ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นอกแดนปรองดอง โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง นอกแดนปรองดอง

โดย กาหลิบ


คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่สามารถจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เพราะเป็น ผู้ถูกคุมขังนั้น ถือเป็นเส้นแบ่งสำคัญในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองที่เรียกกันอย่างไพเราะว่า ปรองดองถึงคนที่มีวิถีคล้ายคุณจตุพรฯ อย่างคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อจะได้เข้าสู่สภาซึ่งทำให้มวลชนจำนวนหนึ่งรู้สึกโล่งใจว่ามีตัวแทน แต่ก็ไม่ได้ลบล้างข้อเท็จจริงว่าฝ่ายเรายังคงเป็นเบี้ยในกระดานของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

คุณจตุพรฯ เข้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ทั้งๆ ที่ได้รับเลือกตั้งแล้ว ไม่ใช่เพราะขบวนการเสื้อแดงที่เป็นเวทีกลางของขบวนประชาธิปไตยปัจจุบัน แต่เป็นเพราะมาตรา ๑๑๒ ของประมวลกฎหมายอาญาที่เรียกกันติดปากว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ความแตกต่างระหว่างคุณจตุพรฯ กับคุณณัฐวุฒิฯ คือจุดนี้ ส่งผลให้ทัศนะของเครือข่ายฝ่ายตรงข้ามจัดให้คุณจตุพรฯ ย้ายไปรวมในกลุ่มเดียวกับคุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข คุณดา ตอร์ปิโด เรดอีเกิ้ล และเหยื่อมาตรา ๑๑๒ รายอื่นๆ

สัญญาณที่ชัดเจนอย่างปฏิเสธมิได้คือ ผู้ที่ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเนื่องมาจากเรื่องของสถาบันกษัตริย์ถือเป็นคนนอกกรอบของการเจรจา ปรองดองระหว่าง อำนาจนอกรัฐธรรมนูญและ อำนาจจากการเลือกตั้งของประชาชน

มาตรา ๑๑๒ เป็นเส้นแบ่งว่าใครปรองดองได้และใครปรองดองมิได้

หรือพูดอีกอย่างคือแบ่งกันชัดเจนว่า เขาจะปรองดองกับใครและไม่ปรองดองกับใคร

เรื่องนี้เราต้องขอบคุณที่ เขาทำให้ทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เพื่อลดความไขว้เขวของเหยื่อ ๑๑๒ บางท่านที่เผลอคิดไปว่าอาจได้รับอานิสงส์จากกระบวนการปรองดอง จนคิดเปลี่ยนทิศทางหรือขายตัวเพื่อเอาประโยชน์เฉพาะหน้า

ผลจากกรณีคุณจตุพรฯ ทำให้ความมั่นคงทางอุดมการณ์และความคิดในฝ่ายที่มองสู่อนาคตแข็งขึ้นมาก

ในฐานะที่รักและนับถือคุณจตุพรฯ เราทุกคนต่างเศร้าใจที่คุณจตุพรฯ จะต้องสูญเสียอิสรภาพไปอีกอย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง เช่นเดียวกับท่านอื่นๆ ผู้ตกที่นั่งเดียวกัน แต่ก็ต้องบอกคุณจตุพรฯ ผ่านทางนี้ไปว่า ความเสียสละของคุณจตุพรฯ เป็นเส้นแบ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานในปัจจุบันและในอนาคต ความทุกข์ใจของคุณจตุพรฯ และผู้ที่ยอมรับในตัวคุณจตุพรฯ จะเป็นพลังงานสำคัญในกลไกที่ผลักดันสังคมไทยไปสู่กรอบใหม่ซึ่งเราหวังให้เป็นร่างกายที่ไร้เซลล์มะเร็ง หรือเป็นมะเร็งที่ฝ่อแล้วและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกต่อไป

