ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกลอน : เปลวไฟในรากหญ้า โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : เปลวไฟในรากหญ้า
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
***************************************************************************
แม้สุมแน่นแค้นหนักกระอักอก
เหมือนพลัดตกสู่เตาก็เผาผลาญ
หยาดน้ำตาแม้ไหลเป็นสายธาร
ถึงกลับบ้านใจยังหวงห่วงพะวง

เงยหน้ามองยอดเขาเราเคยเชื่อ
มีสิ่งเดียวที่ยังเหลือคือความหลง
ภาพลวงตาก่อนตื่นยังยืนยง
คิดว่าเขาเผ่าพงศ์คงความดี

หนีตายไปพึ่งพากาสาวพัสต์
อาวุธเขาตามสกัดถนัดถนี่
พระอารามอย่างไรไม่ใยดี
พญามารเข้าบี้ให้บีฑา

ยิงหน้าอกยิงหัวเพราะกลัวรอด
ยิงอย่างคนใจบอดเป็นนักฆ่า
ยิงระเบิดเถิดเป็นไพร่ไร้ราคา
ผู้ชรา ชาย หญิง ยิงรายคน

แม้พระสงฆ์ถูกกระชากลากจีวร
คำที่เคยพร่ำสอนไม่ได้ผล
ใครหวังว่าผ้าเหลืองคือเบื้องบน
เพียงได้ยลภาพนั้นอันตรธาน

เดินทางกลับบ้านใจรานร้าว
ด้วยดวงใจร้อนราวกับเผาถ่าน
เหมือนถูกปืนปล้นปลิดจิตวิญญาณ
สาปสามานย์เมืองแมนด้วยแค้นใจ

แต่ถึงแม้ถ้วนทั้งหมดปรากฏขึ้น
แม้ความคิดพร่ามึนยังคิดได้
พฤษภาฟ้าระยำก่อกรรมไทย
ช่วยเพาะกล้ากลางใจในแผ่นดิน

จากนี้ไปคนไทยเลิกใหลหลง
ศรัทธาในโคตรวงศ์คงเสื่อมสิ้น
เสียงที่ร่ำร้องไห้เคยได้ยิน
ได้สุดสิ้น-เลิกขอ-พอกันที

พฤษภา ๓๕ มีฟ้าห้าม
พฤษภา ๕๓ ข้ามวิถี
เมื่อมวลชนทั่วหล้าปัญญามี
จะพึ่งผีต่อไปทำไมกัน

พึ่งกันเองตามประสาประชารัฐ
แม้เกิดความข้องขัดหรือคับขัน
จงพากเพียรเรียนรู้ไปคู่กัน
ร่วมชนชั้นเชิงเดี่ยวไม่เดียวดาย

กระสุนปืนแต่ละนัดของสัตว์นรก
หัวมันปกหางตลอดคอยสอดส่าย
เป็นไปตามความพิสุทธิ์พุทธทำนาย
สู่สุดท้ายสิ้นวงศ์คงสมควร

จงชวนเชื่อกันไปเถิดไม่เกิดผล
เพราะมวลชนในวันนี้เขาถี่ถ้วน
เขากำลังปฏิวัติจัดกระบวน
เตรียมสร้างสวนพฤกษศรีแทนที่มาร

ประหารฆ่าผู้คนที่ทนทุกข์
เสมือนปลุกรากหญ้าทุกหย่อมย่าน
ช่วยหว่านข้าวไปทั้งกำเกิดตำนาน
ทำลายฐานมารแผ่นดินจนสิ้นเวร.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความตายในวัดหลวง โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : ความตายในวัดหลวง
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

**************************************************************************

ใครปรารถนาจะเรียกสถานการณ์ระหว่างวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และต่อเนื่องหลายวันหลังจากนั้นว่า เหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การเข้าล้อมปราบ การยุติภาวะจลาจล การบังคับใช้กฎหมาย หรือการกระชับวงล้อม ซึ่งเป็นคำฮิตล่าสุดของผู้เป็นรัฐนั้น ก็จงใช้ไป แต่เพื่อนพี่น้องทุกคนและตัวผมที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ จนหลายคนกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว จะไม่ใช้คำนี้ เพราะเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และศักดิ์ศรีความเป็นคนอย่างเลวร้ายเหมือนเดรัจฉาน

สิ่งที่เกิดนั้นเรียกได้อย่างเดียวว่า การสังหารหมู่ (massacre)

ท่านผู้ใดเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะได้เขียนต่อไปนี้ ได้โปรดพิจารณาใช้คำเดียวกันนี้ตลอดไป เพื่อตีตราบาปไว้บนหน้าผากของมหาอำมาตย์ใหญ่ที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง ไม่ให้หลุดรอดไปจากสายตาของเราและของโลกได้ นี่คือขั้นแรกของการชำระความเลวร้ายทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเราจะกระทำโดยพลันและอย่างต่อเนื่อง

แม้หลังความตายของผู้ก่อบาป ซึ่งวันหนึ่งก็จะเกิดขึ้น เราก็จะตีตราบาปต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดมหาอำมาตย์สายพันธุ์เดียวกันนี้ในสังคมไทยได้อีก

การไล่ฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง โดยใช้อาวุธสงครามและผู้ชำนาญการฆ่านั้น ความจริงเกิดขึ้นโดยทั่วไปในกรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัด ซึ่งเรากำลังรวบรวมหลักฐานทั้งหมดก่อนที่จะถูกทำลายเหมือนศพพี่น้องของเราในวันนั้น

แต่การสังหารหมู่ประชาชนด้วยเจตนาที่ชัดเจนที่สุด จนนำมาบันทึกเอาไว้ได้ว่าแสดงสัญลักษณ์แห่งระบอบปัจจุบันอย่างไม่มีทางพลิกพลิ้วเป็นอื่นได้นั้น คือในวัดปทุมวนารามฯ

วัดที่ในวันนั้นถูกแปลงโฉมเป็นศูนย์พยาบาลฉุกเฉินกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะฝ่ายใดนี่ล่ะครับ

วัดเดียวกับที่ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นเขตอภัยทาน เป็นที่หลบภัยของผู้ที่ได้รับความลำบากเดือดร้อน ไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตใดๆ นี่ล่ะครับ

วัดที่ตั้งอยู่ระหว่างห้างสรรพสินค้าหลายแห่งของชนชั้นสูงทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิร์ลด์ และติดกับวังสระปทุมนี่ล่ะครับ

นี่คือสถานที่ที่ทหารพร้อมอาวุธกรูเข้ามาทั้งจากด้านบน คือรางรถไฟฟ้าบีทีเอสอย่างที่ร่ำลือกันมาตลอด และจากภาคพื้น ตะโกนจนได้ยินทั่วกันว่า พวกมึงรกโลก กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด
จากนั้นก็ระดมยิงใส่เหมือนคนบ้า

ด้วยความที่เป็นศูนย์พยาบาล คนที่ตาย บาดเจ็บ และต้องหนีตายอย่างสุดชีวิต ก็คือพระ แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข และคนเจ็บที่ถูกทำร้ายมาแล้วรอบหนึ่ง

จำนวนจึงไม่ใช่หกหรือแปด แต่เป็นจำนวนมากอย่างน่าใจหาย

“เก่ง” อาสาสมัครที่ประกาศตัวเองผ่านคลิปสำคัญว่า ไม่ใช่เสื้อแดง แต่มาช่วยเพราะเป็นหน่วยกู้ชีพ เล่าด้วยเสียงสะเทือนใจว่า แม้แต่น้องผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประท้วงต่อต้านฝ่ายทหาร แต่ยืนทำแผลให้แก่ผู้บาดเจ็บอยู่ภายใน ก็ยังถูกยิงจนขาดใจตายอยู่ในวัดปทุมฯ
ผมเชื่อว่าการสังหารหมู่ในครั้งนี้ โดยเฉพาะที่วัดปทุมฯ จะเป็นจุดเปลี่ยนสังคมไทยอย่างที่หลายคนยืนยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้

อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เคยวิพากษ์ไว้ว่า ผมเขียนหนังสือเชิงอุปลักษณ์ อยากจะให้เขียนชี้ชัดลงไปแบบวิชาการ เพราะจะเป็นประโยชน์โดยตรงมากกว่า ซึ่งผมก็รับความเห็นไว้ด้วยความเคารพ

แต่ “อุปลักษณ์” ในกรณีวัดปทุมวนารามนี่ล่ะครับ ชี้เปรี้ยงลงไปยังปัญหาหัวใจของการเมืองและการกดขี่ข่มเหงประชาชนได้ดีกว่างานเขียนทางวิชาการที่ต้องใช้ปัญญาทางสมองมากเหลือเกินกว่าที่จะสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไร้อาวุธ และไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งหญิง ชาย เด็ก คนเฒ่าคนแก่ และพระสงฆ์ผู้กำลังครองผ้ากาสาวพัสต์ เขาวิ่งเข้าวัดเพราะเคยรู้มาว่าวัดเป็นที่พึ่งของคนยาก วัดจะไม่ปฏิเสธคนที่กำลังมีทุกข์ ยิ่งเป็นพระอารามหลวง หรือวัดหลวง ซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ ก็คงจะไม่คิดทำร้ายเข่นฆ่าใคร เขาก็วิ่งเข้าไปพึ่งพาด้วยความศรัทธาที่เต็มเปี่ยม

ครับ แล้วเขาก็ถูกฆ่าอย่างทารุณที่สุดบนธรณีสงฆ์ของวัดหลวงนั่นเอง

ศพที่นอนเกลื่อนอยู่นั้น มีทั้งหญิง ชาย เด็ก คนเฒ่าคนแก่ พระสงฆ์ และนักข่าวต่างประเทศ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ล่วงลับ ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างศรัทธาในพระศาสนาและสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างสูงคนหนึ่ง เขียนไว้ในนวนิยาย “หลายชีวิต” ว่า คนที่มาตายพร้อมกันเพราะเรือล่มลงหลังออกจากท่าที่บ้านแพนท่ามกลางลมพายุนั้น เขาทำบาปกรรมอะไรร่วมกันมาหรือ จึงมาตายพร้อมกันอย่างนี้

ผมซึ่งอ่านหนังสือของนักเขียนผู้นี้ด้วยความรักลุ่มหลงมาเนิ่นนาน นำคำถามนี้มาคิดใคร่ครวญต่อจนกระทั่งบัดนี้ ก็เพิ่งจะได้คำตอบจากการสังหารหมู่ในวัดปทุมวนารามเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓

เขาต้องสูญเสียชีวิตลงพร้อมกันโดยมิใช่เหตุธรรมชาติ และมิได้ประกอบกรรมทำชั่วใดๆ ในขณะนั้นเลย ก็เพราะเขาอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่ไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์

นั่นล่ะครับคือสิ่งที่ เขามี เขาเป็น ร่วมกัน

คำว่า “รกโลก” ที่ทหารตะโกนเอากำลังใจก่อนจะลงมือฆ่า สะท้อนอย่างชัดเจนที่สุดว่าเขาบนนั้นไม่เอาประชาชนคนใดก็ตามที่บังอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอันล้นพ้นของเขา ที่ใช้ผ่านรัฐบาลพันธุ์ทาสอย่างชุดของนายอภิสิทธิ์-นายสุเทพ-นายชวน และเขาก็พร้อมฆ่าเหมือนกับที่ฆ่ามาแล้วตลอดเส้นทางสายอำนาจที่ชโลมมาด้วยเลือด

ไม่ว่าประชาชนจะถามคำถามอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธหรือไม่ก็ตาม ไม่มีความหมายสำหรับเขา

ครับ ความตายในวัดหลวง ก็คือ ความตายในรัฐหลวง นั่นเอง

“เลือดหยดรดถนน คือเลือดข้นคนเสื้อแดง

บทเรียนราคาแพง จี้ระบอบตอบคำถาม

อภิสิทธิ์คนเดียวหรือ ควรลุกฮือควรติดตาม

เชื้อร้ายโรคลุกลาม ทั่วโคตรพงศ์และวงศา

คนไทยไม่มืดบอด ไม่หลุดรอดจากสายตา

คนยิงก็เพียงหมา เจ้าของคลั่งผู้สั่งยิง

เกิดซ้ำและเกิดซาก ใต้หน้ากากน่าเกรงกริ่ง

จากเตียงส่งเสียงยิง ดับญาติตนไม่สนใจ

อย่าร้องอย่างขี้ข้า ให้เชิดหน้าสูงกว่าไพร่

เจ้าของคือผองไทย เลิกครรลองขอร้องมาร

เลือดนี้มีความหมาย เฮือกสุดท้ายเราพ้นผ่าน

“เหมาะสมล้มกระดาน สร้างรัฐหลวงของปวงชน”

สงครามเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเองครับ....

--------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกลอน : กล้ากลางสมร โดย จักรภพ เพ็ญแข



เรื่อง : กล้ากลางสมร
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์

*************************************************************************
กล้ากลางสมร

กล้าหาญมาจากไทยนักสู้
ตายิ่งดูใจยิ่งช้ำน้ำตาไหล
มือก็เปล่าเขาก็ยิงวิ่งเข้าไป
ด้วยหัวใจเด็ดขาดไร้ศาสตรา

ใช่นักรบจบถ้วนกระบวนศึก
ทั้งยามดึกยามเช้าวิ่งเข้าหา
รู้ทั้งรู้ว่าอาจตายวายชีวา
ยังยืนอยู่แถวหน้าท้าประลอง

ไม่เว้นชายเว้นหญิงยิ่งคนแก่
มวลชนนักรบแท้ไม่มีสอง
เพื่อนถูกยิงใครเล่าเข้าประคอง
เอามือรองเลือดสดสดรดแผ่นดิน

กระสุนแล่นจากขุมใดก็ไม่รู้
ซุ่มโจมจู่ฆ่าไพร่ด้วยใจหิน
นี่หรือผู้ครองแคว้นครองแผ่นดิน
ช่างทมิฬหินชาติในอาตมัน

ใครศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติไพร่
จะไม่นึกประหลาดใจไทยด้นดั้น
กว่ามวลไพร่ได้เป็นคนชนสามัญ
ต้องปลดพันธนาการวิญญาณไทย

เงยหัวได้สักหน่อยเขาคอยเหยียบ
สงบปากเงียบเชียบมาแต่ไหน
บอกว่ารวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
กลับไม่รวมเลือดไพร่ใช่ผู้ดี

พอเขาเลือกคนกล้ามาช่วยแก้
ก็กลับกลุ้มรุมรังแกด้วยหลากสี
ชุมนุมเงียบงันสงบครบหลายปี
ถึงเวลานาทีที่เดิมพัน

ฝ่ายหนึ่งมีหนังสติ๊กและก้อนหิน
ฝ่ายหนึ่งถือปืนทมิฬต้องอาสัญ
ฝ่ายหนึ่งเอาความเป็นคนมาเดิมพัน
ฝ่ายหนึ่งฟันด้วยอำนาจจนขาดใจ

เขาเดินมาเรียกร้องเพียงยุบสภา
เพียงเท่านี้ถึงกับฆ่าประดาไพร่
บทพิสูจน์สุดขั้วของหัวใจ
ไม่สู้เพื่อเสรีไทยไม่มีวัน

กี่ชีวิตร่วงราวใบไม้ร่วง
กี่ชีวิตยังห่วงยังยึดมั่น
กี่ชีวิตบอกว่าตายไม่สำคัญ
กี่ชีวิตมุ่งมั่นเพื่อวันงาม

ไม่มีเกียรติยศใดที่ใหญ่หลวง
เท่าชีวิตทุกทุกดวง ณ จุดข้าม
วีรชนคนกล้าประกาศนาม
ทอดร่างเป็นสะพานข้ามความเสรี

กล้าหาญนักเพราะศักดิ์พลเมือง
รุ้งรองเรืองแจ่มชัดจรัสศรี
เลือดของเพื่อนไหลลงตรงปฐพี
ล้างราคีเผด็จการผลาญแผ่นดิน.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

เรื่อง : เหตุแห่งความกล้าหาญ
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์

**************************************************************************

อะไรหรือที่ทำให้พี่น้องประชาชนมือเปล่าๆ วิ่งเข้าไปหาปืนด้วยความกล้าหาญมุ่งมั่นและด้วยสติอย่างสมบูรณ์?

