากากน่าเกรงกริ่ง
จากเตียงส่งเสียงยิง
ดับญาติตนไม่สนใจ

อย่าร้องอย่างขี้ข้า
ให้เชิดหน้าสูงกว่าไพร่
เจ้าของคือผองไทย
เลิกครรลองขอร้องมาร

เลือดนี้มีความหมาย
เฮือกสุดท้ายให้กล่าวขาน
“เหมาะสมล้มกระดาน
สร้างรัฐหลวงของปวงชน”

จักรภพ เพ็ญแข
๑๑ เมษายน ๒๕๕๓

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ 2


ที่มา : คอลัมน์ ราชประชาวิวาทะ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 18
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

*******************************************************************************

ตอนที่ ๒ :
วันอังคารที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ - วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓

(๒๓ ก.พ.) “มาร์ค” ทำบอกว่า “ทักษิณ”
ควรยอมรับ หยุดขยับเคลื่อนไหวให้อยู่นิ่ง
ราวกับว่ายุติธรรมระยำจริง
รัฐบาลผีสิงจะสอนใคร

ทำทีจะ “ให้อภัย” ถ้าไม่สู้
ทำตัวเหมือน “หลานปู่” รู้อย่างไพร่
คุณทำลายหลักประชาธิปไตย
จะมีหน้าให้อภัยกับใครกัน

ยิ่งถ้าเป็นลูกรักต้องหักศอก
เอาเปลือกปอกออกเห็นเป็นขั้นขั้น
หากเป็นพ่อใจทมิฬก็สิ้นกัน
ต้องรับทัณฑ์ปวงชนเป็นคนปลอม

เรื่องล้มเจ้าใส่ร้าย “สมชาย” “จิ๋ว”
แจกซีดีเป็นแถวทิวเพื่อตั้งป้อม
เหล่านักสู้ทั่วถิ่นอย่ายินยอม
เอาของปลอมขึ้นมาอ้างผิดอย่างไร

สลับโหรการเมืองเรื่องจุกจิก
ชอบเรื่องหยอกแกมหยิกนักใช่ไหม
ทายนายกชื่อ “ป.” คนต่อไป
ต้องพุทโธเมืองไทยไร้แนวทาง

เนื่องมาจากระบอบนำอันน้ำเน่า
คนออกเข้ามีทั้งดีและผีสาง
เผด็จการมืดดำมันอำพราง
ปัญญาจางจืดไปในเวลา

“ปณิธาน” ออกค้านเรื่องศาลโลก
ถ้าไม่เล่าเรื่องโจ๊กก็เป็นบ้า
ทางเลือกศาลสากลบนโลกา
เพื่อฎีกาเขามีให้ได้สิทธิคืน

(๒๔ ก.พ.) “เฉลิม” ลั่นเลือกตั้งในครั้งหน้า
“เอาทักษิณกลับมา” ให้ชื่นมื่น
คือแนวทางเพื่อไทยร่วมใจยืน
ให้ข้ามคืนเลือดเย็นเข่นฆ่ากัน

นัด “๑๔ มีนา” มาชุมนุม
เสื้อแดงไหลรวมกลุ่มเพราะสุดกลั้น
หวังให้มากมวลชนคนสำคัญ
หวังฟาดฟันโจรอำมาตย์ให้ขาดใจ

รัฐบาลอธิบายเรื่องยึดทรัพย์
ออกทีวีสับปลับน่าหลับใหล
กระบวนการยุติธรรมดำเพียงใด
ถามคนใดที่ได้ดูรู้คำลวง

(๒๕ ก.พ.) ใกล้ถึงวันพิพากษาดูว้าวุ่น
“ทักษิณ” บอกแฟนหนุนอย่าเป็นห่วง
หยุดโฟนอินสักระยะเลิกทะลวง
คดีหลวงดวงจะอยู่ก็รู้กัน

“นพดล” ว่ารัฐดูเหมือนรู้ก่อน
ออกทีวีสั่งสอนไม่สร้างสรรค์
ว่าจะวุ่นรุนแรงเหมือนแช่งกัน
หรือรู้กันมานานกับศาลไทย

“สุรชัย แซ่ด่าน” ตั้งเวที
“แดงสยาม” เกิดวันนี้จะรุกไล่
สนามหลวงร่วมกันหลายพันใจ
ประกาศไกลไปข้างหน้ายิ่งกว่าเปรม

“จักรภพ” ฝากประกาศร่วมก้องกู่
จัดตั้งมวลชนสู้กู่เกษม
ฝากไปถึงปวงอำมาตย์ผู้อิ่มเอม
ประชาธิปไตยใช่เกมจะเอาจริง

จะยึดทรัพย์หรือไม่ยึดเราฮึดสู้
ขอล้างความอดสูอยู่อย่างสิงห์
คราวนี้ชาวประชาธิปไตยรวมใจจริง
หลังจะพิงแนบกันแล้วฟันธง

(๒๖ ก.พ.) และแล้ววันพิพากษาก็มาถึง
ความยุติธรรมขาดผึงเป็นผุยผง
สี่หมื่นล้านเป็นของฉันเขาฟันธง
สามหมื่นล้านก็ยังคงไม่ให้คืน

ทรัพย์สินของครอบครัวรู้ทั่วแล้ว
ยังหาแนวปล้นฆ่าประชาขื่น
ใครไม่ยั้งซึ่งอารมณ์ล้มทั้งยืน
ขนาด “ตื่น” จากนอนยังอ่อนใจ

“นายกทักษิณ” สวมชุดดำ
คงระกำช้ำชอกบอกไม่ไหว
ความยุติธรรมสิ้นลงใต้ธงไทย
ก็สู้กันต่อไปชาวประชา