ไม่ว่าเราจะเห็นตรงกันหรือต่างกันมาบ้างในอดีต แต่เส้นใหม่นี้ชี้ชัดว่าเราอยู่ข้างเดียวกันในทางอุดมการณ์และแนวคิด ซึ่งจะทำให้เรามีอนาคตร่วมกันอีกมาก

การตัดขาด อาชญากรมาตรา ๑๑๒ออกจากกระบวนการปรองดองนั้น ความจริงก็น่าสนใจในตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่แสดงถึงความเป็น วินาศกาเล วิปริตพุทธิหรือ เมื่อถึงคราวพินาศ ปัญญาย่อมวิปลาสไปของชนชั้นนำไทยในขณะนี้

มาตรา ๑๑๒ เป็นกฎหมายที่มีนัยทางการเมืองอย่างชัดเจน ถึงจะอ้างว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ก็ต้องกระซิบถามกันว่ามีใครหน้าไหนที่เชื่อเช่นนั้นบ้าง

การตัดเรื่องนี้ออกจากกระบวนการปรองดอง เท่ากับฝังชิปแห่งปัญหาเอาไว้ แล้วสร้างมายาขึ้นมาหลอกตนเองว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต่างจากนิยายของเอริค มาเรีย เรอมาร์ก ที่มีผู้แปลชื่อไว้ว่า แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

ชิปนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการพลิกความเข้าใจทางสังคมของคนไทย โดยเฉพาะคนไทยที่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพียงยังขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะประกาศออกมาดังๆ

ท่านเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนอย่างลับๆ และจะเหนียวแน่นยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพราะความเข้าใจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแนวคิดขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะสร้างพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อ.

---------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เลือดนอร์เวย์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เลือดนอร์เวย์

โดย กาหลิบ


ตกใจกันไปทั่วโลกเมื่อเลือดชาวนอร์เวย์กระจายไปทั่วกรุงออสโลและในค่ายเยาวชนบนเกาะยูโทย่า เมื่อฆาตกรบุกเดี่ยวออกอาละวาดกราดปืนกลใส่ร่างผู้คนราวกับเป็นผักปลา

หากสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่างานนี้เกิดจากน้ำมือคนๆ เดียวที่กำลังรับสารภาพและกระเหี้ยนกระหือรือที่จะอธิบาย ผลงานของตนต่อตำรวจ โศกนาฏกรรมครั้งนี้จะกลายเป็นการสังหารหมู่โดยฆาตกรรายเดียวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก (ไม่นับรวมการฆ่าในสงคราม)

เพราะตามหลักฐานและคำสารภาพ แอนเดอร์ส แบร์ริ่ง บรีวิค วัย ๓๒ ปี ชาวนอร์เวย์ คือผู้ปฏิบัติโหดทั้งสองครั้งนี้ ได้แก่ การถล่มระเบิดใส่ที่ทำการรัฐบาลในกรุงออสโลที่ฆ่าคนไป ๗ คนและการกราดกระสุนใส่คนบนเกาะจนมีผู้เสียชีวิต (เท่าที่นับได้) อีก ๘๖ คน จนนับรวมทั้งสิ้นแล้ว ๙๓ ศพ

สถิติจะบันทึกกันอย่างไรก็ช่างเถิด ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็ทำให้คนนอร์เวย์ใจหายอย่างกู่ไม่กลับไปแล้ว สมาชิกสำคัญในกลุ่มสแกนดิเนเวียประเทศนี้เขาถือตนเองและได้รับการยอมรับจากโลกส่วนใหญ่ว่า มาตรฐานทางสังคมและศักดิ์ศรีของมนุษย์สูงส่งกว่าที่อื่นๆ โดยเฉพาะความเป็นเสรีของบุคคลและความเป็นสังคมนิยม (โดยเฉพาะความเป็นรัฐสวัสดิการ) ของรัฐ เมื่อเกิดเหตุสะดุดจนล้มคว่ำอย่างนี้ก็ถึงกับต้องนิ่งตะลึงงันไปตามกัน