นี่คือสิ่งที่ผมครุ่นคิดมาตลอดตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงการปะทะรุนแรงในเดือนพฤษภาคม คิดไปก็ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อช่วยชีวิตและจิตใจของพี่น้องหลายล้าน ในฐานะที่คนพลัดบ้านพลัดเมืองคนหนึ่งจะกระทำได้

แล้วผมก็พบความงามบางอย่างวาบแสงขึ้นในความมืดมิดของระบอบโบราณที่ยังครอบงำไทย

ยังจำได้ไหมว่า พันเอกอัคร ทิพย์โรจน์ เป็นตัวแทนของฝ่ายเผด็จการรับจ้างของระบอบไทยสมัย คมช. ออกมากล่าวาจาสามหาวใส่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่เข้าชนรถถังจนตัวบาดเจ็บสาหัสว่า แก่ บ้า และลงท้ายด้วยการหมิ่นน้ำใจว่าไม่มีคนไทยที่ไหนจะยอมตายเพื่อประชาธิปไตยหรอก

จนสุดท้ายก็ได้ชีวิตทั้งชีวิตของลุงนวมทองมาพลีพิสูจน์ว่าใครคือมนุษย์และใครมีศักดิ์เพียงสัตว์เดรัจฉาน

หากเทพมีจริง วันนี้เทพนวมทองท่านคงกำลังมองลงมายังพื้นดินด้วยความปลื้มใจว่าคนไทยอีกนับจำนวนไม่ถ้วนก็พร้อมพลีชีพเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองเช่นเดียวกัน ถึงจะรู้สึกห่วงใยทุกๆ ชีวิตและไม่ต้องการให้พลีชีพโดยไม่จำเป็นแม้แต่หนึ่งเดียวก็ตาม

ผมมั่นใจว่า ความกล้าหาญที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคราวนี้ คือผลการยกระดับความคิดและทัศนะของผู้เป็นพลเมืองที่ถูกเหยียดหยามให้เป็นไพร่ใต้ตีนมานานหลายศตวรรษ


ใครคิดว่ามวลชนเหล่านี้ยอมเสี่ยงชีวิตเพียงแค่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและเพื่อกำจัดคนไร้ค่าอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงต้องคิดใหม่

เป้าหมายแค่นั้นเอาอเวไนยสัตว์มาตายแทนยังไม่คุ้ม

พวกเราวิ่งเข้าหาปืนใส่กระสุนจริง ท้าความตายอยู่กลางถนน เพราะรู้ว่าถ้าเขาวิ่งไปได้ถึงฐานที่มั่นของเจ้าของระบอบอันเลวร้ายเมื่อไหร่ ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกดทับทำลายมานานปี ก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระและได้เติบโตตามธรรมชาติ ส่งผลให้ชีวิตของเขาและคนรุ่นต่อไปดีขึ้น

โดยเฉพาะศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์นั้นดีขึ้นแน่ ยืนยันได้จากตัวอย่างที่ชัดเจนในยุครัฐบาลประชาธิปไตยแท้ๆ ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ในเวลาเพียงหกปีเห็นหน้าเห็นหลัง ประชาชนผู้ไร้เส้นสายรู้สึกมีชีวิตชีวา มีความหวัง และรู้สึกว่าบ้านเมืองสูงขึ้นเยอะ

เขาก็จำได้หมายรู้มาตั้งแต่บัดนั้นว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเล่นหรูหราของนักวิชาการหรือเจ้าทฤษฎีที่ไหน แต่เป็นของมีค่าที่เขาจับต้องได้จริง

เขาไม่เคยต่อสู้ขนาดนี้มาในอดีต ก็เพราะอดีตไม่ควรค่าแก่การต่อสู้ของเขา

แม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จัดตั้งมวลชนในกว้างขวางและลึกซึ้งที่สุดรองลงไปจากระบอบศักดินา ก็ยังไม่สามารถสร้างเป้าหมายที่ประชาชนคนสามัญเห็นคุณค่าและพร้อมพลีชีพได้ถึงขนาดนี้

พยายามพูดใส่ความกันเหลือเกินว่านี่คือความตั้งใจที่จะสร้างระบอบทักษิณ

คนที่ชิงชังคุณทักษิณด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนบ้าง ด้วยความยึดมั่นถือมั่นจนไม่ดูข้อเท็จจริงบ้าง หรือหมั่นไส้ริษยาบ้าง ก็เซ็งแซ่กันว่าประชาชนเหล่านี้สงสัยจะเป็นทาสของคุณทักษิณ

พูดจนลืมไปว่าคนพูดที่มีโซ่ล่ามอยู่รอบคอ ร้องเพลงกันเองแล้วก็น้ำตาไหลกันเอง ปรุงแต่งกันอยู่แถวนั้น เป็นทาสของใคร และลืมหูลืมตาขึ้นหรือไม่

คนที่วิ่งเข้าไปหาปืนและความตายเหล่านี้ล้วนไม่รู้จักคุณทักษิณ ไม่เคยเห็นตัวจริงไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ จากคุณทักษิณเลยแม้แต่น้อย เขาคงไม่ได้คิดถึงคุณทักษิณในขณะพลีชีพ

บางท่านอาจจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นว่าท่านเหล่านี้วิ่งเข้าไปด้วยความพิเศษบางอย่างในสมองและระบบความคิด เรียกได้อย่างหนึ่งว่า แนวทาง

เหมือนแดงสยามเสนอแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตยในขั้นต่อไป โดยไม่ได้เสนอตัวเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นผู้นำการเมืองในเวทีไหนหรือพรรคใดๆ เลย

แนวทางคือกรอบความคิดใหญ่ที่เราใช้เป็นฐานในการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกิจกรรมเพื่อให้เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแท้ มีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ส่งผลสำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวิธีการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรมของฝ่ายประชาธิปไตย

ไม่ว่าใครจะรับแนวทางจากคำปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ ผ่านฟ้า สนามหลวงหรือที่อื่นๆ ไม่ว่าใครจะได้อ่านเอกสาร หนังสือ แผ่นซีดี ข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือใครมีโอกาสเข้าร่วมเสวนากับกลุ่มใดๆ จนเกิดการปรับทัศนะ เปลี่ยนแปลงจากความล้าหลังและความไม่รู้ร้อนหนาว จนเป็นความห่วงใยบ้านเมืองอย่างที่เรียกว่าก้าวหน้านั้น ถือว่าใช้ได้หมด

ใครยังเหลือธาตุแห่งความดูแคลนประชาชนอยู่ในใจ ผมท้าให้ไปนั่งคุยกับคุณยายคุณป้าคุณลุงคุณอาที่แยกราชประสงค์สักสิบนาที แล้วจะตื่นอย่างรวดเร็วว่าคนที่มาร่วมชุมนุมในฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่อาจจะเป็นทาสใครได้เลย เขาต่างมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ก้าวหน้าและชัดเจน จนวันนี้ปรับสภาพจนใกล้จะเป็นการลุกขึ้นสู้อยู่รอมร่อแล้ว

คนจนที่ได้รับการศึกษาตามระบบมาน้อยในวันนี้ ส่วนใหญ่มีจิตวิญญาณการเมืองและสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ ดีกว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ยอมตัวเป็นไพร่ใต้ตีนคนอื่น ผู้อุตส่าห์หาเหตุผลที่ฟังเผินๆ ก็ไพเราะมาอธิบายความล้าหลังและความเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้นของตัวเอง เพียงเพราะในใจเต็มไปด้วยความอ่อนแอจนพึ่งตัวเองไม่เป็น

ของแบบนี้มีตัวอย่างอยู่เสมอ

ศิลปิน ดารา นักร้อง สื่อมวลชนที่ประกาศจุดยืนต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย ไม่มีความกล้าหาญและบกพร่องในความเป็นมนุษย์อยู่มาก เพราะคนเหล่านี้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ตั้งแต่หัวถึงตีน ได้ดีมาก็เพราะเอาตีนคนอื่นคุ้มกบาลตัวเองมาตลอดชีวิตที่ไร้ค่า

ศิลปะของคนเหล่านี้จึงมักแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน ไร้ความบริสุทธิ์ แค่จะเปิดละครกันสักเรื่องก็ต้องอาศัยเดรัจฉานวิชามาคุ้มตัวกลัวเจ๊ง ทั้งที่อาศัยพุทธธรรมอย่างเดียวก็เหลือจะพอ

คนที่ยอมตัวอยู่ใต้อำนาจคนอื่น มักจะเห็นว่าระบบอุปถัมภ์นั้นดีวิเศษ เห็นอำนาจที่กดหัวของตัวอยู่เป็นบุพการีของตนไปหมดอย่างน่าเวทนา

แต่คุณค่าของผู้หลงผิดเหล่านี้คือช่วยเปรียบเทียบและทำให้วีรกรรมของฝ่ายประชาธิปไตยมลังเมลืองขึ้นมาก

ถ้าไม่มีไพร่ใต้ตีน ก็ไม่รู้ว่าเทพนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

อยากรู้ก็ส่องกระจกดูครับ.

--------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พันธุ์พม่า โดย จักรภพ เพ็ญแข


ที่มา : คอลัมน์ สายตาโลก นิตยสาร Thai Freedom
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง พันธุ์พม่า
*************************************************************************

ผมทึ่งและประทับใจกับท่าทีล่าสุดของ นางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่าที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านพักของเธอมานานปี เธอแถลงผ่านที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวว่า การเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารของพม่าจะจัดขึ้น ไม่ใช่การเลือกตั้งที่พรรคการเมืองที่เธอก่อตั้งและสังกัด นั่นคือ สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD (the National League for Democracy) ควรเข้าร่วมเลย แต่ในคำแถลงเดียวกันเธอก็ย้ำว่า นี่มิใช่คำสั่ง เป็นเพียงทัศนะส่วนตัวของเธอเท่านั้น ขอให้คณะพรรค NLD นำไปพิจารณาให้รอบคอบและตัดสินใจเอาเองเถิด

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลทหารของพม่าภายใต้ผู้เผด็จการกฎเหล็กอย่างพลเอกอาวุโสตานฉ่วย ออกกฎหมายใหม่เอี่ยม ๕ ฉบับมาเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ ๒๐ ปี การเลือกตั้งและกฎหมายรองรับเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ที่เผด็จการของพม่าเรียกว่า “เส้นทางสู่ประชาธิปไตย” หรือ “Roadmap to Democracy” ซึ่งมีทั้งหมด ๗ ขั้นตอน สาระของกฎหมายก็คือการควบคุมการเลือกตั้งให้อยู่ภายใต้ระบอบทหารต่อไปทั้งนั้น ในฉบับที่ระบุคุณสมบัติของผู้จะลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ก็ระบุเงื่อนไขต่างๆ อย่างที่รัฐประชาธิปไตยเขาไม่มี โดยเฉพาะในประเด็นที่ห้ามขาดมิให้ “ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาจำคุก” มาแล้ว ซึ่งทำให้ตัวนางซูจีและสมาชิกระดับของ NLD ที่ถูกทหารจับเข้าคุกมาแล้วทั้งนั้น ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แถมยังเขียนให้ชัดเจนไว้ในวรรคหนึ่งเสียด้วยว่า “ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องไม่ใช่ผู้ที่สมรสกับชาวต่างประเทศ” กีดกันโดยตรงต่อตัวนางซูจีผู้ที่ทุกคนรู้ดีว่าแต่งงานกับสามีชาวอังกฤษและเสียชีวิตไปแล้วหลายปี

ตัวนางเองขณะนี้ก็ถูกขังอยู่ในบ้าน ออกๆ เข้าๆ มานาน ๒๐ ปี ล่าสุดก็ด้วยกรณีที่มีชาวอเมริกันสติเฟื่อง (หรือไม่ก็แกล้งบ้า) ว่ายน้ำเข้ามาที่บ้านพักของเธอและได้รับอนุญาตให้พัก ๑ คืน แต่นางเองกลับเป็นคนถูกลงโทษด้วยการขังไว้ในบ้านนานขึ้นอีก นี่กว่าจะหมดระยะนี้ก็เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าฝ่ายทหาร “หาเรื่อง” ให้เธอไม่มีโอกาสร่วมรณรงค์หาเสียงในนาม NLD แนวคิดคือทำทุกอย่างให้ผู้ที่เลื่อมใสสนับสนุนในตัวนางซูจีคลายความรู้สึกลงไปตามเวลา หากลืมไปได้เลยยิ่งดี

ฝ่ายทหารของพม่าใช้เวลานานกว่า ๒๐ ปีในการทำให้ภาพลักษณ์ของนางเป็นคนที่ “ทรยศ” ต่อชนชาติพม่าด้วยการแต่งงานกับชาวอังกฤษ ต่อมาทำให้เป็นสัญลักษณ์ของความชุลมุนวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งเป็น “ความไม่รักชาติ” อีกอย่างหนึ่ง รวมความแล้วฝ่ายเผด็จการพม่าก็ใช้วิชามาร เอาเรื่องที่ตัวสร้างไว้ป้ายสีเขามาใส่ไว้เป็นข้อกฎหมายแล้วลงโทษเขาไปตามนั้น ผู้ชูธงประชาธิปไตยอย่างนางซูจีจึงเคราะห์ร้ายทั้งขึ้นทั้งล่อง

กฎหมายทั้ง ๕ ฉบับที่ออกมาควบคุมกลไกการเลือกตั้งทั้งหมด ในที่สุดก็เป็นแค่เครื่องมือรักษาเผด็จการให้สถิตอยู่ในพม่าได้อย่างมั่นคงต่อไปเท่านั้นเอง คนที่ยึดหลักการประชาธิปไตยอย่างมั่นคงเหมือนกับนางซูจีก็ย่อมจะมองออก

การไม่เข้าร่วมในกระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้เท่ากับปฏิเสธระบอบเผด็จการทั้งระบอบ

ตรงกันข้าม หากนางซูจีคิดสั้นๆ แคบๆ ว่าขอให้ได้จ่อมหัวเข้าไปในอำนาจรัฐบ้างเถิด อะไรรอบตัวมันอาจจะดีขึ้นบ้างแบบที่นักหาประโยชน์จากการเลือกตั้งชอบคิด ในที่สุดตัวนางเองจะกลายเป็นผู้ประทับตรายอมรับอำนาจของฝ่ายเผด็จการและเป็นเหยื่อในขั้นสุดท้าย การปฏิเสธสิ่งที่ดูคล้ายจะเป็นโอกาสของฝ่ายค้านจึงเป็นความสุขุมคัมภีรภาพของผู้นำทางจิตวิญญาณของฝ่ายประชาธิปไตย

ถึงเผด็จการสายพันธุ์เก่าของไทยจะซ่อนตัวเก่งกว่าเผด็จการพันธุ์พม่า แต่บัดนี้ก็ชัดเสียยิ่งกว่าชัดแล้ว ระบอบประชาธิปไตยของไทยแท้ที่จริงแล้วคือระบอบเผด็จการอำพรางซ่อนรูป

ระบอบทหารพม่าออกกฎหมายมาควบคุมกลไกการเลือกตั้งทั้งระบบ แถมด้วยอำนาจนอกระบบที่แอบใช้เพื่อข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้าม ระบอบอำมาตย์ไทยสั่งการได้ตลอดกระบวนการ ตั้งแต่องค์กร (ที่นึกว่า) อิสระอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง จนถึงกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง ไปจนถึงองค์กรอิสระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและผู้พิพากษาอีกเป็นจำนวนมาก

เผด็จการสองประเทศแตกต่างกันเพียงภาพที่ปรากฏภายนอกมิใช่หรือ?