เงินทองมักจะเด่นเราเห็นชัด
แต่ปรัชญาย่อมวัดได้ชัดกว่า
ใครที่ยังดำรงความสงกา
“เทวดา” หรือว่า “อาชญากร”

กองทัพเตรียมการมาราวหาเรื่อง
๒๙ กองร้อยเปลืองเหมือนเรื่องหลอน
อาวุธที่เตรียมซัดดัสกร
เห็นพสกนิกรเป็นศัตรู

วันนี้พวกรัฐประหารทำงานครบ
ตัวนายที่เลี่ยงหลบก็รู้อยู่
สามปีผ่านมาอีกหน่อยคอยเฝ้าดู
เมื่อ “หลักกู” ใช้ได้สบายใจ

วันนี้นับเป็นวันประวัติศาสตร์
แบ่งเส้นเสียให้ขาดว่าใครไพร่
เมื่อมาเฟียคุมนครอย่าอ่อนใจ
จงยึดไว้เป็นเส้นทางสร้างมวลชน

(๒๗ ก.พ.) ธนาคารกรุงเทพถูกระเบิด
ห้าจุดเกิดระหว่างหลับชวนสับสน
คงกะโทษเสื้อแดงแกล้งมวลชน
แต่ต่อมาไม่ได้ผลไร้คนโยง

“พลเอกชวลิต” ออกแถลง
เรื่องยึดทรัพย์รุนแรงและสุดโต่ง
ใช่ชนวนจุดระเบิดด้วยเปิดโปง
แต่เชื่อมโยงถึงระบอบตอบนุ่มนวล

ประชาธิปไตยที่กษัตริย์เป็นประมุข
คือเป้าหมายทุกยุคทุกภาคส่วน
สัญลักษณ์แห่งระบอบกรอบขบวน
ณ รายรอบขอบล้วนใช่เนื้อใน

(๔ มี.ค.) จับ ”เคทอง” ลูกน้องของ “เสธ. แดง”
อ้างหลักฐานจะแจ้งระเบิดใหญ่
ช่วงบ่ายรวบนายด้วยเหมือนซวยไป
ผลคือไม่ได้มาร่วมรวมชุมนุม

ใครจะเล่นเกมใครตามใจเถิด
นรกรอให้เกิดมีหลายขุม
จงเลี่ยงหลบเสียให้พ้นไม่จนมุม
ไว้กลุ้มรุมประชาทัณฑ์ในวันดี

เกิดข่าวใหญ่ชายแดนแผ่นดินเพื่อน
เสียงลั่นเลื่อนคมชัดถนัดถนี่
จรวดของกัมพูชาเข้าท่าดี
สองร้อยลูกจังหวะดีเอามาลอง
(๖ มี.ค.) อาวุธหายซ้ำซากทัพภาคสี่
เสื้อแดงจี้ข่าวร้ายไทยทั้งผอง
ใครมันปล้นเหี้ยมเกรียมเตรียมประลอง
เริ่มเข้าลู่แห่งครรลองความรุนแรง

(๗ มี.ค.) ใกล้ชุมนุมใหญ่แล้วทุกแนวรบ
ยากจะหลบเลี่ยงปะทะเพราะจะแจ้ง
สันติวิธีคือทำนองของเสื้อแดง
ใครเข้ามาเล่นแรงต้องป้องกัน

ออกข่าวตอบโต้กันไปใจระทึก
ไทยเปิดศึกกลางเมืองใช่เรื่องขัน
นี่แหละผลของอำมาตย์ชาติเดียวกัน
ต้องประจัญกลางกรุงยุ่งทั้งบาง.

(ต่อฉบับหน้า)

----------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ความจริงเรื่อง "ล้มเจ้า" โดย จักรภพ เพ็ญแข


ที่มา : คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 45
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

******************************************************************************

ความจริงเรื่อง "ล้มเจ้า"

ขณะนี้การประโคมข่าว “ล้มเจ้า” ดังจนผิดปกติ เครือข่ายอำมาตย์ในขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องห่วง รัวเสียราวกับวงโยธวาทิต แถมยังมีเสียงแว่วมาจาก “เวทีประชาธิปไตย” ร่วมสนุกกล่าวหาตามแห่ไปกับเขาด้วยว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้คิด “ล้มเจ้า” เหมือนมุ่งจะเอาใจใครบางคน

เวลาเหมือนจะหมุนกลับไปไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี

เสมือนเราทุกคนยังอยู่ในยุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพียงคราวนี้ใช้มาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาแทนที่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการโบราณที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนบริสุทธิ์ไปมากมายเหลือคณานับ

แถมใช้อย่างถี่ยิบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะไปหลงเชื่อคนที่คอยเสี้ยมให้เล่นงานคนนั้นคนนี้ และให้ข้อมูลผิดๆ ว่ามีอยู่ไม่กี่คน ฟันลงไปเถิด
ในที่สุดก็เกิดเป็นกระแส

ความจริงการ “ล้มเจ้า” อย่างจริงจังในประวัติศาสตร์ไทยเคยเกิดขึ้นเพียง ๒ ครั้ง นั่นคือเมื่อคราว “กบฏ ร.ศ.๑๓๐” ซึ่งล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือ “การอภิวัฒน์” ที่เริ่มต้นด้วยท่าทีเด็ดขาด แต่แล้วค่อยๆ ผ่อนท่าทีลงจนกลายเป็นการหารือร่างรัฐธรรมนูญระหว่างกัน หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเรื่อย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งทุกวันนี้

รัฐธรรมนูญถาวรกลายเป็นของพระราชทาน แทนที่จะเป็นคณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา

ท่าทีสมานฉันท์ อย่างการตั้งรัฐบาลร่วมกันโดยเอาฝ่ายอำมาตย์แท้ๆ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นตัวประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) ก็กลายเป็นเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจเก่าเขามาเอาอำนาจคืนอย่างดิบๆ ถึงขั้นเนรเทศหัวหน้าคณะราษฎร์สายพลเรือนไปต่างประเทศ ท่านที่เหลือต้องรวมกำลังกันยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งเพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่ก็ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบไม่เหลือซาก

ความจริงเมื่อวันชาติยุคหลังๆ ถูกเปลี่ยนจาก ๒๔ มิถุนายนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ชัดแล้วในเรื่องระบอบ

ทวนความจำเพื่อจะบอกว่า จากนั้นไม่มีความพยายามใดๆ อีกเลย ที่จะพรากสังคมนี้จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะปลูกฝังกันอย่างเข้มข้นเกือบทุกวันทุกเวลาแล้ว กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วย ปัจจัยใดๆ จากภายนอกจะเข้ามาโยกหรือสั่นคลอนได้เล่า

เพียงดำรงพระสถานะเดิมและใช้พระราชอำนาจอย่างสมควรแก่เหตุ สถาบันนี้จะอยู่คู่สังคมไทยโดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง

ผมถึงได้สงสัยว่าคนที่เจตนาพูดคำว่า “ล้มเจ้า” นั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่

กำลังดูแคลนศักยภาพของสถาบันจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองหรือไม่

หรือกำลังระดมฉายไฟเข้าไปยังสถาบัน ทำให้สถาบันกลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น?

ความจริงพฤติกรรมแกล้งโง่เหล่านี้ เราก็พอรู้อยู่หรอกครับ แต่ผู้ที่อยู่ในสถาบันควรทราบว่า คนที่ชิงเล่นบทจงรักภักดีโดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ให้ ได้แต่กล่าวประณามคนอื่นว่าจงรักภักดีไม่เท่าตน หรือสาดคดีหมิ่นฯ เข้าใส่ จนสุดท้ายสถาบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางสังคมแทนนั้น สุดท้ายคือผู้ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด

รวมทั้งคนที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายคนอื่นด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” อย่างสามานย์นั่นด้วย

การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหมาะสมคือการอนุวัตรไปตามโลก โดยรักษาแก่นไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ลืมตาตื่นขึ้นก็มองหาว่าใครจะเป็นเหยื่อในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ้าง

ความจริงก็คือ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสถาบัน โดยไม่ได้มุ่งหมายจะโค่นล้มหรือทำอันตรายใดๆ เพราะสามปีที่ผ่านมานี้มีการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อการเมืองจนสังคมสับสน หากเปิดโอกาสให้ถามและตอบอย่างวิญญูชน แทนที่จะอ้างกฎหมายหมิ่นฯ มาฟาดฟันกันอย่างที่เป็นอยู่ ว่าเราจะประคองสถาบันให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างไร ผมเชื่อว่าจะเป็นคุณกับประเทศชาติมากกว่า

สั่งให้หยุดพฤติกรรมผลักฝ่ายเดียวกันให้เป็นศัตรูเถิดครับ

มองให้เห็นว่าคนที่จะ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ก็คือคนที่อวดอ้างความ “รักเจ้า” จนเกินกว่าเหตุและสร้างผลลัพธ์ในทางกลับกันเถิดครับ

เลิกสนุกสนานกับบทบาท “ผู้เล่น” กลับขึ้นไปเป็น “กรรมการผู้ทรงเกียรติ” ดังเดิมเถิดครับ

ใช้ตัวแทนวัฒนธรรมใหม่อย่างคุณทักษิณให้เป็น เพื่อบริหารบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ทั้งภูมิปัญญาเดิมและภูมิปัญญาใหม่ผสมผสานกัน อย่าคิดกำจัดเพียงเพราะคุมโมหะจริตไม่อยู่เลยครับ

ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม

และทำในสิ่งที่ควรทำ

ผมขอตราไว้ตรงนี้ว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ช่วยอะไรสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย ความเข้าใจถูกหรือผิดต่อสถาบัน กระทำได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่ด้วยลมปากของใคร แต่ด้วยสิ่งที่คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกเขามองเห็นอยู่จริง

ถ้าตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว อย่าได้หวั่นกลัวสิ่งใด เว้นแต่เงาของตนเอง

เพราะในบ้านนี้เมืองนี้ ผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์เองเท่านั้น.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 64 เบี่ยงตัวหลบให้ดี


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 64: เบี่ยงตัวหลบให้ดี
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
เพราะถ้ายังมีสติกันอยู่บ้าง ผู้มีอำนาจใหม่ต้องรู้ทีเดียวว่ายึดอำนาจมาแย่งกันกระเจิงให้ชาวบ้านเขาจ้องดูด้วยความเวทนานั้น คือที่มาของความเสื่อม

*******************************************************************************
เบี่ยงตัวหลบให้ดี

นักการเมืองในระยะเวลาเช่นนี้ ต้องหลีกหลบเก่งไม่แพ้นักยิมนาสติก เพราะเป็นจังหวะที่จะโยนบาปกันให้วุ่นไปหมดว่าใครเป็นสาเหตุของปัญหาที่กำลังคุกคามประเทศอยู่

โดยเฉพาะ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยแล้วยิ่งต้องหลบเป็นพิเศษ เพราะเป็นกำแพงใหญ่ที่โยนอะไรไปก็ติด หรืออย่างน้อยก็ถูกกระทบหมด

ตามประสาคนที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้

สำนวนฝรั่งที่ฝากเตือนกันมาว่า ความสำเร็จมีพ่อหนึ่งพันคน แต่ความล้มเหลวคือลูกกำพร้า กำลังเป็นที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในขณะนี้