การฆ่านั้นไม่ได้น่าสะเทือนใจในวิธีฆ่า ที่กราดใส่ทั้งบนบกและคนที่ผวาหนีลงน้ำไปเท่านั้น แต่ยังสำคัญที่เหตุผลแห่งการฆ่า บรีวิคให้การกับตำรวจอย่างหน้าชื่นตาบานว่า เขาวางแผนปฏิบัติการเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว และสะสมไว้ล่วงหน้าทั้งปืนพกและปืนกลอัตโนมัติ เหตุแห่งการฆ่าคือความคิดที่เขาปักใจว่าถูกต้องในทางศาสนา เขาเชื่อว่า พระเจ้าต้องการจะล้าง ความผิดในโลกใบนี้ และความผิดที่เขาตัดสินตามความหมกมุ่นของตัวเอง ก็คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายอย่างที่เกิดจากการชี้นำและนโยบายพรรคแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการยอมให้คนต่างผิวพรรณเข้ามาลี้ภัยในนอร์เวย์ การให้สิทธิทางสวัสดิการกับคนว่างงานซึ่งเป็น สวะในทัศนะของเขา และอื่นๆ อีกมาก

ค่ายเยาวชนที่เขาฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าคือหนึ่งในโครงการผลิตยุวชนของพรรคแรงงาน ซึ่งอาจเติบโตขึ้นเป็นนักการเมืองระดับชาติในอนาคต

อาคารที่เขาถล่มระเบิดก็คืออาคารที่คนของรัฐบาลทำงานและใช้บริหารนอร์เวย์ตามนโยบายที่เขาต่อต้านอย่างรุนแรง

สรุปแล้วบรีวิคเชื่อมั่นว่าการกระทำของเขาคือคุณธรรมอันสูงส่งและจำเป็น เขาให้การชัดว่าเขายินดีที่จะรับโทษจำคุกสูงสุด ๒๑ ปีหรือโทษใดๆ ก็ตามที่รัฐบาลจะมอบให้กับเขา เพราะเขาได้ทำงานที่เขาตั้งใจจะทำเรียบร้อยและภารกิจก็สิ้นสุดลงแล้ว

ฟังแล้วก็รู้สึกเยียบเย็นในความเห็นที่แตกต่างกันของมนุษย์ที่ก่อผลได้ถึงขนาดนี้

กรณีนี้ทำให้จิตประหวัดถึงเมืองไทยที่กำลัง ปรองดองกันเพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้ วิธีคิดของคนไทยอาจไม่สุดโต่งรุนแรงเหมือนเขาและคนที่จะไปไกลถึงขนาดบรีวิคอาจจะมีไม่กี่คนในวัฒนธรรมไทย แต่ความขัดแย้งอันลึกซึ้งที่ยังดำรงอยู่ทำให้เราประมาทไม่ได้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นในเมืองไทย

ใครนึกว่านอร์เวย์ไม่ใช่ไทย และไทยมิใช่นอร์เวย์ จะอธิบายกระสุนปืนที่สาดใส่ร่างมนุษย์ทั้งชายและหญิง คนแก่ และเยาวชนเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นต้นมาหลายครั้งอย่างไร

บรีวิคบ้าศาสนาและอ้างพระเจ้ามากระทำการฆาตกรรม

ผู้บงการไทยก็อ้างความมั่นคงและความรักในสถาบันฯ มาฆ่าคนบริสุทธิ์

ไม่แตกต่างกันเลย

เมื่อความเป็นธรรม ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทำท่าจะถูกฝังกลบภายใต้ป้ายที่เขียนว่า ปรองดองแรงขับดันบางอย่างในขบวนประชาธิปไตยก็ถูกกดทับไว้ด้วยน้ำหนักอันมหาศาลของผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะนำผลปรองดองเหล่านั้นมาแก้ผิดให้กลายเป็นถูกได้อย่างไร

ถ้าปรองดองกันจนเสียหลักประชาธิปไตย ก็ต้องช่วยระวังมิให้บรีวิคไทยเกิดขึ้นได้ด้วย.