นางอองซานซูจีก็เหมือนนายกรัฐมนตรีผู้ถูกอำมาตย์ปล้นอำนาจอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร นั่นคือถูกกลไกของรัฐเผด็จการหาเหตุให้จนกลายเป็นผู้ต้องหาและผู้ต้องขัง ชนะเลือกตั้งแล้วเขาก็ไม่ให้เข้าสู่อำนาจ (NLD ชนะการเลือกตั้งในปี พ.ศ.๒๕๓๓ อย่างท่วมท้น ทหารก็ก่อรัฐประหารเพื่อสกัดไม่ให้นางขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี คุณทักษิณชนะเลือกตั้งครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ ถูกกดดันจนต้องยุบสภาและชนะซ้ำอีกเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๙ และถูกยึดอำนาจไปในที่สุด)

ความผิดอย่างเดียวของผู้นำทั้งสองคือบังอาจได้รับความนิยมกว่าผู้เผด็จการชั่วชาติในประเทศของแต่ละคนเท่านั้นเอง ปัญหาอื่นใดไม่มีเลย

เมื่อสะท้อนภาพไทยจากตัวอย่างพม่าในครั้งนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขคือจะต่อสู้ในเชิงระบอบเลยทีเดียวหรือจะไต่ไปทีละขั้นแล้วร่วงลงมาเหมือนเกมงูตกกะได

อองซานซูจีประกาศไม่ยอมรับที่ต้นตอของเรื่องเลยทีเดียว นั่นคืออำนาจรัฐในมือเผด็จการอะไรที่มาจากระบอบเผด็จการเป็นไม่เอาทั้งนั้น

แกนนำฝ่ายประชาธิปไตยของไทยเรียกร้องเป็นวรรคเป็นเวร ขอให้นายกรัฐมนตรีที่ฝ่ายเขาตั้งช่วยกรุณายุบสภาและให้เลือกตั้งใหม่

อองซานซูจียืนหยัดไม่ยอมร่วมเตียงกับปิศาจอสุรกาย ไม่ว่าจะจำแลงมาเป็นรูปมนุษย์ที่สวยสดงดงามเพียงใด โดยอุตส่าห์อำพรางมาในนามการเลือกตั้งและวิถีประชาธิปไตย

ฝ่ายเราบางคนกำลังสนใจจะลงเรือลำเดียวกับสัตว์ที่ทำร้ายเราจนสาหัส แถมบอกกับมวลชนว่าเขาคงจะพาเราไปถึงเกาะในฝันที่มีชื่อว่าประชาธิปไตยได้

มันสอดรับกันด้วยเหตุผลไหมครับ

ถึงแม้ว่าประชาธิปไตยในพม่ายังไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ท่าทีที่มั่นคงชัดเจนอย่างนี้คือเหตุที่ทำให้ผู้มีอิทธิพลระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ยังคงสนับสนุนนางอองซานซูจีอย่างไม่หวั่นไหว ระบอบทหารของพม่าถึงจะได้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็ประสบกับข้อจำกัดในระดับระหว่างประเทศจนพัฒนาพม่าไม่ได้ตามใจปรารถนา

เมืองไทยก็เถิด ถึงวันนี้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษยังหนุนผู้มีอำนาจเก่าในเมืองไทยอย่างชัดเจน แต่เมื่อท่าทีของฝ่ายประชาธิปไตยชัดเจนและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ จนประชาชนส่วนใหญ่หลุดออกจากสื่อล้างสมองของระบอบเก่าแล้ว เขาก็ย่อมจะพิจารณาจุดยืนของเขาใหม่ได้ แต่ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยดันไปสนับสนุนผลประโยชน์ของฝ่ายเผด็จการหรือแสดงท่าทีไม่จริงจังในการต่อสู้ของตัวเองแล้ว จำเป็นอยู่เองที่มหาอำนาจเขาต้องกอดรัดงูพิษตัวเดิมต่อไป เพราะอย่างน้อยคือปิศาจตัวที่เขารู้จักดีอยู่แล้ว

รักจะเป็นประชาธิปไตย อย่ารับใช้ปิศาจ

นี่คือปรัชญาในวันนี้ครับ.

--------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ 4


แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ ๔
เรื่อง ย่างก้าวของขบวนประชาธิปไตย

แดงสยามได้ติดตามสถานการณ์การเมืองในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ซึ่งลงท้ายด้วยการปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยกำลังทหารและกระบวนการทางกฎหมาย ได้ติดตามการประกาศยุติการชุมนุมเพื่อสงวนชีวิตมวลชน เมื่อวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม และได้รับรู้ถึงความคับแค้นใจของมวลชนต่อการกระทำของระบอบอำมาตยาธิปไตยและเผด็จการโบราณที่ติดตามมาหลังจากนั้น เราจึงขอแสดงจุดยืนดังนี้

๑. แดงสยามขอคารวะต่อจิตใจต่อสู้ของมวลชนทั่วประเทศและในต่างประเทศ ที่ได้แสดงออกโดยตลอดมา อย่างผู้มีจิตใจสูงและมีทัศนะการเมืองที่ก้าวหน้า พร้อมที่จะก้าวข้ามอุปสรรคเฉพาะหน้าไปสู่เป้าหมายหลัก คือประชาธิปไตยที่แท้จริงในอนาคต เราขอยืนยันว่า การเสียสละของมวลชนทุกผู้ทุกนามในครั้งนี้ ไม่สูญเปล่า แต่กลับต่อยอดการจัดตั้งประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนพ้นระดับปฏิรูป

๒. แดงสยามขอแสดงความชื่นชมต่อแกนนำผู้ที่ได้ตัดสินใจสงวนชีวิตมวลชนไว้อย่างเต็มความสามารถ เพื่อการต่อสู้ในอนาคต และขอประกาศว่าแกนนำทุกท่านมีส่วนร่วมในการเตรียมมวลชนครั้งสำคัญในครั้งนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นสอดคล้องหรือแตกต่างอย่างไรในวิธีการ

๓. แดงสยามขอประกาศการสิ้นสุดลงของแนวทางปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตย และเริ่มการปฏิวัติเพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงขึ้นในประเทศไทย ณ บัดนี้

แถลงไว้ ณ วันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

---------------------------------------------------------------------------------

The Announcement of Dang Sayam (Red Siam) No. 4
“Our Path Towards True Democracy”

Dang Sayam has been following the situation during the months of April and May of 2010, which ended in a brutal government suppression on all democracy advocates with the military forces and “the legal system”. We have followed the announcement to end a rally for democracy at Rajprasong on May 19 to save lives. And we have been witnessing the people’ discontent over Thailand’s aristocracy and its ancient regime.
Here are our stance:

1. We commend all individuals who gathered together for democracy, both in Thailand and overseas, in expressing the true courage and progressive political thoughts all along these years of uprising. They are clearly ready to overcome any immediate obstacles in order to achieve true democracy in the near future. We wish to insist that their devotion does not end in vain, but become a major continuation of the next stages.

2. We admire all UDD leaders in doing their very best to save precious lives of the people. Their contribution to our course is duly noted, despite a few differences in ways and means at times.

3. We declare that any attempt of “democratic reform” has now ended. From today, we begin the journey of democratic revolution of Thailand until we achieve one.
This is announced on Wednesday, May 19 of 2010.

-------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จักรภพ เพ็ญแข ไว้อาลัย "เสธ.แดง"


"พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล

ประวัติศาสตร์มวลชนจะจำมั่น

พลีชีพเพื่อรากหญ้าค่าอนันต์

จวบจนวันฟ้าใหม่จะไม่ลืม..."

จาก จักรภพ เพ็ญแข

18 พ.ค. 53

---------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกลอน : สู่ดวงดาว โดย จักรภพ เพ็ญแข

ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง สู่ดวงดาว
************************************************************************
สู่ดวงดาว
ถึงทางตันกันแล้วทั้งสองฝั่ง
เห็นพลังสองระบอบตอบคำถาม
ฝ่ายมวลชนยืนหยัดก็ชัดงาม
ฝ่ายตรงข้ามมุ่งทำลายจากใต้เตียง

เมื่อมวลชนแน่นขนัดเกินจัดตั้ง
คือพลังชนฉกาจไม่อาจเถียง
ถูกกระหน่ำซ้ำเท่าใดไม่เอนเอียง
ไม่อาจเลี่ยงว่าผูกใจไว้ด้วยเงิน

ถูกคนรวยเขาประณามว่าโง่เง่า
สื่อฝ่ายเขาป้ายสีไม่มีเกริ่น
บัดนี้เขาแพ้พ่ายใช่เรื่องเงิน
แต่ไม่เปิ่นเขินอายเพราะใจจริง

ยืนหยัดสู้ราชประสงค์ดำรงอยู่
เหล่านักสู้เผ่าพงศ์ล้วนคนหยิ่ง
เมื่อบ้านเมืองมืดสลัวได้ตัวจริง
ไม่เกรงกริ่งอันตรายพร้อมวายปราณ

มวลชนแน่นขนาดนี้แสนมีค่า
ราวลูกช้างพากันมาบูชาศาล
หากเจ้าพ่อไม่ช่วยคงป่วยการ
จะมีศาลไปทำไมถ้าไม่มอง

รัฐบาลเผด็จการแบบศาลชอบ
“อภิสิทธิ์” คือคำตอบนอบเจ้าของ
ศาลเดินหน้าสั่งฟันตามครรลอง
ใครที่ไม่สอดคล้องต้องทำลาย

มวลชนแน่นหนักหนายังบ้าคลั่ง
หูไม่ฟังตาขยิบคงฉิบหาย
สองพลังเผชิญหน้าความท้าทาย
ก่อนสลายธรนินทร์สิ้นบ้านเมือง

จะเดินกันต่อไปทางไหนเล่า
แบ่งเขาเราอย่างนี้รอมีเรื่อง
ประชาชนใจเย็นเมื่อขุ่นเคือง
ก็ชี้ว่าบ้านเมืองถึงเวลา

ขอละเลิกรุมละเมอเลิกเพ้อพก
หวังมวลชนป้องปกยังดีกว่า
ใครยังคงหลงเสน่ห์เทวดา
ต้องปล่อยจมอัตตาของตัวเอง

อัศวินม้าขาวร้าวบาดลึก
เป็นเพียงความคิดนึกถึงคนเก่ง
แต่...นักรบตัวจริงเขายิงเล็ง
กระบวนเพลงบรรเลงฆ่ามหาชน

ตระหนัก ณ ราชประสงค์คงสว่าง
ร้องอย่างชนชั้นล่างไม่ได้ผล
ถึงจริงใจเขาก็จับให้อับจน
เพราะหวาดกลัวประชาชนจะเท่าเทียม

มวลชนมาสักเท่าไหร่เขาไม่สน
หกสิบสี่ล้านชนกับคนเหี้ยม
คาดว่าเมตตาธรรมกลับดำเกรียม
คิดหักเหลี่ยมปวงชนอยู่อลเวง

เมื่อหลักฐานจี้ชัดในสัจจะ
คนกักขฬะใจขมเขาข่มเหง
เมื่อรู้ใจไร้ศักดิ์แห่งนักเลง
“จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง”

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อเรา
เตรียมสู้เขาลืมเสียซึ่งความหลัง
ราชประสงค์เลี้ยวโค้งจะโด่งดัง
รวมพลังยกระดับไปกับดาว.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จตุพรพูดถูก โดย จักรภพ เพ็ญแข


ที่มา : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง จตุพรพูดถูก
********************************************************************************

ฟังสาระและน้ำเสียงที่แถลงข่าวหรือให้ข่าวเมื่อคืนนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าต้องเขียนถึงคุณจตุพร พรหมพันธุ์ในวันนี้หลังจากที่มิได้พูดถึงหรือเขียนถึงกันมานานนับปี ยกเว้นแต่ข้อวิพากษ์ถึงแนวทางการต่อสู้รวมๆ ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะของขบวนประชาธิปไตย

ผมไม่มีคำพูดชนิดถอดเรียงตัวอักษรมาอ้าง แต่จับใจความที่อ่านจากข่าวได้ว่า คุณจตุพรพูดชัดว่าการตายของมวลชนคนเสื้อแดงจากน้ำมือของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยภายใต้รัฐบาลชุดนี้ ไม่อาจแลกได้ด้วยการยุบสภาอย่างเดียว แต่จะต้องรวมถึงการสอบสวน และลงทัณฑ์บุคคลผู้สั่งการฆ่าประชาชนนั้นด้วย

ฟังแล้วก็บอกได้คำเดียวว่า เห็นด้วย และยินดีสนับสนุนจุดยืนล่าสุดนี้อย่างเต็มกำลังศรัทธา

นอกจากคุณจตุพรจะสามารถจับหัวใจของเรื่องนี้ได้อย่างดี ว่าเป็นสงครามระหว่างระบอบ ที่จะต้องทำความจริงให้เป็นที่กระจ่างชัดแล้ว ในคำพูดเดียวกันนั้นยังเป็นการยกระดับการต่อสู้ที่เวทีราชประสงค์อีกด้วย

ก่อนที่จะเกิดการใช้กระสุนจริงและอาวุธสงครามในคืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ยังพอถกเถียงกันได้ว่า การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่เป็นเงื่อนไขที่พอเพียงหรือไม่ที่จะยุติการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนี้

แต่เมื่อผ่านคืนนั้นไปแล้ว หน้าต่างแห่งโอกาสถูกปิดไปหลายบาน และประชาชนจำใจต้องเปิดหูเปิดตาและเปิดใจรับเงื่อนไขใหม่ ซึ่งความจริงเป็นเงื่อนไขเก่าที่เราไม่เคยรู้หรือไม่ค่อยได้รู้

นั่นคือระบอบอำมาตยาธิปไตยเขาไม่รับการร้องทุกข์ของประชาชน ไม่รับการเจรจาจากมหาชน และไม่อดทนแม้แต่น้อยนิดต่อความเคลื่อนไหวตามสิทธิมนุษยชนของคนไทยที่เขามองว่าเป็นไพร่ใต้ตีน

เป็นคำอธิบายเดียวต่อการใช้กระสุนจริงและอาวุธสงครามจนมีคนตายหลายสิบชีวิต จนเลือดและสมองไหลนองถนนราชดำเนิน

เรื่องคนเสื้อดำหรือกองกำลังใต้ดินเหนือดินอะไรนั้น หากมีจริงก็คือเหตุสอดแทรกในสถานการณ์ ปฐมเหตุของการนองเลือดในคืนนั้นและต่อมาคือเจตนาล่วงหน้าที่บุกตะลุยเข้ามาเพื่อสังหารผลาญชีวิตของประชาชนที่มาใช้สิทธิ์ประท้วงอย่างสันติ ไม่ได้เกิดจากมือที่สาม ตีนที่สี่ หรือจากประชาชนธรรมดาแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เจตนาฆ่าประชาชนในคืนวันนั้น ไม่แตกต่างจากคำสั่งลับในอดีตที่ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายจนนำไปสู่เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ การล้อมฆ่าตามทัศนะ “ขวาพิฆาตซ้าย” ในโศกนาฏกรรม ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ และการสังหารหมู่พฤษภาทมิฬเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕
ทัศนะอย่างเดียวกัน กระบวนการตัดสินใจคล้ายกัน เพียงเปลี่ยนผู้ปฏิบัติไปตามเวลา และมาจากแหล่งอำนาจเดียวกันกับเหตุการณ์ทั้งสามนั้น