ความสำเร็จทางเทคนิคอย่างเดียวที่ปรากฏขึ้นในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คือการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยไม่เสียเลือดเนื้อ แต่หลังจากนั้นก็มีความไม่สำเร็จ ความไม่ค่อยสำเร็จ ความยังไม่สำเร็จ ความค่อนข้างล้มเหลว ความล้มเหลวพอประมาณ และความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ตามมาอีกเป็นชุด

จนสงสัยว่าจะมีใครอยากนำดอกไม้ไปให้รถถังอีกบ้างไหม จะได้เข็นออกมาฉลองศรัทธาอีกสักรอบ
ความผิดหวังเกิดขึ้นเพราะมีความคาดหวังนำหน้ามาก่อน

คาดหวังว่า คุณกล่าวหาใครว่าเขาทุจริตประพฤติมิชอบ คุณต้องพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณมีอำนาจเต็มไม้เต็มมือไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอย่างนี้

คาดหวังว่า คุณประณามนโยบายของรัฐบาลของเขาแล้ว คุณจะเชิดหน้าสร้างนโยบายใหม่อย่างมีเกียรติภูมิ ไม่ใช่ไปลนลานรับเอานโยบายของเขามาต่อยอดให้เป็นของตน

คาดหวังว่า “คนดี” ที่คุณเอาเกวียนไปรับมาจากกระทรวงทบวงกรมและหน่วยงานอันเป็นมิตรกับรัฐต่างๆ จะมีความนุ่มนวลน่ารักและไม่ทะเลาะกันอย่างปากตลาด

คาดหวังว่า รัฐบาลชุดแก้ไขวิกฤตการณ์บ้านเมืองจะต้องมีประสิทธิภาพแข็งขันยิ่ง ถึงจะไปรับสมาชิกส่วนใหญ่มาจากนิคมคนชราก็ตาม

พอไม่ได้อย่างที่หวัง คนทั้งหลายเขาก็เริ่มบ่น เมื่อเสียงบ่นดังพึมไปทั่วพระราชอาณาจักรแล้วก็เกิดอาการแปลกๆ ของคนที่ตกเป็นเป้า เช่น พบคนที่ไม่ควรพบ ออกมาแถลงข่าวโทษหน่วยงานที่ตัวเองควรจะบังคับบัญชาได้ว่าทำงานล่าช้าทำให้ตัวโดนด่า ฯลฯ

โยนบาปกันอุตลุตอย่างนี้ ฝรั่งเปรียบเทียบว่าเป็น “เผือก” ร้อน แต่คนไทยคงบอกว่า “มัน (ส์)” ดี

ไม่นานหรอกครับ ก็จะพร้อมใจกันโยนบาปนี้ไปให้คุณทักษิณฯ คุณหญิงพจมานฯ หรือพรรคไทยรักไทยโดยส่วนรวม

เพราะถ้ายังมีสติกันอยู่บ้าง ผู้มีอำนาจใหม่ต้องรู้ทีเดียวว่ายึดอำนาจมาแย่งกันกระเจิงให้ชาวบ้านเขาจ้องดูด้วยความเวทนานั้น คือที่มาของความเสื่อม

ก็เลยคิดว่าโยนให้อังกฤษเสียจะดีกว่า

ไม่นานอังกฤษคงกลายเป็นผู้รับผิดชอบเบื้องหลังการเลือกประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การโยกย้ายในกระทรวงมหาดไทย การเคลื่อนพลของกองทัพภาคที่ ๓ น้ำท่วมภาคกลาง ไปจนถึงรถเช่า ๑๑ คันราคา ๑๑ ล้านของอาจารย์แก้วสรร อติโพธิแห่ง คตส. และอื่นๆ อีกมากมาย

อาจถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ Climate Change โดยไม่รู้ตัว

คุณทักษิณฯ จะเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมาขนาดไหนก็ตาม ขณะนี้ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนบ้างแล้ว ยึดเอาสัจธรรมเลยว่า ผู้มีอำนาจทุกยุคเขาเอาตัวรอดด้วยการบอกว่าคนอื่นเลวกว่าตนทั้งนั้น

นี่เป็นเวลาที่คนในรัฐบาลเก่าต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษครับ อย่าไปเชื่อใคร

เพราะเบื้องหลังรูปทองนั้น มันเงาะทุกทีไปล่ะครับ.

--------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 63 คิดถึงคึกฤทธิ์


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 63: คิดถึงคึกฤทธิ์
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
ลมในท้องมากเกินสมควร จนผายลมเรี่ยราดไปหมดทุกที่ ก็ยังมีคนคิดว่าท่านหมดศรัทธากับการเมืองไทยในขณะนั้น ถึงขนาดคิดว่าเรื่องตดสำคัญกว่า

*******************************************************************************
คิดถึงคึกฤทธิ์

ในบรรยากาศการเมืองแบบรวมสังขารไม่ค่อยติดอย่างนี้ ได้แต่นึกถึงอาจารย์คึกฤทธิ์ฯ หรือ พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ถ้าอาจารย์ยังอยู่ ป่านนี้คงจะมีคนออกมาเตือนสติทุกฝ่ายให้คิดอะไรไกลกว่าปลายจมูกของตัวเองแล้ว

คนที่เกิดไม่ทันเห็นฤทธิ์ของอาจารย์คึกฤทธิ์ฯ อาจจะคิดว่าเพราะความเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือความเป็น “สยามรัฐหน้า ๕” อันเป็นบทความทรงอิทธิพลยิ่งในยุคหนึ่งล่ะกระมัง ที่ทำให้ชื่อของท่านยังดำรงคงอยู่จนถึงวันนี้ ถึงขนาดที่หนังสือของอาจารย์คึกฤทธิ์ฯ ไม่เคยหายไปจากแผงหนังสือ