-----------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ใหม่ล่าสุด รวมเล่มบทความ"กาหลิบ"๔

บล็อกประชาธิปไตย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ขอเสนอ รวมเล่มบทความจากคอลัมน์ "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" โดย "กาหลิบ" เล่มที่ ๔ เนื้อหาสาระเข้มข้นเหมือนเดิม สะท้อนการเมืองในยุคประชาธิปไตยภายใต้ระบอบอำมาตย์ :

"กาหลิบ" ๔

จำนวน ๓๗ ตอน สะท้อนเหตุการณ์ระหว่าง ๙ มีนาคม ๒๕๕๔ - ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๔

๑. กระแสจีรนุช

๒. สันติภาพและสันติวีธี

๓. ผิดที่สื่อหรือสาระ

๔. เข้าคอก-นอกคอก

๕. ลานโพธิ์ ภูพาน และผ่านฟ้า

๖.นายกรัฐมนตรีสามแบบ

๗. ถึงแดงยุโรป

๘. รากเหง้าความคิดเรื่องปิดเทอม

๙. เชือกที่รัดร้อย

๑๐. สิงห์โตกับฝูงแกะ

๑๑. สุรชัยพินัยกรรม

๑๒. รบแบบลิเบีย (๑)

๑๓. รบแบบลิเบีย (๒)

๑๔. แทงปลา

๑๕. วุฒิสภาต่างระบอบ

๑๖. กวาดล้าง ๑๑๒

๑๗. ระดับระบอบ

๑๘. ข้อคิดของข่าวลือ

๑๙. ไพ่กัมพูชา

๒๐. ไพ่กัมพูชา (๒)

๒๑. จับคุณสมยศ

๒๒. ระบอบสีทอง

๒๓.บิน ลาเด็นกับประชาธิปไตยไทย

๒๔. ยึดสนามหลวง

๒๕. มวลชนหลังยุบสภา

๒๖. ประชา ประสพดี...งานนี้เพิ่งเริ่มต้น

๒๗. ทดสอบมวลชน

๒๘. สัญญาณพันธมิตร

๒๙. บทเรียนเลือกตั้ง ๒๕๕๐

๓๐. แบ่งใจไปเลือกตั้ง

๓๑. คนละเกม

๓๒. โพลล์พลอยพยัก

๓๓. ปั้นสรยุทธ์

๓๔. มะเร็งอาจกำเริบ

๓๕. โจรเจรจา

๓๖. อย่ามองข้ามคนเชียร์แขก

๓๗. หุ่นเชิดหุ่น


วางจำหน่ายที่ห้างอิมพีเรียล เวิล์ด ลาดพร้าว (บิ๊กซี) ชั้น ๕ : ร้าน "The Red Shop" ของคนเสื้อแดง และ ร้านกาแฟ หน้าลิฟต์ "Red Living Room"

ราคาเล่มละ ๑๐๐.- (มาซื้อเอง) หรือถ้าไม่สะดวกมาซื้อเอง สามารถสั่งซื้อได้ที่เบอร์ โทร. ๐๘๔-๔๕๖๖๗๙๔-๕ บริการจัดส่งให้ถึงบ้าน (ขอบวกค่าไปรษณีย์ลงทะเบียนเล่มละ ๓๐.-)

สั่งทางอีเมลล์ : tpnews2009@gmail.com

(สำหรับท่านใดที่ยังไม่ได้อ่าน เล่ม ๑, ๒ และ เล่ม ๓ ก็ยังสามารถสั่งซื้อได้ครับ)


******************************************************************************


"กาหลิบ" ๓

จำนวน ๓๗ ตอน สะท้องเหตุการณ์ระหว่าง ๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ - ๗ มีนาคม ๒๕๕๔