ผมมั่นใจมาตลอดว่าการต่อสู้ของมวลมหาชนต้องยกระดับขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในห้วงต่อไปจะมิใช่ได้มาเพียงสัญลักษณ์และพิธีกรรมประชาธิปไตย แต่จะได้จิตสำนึกว่าอะไรคือประชาธิปไตยที่แท้ และอะไรคืออุปสรรคกีดขวางมิให้คนไทยได้ประชาธิปไตยมาโดยตลอด

คนที่อ่านประวัติศาสตร์ไทยทะลุความบิดเบือนซ่อนเร้นต่างๆ จะไม่แปลกใจที่เขาลั่นกระสุนใส่คนบริสุทธิ์ที่ไร้อาวุธได้อย่างเหี้ยมโหดขนาดนั้น

นี่ไม่ใช่การบันดาลโทสะหรืออารมณ์แค้นชั่ววูบจนต้องเสียเลือดเนื้อ แต่คือจิตใจเหี้ยมโหดที่สะสมมานานหลายปี และปรับปรุงการวิธีใช้อำนาจมาตลอดจนลงตัว สามารถฆ่าใครที่ท้าทายอำนาจของตนได้มาก เร็ว โดยน้ำกระเพื่อมเพียงเล็กน้อย จับมือใครดมไม่ได้เพราะเป็นมือที่มองไม่เห็น

จนสมดุลอำนาจมาเปลี่ยนเมื่อคืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ เมื่อรู้สึกการผูกขาดอำนาจผ่านอาวุธสงครามของตนต้องถูกบังคับให้สิ้นสุดลงนั่นเอง

ไม่ว่าคุณจตุพรและคณะที่มีความเห็นสอดคล้องจะนำมวลชนไปสู่จุดไหนต่อไป ผมเชื่อมั่นว่าท่าทีที่ชัดเจนนี้จะทำให้ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในคืนวันนั้นได้รับความอาลัยรำลึกอย่างเหมาะสมโดยขบวนประชาธิปไตยในแนวหน้า

ผู้ที่จะไม่ตายอย่างสูญเปล่า จะย้อนไปถึงเหล่าวีรชนตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ คือตั้งแต่ครั้งที่การก่อรูปของอำนาจรัฐปัจจุบันเกิดความชัดเจนและเสถียรเป็นต้นมา

การตายของพวกเราทุกๆ ชีวิตมิใช่เป็นเพียงความรับผิดชอบของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและทหารสายที่ครองผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบของระบอบที่ครอบงำอยู่ทั้งหมด

ไม่ต้องสูญเสียมากกว่านี้ก็คงอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้วเพราะเห็นเจตนาชัด

เมื่อชัดแล้วก็ต้องสงเคราะห์ว่า การแก้ปัญหาง่ายๆ คงจะไม่มี และการต่อสู้ครั้งนี้คงจะดำเนินต่อไปอีกนานหลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งครั้งใหม่

ใครสู้ไม่ไหวหรือไม่พอใจก็หลีกทางไปอย่างสงบ ให้มวลชนในทัศนะใหม่เข้ามาตีมือรับงานแทน งานใหญ่ก็จะไม่ชะงัก

ผมขอแสดงความคารวะอีกครั้งต่อมวลชนที่ยังยืนหยัดอยู่ที่ราชประสงค์และทุกที่ทั่วโลกที่พร้อมจะทำงานใหญ่ปานขุนเขาร่วมกัน และขอแสดงความชื่นชมต่อแกนนำที่เรียนรู้จากสถานการณ์ จนเห็นความจำเป็นของการยกระดับการต่อสู้ในที่สุด

ตัวบุคคลเป็นเรื่องเล็ก แต่แนวทางเป็นเรื่องใหญ่ครับ.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 72 ห้ามโฆษณาอัลกอฮอล์เพื่อใคร?

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 72 : ห้ามโฆษณาอัลกอฮอล์เพื่อใคร?
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
เหมือนละครหลังข่าวในเมืองไทย คือแบ่งระหว่างคนดีที่ต้องดีสุดๆ และคนชั่วที่ต้องชั่วสุดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่โยงมาสู่ความเป็นจริงไม่ได้ เล่นเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่กับชีวิตของคนที่นั่งอ้าปากหวอดูอยู่นั่นเอง

*******************************************************************************
ห้ามโฆษณาอัลกอฮอล์เพื่อใคร?

กำลังจะกลายเป็นเรื่องประจานกันกลางเมืองแล้วครับ

ผมหมายถึงคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. หน่วยงานขุมทรัพย์ของกระทรวงสาธารณสุข ในยุคที่หมอมงคล ณ สงขลาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และหมอศิริวัฒน์ ทิพธราดลเป็นเลขาธิการ ที่ว่าด้วยการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มที่ผสมอัลกอฮอล์อย่างเด็ดขาดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทางโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และสื่อส่งเสริมการขายทุกชนิด

จะบังคับใช้ ๓ ธันวาคม ศกนี้ แต่ทำท่าว่าจะแท้งเสียแล้ว และตัวบุคคลจำนวนหนึ่งอาจจะถูกเชือดตามไปด้วย

การทำให้สุราเป็นเรื่องน่ารังเกียจนั้น ความจริงเป็นวิธีสร้างคะแนนง่ายๆ ของคนที่จะเอาดีในบทบาทของนักอนุรักษ์นิยม

เพราะพูดถึงสุราโดยไม่แยกแยะดีกรี ประเภท กาลเทศะในการดื่ม ความรู้ความเข้าใจในการดื่มเพื่อสุขภาพกับทำลายสุขภาพ เท่ากับการพูดถึงอาหารโดยไม่แยกสารอาหารที่จำเป็นและสิ่งที่เป็นส่วนเกิน

ส่งผลให้เกิดภาวะที่เหมือนละครหลังข่าวในเมืองไทย คือแบ่งระหว่างคนดีที่ต้องดีสุดๆ และคนชั่วที่ต้องชั่วสุดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่โยงมาสู่ความเป็นจริงไม่ได้ เล่นเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่กับชีวิตของคนที่นั่งอ้าปากหวอดูอยู่นั่นเอง

ความคิดที่จะสร้างคะแนนง่ายๆ นี่แหละ ที่ทำให้คนในรัฐบาลนี้หลายคนอาจจะคิดไม่ถึง หรือไม่ได้คิดว่านโยบายหาเสียงง่ายๆ นี้กำลังสร้างปัญหาให้กับสังคมไทยได้ขนาดไหน

ก็ไม่อยากจะพูดว่าถูกหลอกหรอกครับ

พฤติกรรมเลวร้ายอันเนื่องมาจากสุราในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเมาแล้วขับ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างยิ่งยวด ความรุนแรงในครอบครัว ชนิดซ้อมลูกตีเมีย หรือการเสื่อมความสามารถในตัวเองและสูญสิ้นความภาคภูมิในฐานะที่เป็นมนุษย์ ส่วนใหญ่มาจากการบริโภคเหล้าขาวทั้งสิ้น

เหล้าขาวนั้นเป็นของที่คนเสพติดแล้ว จึงไม่ปรากฏว่ามีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เหล้าขาวที่ไหน
แล้วการห้ามโฆษณามันจะไปแก้ปัญหาอะไร?

ยังไม่พอ ตัวเลขจากนักวิชาการที่เป็นกลางยังระบุว่า สุราไม่ได้เผยแพร่กันในผับในบาร์มากมายอย่างที่คิด คิดเป็น ๒๐% ของการแพร่กระจายทั้งหมด อีกอย่างละ ๔๐% ได้แก่การซื้อขายกันในร้านค้าปลีกและร้านอาหาร

การมุ่งตรงไปยังผับและบาร์จึงเป็นการเดินอ้อม และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ได้ถูกแท้หรือไม่

ทั้งหมดยังไม่ร้ายเท่ากับการกำหนดรายละเอียดของคำสั่ง ซึ่งมีรายละเอียดมาก แต่ที่น่าเอ็นดูเป็นพิเศษคือการระบุว่า กิจการใดที่ลงท้ายว่า การกลั่น หรือ brewery ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการยกเว้นใดๆ จากคำสั่งนี้ แต่ถ้าลงท้ายว่า เครื่องดื่ม หรือ beverage ถือว่าได้

แปลว่าราชสีห์เดินคอตก ช้างป่าเฮฮากึกก้อง

ทั้งหมดนี้จึงทำให้เกิดภาพที่น่าดูชมขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ นั่นคือคนส่วนหนึ่งมุ่งขุดทองกันอย่างเพลิดเพลิน โดยอาศัยความรอบจัดที่ได้มาจากอาชีพราชการ และคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมยังหวังว่าจะมีจำนวนมากกว่า ไม่ได้อะไรกับเขา แต่ก็ตามเขาไม่ทัน

นโยบายอย่างนี้รังแต่จะสร้างความเสื่อมเสียให้กับคนที่เป็นรัฐบาล สู้หาทางระดมความคิดอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมเพื่อปกป้องสังคมของเราจากการเสพสุราอย่างขาดสติ น่าจะได้ผลดีกว่า

อย่ารอจนใครเขามาแบ่งกลุ่มให้ว่า ที่นี่ไม่มีใครนอกจากคนสองจำพวกเท่านั้น

คือ แกล้งโง่ กับ โง่โดยไม่ได้แกล้ง เลยครับ.

----------------------------------------------------------------------------------

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 71 เล่นกับลูกชาวบ้านบ้าง


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 71 : เล่นกับลูกชาวบ้านบ้าง
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
สั่งให้ไปสร้างภาพลักษณ์ดีๆ จากเหตุการณ์แย่ๆ คนรับคำสั่งก็ตัวสั่นงันงก รีบรับไปดำเนินการ ทั้งที่ไม่รู้ว่าชี้แจงเกี่ยวกับอนาคตอย่างไรตามวินัยทหารที่ไม่ขัดผู้บังคับบัญชา

*******************************************************************************

เล่นกับลูกชาวบ้านบ้าง

หมู่นี้ผมรู้สึกเป็นห่วง คมช. อย่างไรชอบกล เพราะมีพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองนัก โดยเฉพาะอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้าน

ถึงได้ปล่อยประเด็นเงินเดือน คมช. หรือกรณีทหารตบเท้าเข้าไปนั่งอยู่บอร์ดรัฐวิสาหกิจออกมาจนเสียหายกับภาพลักษณ์ของตนเองอย่างนี้

ผมไม่ได้หมายความถึงข่าวกรอง ข่าวปกปิด ข่าวลับเฉพาะ ข่าววงนอกวงในทั้งหลายที่ทหารวางคนไว้อย่างละเอียดทุกเม็ดเพราะกลัว “คลื่นใต้น้ำ” ข้อมูลแบบนั้น คมช. คงได้อ่านแล้วอ่านอีกจนเบื่อ เพราะปริมาณข่าวมากก็เป็นความดีของผู้ใต้บังคับบัญชาที่หาข่าวมาให้อย่างไม่หยุดยั้ง

แต่ข่าวอีกชนิดหนึ่ง จะต้องออกไปสังสรรค์เสวนากับชาวบ้านกลุ่มต่างๆ จึงจะได้มา เช่น วงเสวนาอภิปรายในมหาวิทยาลัย การตรวจเยี่ยมพื้นที่แบบไม่แจ้งล่วงหน้า (เพื่อไม่ให้เจอแต่ผักชี) การวางระบบประเมินผลการทำงานของรัฐบาลใหม่อย่างครอบคลุมหลายกลุ่มประชากร เป็นต้น

ฝ่ายข่าวของทหารที่ไหนจะรายงานอารมณ์ความรู้สึกของคนโดยพิสดารได้ อย่างเก่งก็เป็นความเคลื่อนไหวนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งบางทีก็เผลอใส่สีใส่ไข่ หรือมีวิตกจริตของตัวเองหลุดเข้าไปปะปนด้วย ก็ยิ่งทำให้คนอ่านหลุดโลกไปอีกฝั่งหนึ่ง

ถึงกับเชื่อว่าคลื่นใต้น้ำกระฉอกกระเซ็นไปทั่วประเทศ เพราะอ่านข่าวที่เป็นชิ้นส่วนภาพต่อแต่ละตัวๆ อยู่ทุกวัน จนขาดสมดุล

ไม่มีใครสักกี่คนหรอกครับที่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังสวมหัวใจไทยคือ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็ช่วยพายเรือให้ถึงฝั่งหน่อยเถิด ตามวิธีคิดของไทยซึ่งฝรั่งไม่ค่อยเข้าใจ

ถ้าเป็นเขาคงช่วยกันวันละสามเวลาหลังอาหารและก่อนนอนในการโค่นลงให้ได้ แต่พี่ไทยใจดีและอยากจะเห็นแค่คนไทยเลิกขัดแย้งกัน

คมช. ในขณะนี้ถือว่ามีปัญหาภาพลักษณ์ไม่น้อยนะครับ เริ่มจากความล้มเหลวของการสื่อสารภายในที่ไม่รู้ว่าได้พูดคุยกันบ้างหรือไม่ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์ที่ออกจะเป็นต้นทุนของผู้บังคับบัญชามากกว่ากำไร

ดูกรณีพันเอกอัครกับคุณนวมทองก็ได้ ไปท้าทายเขาด้วยชีวิตเขาก็เลยสนองตอบให้จริงๆไม่รู้ว่าไปร่วมงานศพเขาบ้างหรือเปล่า

ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นปัญหาไทยเดิม คือ คมช. แต่ละคนรวมการเฉพาะกิจเพื่อทำรัฐประหาร ขณะเดียวกันก็เรียกฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตัวเองมาทีหลังหรือไม่ก็หนีบมาตั้งแต่แรก แล้วสั่งให้ไปสร้างภาพลักษณ์ดีๆ จากเหตุการณ์แย่ๆ คนรับคำสั่งก็ตัวสั่นงันงก รีบรับไปดำเนินการทั้งที่ไม่รู้ว่าชี้แจงเกี่ยวกับอนาคตอย่างไร ตามวินัยทหารที่ไม่ขัดผู้บังคับบัญชา

แถลงข่าวจบเที่ยวหนึ่งก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รอดตายไปวันๆ

คมช. จะต้องสร้างคณะทำงานสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ขึ้นมา โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เข้าไป อย่าไปเชิญนายพลมานั่งเป็นพระลำดับเพื่อให้พูดคนละคำสองคำ โดยไล่จากหัวโต๊ะมาตามลำดับยศอย่างกับพระราชาคณะเตรียมตัวจะเข้าพิธี

คณะทำงานนี้จะต้องประเมินเหตุการณ์และภาพลักษณ์ในภาพรวม ไม่ใช่วันต่อวัน เพื่อจะได้วางแผนสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในห้วงเวลาที่ยาวขึ้น เพื่อจะมองอะไรได้กว้างขึ้น

ประสานกับคณะรัฐมนตรีเสียให้ดี เพราะไม่อย่างนั้นจะสับสนอย่างที่คนนอกเขางงไปหมดแล้วว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดใครและใครเป็นคนออกคำสั่งสูงสุด ระหว่าง คมช. กับรัฐบาล ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยที่กำลังมีภาพลักษณ์อันเลวร้ายลงทุกขณะ

อย่าลืมนะครับว่าไม่มีภาพลักษณ์ในแง่ลบเรื่องใดจะทำลายประเทศเท่ากับความไม่แน่นอน หรือภาวะที่คาดเดาอะไรไม่ได้ (unpredictability) เพราะนักลงทุนจะไม่มา นักท่องเที่ยวก็จะหนี และรัฐบาลอื่นๆ เขาก็รังเกียจที่จะคุยด้วย เพราะเห็นว่าเสียเวลาโดยใช่เหตุ

คมช. ปรับวิธีการสื่อสารของตัวเองเสียก่อนเถิดครับ เพราะคนที่ทำท่าจะพังลงได้ทุกเวลานาทีนั้น ไม่อยู่ในวิสัยที่จะช่วยใครได้เลย

ยึดอำนาจแล้วต้องบริหารให้ดี และบริหารให้ตลอด

อย่าเผลอนึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่จริง...ข้าพเจ้าแค่ฝันร้ายไป.