ถ้าจะใช่ก็คงเป็นเพียงเหตุประกอบ ความสำคัญของอาจารย์คึกฤทธิ์ฯ อย่างแท้จริงอยู่ที่ท่านทำตัวเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนไทยทุกรุ่น ทุกเชื้อชาติ ศาสนา และฐานะ ให้เข้าใจร่วมกันอย่างดื่มด่ำว่าความเป็นไทยคืออะไร

เพื่อป้องกันการนองเลือดที่ไร้ความจำเป็นอย่างที่เห็นในที่อื่นๆ

ท่านใช้การพูด เขียน เคลื่อนไหว ไปจนถึงการออกรบเพื่อสื่อสารทางการเมืองในยุคที่ประชาธิปไตยอ่อนแอเสียเหลือเกินในเมืองไทย และที่สำคัญคือใช้ตัวท่านเองเป็นหนูทดลองทางการเมืองมาไม่รู้จักเท่าไหร่ ถึงขนาดจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคร่วมกว่าสามสิบพรรค ซึ่งจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่ทุกเวลานาที เพื่อให้รู้ว่ารัฐบาลควรมาจากพรรคการเมือง

ถึงจะผีเข้าผีออกบ้างตามประสาศิลปินขนาดท่าน แต่ความคิดเห็นทางการเมืองทุกครั้งแจ่มชัดและถือเป็นหลักได้เสมอ

มานึกย้อนในวันนี้ ซึ่งไม่ได้มีเหตุปัจจัยอะไรเป็นพิเศษนอกจากระลึกถึงท่านขึ้นมาเฉยๆ ผมเริ่มเห็นได้ชัดว่าอาจารย์คึกฤทธิ์ฯ ดำรงอิทธิพลได้นานและลึกซึ้งเพราะท่านวางตัวได้เหมาะเจาะดี

ไม่เคยเป็น NGOs ที่ยกตัวขึ้นมาเหนือหัวมนุษย์ เพราะคิดว่าตัวเองศีลสูงหรือบริสุทธิ์กว่าเขา

ไม่เคยเป็นสื่อมวลชนที่แยกตัวออกจากส่วนประกอบอื่นๆ ในสังคม แล้ววิจารณ์เอาๆ เหมือนประเทศไม่ใช่ของตัว หรือเห็นว่าใครมาสู่อำนาจแล้วเป็นศัตรูหมด

ไม่เป็นนักวิชาการที่คอยมองหาช่องทางที่จะเขยิบฐานะทางสังคมโดยทำตัวเป็นคนรับใช้ชั้นสูง

ไม่ใช่นักธุรกิจที่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินจนลืมใช้เงินเพื่อคนอื่น หรือแบ่งปันในทางที่เหมาะสม

และไม่เคยหลบซ่อนอคติของตัวเองเอาไว้หลังคนอื่นหรือซ่อนเอาไว้ในใบหน้ายิ้มแย้ม อาจารย์คึกฤทธิ์ฯ มีอคติกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์อย่างไร ท่านก็แสดงออกมาตรงๆ หรือไม่ก็เสียดสีแบบของท่านจนเรารู้และเข้าใจ เมื่อจะอ่านข้อเขียนหรือฟังคำพูดของท่านเกี่ยวกับอาจารย์ปรีดีฯ เราก็มักจะระวังหน่อยทุกทีไป

ความชัดเจนและแท้จริงแบบนี้ ทำให้อาจารย์คึกฤทธิ์ฯ เป็นที่พึ่งทางความคิดที่ใครๆ ก็รับฟังและข้อเขียนของท่านแทบทุกชิ้นจะมีคนอ่านอย่างพิเคราะห์ราวกับถอดรหัส

มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างลึกล้ำ เพราะนักการเมืองอ่าน ประชาชนทั่วไปอ่าน นักปราชญ์ราชบัณฑิตอ่าน และระดับที่สูงยิ่งในเมืองไทยก็ยังอ่าน บางครั้งเขียนเรื่องน้ำพริก ช้าง พระ ผี หรือไปเที่ยวต่างประเทศมา ท่านก็เขียนให้คนนึกว่ามีนัยทางการเมืองได้ทุกทีไป

ครั้งหนึ่งท่านเขียนเรื่องของการผายลมหรือตด เพราะมีผู้อ่านที่ใช้นาม “คุณ ส.ท.” หารือมาว่าไม่ไหว ลมในท้องมากเกินสมควร จนผายลมเรี่ยราดไปหมดทุกที่ ก็ยังมีคนคิดว่าท่านหมดศรัทธากับการเมืองไทยในขณะนั้น ถึงขนาดคิดว่าเรื่องตดสำคัญกว่า

รำพึงมานี้เพื่อจะถามดังๆ ว่า เมืองไทยไม่มีใครอย่างนี้อีกแล้วหรือ ที่จะไม่แบ่งเขาแบ่งเรากันจนพูดจากันไม่รู้เรื่อง หรือมีภูมิปัญญาที่ไม่แสดงเอาความเท่ใส่ตัว แต่เพื่อให้เกิดแสงสว่างขึ้นจริงๆ ในสังคมที่กำลังอลหม่านไปด้วยอวิชชา โดยสนใจตัวเองน้อยกว่าสนใจประเทศชาติ

จนสามารถตะโกนเสียงดังก้องฟ้าได้ว่า “กูไม่กลัวมึง”

คิดถึงอาจารย์คึกฤทธิ์ฯ ครับ.