๑. จดหมายตบหน้า

๒. บ.ก.ลายจุด

๓. ยกเลิกฉุกเฉิน

๔. ซ่อมเลือกตั้ง...ไม่ใช่เลือกตั้งซ่อม

๕. อย่าหยุดแค่อภิสิทธิ์

๖. เริ่มยกระดับ

๗. ไทยรั่ว

๘. ให้เวลา-อย่าเซ็ง

๙. เครื่องมือเผด็จการ

๑๐. โอกาสรัฐประหาร

๑๑. นางมารร้ายกับคุณชายพระเอก

๑๒. ฟาวล์

๑๓. เขมรรู้ทัน

๑๔. ทัศนะใคร

๑๕. แดงดอกไม้

๑๖. ลัทธินำตน

๑๗. ส่งคนไปตาย

๑๘. สินค้าปลอม (ตอนที่ ๑)

๑๙. สินค้าปลอม (ตอนที่ ๒)

๒๐. สินค้าปลอม (ตอนที่ ๓-จบ)

๒๑. เสพติด

๒๒. ฮุนเซ็นดับไฟ

๒๓. กษัตริย์ชิงออสการ์

๒๔. ประชาธิปไตยไฟลามทุ่ง

๒๕. กาหลิบชิ้นที่ ๑๐๐

๒๖. รัฐประหารหรือไม่?

๒๗. อียิปต์-ตัวอย่างลบ?

๒๘. ชายแดนยุ่งเพราะกรุงเทพฯ

๒๙. สิบวันอันตราย

๓๐. มูบารัคลาออก

๓๑. เหตุประหลาดในคดี ดา ตอร์ปิโด

๓๒. ใครได้ใครเสีย

๓๓. แดงถกเถียง

๓๔. ขอโทษที่ไม่ยินดี

๓๕. ความมั่นคงของแดงสยาม

๓๖. การดำรงอยู่ของสองแนวทาง

๓๗. สิทธิที่จะไม่ถูกฆ่า

**********************************************************************************


"กาหลิบ" ๒

จำนวน ๓๙ ตอน สะท้อนเหตุการณ์ระหว่าง ๓ ก.ย. – ๔ ธ.ค. ๒๕๕๓

๑. อย่าลืมสุรเกียรติ์

๒. ทางรอดวันนี้สีแดง (๒)

๓. ภาษาซาอุ

๔. สมัครภาคสอง

๕. สฤษดิ์น้อย-สฤษดิ์ใหญ่...ใครกำกับ?

๖. เตรียมเผด็จการ

๗. ปรับขบวน

๘. นำแกน

๙. อำมาตย์ใหญ่ในกะลา

๑๐. นอกกะลา-ตาสว่าง

๑๑. คัดกรอง

๑๒. เผด็จการไม่เงียบ

๑๓. รัฐสามัญชน-ธนบุรี

๑๔. ๖ ตุลากับพฤษภาสองทมิฬ

๑๕. เศรษฐกิจเสื้อแดง

๑๖. บัวจมน้ำ

๑๗. ไข่อะไร

๑๘. ประจานตน

๑๙. คลิปดับเทวดา

๒๐. ร้ายกว่ารัฐประหาร

๒๑. บาทแข็งเพื่อใคร

๒๒. สองแนวรบ

๒๓. น้ำท่วมและนองเลือด

๒๔. ลูกน้องอันตราย

๒๕. อาจารย์สุรชัย

๒๖. รัฐขวาจัด (๑)

๒๗. รัฐขวาจัด (๒-จบ)

๒๘. น้ำท่วมระบอบไทย

๒๙. ความสำคัญของ ๑๐ เมษา

๓๐. ตลกสลับฉาก

๓๑. นายกรัฐมนตรีสมัคร...สู่สุคติ

๓๒. ช่วยแยกหน่อยเถอะ

๓๓. บิดและเบือน

๓๔. ประโยชน์ของประยุทธ์

๓๕. กรรมเก่าของอำมาตย์

๓๖. วันพนันของพันธมิตร

๓๗. ศาลใคร?