-----------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กบฏไพร่...ตำนานความห้าวหาญของชาวรากหญ้า โดย วโรทาห์

โดย : วโรทาห์
ที่มา : http://warotah.blogspot.com/

*******************************************************************************

ล่วงเลยไปแล้วเกือบ 2 เดือน กับการต่อสู้ชนิดหลังพิงฝาหน้าชนกำแพง ของบรรดากบฏไพร่แดง ตัวแทนของชนชั้นไพร่กระฎุมพี ที่อาจหาญสวมหัวใจสิงห์ เข้าต่อกรกับกองทัพอำมาตย์อันเกรียงไกร โดยไม่คิดหวาดหวั่นแม้แต่น้อยนิด

มึงแรงมากูก็แรงไป งานนี้ไพร่สู้ยิบตา แม้ว่าจะมีแค่มือเปล่าๆ กับอุดมการณ์ล้วนๆ

ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้น นอกจากกฎหมายที่เขียนเองมากับมือแล้ว ยังพรั่งพร้อมด้วยสรรพกำลังและศาสตราวุธ ระดับสงครามระหว่างประเทศกันเลยทีเดียว

นี่ถ้าสงครามไพร่ตัดสินแพ้ ชนะกันที่อาวุธ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเสื้อแดงกระเจิงไปถึงไหนแล้ว

แต่บังเอิญว่า ของจริงมันต้องวัดกันที่ใจ เรื่องของเรื่องมันถึงได้บานปลายกลายเป็นหนังคนละม้วน เพียงแค่สมรภูมิเลือดแห่งแรกที่สี่แยกคอกวัว ก็สร้างความเสียหายให้กับฝ่ายอำมาตย์ ถึงขนาดถอยกรูดๆไม่เป็นขบวน

ถึงแม้ว่านักรบไพร่จะบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่กองบัญชาการสุมหัวภาคสนามของสมุนอำมาตย์ ก็ถูกถล่มราพณาสูร ไม่เหลือแม้แต่ซาก ให้เป็นสีเหนียดแก่แผ่นดิน

อภิสิทธิ์ เวทนาทีวะ ถูกประทับตราทรราช เพียงแค่ชั่วข้ามคืน

ก็มันห้ามแล้วฟังกันซะเมื่อ ไหร่ ขนาดว่ากองทัพเขาไม่เอาด้วย เพราะเกรงว่ามันจะได้ไม่คุ้มเสีย ยังอุตส่าห์ดิ้นทุรนทุราย ไปใช้บริการทหารนอกแถว หน่วยที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากฆ่าประชาชนเต็มแก่ เพียงเพื่อเอาผลงานเป็นสะพานทอดสู่ยศฐาบรรดาศักดิ์ จะเป็นใครไปซะอีก ถ้าไม่ใช่หน่วยทหารหมา "บูรพาสุนัข"

ดุดันเหี้ยมเกรียมต่อประชาชน แต่คิกขุอาโนเนะ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นเจ้านาย

เพราะย่ามใจว่า งานนี้เคี้ยวขนม สู้กับประชาชนมือเปล่า หลับตาสู้ยังไงก็ชนะอยู่เห็นๆ พอผลการเย่อกันตั้งแต่บ่ายยันเย็น ฝ่ายทหารแพ้ประชาชนหลุดลุ่ยไม่เหลือฟอร์ม จึงทำใจยอมรับกันไม่ได้ ยิ่งมาเจอเสียงกระเส่า เขย่าขวัญสั่นประสาทผ่านเซ็กซ์โฟน-อินเข้ามาเร่งยิกๆว่า "ต้องจบให้ได้..ภายในคืนนี้"

มันเลยต้องมีลูกฮึด ลุยทำโอทีต่อตั้งแต่หัวค่ำยันดึกยันดื่น โดยไม่คำนึงถึงกฎกติกามารยาทที่ว่า ห้าม"ขอคืนพื้นที่"ในยามวิกาล เป็นอันขาด

เรื่องของเรื่อง มันเลยกลายเป็นงานช้าง เมื่อมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาขอร่วมแจม ในนามของ"กองกำลังไม่ทราบฝ่าย แต่ทราบว่ามีปืน" มาถึงก็ตั้งป้อมยิงไม่ยั้ง อย่างกับข้าวตอกแตก เล่นเอาสุนัขบูรพา ร้องไม่เป็นภาษาสุนัข

หะแรกใครต่อใครก็พากันทึกทักว่า เป็นกองกำลังที่มาช่วยเสื้อแดง แต่มาเอะใจตรงที่ว่า จะช่วยทั้งทีทำไมไม่อ้อมไปตีกระหนาบหลัง ให้ทหารอำมาตย์มันละล้าละลังเล่น แต่นี่ดันมาตั้งแท่นยิงอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ทำตัวเป็นตำบลกระสุนตก พาให้ประชาชนพลอยซวยไปด้วยอีกหลายคน

แต่เอาเถอะ สงสัยไปก็เท่านั้น ในเมื่อผลมันก็คือๆกัน นั่นก็คือ ไม่ว่าจะมาช่วยเสื้อแดง หรือว่าถือโอกาสทอดผ้าป่าสามัคคี ฆ่าตัดตอนทหารฝ่ายตรงข้าม มันก็เป็นการฆ่าเพื่อยับยั้งการฆ่าอยู่ดี ไม่เช่นนั้นยังไม่รู้ว่า เสื้อแดงต้องตายเพิ่มอีกกี่ร้อยกี่พันศพ ภายใต้น้ำมือทหารระห่ำสัตว์พวกนั้น

ว่ากันถึงสาเหตุหลัก ที่ทำให้กองโจรอำมาตย์แตกญะญ่ายพ่ายจะแจ หมดรูปในครั้งนี้ ต้องถือเป็นผลงานการวางแผนยุทธการของทหารเสื้อแดง ที่แก้เกมส์กันชนิดช็อตต่อช็อต อย่างรู้เขารู้เรา จากข้อมูลวงในที่ถวายใส่พานมาให้โดยทหารแตงโม

ที่ต่อสายรายงานสดจาก วอร์รูมอำมาตย์ ชนิดคำต่อคำ ประโยคต่อประโยค ส่งตรงถึงเวทีเสื้อแดง อย่างกับยกกองบัญชาการของฝ่ายอำมาตย์มาไว้ที่นี่ ยังไงยังงั้น

แต่สงครามก็คือสงคราม เหมือนสาดน้ำใส่กัน มันก็ต้องรับเละทั้งสองฝ่ายเป็นธรรมดา คิดถึงไพร่ที่พลีชีพเมื่อไหร่ น้ำตามันพาลจะไหลทุกที นี่แหละคือสงครามไพร่ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้รับชัยชนะ ฝ่ายไพร่ก็ต้องรับบทผู้แพ้ตลอดกาล โดยไม่มีข้อแม้ เพราะไม่ว่าทหารหรือพลเรือนก็แล้วแต่ ที่ตายๆกันไป มันก็ไพร่ทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า"ไพร่ที่ตายเพื่ออำมาตย์" ย่อมได้รับเกียรติมากกว่า"ไพร่ที่ตายเพื่อไพร่" พูดแล้วมันเจ็บใจจริงๆ
มิพักต้องไปพูดถึง"องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย" ให้มันคลื่นไส้กันไปเปล่าๆ เหตุเพราะรู้ๆกันอยู่ ว่ามันเสียชีวิตยกคอกไปตั้งนานแล้ว ที่เห็นเต้นแร้งเต้นกาอยู่นั้นมันก็แค่ "องค์กรสิทธิทรชนแห่งประเทศไทย" ที่ทำหน้าที่ปกป้องทรชนคนชั่วเป็นการเฉพาะ การันตีด้วยผลงาน การเจ๋อเข้าไปซับน้ำตาจระเข้ ถึงรังโจร"ลาบ 11"

เมื่อคราวที่นายกฯกำมะลอ ถูกสาดเลือดหน้าบ้าน จนขวัญหนีดีฝ่อ ร้องไห้กระจองอแง อย่างกับพ่อแม่ตาย ยังไม่ปาน

เพราะเหตุนี้มันถึงได้ใจ ฮึ่มฮั่มจะออกมาล้างอาย หมายยิงประชาชนให้กระเจิงกันไปอีกรอบ ดีที่ได้องค์กรต่างชาติมาช่วยกดไข่ดัน ทำให้มันหน้าเขียวหน้าเหลืองนั่นแหละ อาการพิษสุนัขบ้า ถึงได้หายกำเริบลงไปหลายกิโลขีด

แม้กระนั้น ยังพยายามปล่อยของผ่าน "ศูนย์อำนวยความฉิบหายในสถานการณ์ฉุกละหุก" ด้วยการปล่อยไก่อูจอมเห่าหอน สรรเสริญ แก้วกำหนัด ออกมาขู่กรรโชกซ้ำๆซากๆ วันละ 3 เวลา สัปดาห์ละ 7 วัน เล่นเอาชาวบ้านเอียนจนแทบอ้วกไปตามๆ กัน ฐานที่มันดีแต่เห่า ไม่เห็นกัดซักที

เมื่อแขนขามันง่อยเปลี้ยไปซะหมด ทหารก็เกียร์ว่าง ตำรวจนั้นเกียร์ถอยไปนานแล้ว จึงถึงคิวของเจ้ากรรมนายเวรตัวจริงเสียงจริงอย่าง "พันธมิตรทรชนเพื่ออำมาตยาธิปไตย" ที่ต้องออกจากโลงมาทำซ่า เดินหน้า "ฆ่ามัน..ฆ่ามัน..ฆ่ามัน.." ทั้งๆที่ระดมพลแทบตาย ไม่เคยได้เกิน 3 พัน ซักที

ปล่อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครหมู่ ใครจ่า

บ้านเมืองร่ำๆว่าจะลุกเป็นไฟซะให้ได้ แต่นายกฯของไทยกลับไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้ว่ายุบสภามันยากเย็นยังไงกัน ถึงได้หน้าด้านหน้าทนไม่มีขีดจำกัด ทั้งๆที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ ก็เห็นเขาประกาศยุบสภากันโครมๆ ไม่เห็นจะ ต้องยักกะสาย โร้ดหม่งโร้ดแหม็ปให้มันยุ่งยาก โดยใช่เหตุ

อะไรไม่ว่า ยังมีหน้ามาทำขู่ ว่าโปรโมชั่นนี้ถือว่าคุ้มสุดๆแล้ว ห้ามต่อรองเป็นอันขาด

ทำอย่างกับว่า เป็นของดิบของดีที่ชาวบ้านเขาอยากได้นักหนา ไม่มาฟังทัศนะจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ตัวจริงเสียงจริง เมื่อผู้สื่อข่าวยิงคำถามเข้าใส่ ว่าคิดยังไงกับโร้ดแหม็ป"ปองดอง" ของท่านนายกฯ ยายพริ้งคนเสื้อแดง ถึงกับตะโกนตอบสวนควันปืนโดยไม่ต้องคิดว่า...โร้ดพ่อโร้ดแม่มัน

กูแค่อยากรู้ว่า มันจะยุบสภาเมื่อไหร่?

----------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สมัครสมาชิก SMS - TPNews

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

****************************************************************************

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 70 เสื่อมมวลชน


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : หลังรัฐประหาร
ตอนที่ 70 : เสื่อมมวลชน
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

*******************************************************************************
สื่อมวลชนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่า บ้านเมืองนี้ไม่มีประชาธิปไตยก็ได้ โดยมานั่งแก้ตัวหรือมานั่งรับตำแหน่งแห่งหนของคนที่ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ

*******************************************************************************

เสื่อมมวลชน

ครั้งแรกที่เห็น โลกวันนี้ พาดหัวข่าววิจารณ์สื่อบางคนและบางสำนักว่า “เสื่อมมวลชน” ผมยังนึกในใจว่าบรรณาธิการท่านออกจะปากจัดไปหน่อย

แต่วันนี้นอกจากผมจะเห็นด้วยกับท่านอย่างสุดหัวใจแล้ว ก็ยังหวังจะเห็นมวลชนทั้งหลายที่ถูกคนที่ประกอบวิชาชีพสื่อเหล่านี้ทรยศหักหลัง ได้กรีฑาทัพออกมาลงทัณฑ์ตามความผิดแห่งโทษานุโทษเสียด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนที่ไปรอรับการ “แบ่งเค้ก” จากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้กำกับราชการกรมประชาสัมพันธ์และ อสมท. ในรูปของเวลาโทรทัศน์ หรือ air time ทั้งค่ายผู้จัดการ เนชั่น ฯลฯ

สื่อมวลชนที่ถึงกับสละตำแหน่งอันทรงเกียรติในสมาคมวิชาชีพสื่อเพื่อไปรับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจากการรัฐประหาร ซึ่งมีหลายคนอย่างน่าตกใจ

แม้กระทั่งสื่อระดับบรรณาธิการและเป็นครูบาอาจารย์ของใครหลายคน ที่ยอมลดตัวเองไปรับตำแหน่งรักษาการผู้บริหารในองค์กรสื่อของรัฐในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน และถูกสื่อด้วยกันออกมาขับไล่ไสส่งอย่างไม่เกรงใจ

ท่านเหล่านี้คงลืมความหมายอันแท้จริงของคำว่าสื่อมวลชนไปแล้ว

คงต้องแจกแจงเสียก่อนว่า สื่อมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือสื่อมวลชนระดับเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูงที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางข่าวสารบ้านเมือง กับสื่อมวลชนผู้แสดง ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่างผู้รับจ้างที่มีสังกัดและความเป็นศิลปินที่มีอิสระในตน

หากท่านเป็นสื่อประเภทหลัง หรือเป็นเพียง presenter อย่างนี้ไม่กระเทือนมาก

แต่สื่อประเภทแรกมีพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์อันละเมิดมิได้ของตนเองอยู่ นั่นคือการวางตัวอย่างเฉียบขาดเคร่งครัดที่จะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดโดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้น เพราะความเชื่อถือของผู้รับสารที่มีต่อสื่อประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นกลาง

ไม่ต้องลุกขึ้นมาเถียงแบบเด็กๆ หรอกครับว่าความเป็นกลางนั้นไม่มี เด็กอมเท้าก็รู้ว่าความเป็นกลางในสื่อนั้นไม่มี ประเด็นอยู่ที่ว่าประชาชนเชื่อหรือไม่ว่าคุณเป็นกลาง

ถ้าประชาชนเชื่อ คุณก็คือสื่อมวลชนที่มีสิทธิ์ชี้นำสังคมต่อไป อิทธิพลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลห้ามเลียนแบบ

แต่ถ้าเขาไม่เชื่อ คุณก็จบ ควรจะไปหาพรรคการเมืองแนวสามัคคีธรรมสังกัดได้ เพราะประชาชนรู้สึกเสียแล้วว่าคุณเป็นเพียงร่างทรงของคนอื่น

น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่สื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยตามประเภทความเสี่ยงอันตรายของวิชาชีพตามที่ได้แจกแจงมาตั้งแต่ต้น ตัดสินใจเหยียบลงไปในพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างจงใจเจตนาและไม่คำนึงถึงเสียงที่ร้องทักจากทุกสารทิศ

วันหลังอธิบายหน่อยสิครับว่า อุตส่าห์สั่งสมบารมีในวิชาชีพนี้มานานปี เพื่อจะมาลอยหน้าอธิบายว่าบ้านเมืองนี้ควรมีสภาพเป็นรัฐทหารเท่านั้นล่ะหรือ?