----------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

กราบเสื้อแดง โดย จักรภพ เพ็ญแข


ที่มา : คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 44
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง : กราบเสื้อแดง

เห็นใจมวลชนผู้ทนสู้
ใครอยากรู้ทอดร่างกลางถนน
มองทางใดคืบก็คนศอกก็คน
แม้ลำบากเหลือล้นก็ทนเอา

พื้นถนนต่างจากสนามหลวง
พอกลางคืนเข้าล่วงก็ร้อนเร่า
อีกรถยนต์เลื่อนลั่นส่งควันเทา
กว่าจะเข้านอนได้แทบวายวาง

ใครนอนใกล้แหล่งน้ำก็ยุงกัด
พลิกสะบัดรอบตนจนสว่าง
ขาดอาหารการกินแทบสิ้นทาง
แต่ไม่ยอมจืดจางคือจิตใจ

ตั้งแต่มีอธิปไตยในชาตินี้
เห็นมวลชนพร้อมพลีเช่นนี้ไหม
เสียงสะท้อนว่าประชาธิปไตย
มีคุณค่าเพียงใดในใจคน

“คณะราษฎร์” ยึดอำนาจคราวอภิวัฒน์
ปวงชนขาดความชัดไม่เข้มข้น
ไม่อาจเดินนำหน้าปัญญาชน
ขาดมวลชนเนื่องหนุนจึงวุ่นวาย

คราวนี้เราสานต่อผู้กู้ชาติ
ประวัติศาสตร์ปรับเปลี่ยนเขียนขยาย
ชนชั้นนำพร้อมสรรพยังกลับกลาย
เพิ่มปวงชนเสริมท้ายไม่กลายพันธุ์

คนเสื้อแดงผ่านฟ้าผู้กล้าหาญ
ยอมทอดตัวทรมานเพราะเชื่อมั่น
ทุกท่าทียืนหยัดมหัศจรรย์
อำนาจเก่าจึงชงันชะงักไป

ใครยังคิดรัฐประหารใช่งานง่าย
สั่งคดีขวาซ้ายยังสงสัย
ถึงจะมีรัฐบาลคลานตามใจ
ใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างไรกัน

ผ่านฟ้าเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศ
อาณาเขตความคิดที่ปิดกั้น
ทำนบพังน้ำก็ไหลลงหลายตัน
ประชาชนทั้งนั้นเขาเอาจริง

ผู้ใหญ่สอนฝังหัวกลัวบ้านร้าง
ให้อยู่ห่างทุกทีว่าผีสิง
เมื่อมวลชนลุยล่าหาความจริง
ผีกลับนิ่งอยู่ตรงไหนไร้ร่องรอย

ประชาชนมาทั้งทีมีความหมาย
ร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไม่มีถอย
เสมือนทำรอบบากฝากร่องรอย
ผีที่คอยหลอกอยู่ได้ดูชม

หยุดหลอกหลอนเสียทีพ่อผีเก่า
ใช่เจ้าเข้าเจ้าของอย่าจ้องข่ม
เมื่อปวงชนรวมพลังทั้งสังคม
ล้างโสมมทั้งขบวนสมควรไป

ขอคารวะจิตใจใส่เสื้อแดง
ประกายแสงปรากฏช่างสดใส
ถึงเหน็ดเหนื่อยถ้วนทั่วมอบหัวใจ
เหงื่อประชาธิปไตยให้แผ่นดิน.

-------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 62


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 62: ธรรมศาสตร์อัปยศ?
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
รายชื่อในบัญชีสีดำและเย็บปกด้วยหนังสุนัขเล่มนี้ไม่ควรมีชื่อของอธิการบดีของมหาวิทยาลัยใดๆ อยู่ด้วยเลย

*******************************************************************************
ธรรมศาสตร์อัปยศ?

และแล้วเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันได้รวมกันเป็นปึกแผ่นและตั้งคำถามเด็ดขาดกับอาจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ว่า จะเลือกอะไรระหว่างตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

คำถามนี้แสดงนัยที่ยิ่งใหญ่ต่ออนาคตของระบอบประชาธิปไตยในราชอาณาจักรนี้ และในความเคารพต่อบทบาทของประชาคมธรรมศาสตร์ในการต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อกว่าจะได้มา

และถามกับอธิการบดีที่ดูเหมือนจะคิดว่าเผด็จการกับประชาธิปไตยไม่มีความแตกต่างกัน

สภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้ เป็นเพียงที่รวมของบุคคลที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (ที่ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากในนาม คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) เสนอแต่งตั้งขึ้นมา ไม่มีใครในโลกอารยะที่จะเชื่อว่าเป็นสถาบันประชาธิปไตย

ไม่ต้องคนระดับอธิการบดีก็พอจะรู้ได้ว่า สภานี้เป็นตัวแทนเฉพาะผู้ที่ยึดอำนาจและคนที่อยู่เบื้องหลังผู้ยึดอำนาจเท่านั้น

อย่าว่าแต่ไปเป็นสมาชิกห้อยท้ายอยู่กับเขาด้วยเลย แค่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ๆ ก็เป็นเสนียดจัญไรต่อความบริสุทธิ์ทางวิชาการแล้วครับ

มีแต่เพียงนักวิชาการที่ถูกข่มขืนซ้ำซาก และนอนรอให้เขาขยี้ซ้ำอีกเท่านั้นที่จะดีใจต่อตำแหน่งแห่งหนประเภทนี้

ชาวธรรมศาสตร์จึงถามอาจารย์สุรพลฯ ว่าไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ

คำถามนี้มีความเมตตาหลงเหลืออยู่มาก เพราะคนถามเชื่อว่าท่านอธิการบดีไม่ใช่พวกที่ถูกเขาทำลายเยื่อพรหมจารีมาแล้ว แต่เข้าใกล้เขตอันตรายจนน่าเป็นห่วง

อาจารย์สุรพลฯ อาจจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่แล้วขนาดไหนก็ตาม แต่คนยังเชื่อว่าท่านต้องไม่เห็นด้วยกับการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง และต้องแสดงออกให้ชัดเจนเป็นสาธารณะว่าจุดยืนของคนขนาดนี้เป็นอย่างไร

เพราะจุดยืนของอธิการบดีมหาวิทยาลัยน่าจะต้องมีมากกว่าส้นเท้า

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีแนวทางที่ชัดเจนกว่าใครทั้งหมดในการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ นั่นคือต่อสู้กับทุกอย่างและทุกคนที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย จนใครๆ ก็คารวะ และมองธรรมศาสตร์ว่าเป็นสถาบันอันศักดิสิทธิ์ในทางการเมืองและสังคม

ชื่อของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ บัดนี้มาต่อด้วยชื่อของสุรพล นิติไกรพจน์

ต่อให้ใจคิดเป็นห่วงความรุ่งเรืองในอาชีพของตัวเองขนาดไหนก็กระโจนไปไม่ได้ ตำนานธรรมศาสตร์บังคับอยู่

เมื่อเกิดการยึดอำนาจในวันที่ ๑๙ กันยายน ป้ายต่อต้านการรัฐประหารป้ายแรกๆ ผงาดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์สุรพลฯ ก็คงจะเห็นหรือได้รับรายงาน

หรือเมื่อรู้แล้วรีบเผ่นไปหาผู้มีอำนาจและอธิบายความจนตัวเอง “หลุด” จากข้อหาต่อต้าน และได้บำเหน็จรางวัลมาเป็นสมาชิกสภาฯ ที่เสนอแต่งตั้งกันเองอย่างครื้นเครง ก็ไม่รู้เหมือนกัน

การแบ่งเค้กกันในหมู่คนโค่นทักษิณเป็นไปได้และเป็นไปแล้วในหมู่พันธมิตรฯ แม่ทัพนายกอง ข้าราชการพลเรือน และนักธุรกิจบางคน แต่รายชื่อในบัญชีสีดำและเย็บปกด้วยหนังสุนัขเล่มนี้ไม่ควรมีชื่อของอธิการบดีของมหาวิทยาลัยใดๆ อยู่ด้วยเลย

ผมเป็นอาจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ในวันนี้ ไม่มานั่งรอเลือกแล้วล่ะครับว่าจะกกกอดตำแหน่งใดเอาไว้ดี ให้หนังมันหนาไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็น

ในฐานะที่ไม่ใช่คนธรรมศาสตร์ ผมขอแสดงความคารวะต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และประชาคมธรรมศาสตร์มา ณ โอกาสนี้

ต่อคำถามสุดยอดของท่าน.

---------------------------------------------------------------------------------

จิตใจมวลชน โดย จักรภพ เพ็ญแข



ที่มา : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 44
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง : จิตใจมวลชน

********************************************************************************
ภาพของมวลชนเป็นหมื่นแสนที่หลั่งเข้ามารวมตัวกันในบริเวณผ่านฟ้าและเดินทัพอย่างสงบไปทั่วกรุงเทพมหานคร ยอมรับครับว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่น่าปีติเป็นที่สุด ใครเคยเชื่อคนไทยขาดความพร้อมต่อระบอบประชาธิปไตย ต้องเปลี่ยนใจในคราวนี้ โดยส่วนตัวผมรู้สึกลึกๆ ว่านี่แหละการต่อยอดความอุตสาหะวิริยะและความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และคณะราษฎร์ทุกๆ ท่านจากทุกสาย ตลอดจนเป็นการแสดงความคารวะต่อวีรกรรมเพื่อประชาธิปไตยของทุกรูปทุกนามที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์

แต่เราควรต้องมองลงไปให้ถึงความรู้สึกนึกคิดของพี่น้องแต่ละคนจากไม่รู้กี่จังหวัดนั้นด้วย อยู่บนเวทีมองลงไปเห็นคลื่นมหาชน ก็ได้เห็นมวลชน ซึ่งเป็นมวลพลังที่แตกต่างจากคนเดี่ยวๆ ที่เรียกว่าปัจเจกชน แต่ปัจเจกชนนั้นเอง ที่เป็นองค์ประกอบหลักของมวลชน ก็คือคนที่มีเลือดมีเนื้อ มีจิตใจและร่างกายอย่างครบถ้วน

นั่งในถนนที่ร้อนราวนรกในช่วงกลางวัน เมื่อถึงยามราตรีกว่าจะล้มตัวลงนอนได้ก็หลายชั่วโมง เพราะความร้อนช่วงกลางวันมันระเหยขึ้นมา คนที่นอนข้างแหล่งน้ำก็ประสบเคราะห์กรรมจากยุงกัด และกัดทั่วไปทั้งตัวจนเกือบสว่าง อาหารการกินและน้ำดื่มอัตคัดขาดแคลน ไม่ต้องพูดถึงห้องน้ำห้องส้วม และไม่ต้องคิดถึงเรือกสวนไร่นาหรือบ้านเรือนที่ทิ้งมาอย่างตัดใจเลยด้วยซ้ำ