หรือจะจริงอย่างที่เขาว่า สื่อมวลชนทุกสำนักคือกลุ่มผลประโยชน์ และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพสื่อมีไว้เพื่อด่าประณามบุคคลหรือกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับตนเท่านั้น การกระทำของตัวเองมีแต่ความถูกต้องและสมเหตุสมผลเสมอ

นี่ไม่ใช่เพียงกลืนน้ำลายตัวเอง แต่เป็นการกลืนน้ำลายของ คมช. และคนที่นั่งอยู่หลังม่าน คมช. อีกเป็นหลายสิบคน รวมเป็นน้ำลายของคนเป็นขยุ้ม

แค่นึกภาพก็คลื่นไส้เต็มทนแล้ว

ไม่ว่าสภาวการณ์ทางการเมืองจะแตกแยกยับเยินขนาดไหน สื่อมวลชนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีประชาธิปไตยก็ได้

โดยมานั่งแก้ตัวหรือมารับตำแหน่งแห่งหนของคนที่ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ

สื่อมวลชนที่ไหนๆ ในโลกเขาต้องยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ไม่ใช่พร่ำพูดโพสต์โมเดิร์น หลอกให้สังคมสับสนเรื่องโลกาภิวัตน์จนคนไทยรุ่นใหม่ๆ เกิดความสับสนว่าจะเตรียมตัวแข่งขันกับโลกอย่างไร หรือนั่งหลับตาแล้วบูชาศาลพระภูมิไปวันๆ ก็จะรอดตัวได้

ไม่เกาะขาเผด็จการหรือระบอบอภิชนาธิปไตยให้เขาเห็นกันหมดทั้งบ้านเมืองอย่างนี้

พูดง่ายๆ ว่าหน้าด้านนักไม่ดี เปลืองแป้ง.


-------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กาชาดวันนี้เป็นสีดำ? โดย จักรภพ เพ็ญแข


ที่มา : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ฉบับที่ 48
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง : กาชาดวันนี้เป็นสีดำ?


****************************************************************************

เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ น่าจะถูกจำจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองของไทยใหม่ เพราะนอกจากเหตุการณ์ที่มีลักษณะพิเศษ ณ สี่แยกคอกวัวเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ และเหตุยิงระเบิดที่แยกศาลาแดงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนแล้ว ยังมีละครโรงใหญ่เรื่องโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ให้ชมกันทั่วประเทศอีกด้วย

สองเหตุการณ์แรกมีคนตายและบาดเจ็บ จึงไม่ใช่เหตุแห่งความปีติอย่างใดทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐในระบอบเผด็จการไทยเดิมตระหนักรู้เป็นครั้งแรกว่าฝ่ายตนมิได้เป็นผู้ผูกขาดการใช้กำลังอาวุธอย่างที่เป็นมาหลายสิบปีอีกต่อไป และฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่หลังรัฐบาล “ประชาธิปไตย” เริ่มจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมและขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เพราะสังคมไทยที่ขาดแคลนความยุติธรรมและอยู่ในภาวะสองมาตรฐานจนถึงขนาด

ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันที่ ๑๐ และ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ คงจะปราบปรามประชาชนทั้งที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์จนเลือดท่วมท้องช้างไปเสียนานแล้ว การสาดกระสุนจริงและใช้อาวุธสงครามเพื่อกำจัดประชาชนที่ไม่มีอาวุธใดๆ ในมือ เว้นแต่ข้าวของที่คว้าได้จากแถวนั้นเพื่อป้องกันตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าความเมตตาปรานีไม่มีอยู่ในระบบความคิดของอ้ายอีที่สั่งการ ชีวิตผู้บริสุทธิ์จะถูกคร่าไปอีกกี่ศพก็ไม่อาจรู้ได้ หากฝ่ายเขาไม่โดน “หยุด” ด้วยการต่อต้านอันเป็นประวัติศาสตร์นั้น

แต่สองเหตุนั้นบวกกันก็ยังไม่เท่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะชี้อะไรได้ชัดเจนกว่า

กรณีนี้เริ่มต้นด้วยการถกเถียงกันมานานหลายสัปดาห์ว่า บนตึกสูงหลายหลังของโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ถูกใช้เป็นที่ซุ่มซ่อนตัวของมือปืนในและนอกเครื่องแบบที่ฝ่ายตรงข้ามกับเวทีประชาธิปไตยหรือไม่ จนในที่สุดก็มีการแสดงหลักฐานสาธารณะว่ามีผู้ถืออาวุธสงครามอยู่จริง โดยซ่อนตัวอยู่ในที่จอดรถของตึก สื่อมวลชนทั่วไปก็ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นกันอย่างแพร่หลาย

แกนนำเสื้อแดงโดยอดีต ส.ส.พายัพ ปั้นเกตุ ก็นำกำลังจำนวนหนึ่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาฯ จุดประสงค์คือต้องการข้อเท็จจริงว่าคนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธสงครามเหล่านี้มีอยู่จริงหรือไม่
ก็เข้าทางเขา สื่อมวลชนและกลไกโฆษณาชวนเชื่อที่เตรียมไว้แล้วก็ออกข่าวอย่างครึกโครมในทันทีว่าโรงพยาบาลถูกบุกจู่โจมโดยแกนนำ นปช.ฯ เข้าแล้ว

ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ เปิดแถลงข่าวเรื่องย้ายผู้ป่วยออกจากตึกทุกตึกที่อยู่ใกล้ชิดที่ชุมนุม โดยแสดงสุ้มเสียงประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงจะยกพวกเข้ามาถล่มโรงพยาบาลเหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน

ประกาศหยุดบริการทั้งหมดของโรงพยาบาล โดยบอกเสียด้วยว่า ตั้งมาเก้าสิบปีไม่เคยหยุดให้บริการจนมาคราวนี้ ตามด้วยรายงานข่าวยาวๆ เกี่ยวกับเกียรติคุณของโรงพยาบาลจุฬาฯ และความรันทดใจที่ต้องหยุดให้บริการประชาชน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเข้าไปคนเสื้อแดงในวันนั้น

ต่อมาก็แถลงว่าได้เชิญเสด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประทับรักษาพระองค์อยู่ที่นั่นไปยังโรงพยาบาลศิริราชแทน โทรทัศน์ของรัฐก็แสดงภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรถเข็นทรงและรถพระประเทียบที่นำพระองค์ออกไป อย่างโกลาหลเหมือนระเบิดลง โดยที่เราไม่ได้เห็นพระพักตร์แม้แต่เพียงแวบเดียวของประมุขสงฆ์ เพราะกลัวว่าเห็นแล้วจะรู้ว่าโดยพระสังขารนั้นก็ชัดเจนว่าไม่รู้พระองค์อีกต่อไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ตามด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พ่อของอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ตอกย้ำหัวตะปูว่า เหตุการณ์นี้เสียหายร้ายแรงมาก

ท้ายที่สุดคือการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลจุฬาฯ ของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ซึ่งตามข่าวแล้วเสด็จฯ แบบมีหมายกำหนดการและแบบส่วนพระองค์หลายครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โทรทัศน์ก็อัญเชิญพระราชกระแสมาว่าทรงห่วงใยคณะแพทย์ พยาบาล บุคลากร และผู้ป่วยของโรงพยาบาล ซึ่งได้กลายเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ของรัฐเป็นปริมาณมากและยาวนานหลายวัน

แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็ให้สัมภาษณ์ในท่อนท้ายของฉากแรกนี้ว่า จากนี้ไปจะปราบปรามอย่างเต็มที่ ถ้าแกนนำหรือผู้ชุมนุมจะต้องล้มตายกันบ้างในกระบวนการนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ชัดเจน เป็นระบบ ได้อารมณ์

หากเป็นบทละครหรือบทภาพยนตร์ก็ควรได้รับรางวัลจากผู้มีวิชาชีพนี้ โดยกรรมการตัดสินคงจะเห็นเป็นเอกฉันท์

ลำดับความมาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกนิดเดียวล่ะครับว่า กาชาดไทยซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดอยู่กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น ควรเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่วางตัวเหนือความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ และไม่ควรอย่างเด็ดขาดที่จะให้ใครเขาค่อนได้ว่าเล่นการเมือง

การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นอยู่แนบข้างโรงพยาบาลจุฬาฯ มานานหลายสัปดาห์ และการเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลเพื่อขอทราบความจริงว่ามีอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อคนที่มาชุมนุมโดยสงบบ้างหรือไม่นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุไฉนจึงถือโอกาสนี้ส่งเสียงร้องกรีดดังและไม่ยอมหยุดส่งเสียงจนกว่ามือปืนประจำตัวจะมาถึง

ละครเรื่องนี้มีความจำเป็นขึ้นมา เพราะข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ที่ระดมใส่ขบวนประชาธิปไตยกันตลอดมาสองสามสัปดาห์นี้ล้มเหลวในการโน้มน้าวมติมหาชนและไม่อาจเร้าความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศได้ใช่ไหม?

นี่ยังไม่รวมข้อสงสัยที่ไม่เคยมีใครแถลงตอบเป็นทางการว่า รถของกาชาดไทยถูกใช้เป็นพาหนะย้ายทหารและอาวุธสงครามในระหว่างการปราบปรามประชาชนก่อนหน้านี้ แม้ปลอกแขนกาชาดไทยยังถูกนำมาใช้คล้องแขนทหารที่เข้าปราบปรามประชาชนมือเปล่าใช่ไหม?

ครับ คำถามเหล่านี้ควรจะมีคนตอบ แต่เมื่อเห็นชัดว่าไม่ตอบ มวลชนที่ก้าวหน้าเขาก็แสวงหาคำตอบของเขากันเอง

จะเป็นกาชาด หรือกาทมิฬ เขาตอบของเขาอยู่ในใจได้ครับ.

--------------------------------------------------------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ 3


ที่มา : คอลัมน์ ราชประชาวิวาทะ นิตยสาร Voice of Taksin
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
*************************************************************************
ตอนที่ ๓ :
วันอังคารที่ ๙ มีนาคม - วันศุกร์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓

(๙ มี.ค.) ยิ่งเคลื่อนใกล้ชุมนุมยิ่งกลุ้มจัด
สันดานรัฐสำแดงจึงแปลงร่าง
เอากฎหมายเผด็จการมารานทาง
กั้นขวางกลางด้วยกฎหมายความมั่นคงฯ

แปดจังหวัดประกาศใช้แถมให้ข่าว
เหมือนบ้านเมืองแตกร้าวเป็นผุยผง
ความรุนแรงแดงทั้งนั้นเขาฟันธง
เลอะเลือนหลงจนหวั่นหวาดวินาศกรรม

(๑๐ มี.ค.) “สุเทพ” คุมกรุงเทพฯ ด้วยกฎเหล็ก
เล่นเป็นเด็กถ้วนหน้าก็น่าขำ
“สาธิต” ออกอธิบายทำไมทำ
ดูมืดดำไปทั้งเมืองเรื่องอันใด

“อย่ามองแดงเป็นศัตรู” มีผู้แจ้ง
คือ “จาตุรนต์ ฉายแสง” เป็นผู้ใหญ่
“ทักษิณ” หนุนใส่แดงให้แรงใจ
อย่าอายใครใส่แดงเสริมแรงเรา

วิเคราะห์เหตุบ้านเมืองที่เปลืองตัว
เพราะเขามัวตามใจ “อำมาตย์เฒ่า”
ประเทศชาติตกต่ำไม่ทำเนา
ประชาชนโศกเศร้าไม่เอาใจ

แปลก “โคทม อารียา” เหมือนมาแสร้ง
กับเสื้อแดง นปช. อ้อล้อใหญ่
มานั่งคุยเนิ่นนานแล้วผ่านไป
คุยว่าเกิดสัญญาใจสันติวิธี

สงสัยเป็นตัวกลางระหว่างใคร
ครั้งเหลืองไล่รัฐบาลกลับเงียบฉี่
ขอให้รู้พื้นฐานสันติวิธี
จักต้องมีความเป็นธรรมประจำใจ

อย่าอ้างว่าเป็นกลางเพียงทางลง
แล้วกฎหมายความมั่นคงฯ เล่าอยู่ไหน
รัฐประหารเงียบที่เขาก่อขอกับใคร
ตกลงแดงเดียวใช่ไหมที่ต้องยอม

(๑๑ มี.ค.) สี่กองพันหกกองร้อยคอยปะทะ
อยู่ที่ประตูน้ำพระอินทร์กลิ่นไม่หอม
แล้วหน้าไหนใครบอกว่ารอมชอม
แล้วเตรียมล้อมมวลชนคนอะไร

คดีคราวเข้ายึดสนามบินฯ
“พันธมิตรฯ” คงสิ้นไม่สงสัย
อ้าว “ปทีป” เบรคหมายไม่อายใคร
นี่ฟ้าดินถิ่นไหนที่สั่งมา

“สุเทพ” สั่งสกัดกั้นศิริราช
“จัดการขั้นเด็ดขาด” ท่านรองฯ ว่า
เกรงเสื้อแดงเข้าใกล้ถวายฎีกา
ก็ความบ้าคุณทั้งนั้นพูดกันเอง

กระหน่ำอีกรื้อคดี “เอสซี แอสเสท”
โค่นเขาเสร็จยังไม่ล้มตามข่มเหง
อำมาตย์ไร้ซึ่งศักดิ์ของนักเลง
เพียงอันธพาลยืนเบ่งอยู่ข้างทาง

ข่าวพระสงฆ์ท่านมาร่วมชุมนุม
มารวมกลุ่มในเมืองเหลืองสว่าง
บริสุทธิ์พุทธธรรมประจำทาง
ข่าวว่ารัฐจัดวางบัญชีดำ

แถลงการณ์สนับสนุนของ “แดงสยาม”
นี่คือยามร่วมกันวันยังค่ำ
ขอมวลชนรุมล้อมช่วยน้อมนำ
ฝากถ้อยคำร่วมแรงเพื่อแดงเดียว

(๑๒ มี.ค.) ดาวกระจายหลักสี่นี่จุดเริ่ม
เสาร์อาทิตย์คนเติมเตรียมขับเคี่ยว
มวลชนแดงทั้งหลายไม่ดายเดียว
จำนวนล้านประเดี๋ยวเดียวคงได้มา

รัฐบาลว่า “ทักษิณ” ถูกเนรเทศ
UAE สำแดงเดชเพราะตัวข้า
พอ “นพดล” แถลงการณ์คงด้านชา
ไม่มีหน้าตอบกลับรับว่าลวง

(๑๓ มี.ค.) ณ เที่ยงตรงธงแดงแถลงไข
“วีระ” อ่านความในใจดั่งไพร่หลวง
เรียกร้องให้ยุบสภาลงทั้งปวง
อ้างว่าทวงอธิปไตยในแผ่นดิน

นปช. เริ่มคำราม “สงครามไพร่”
เสมือนไทยแบ่งเป็นเมืองและท้องถิ่น
ใช้คำใหญ่คำสำคัญลั่นธรนินทร์
เหมือนรันทดหมดสิ้นแผ่นดินไทย

แต่ฟังแล้วก็เข้าใจไม่ใช่หรอก
เรื่องชนชั้นนั้นหลอกจะบอกให้
เป้าศัตรูสูงสุดหยุดที่ใคร
ก็แค่ไพร่เปรมเดิมเติมเสียงฮา

อย่าอวดอ้างใช้คำสำคัญนี้
ถ้าในใจกล้าตีแต่ขี้ข้า
นี่คือมวลมหาชนล้นนครา
ไล่ขี้ข้าเข้ามุมคุ้มอันใด

(๑๔ มี.ค.) มวลมหาประชาชนล้นผ่านฟ้า
นี่มหาประชาชนคนยิ่งใหญ่
ภาพสะท้อนถึงฟ้าว่าปวงไทย
เห็นประชาธิปไตยเป็นของตน

ภาพสีแดงแรงฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นัก
เหมือนเสาหลักปักพ้นให้ยืนต้น
ระบอบใดไม่เห็นหัวประชาชน
ระบอบนั้นต้องพ้นอำนาจไป

(๑๕ มี.ค.) มวลชนแดงบุกถึงหน้า ร.๑๑
ประชุมเสร็จ “อภิสิทธิ์” กลัวถูกไล่
ขึ้น Black Hawk จากภาษีบินหนีไป
เป็นนายกประเทศไทยในกองพล

แดงประกาศจะเอาเลือดไปเทราด
เพื่อประกาศความแจ้งทุกแห่งหน
รับบริจาคถ้วนทั่วทุกตัวคน
ใช้เลือดข้นไทยเล่นเป็นเครื่องมือ

“ท่านผู้หญิงวิริยา” ขึ้นปราศรัย
ว่าเวทีคนไทยต้องยึดถือ
แต่ยังไม่ชัดเจนเป็นอยู่คือ
อะไรหรือคือเหตุผลมาปนแดง

“วีระ” ขึ้นพูดชัด “รัฐไทยใหม่”
แต่ฟังไปไม่ถนัดไม่ชัดแจ้ง
อะไรคือความใหม่ไทยสีแดง
ฟังเหมือนแรงแต่ไฉนไทยเหมือนเดิม

(๑๖ มี.ค.) รับบริจาคเลือดกันเป็นพันหมื่น
คนก็ยืนเข้าแถวอย่างฮึกเหิม
คนที่แล้วผ่านไปคนใหม่เติม
อยากประเดิมงานเลือดมาเชือดกัน

แล้วเอาเลือดทั้งหลายไปราดทิ้ง
เลือดของจริงไหลล้นก็ลือลั่น
ได้ออกข่าวสมใจได้กดดัน
บูชายัญกลางเมืองเหมือนเรื่องพราหมณ์

(๑๗ มี.ค.) สรรพากรใช้อำนาจฟันฟาดเพิ่ม
อายัดเติมตามไล่เหมือนไหนหนาม
ทรัพย์สินของ “โอ๊ค-เอม” ก็เพราะนาม
เป็น “ชินวัตร” เขาก็ตามมาราวี

“วีระ” ขึ้นมาประกาศตัดขาดเพื่อน
“สุรชัย ด่านฯ” เตือนจะป่นปี้
กลับพิโรธโกรธจัดตัดไมตรี
จากวันนี้เป็นต้นไปใช่เพื่อนกัน

กลุ่ม “เสธ.แดง” ก็จบไม่คบด้วย
พูดไม่สวยตัดญาติขาดสะบั้น
คำประกาศจากฟ้าแทบจาบัลย์
ความเห็นไม่ตรงกันถึงบรรลัย

ประชาธิปไตยผิดแผกแปลกประหลาด
ใช้วิถีทรราชถือบาตรใหญ่
จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แต่หัวใจเต็มล้นด้วยมลทิน

(๑๙ มี.ค.) “แดงสยาม” ออกประกาศฉบับสอง
เตือนทำนองของไทยอย่าใจหิน
เราจะสร้างทางใหญ่ในแผ่นดิน
จักต้องบินสูงส่งดำรงธรรม

“ปฏิวัติประชาธิปไตยโดยสันติ”
คือดำริสูงไว้ไม่ตกต่ำ
ทีละขั้นมั่นมุ่งผดุงธรรม
โดยน้อมนำศักดิ์ศรีเสรีชน

“ทักษิณ” บอกอย่าใช้ว่า “ไพร่” เลย
ใช้ “ราษฎร” เฉยเฉยก็เข้มข้น
เติมคำว่า “เต็มขั้น” ก็ชั้นชน
แกนนำกลับขึ้นไปบ่นไม่เอาตาม

(๒๐ มี.ค.) “พรรคเพื่อไทย” ประกาศบทบาทสภา
ไม่มีท่าเดินตรงลงสนาม
ขึ้นเวทีเสื้อแดงก็แรงตาม
กระแสตามหลามไหลให้ยุบสภา

“ชวลิต” ขึ้นพูดบนเวที
สดุดีเสื้อแดงเป็นนักหนา
มวลชนก็สรวลเสและเฮฮา
ได้เห็นหน้าใหม่ใหม่ปลุกใจดี

(๒๑ มี.ค.) อีกเวทีตั้งหราหน้า UN
พอได้เห็นนักศึกษามีศักดิ์ศรี
ถึงคนน้อยนักกว่าไม่พาที
ปราศรัยชี้ลึกซึ้งถึงประเด็น

“นายกทักษิณ” ก็ช่วยโฟน
“จักรภพ” ร่วมโขนให้คนเห็น
เด็กกลับมีกำลังใจได้ประเด็น
เรามุ่งเน้นจัดตั้งหวังผลไกล

มือปืนยิงอาร์พีจีกลาโหม
ออกครึกโครมคว้าตัวหาได้ไม่
มีเสียงยิงเสียงระเบิดเกิดทั่วไป
ฝีมือใครไม่รู้ดูอึมครึม

(๒๔ มี.ค.) จุดเทียนชัยถวายพระพรบนเวที
มาหักมุมอย่างนี้ระเบิดบึ้ม
เสียงมวลชนไถ่ถามกันพำพึม
แต่ก็ยังระวังขรึมอึมครึมไป

“ท่านผู้หญิงวิริยา” มารอบสอง
นำครรลองเหมือนสร้างสีแดงใหม่
กว่าสามปีสู้มาว่าอย่างไร
ต้องถามใจตัวเองอย่าเกรงกัน

กองทหารประชาชนพร้อมพลรบ
ใกล้ตอนจบหรือจึงสั่งกลับหลังหัน
ใครที่เห็น “ยูเทิร์น” รู้สึกคัน
“ยู” จงหันกลับไป “ไอ” เดินตรง.


(ต่อฉบับหน้า)
--------------------------------------------------------------------------------

ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ 3


ที่มา : คอลัมน์ ราชประชาวิวาทะ นิตยสาร Voice of Taksin
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
****************************************************************************
ตอนที่ ๓ :
วันอังคารที่ ๙ มีนาคม - วันศุกร์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
(๙ มี.ค.) ยิ่งเคลื่อนใกล้ชุมนุมยิ่งกลุ้มจัด
สันดานรัฐสำแดงจึงแปลงร่าง
เอากฎหมายเผด็จการมารานทาง
กั้นขวางกลางด้วยกฎหมายความมั่นคงฯ

แปดจังหวัดประกาศใช้แถมให้ข่าว
เหมือนบ้านเมืองแตกร้าวเป็นผุยผง
ความรุนแรงแดงทั้งนั้นเขาฟันธง
เลอะเลือนหลงจนหวั่นหวาดวินาศกรรม

(๑๐ มี.ค.) “สุเทพ” คุมกรุงเทพฯ ด้วยกฎเหล็ก
เล่นเป็นเด็กถ้วนหน้าก็น่าขำ
“สาธิต” ออกอธิบายทำไมทำ
ดูมืดดำไปทั้งเมืองเรื่องอันใด

“อย่ามองแดงเป็นศัตรู” มีผู้แจ้ง
คือ “จาตุรนต์ ฉายแสง” เป็นผู้ใหญ่
“ทักษิณ” หนุนใส่แดงให้แรงใจ
อย่าอายใครใส่แดงเสริมแรงเรา

วิเคราะห์เหตุบ้านเมืองที่เปลืองตัว
เพราะเขามัวตามใจ “อำมาตย์เฒ่า”
ประเทศชาติตกต่ำไม่ทำเนา
ประชาชนโศกเศร้าไม่เอาใจ

แปลก “โคทม อารียา” เหมือนมาแสร้ง
กับเสื้อแดง นปช. อ้อล้อใหญ่
มานั่งคุยเนิ่นนานแล้วผ่านไป
คุยว่าเกิดสัญญาใจสันติวิธี

สงสัยเป็นตัวกลางระหว่างใคร
ครั้งเหลืองไล่รัฐบาลกลับเงียบฉี่
ขอให้รู้พื้นฐานสันติวิธี
จักต้องมีความเป็นธรรมประจำใจ

อย่าอ้างว่าเป็นกลางเพียงทางลง
แล้วกฎหมายความมั่นคงฯ เล่าอยู่ไหน
รัฐประหารเงียบที่เขาก่อขอกับใคร
ตกลงแดงเดียวใช่ไหมที่ต้องยอม

(๑๑ มี.ค.) สี่กองพันหกกองร้อยคอยปะทะ
อยู่ที่ประตูน้ำพระอินทร์กลิ่นไม่หอม
แล้วหน้าไหนใครบอกว่ารอมชอม
แล้วเตรียมล้อมมวลชนคนอะไร

คดีคราวเข้ายึดสนามบินฯ
“พันธมิตรฯ” คงสิ้นไม่สงสัย
อ้าว “ปทีป” เบรคหมายไม่อายใคร
นี่ฟ้าดินถิ่นไหนที่สั่งมา

“สุเทพ” สั่งสกัดกั้นศิริราช
“จัดการขั้นเด็ดขาด” ท่านรองฯ ว่า
เกรงเสื้อแดงเข้าใกล้ถวายฎีกา
ก็ความบ้าคุณทั้งนั้นพูดกันเอง

กระหน่ำอีกรื้อคดี “เอสซี แอสเสท”
โค่นเขาเสร็จยังไม่ล้มตามข่มเหง
อำมาตย์ไร้ซึ่งศักดิ์ของนักเลง
เพียงอันธพาลยืนเบ่งอยู่ข้างทาง

ข่าวพระสงฆ์ท่านมาร่วมชุมนุม
มารวมกลุ่มในเมืองเหลืองสว่าง
บริสุทธิ์พุทธธรรมประจำทาง
ข่าวว่ารัฐจัดวางบัญชีดำ

แถลงการณ์สนับสนุนของ “แดงสยาม”
นี่คือยามร่วมกันวันยังค่ำ
ขอมวลชนรุมล้อมช่วยน้อมนำ
ฝากถ้อยคำร่วมแรงเพื่อแดงเดียว

(๑๒ มี.ค.) ดาวกระจายหลักสี่นี่จุดเริ่ม
เสาร์อาทิตย์คนเติมเตรียมขับเคี่ยว
มวลชนแดงทั้งหลายไม่ดายเดียว
จำนวนล้านประเดี๋ยวเดียวคงได้มา

รัฐบาลว่า “ทักษิณ” ถูกเนรเทศ
UAE สำแดงเดชเพราะตัวข้า
พอ “นพดล” แถลงการณ์คงด้านชา
ไม่มีหน้าตอบกลับรับว่าลวง

(๑๓ มี.ค.) ณ เที่ยงตรงธงแดงแถลงไข
“วีระ” อ่านความในใจดั่งไพร่หลวง
เรียกร้องให้ยุบสภาลงทั้งปวง
อ้างว่าทวงอธิปไตยในแผ่นดิน

นปช. เริ่มคำราม “สงครามไพร่”
เสมือนไทยแบ่งเป็นเมืองและท้องถิ่น
ใช้คำใหญ่คำสำคัญลั่นธรนินทร์
เหมือนรันทดหมดสิ้นแผ่นดินไทย

แต่ฟังแล้วก็เข้าใจไม่ใช่หรอก
เรื่องชนชั้นนั้นหลอกจะบอกให้
เป้าศัตรูสูงสุดหยุดที่ใคร
ก็แค่ไพร่เปรมเดิมเติมเสียงฮา

อย่าอวดอ้างใช้คำสำคัญนี้
ถ้าในใจกล้าตีแต่ขี้ข้า
นี่คือมวลมหาชนล้นนครา
ไล่ขี้ข้าเข้ามุมคุ้มอันใด

(๑๔ มี.ค.) มวลมหาประชาชนล้นผ่านฟ้า
นี่มหาประชาชนคนยิ่งใหญ่
ภาพสะท้อนถึงฟ้าว่าปวงไทย
เห็นประชาธิปไตยเป็นของตน

ภาพสีแดงแรงฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นัก
เหมือนเสาหลักปักพ้นให้ยืนต้น
ระบอบใดไม่เห็นหัวประชาชน
ระบอบนั้นต้องพ้นอำนาจไป

(๑๕ มี.ค.) มวลชนแดงบุกถึงหน้า ร.๑๑
ประชุมเสร็จ “อภิสิทธิ์” กลัวถูกไล่
ขึ้น Black Hawk จากภาษีบินหนีไป
เป็นนายกประเทศไทยในกองพล

แดงประกาศจะเอาเลือดไปเทราด
เพื่อประกาศความแจ้งทุกแห่งหน
รับบริจาคถ้วนทั่วทุกตัวคน
ใช้เลือดข้นไทยเล่นเป็นเครื่องมือ

“ท่านผู้หญิงวิริยา” ขึ้นปราศรัย
ว่าเวทีคนไทยต้องยึดถือ
แต่ยังไม่ชัดเจนเป็นอยู่คือ
อะไรหรือคือเหตุผลมาปนแดง

“วีระ” ขึ้นพูดชัด “รัฐไทยใหม่”
แต่ฟังไปไม่ถนัดไม่ชัดแจ้ง
อะไรคือความใหม่ไทยสีแดง
ฟังเหมือนแรงแต่ไฉนไทยเหมือนเดิม

(๑๖ มี.ค.) รับบริจาคเลือดกันเป็นพันหมื่น
คนก็ยืนเข้าแถวอย่างฮึกเหิม
คนที่แล้วผ่านไปคนใหม่เติม
อยากประเดิมงานเลือดมาเชือดกัน

แล้วเอาเลือดทั้งหลายไปราดทิ้ง
เลือดของจริงไหลล้นก็ลือลั่น
ได้ออกข่าวสมใจได้กดดัน
บูชายัญกลางเมืองเหมือนเรื่องพราหมณ์

(๑๗ มี.ค.) สรรพากรใช้อำนาจฟันฟาดเพิ่ม
อายัดเติมตามไล่เหมือนไหนหนาม
ทรัพย์สินของ “โอ๊ค-เอม” ก็เพราะนาม
เป็น “ชินวัตร” เขาก็ตามมาราวี

“วีระ” ขึ้นมาประกาศตัดขาดเพื่อน
“สุรชัย ด่านฯ” เตือนจะป่นปี้
กลับพิโรธโกรธจัดตัดไมตรี
จากวันนี้เป็นต้นไปใช่เพื่อนกัน

กลุ่ม “เสธ.แดง” ก็จบไม่คบด้วย
พูดไม่สวยตัดญาติขาดสะบั้น
คำประกาศจากฟ้าแทบจาบัลย์
ความเห็นไม่ตรงกันถึงบรรลัย

ประชาธิปไตยผิดแผกแปลกประหลาด
ใช้วิถีทรราชถือบาตรใหญ่
จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แต่หัวใจเต็มล้นด้วยมลทิน

(๑๙ มี.ค.) “แดงสยาม” ออกประกาศฉบับสอง
เตือนทำนองของไทยอย่าใจหิน
เราจะสร้างทางใหญ่ในแผ่นดิน
จักต้องบินสูงส่งดำรงธรรม

“ปฏิวัติประชาธิปไตยโดยสันติ”
คือดำริสูงไว้ไม่ตกต่ำ
ทีละขั้นมั่นมุ่งผดุงธรรม
โดยน้อมนำศักดิ์ศรีเสรีชน

“ทักษิณ” บอกอย่าใช้ว่า “ไพร่” เลย
ใช้ “ราษฎร” เฉยเฉยก็เข้มข้น
เติมคำว่า “เต็มขั้น” ก็ชั้นชน
แกนนำกลับขึ้นไปบ่นไม่เอาตาม

(๒๐ มี.ค.) “พรรคเพื่อไทย” ประกาศบทบาทสภา
ไม่มีท่าเดินตรงลงสนาม
ขึ้นเวทีเสื้อแดงก็แรงตาม
กระแสตามหลามไหลให้ยุบสภา

“ชวลิต” ขึ้นพูดบนเวที
สดุดีเสื้อแดงเป็นนักหนา
มวลชนก็สรวลเสและเฮฮา
ได้เห็นหน้าใหม่ใหม่ปลุกใจดี

(๒๑ มี.ค.) อีกเวทีตั้งหราหน้า UN
พอได้เห็นนักศึกษามีศักดิ์ศรี
ถึงคนน้อยนักกว่าไม่พาที
ปราศรัยชี้ลึกซึ้งถึงประเด็น

“นายกทักษิณ” ก็ช่วยโฟน
“จักรภพ” ร่วมโขนให้คนเห็น
เด็กกลับมีกำลังใจได้ประเด็น
เรามุ่งเน้นจัดตั้งหวังผลไกล

มือปืนยิงอาร์พีจีกลาโหม
ออกครึกโครมคว้าตัวหาได้ไม่
มีเสียงยิงเสียงระเบิดเกิดทั่วไป
ฝีมือใครไม่รู้ดูอึมครึม

(๒๔ มี.ค.) จุดเทียนชัยถวายพระพรบนเวที
มาหักมุมอย่างนี้ระเบิดบึ้ม
เสียงมวลชนไถ่ถามกันพำพึม
แต่ก็ยังระวังขรึมอึมครึมไป

“ท่านผู้หญิงวิริยา” มารอบสอง
นำครรลองเหมือนสร้างสีแดงใหม่
กว่าสามปีสู้มาว่าอย่างไร
ต้องถามใจตัวเองอย่าเกรงกัน

กองทหารประชาชนพร้อมพลรบ
ใกล้ตอนจบหรือจึงสั่งกลับหลังหัน
ใครที่เห็น “ยูเทิร์น” รู้สึกคัน
“ยู” จงหันกลับไป “ไอ” เดินตรง.