กิจกรรมทั้งหลายล้วนใช้พลังงานสูงยิ่ง เดินเท้าไปกลับ ร.๑๑ อันไกลโพ้นหลายรอบ เดินแสดงพลังไปรอบนครหลวงก็หลายครั้ง สมองต้องทำงานรับข้อมูลต่างๆ จากบนเวทีและรายรอบตัวจนไม่รู้แล้วว่าจะดูดซับอย่างไร ระหว่างการชุมนุมก็ต้องรับมือกับข่าวสารหลากหลาย จริงบ้าง เท็จบ้าง หรือข่าวลือจากคนที่มีเจตนาต่างๆ กัน บ้างว่าจะถูกบุกถูกทำร้าย บ้างว่าเขาให้สลายการชุมนุม บ้างก็ว่าขณะนี้แกนนำเขาแตกแยกกันแล้ว หรือบ้างมาชวนกลับบ้านเฉยๆ อย่างนั้นเอง สายลับฝ่ายตรงข้ามเข้ามาอยู่ปะปนก็ไม่น้อย คุยกับใครก็ต้องระมัดระวังคอยสังเกตการณ์

นี่คือการชุมนุมของคนใจสูง ใช้ความสามารถสูง และมีขันติธรรมเป็นเยี่ยม

ผมต้องมาอยู่ต่างประเทศ ไกลบ้าน ไกลครอบครัว เพราะถูกทำร้ายทางการเมืองด้วยข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ผมนึกในใจอยู่ตลอดเวลานาทีว่าสิ่งเดียวที่รู้สึกเสียใจในยามลี้ภัยนี้ คือไร้โอกาสที่จะไปร่วมทุกข์กับพี่น้องประชาชนที่ผ่านฟ้าและทั่วประเทศไทยอย่างที่เคยทำมาตลอดหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา

นั่งเสียใจจนบางครั้งเกิดจินตนาการว่าไปอยู่ที่นั่นกับพี่น้องด้วยจริงๆ กลิ่นอายเวทีการต่อสู้นั้นยังติดจมูก มือที่เอื้อมมาสัมผัสกันระหว่างผมกับพี่น้องทุกๆ คนยังเป็นความอบอุ่นชนิดจำได้ไม่ลืม และผมก็ใช้เสียอย่างคุ้มค่าในยามหนาวใจหรือแม้แต่หนาวกาย ซึ่งเป็นอาการอันประจำของคนพลัดบ้านพลัดเมือง

ผมคิดว่าเท่าที่ผ่านมานี้มวลชนของเราได้ร่วมแสดงความเด็ดเดี่ยวและจริงใจอย่างที่สุดแล้ว ขณะนี้ ก็มีการพูดคุยระหว่างตัวแทนของประชาธิปไตยและตัวแทนของฝ่ายเผด็จการโบราณแล้วถึงสองรอบด้วย เป็นไปได้ไหมครับว่า เราจะวางแนวทางบางอย่างที่จะถนอมกำลังและจิตใจของพี่น้องประชาชนไว้บ้าง

ต้องอย่าลืมว่าเมื่อกลุ่มที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือม็อบเสื้อเหลืองออกมายึดเมืองอย่างอหังกานั้น เขามิได้กระทำการอย่างสุจริตตรงไปตรงมาอย่างผู้ชุมนุมเสื้อแดงนะครับ

เขามีนักการเมืองสายรัฐบาลในปัจจุบันจัดการระดมมวลชนขึ้นรถบัสรถตู้มาเสริมจำนวนผู้ชุมนุมของเขาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา จนเกิดระบบเวียนคนเก่าออกเอาคนใหม่เข้า โดยเฉพาะจากภาคใต้

มวลชนธรรมชาติโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ไม่เคยมีมาก ก็เวียนไปมากันอยู่อย่างนั้น

แล้วใช้สื่อของรัฐที่สั่งได้ และสื่อมีเส้นของตนเองถ่ายทำด้วยศิลปะจนดูราวกับว่ามีผู้คนมากมายร่วมชุมนุมอยู่ตลอดเวลา

อาหารในรูปข้าวกล่องของเขาก็อย่างดี แถมด้วยเงินก้นกล่องอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวมากมายไปแล้ว และไม่เคยขาดแคลนเพราะมีนักธุรกิจชั้นนำยอมให้ไถอยู่ตลอดเวลาเพื่อเอาหน้ากับเจ้าของม็อบ

เขาไม่ได้ประชาชนตัวจริงเสียงจริงจากทั่วสารทิศ บางที่ก็ไกลแสนไกล มาร่วมชุมนุมด้วยจำนวนอันมหาศาลอย่างแท้จริง อย่างบริสุทธิ์ และอย่างไม่เหลียวหลัง เยี่ยงการชุมนุมของฝ่ายประชาธิปไตยเราหรอกนะครับ เขาบริหารจัดการให้ดูราวกับว่ามีพลังมากเท่านั้นเอง

ผมเชื่อว่าแกนนำก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยไปกว่ามวลชน ท่านโปรดอย่าลืมความจริงที่ได้กล่าวมานี้แล้วนำไปหารือกันให้กระจ่างเถิดครับว่า เราต้องถนอมมวลชนเราหรือไม่อย่างไร

ถามประชาชนวันนี้ส่วนใหญ่ท่านก็ยังยืนหยัดต่อสู้ แม้บางท่านจะมีความจำเป็นจะต้องกลับบ้านชั่วคราวบ้าง ท่านก็พร้อมจะกลับมาใหม่ถ้าแนวทางต่อสู้ชัดเจนและนำไปสู่ชัยชนะได้จริง

ผมคิดว่าไม่มีใครเปลี่ยนใจพี่น้องประชาชนจากประชาธิปไตยกลับไปเป็นช้าช่วงใช้ของเผด็จการแห่งประเทศไทยได้อีกแล้วครับ

เวลานั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างองอาจ
ไม่จำเป็นต้องแสดงพลังมวลชนจนหมดแรง

สะสมและถนอมแรงนั้นใช้งานใหญ่ที่พี่น้องประชาชนต้องการให้ขบวนการประชาธิปไตยกระทำในเวลาอันควรดีกว่าครับ

ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงและยาวนานนัก.

----------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)