(ต่อฉบับหน้า)
---------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มายากาชาด โดย จักรภพ เพ็ญแข

ที่มา : คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ศุกร์ที่ 7 พ.ค. 53
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
----------------------------------------------------------------------------------
มายากาชาด
ละครเร่เรื่องใหญ่ทุนไม่มาก
เริ่มต้นจากข่าวแจ้งว่าแดงบุก
โรงพยาบาลทำทีว่ามีทุกข์
สื่อก็ปลุกรุกเร้าทั้งเช้าเย็น

ย้ายคนไข้ให้คล้องเสียสองตึก
สร้างภาพลึกไว้ในใจแม้ไม่เห็น
เสมือนแดงพฤติกรรมให้ลำเค็ญ
หวังให้สังคมเห็นว่าเลวทราม

ภาพปรากฏว่าทหารคลานหลีกหลบ
ไม่รู้หวังเก็บกี่ศพในสนาม
เหมือนทำบาปซึ่งหน้าในอาราม
โรงพยาบาลเพียงในนามสงครามจริง

มวลชนป้องกันตัวนั้นชั่วหรือ
ใครมันถือปืนจี้ดั่งผีสิง
ใครคือปิศาจคลั่งผู้สั่งยิง
ใครคือคนเลวจริงหลังจุฬาฯ

นี่แหละยุคบิดเบือนจนเปื้อนเปรอะ
อำนาจเก่าสนิมเขลอะคงใกล้บ้า
วิชามารงานใหม่ไร้ปัญญา
โฆษณาชวนเชื่อจนเหนือจริง

เขาชุมนุมนานมาหลายอาทิตย์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ใช้ไว้บนหิ้ง
โรงพยาบาลแนวหลังหวังพึ่งพิง
กลับทอดทิ้งมวลชนทิ้งคนไทย

เชิญเสด็จสังฆราชวาดภาพวุ่น
หวังได้บุญคงได้บาปทราบใช่ไหม
ผู้สั่งการในวันนั้นคนจัญไร
จะภาพดีขนาดไหนหัวไร้เงา

ขอขอบคุณในละครสอนสังคม
ถึงคราวน้ำผึ้งขมอย่าซมเศร้า
ใครที่เรานึกว่าดีหรือสีเทา
เอาจริงเข้าเขาก็ดำกว่าน้ำคลอง

นับว่าคนนั้นดีคนนี้ชั่ว
เขาครอบครัวสุขศรีไม่มีสอง
ระดมลือว่ากระจายหลายครรลอง
แท้ที่จริงเกี่ยวดองเป็นหนึ่งเดียว

เริ่มสงครามประชาชนกับคนป่า
เมื่อฝ่ายเขามุ่งฆ่าก็ขับเคี่ยว
มวลชนคล้องแขนกันเหมือนฟั่นเกลียว
ไม่ดายเดียวหนึ่งขั้วร่วมหัวใจ

โฆษณาเข้าเถิดเราเกิดแน่
โรงพยาบาลต้องตอแหลโลกสงสัย
อำนาจอยู่เบื้องหลังสั่งโดยใคร
จากทหารถึงหมอใหญ่ใครควบคุม

ตีบทแตกเด็ดขาดอำมาตยา
แต่ยิ่งท้าทายตรงยิ่งลงหลุม
มวลชนมามือเปล่าเขากลับรุม
มาชุมนุมโดยสงบกลับพบปืน

จากนี้ไปใดจะเกิดอย่ากล่าวโทษ
ฝันให้ใครเข้ามาโปรดก็ปลุกตื่น
ตบหน้าฉาดจนสังคมล้มทั้งยืน
สุดจะฝืนต่อไปอย่างไทยเดิม

ละครเร่เรื่องใหญ่ใช้ทุนหนัก
ความรู้สึกเลิกรักเป็นบทเริ่ม
เลิกมายาประวัติศาสตร์เลิกวาดเติม
ช่วยส่งเสริมประชาธิปไตยใช้ปัญญา.

--------------------------------------------------------------------------------

Mind Map ศอฉ.

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"เกมเจ้า" ของ ศอฉ. โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : "เกมเจ้า" ของ ศอฉ.
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 47

*******************************************************************************
สุดท้ายก็เป็นไปตามพระพุทธวจนะ “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” หรือ “เมื่อถึงคราววินาศ ปัญญาย่อมวิปลาสไป” จริงๆ

ก็ในทันทีที่หน่วยเฉพาะกิจของผู้เผด็จการไทยที่เรียกว่าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. พูดเรื่อง “ล้มเจ้า” นั่นล่ะครับ

โฆษกของ ศอฉ. คือพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมานั่งแถลงข่าวเรื่องนี้ในคืนวันจันทร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ พร้อมแจกเอกสารที่ระบุว่าเป็น “เครือข่ายล้มเจ้า” ให้กับสื่อมวลชน อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งผมจะห้อยไว้ในตอนท้ายของบทความนี้ เพราะอยากให้เป็นหลักฐานถึงความเลอะเทอะของบางคนที่หลงคิดว่าตนเองเป็นนิจจัง ท่ามกลางความเป็นอนิจจังทั้งหลาย

เงื่อนเวลาที่ออกมาแถลงเรื่องนี้ บอกชัดว่าต้องการให้เป็นเหตุผลและความชอบธรรมในการเข้าสลายการชุมนุมของชาวประชาธิปไตยที่แยกราชประสงค์และเครือข่ายทั่วประเทศ หลังจากที่ล้มเหลวซ้ำซากมาแล้วด้วยเหตุผลและข้ออ้างอื่นๆ ที่กระหน่ำผ่านสื่อของรัฐและสื่อทาสในเครือข่ายของตน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทำให้ผู้คนและธุรกิจแถวนั้นเดือดร้อน การชุมนุมทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย เกิดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่แกนนำบนเวที เป็นต้น ยิ่งทำให้ปริมาณมวลชนและคุณภาพทางความคิดของผู้ชุมนุมแต่ละคนเพิ่มขึ้น ข้ออ้างมั่วๆ เหล่านั้นจึงกลายเป็นกระสุนด้านไปหมด

แล้วก็ต้องปฏิบัติ “ดึงฟ้า” ในที่สุด

สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เขียนให้คนที่อ้างว่ารัก เคารพ และเทิดทูนสถาบันอ่านกันโดยตรง หรือบุคคลภายในสถาบันจะอ่านเองก็ไม่เสียหายอะไร ถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดีก่อนที่พวกสอพลออย่างบางคนใน ศอฉ. มันจะพาจน หรือเข้าสู่ทางตันเกินกว่าจะแก้ไข

ย้อนกลับไปในสมัยรัฐบาลทักษิณกับม็อบพันธมิตรฯ ที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ก่อนยึดอำนาจนั้น จำได้ไหมว่ารัฐบาลเลือกตั้งชุดนั้นถูกกระหน่ำโจมตีหนักหนาขนาดไหน ทั้งทุจริต รวบอำนาจ และคิดล้มเจ้า โดยใช้สื่อของรัฐเองเป็นเครื่องมือ รัฐบาลเองได้แต่หวังว่า ความจริงจะลอยเหนือความเท็จและการบิดเบือนอย่างด้านๆ แล้วประชาชนจะเข้าใจในที่สุด ไม่เคยคิดจะทำสงครามทางความคิดเพื่อต่อต้านหรือฉกฉวยโอกาสที่จะเพิ่มอำนาจให้กับตนเองหรือคิดใช้กำลังปราบปรามเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่อำนาจทั้งสามกองทัพและกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ในมืออย่างมั่นคง

เหตุผลหลักมีเพียงประการเดียวคือความเกรงใจสถาบัน

บวกกับเหตุผลรองคือความมั่นใจในระบอบประชาธิปไตยของประเทศ

ความเลวร้ายตามมาด้วยการยกเรื่อง “ระบอบทักษิณ” ซึ่งหลุดออกมาจากปากคนสำคัญของบ้านเมือง จนคนที่มาจากการเลือกตั้งต้องหลั่งน้ำตายุบสภา เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่าชนะเป็นครั้งที่ ๓ เขาก็อาละวาดอีก คราวนี้สั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและจำคุกคนที่ช่วยประคับประคองประชาธิปไตยอย่างกรรมการการเลือกตั้งสามท่านเพื่อให้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อได้สมใจแล้ว ก็ตั้งพวกตนเข้ามาเป็นผู้จัดการเลือกตั้งแทน

เมื่อแอบสำรวจแล้วพบว่า ไทยรักไทยจะชนะอีก คราวนี้ก็เลยสั่งใช้มาตรการเด็ดขาดคือให้ทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ และตั้งคณะกรรมการศาลเตี้ยต่างๆ มาสร้างปมความผิดให้เป็นตราบาปติดตัวแต่ละคนที่เป็นแกนนำในฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นศัตรูผู้ร่วมโลกกันไม่ได้อีกต่อไป

แล้วประชาธิปไตยก็ชนะใสอีกทั้งๆ ที่สั่งให้สาดโคลนโยนความผิดกันขนาดนั้น คราวนี้พรรคพลังประชาชนเป็นผู้ชนะในระบบรัฐสภาจนได้จัดตั้งรัฐบาลสองชุดติดต่อกัน แต่แล้วก็ถูกทำลายโดยกลไกที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเพราะถูกครอบงำทั้งระบบโดยเผด็จการที่สั่งให้ทหารยึดอำนาจในนาม คมช. ขนาดที่จะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานนานาชาติ พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปลดนายกรัฐมนตรีด้วยข้อหาจัดรายการทำอาหารทางโทรทัศน์ และยุบพรรค โดยไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในทางการเมืองเลย

แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็อยู่เฉยตลอดมาด้วยความเกรงใจสถาบันอีกเช่นกัน

ล่าสุดนี้ ประชาชนทั่วประเทศทนไม่ได้อีกต่อไป ยอมทิ้งนา ทิ้งไร่ ทิ้งงานที่ทำรายได้ให้กับตนเอง มาเสียสละทุกอย่างอยู่กลางถนนในกรุงเทพมหานคร จนถึงการชุมนุมแยกราชประสงค์ ก็สั่งให้ฆ่าเขาด้วยอาวุธสงครามเสียเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ที่สี่แยกคอกวัว และข่มขู่คุกคามจะฆ่าหมู่ในที่ชุมนุมใหญ่อีก ทั้งๆ ที่ขอเพียงแค่สิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย คือยุบสภาและเลือกตั้ง

ไม่รู้หรือว่าบ้านเมืองยังไม่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เพราะความเกรงใจที่ยังเหลืออยู่นิดน้อยเท่านั้นเองนะครับ ถ้าประชาชนเขาฮึดสู้แล้ว นึกหรือว่าเขาจะไม่มีทางสู้

คนรากหญ้าเขาเก่งกว่าท่านหลายเท่านะครับ ไม่อย่างนั้นเขาอยู่รอดมาไม่ได้หรอกในระบบกาลีสามานย์ที่ท่านสร้างไว้ในบ้านเมืองนี้ แต่เขาไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยพูด ถ้าจะพูดก็พูดในสิ่งที่หวานหูท่าน เพราะเขามีความเกรงใจอย่างผู้ดี

การท้าทายผ่านหน่วยงานรองมือรองเท้าอย่าง ศอฉ. จึงเป็นความไม่ฉลาดของคนที่สั่งการและคนที่รับคำสั่งมาปฏิบัติ

ถ้า ศอฉ. มีความรักเทิดทูนสถาบันจริง ทำไมจึงงัดเรื่องนี้มาพูดในขณะนี้ ทำไมจึงไม่ดำเนินการมาตั้งแต่ต้น และทำไมไม่มีการปฏิบัติใดๆ มากกว่าออกมาแถลงข่าวเพื่อเอาใจคนบางคน ตกลง ศอฉ. กำลังจะช่วยสถาบันหรือซ้ำเติมสถาบันในสังคมที่กำลังถึงยุคเปลี่ยนผ่านอย่างนี้

สิ่งที่นำมาอ้างว่าเป็น “เครือข่ายล้มเจ้า” นั้น ความจริงคือการประมวลข้อกล่าวหาและข่าวลือทั้งหลายที่ตัวและพวกสร้างขึ้นมาเอง กวาดเข้ามาไว้ในที่เดียวกัน และเขียนผังออกมาในรูป mind mapping เพื่อให้ดูเท่และเป็นจริงเป็นจังเท่านั้นเอง ในนั้นไม่ได้บอกอะไรใหม่ และไม่ได้แสดงว่าคนที่นำมาแสดงเตรียมจะทำประโยชน์ใดๆ ให้กับสถาบันเลยแม้แต่น้อย

ดูเอาเองก็จะเห็น

การเล่นเรื่องที่เปราะบางอ่อนไหวในจังหวะสำคัญของบ้านเมืองอย่างนี้ ไม่ต่างกับการเล่นกับไฟ จะเพราะชนชั้นนำเมืองไทยหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของตนเองว่า ประชาชนชาวไทยนั้นโง่เขลาเบาปัญญากว่าตน หรือมั่นใจในอำนาจของตนจนเกิดความโอหัง ผมพูดไม่ได้ เพราะข่าววงในที่รับรู้มานั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาพูดอย่างเปิดเผยในขณะนี้

พูดได้เพียงว่า การกระทำทั้งหมดนี้เป็นการเสี่ยงปวงชนชาวไทย ด้วยการกระทำของคนเห็นแก่ตัวและคับแคบขนาดเล่นเกมเสี่ยงพระมหากษัตริย์

ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า คนที่เขารู้จักเกรงใจคนอื่นนั้น ถ้าลงได้หมดความเกรงใจแล้วก็จะกลายเป็นคนน่ากลัวที่สุด

อะไรก็เกิดขึ้นได้หลังจากนั้น.

---------------------------------------------------------------------------------