๓๘. พรรคของระบอบ

๓๙. คอยธันวา

*******************************************************************************


"กาหลิบ" ๑

จำนวน ๓๖ ตอน สะท้อนเหตุการณ์ระหว่าง ๙ มิ.ย. – ๑ ก.ย. ๒๕๕๓

๑. ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์

๒. วิญญาณฆาตกร

๓. การเมืองเรื่องสัตว์

๔. สิ่งที่อภิสิทธิ์ไม่รู้

๕. โลกเริ่มเข้าใจ

๖. ลง ส.ส.หรือลงนรก?

๗. ทูตหรือทาส?

๘. คอยแกนนำ

๙. งานลับอเมริกัน

๑๐. ความตายของน้ำหวาน

๑๑. เบื้องหลังตำแหน่งประธานสภาสิทธิมนุษยชน

๑๒. ใครกลัวอนุสาวรีย์ปราบกบฏ (บวรเดช)?

๑๓. แผนเสี้ยมเสื้อแดง

๑๔. โรงพยาบาลบ้า

๑๕. สยามเรียลลิตี้

๑๖. ฆาตกรต่อเนื่อง

๑๗. กัมพูชาสากล

๑๘. ยาดี

๑๙. เงื่อนไขแห่งความรุนแรง

๒๐. ส.ส.แพ้ – แนวทางชนะ

๒๑. ปกขาวเปลือยไทย

๒๒. คดีเทพประทาน

๒๓. มือระเบิด

๒๔. เลือกตั้งระวังพลาด

๒๕. วีรกรรมคุก

๒๖. ผู้นำหาย

๒๗. ขุดเรื่องพระวิหาร...สันดานใคร

๒๘. ไล่กษิต

๒๙. สนิมเนื้อใน

๓๐. ฝันเปียก

๓๑. ต้นทุนของขบวนการ

๓๒. เอกสังคมกับหล่มการเมือง

๓๓. เข้าใจเพื่อน

๓๔. ใครคุมคณะสงฆ์?

๓๕. สนามเล็กในระบอบใหญ่

๓๖. ทางรอดวันนี้สีแดง (๑)

**********************************************************************************

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาลเพื่อไทยกับคนเสื้อแดง โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง รัฐบาลเพื่อไทยกับคนเสื้อแดง

โดย กาหลิบ

วันนี้คงจะได้รู้กันว่า ผู้ที่เติบโตขึ้นมาจากเวทีรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย นปช. และได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อเมื่อ ๓ ก.ค. ๒๕๕๔ จะได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดหรือไม่ หลายท่านในหมู่คนเสื้อแดงเอาเรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของการ ปรองดองในทำนองที่ว่าติดขัดขึ้นเมื่อไหร่ก็แสดงว่าปรองดองใกล้ล่ม

แต่สิ่งที่น่าสนใจก่อนถึงวันนี้ และเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจมากนัก นั่นคือความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างพรรคเพื่อไทยผู้ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากกับ นปช. ซึ่งเป็นภาพหลักที่อธิบายขบวนประชาธิปไตยในปัจจุบัน

คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ ปรามแกนนำนปช. ว่าอย่าเคลื่อนไหวกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้งในเรื่องรับรอง ส.ส. และขอให้หยุดการกระทำที่ผ่านมาเสีย

ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผล เพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยจาก นปช. จนถึงวันนี้

เรื่องเล็กๆ นี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตยกับมวลชนเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ โดยเฉพาะกับเมืองไทยขณะนี้ถือว่ามีความหมายลึกซึ้งมาก เรายังจำกันได้ชัดเจนไม่ใช่หรือว่าเมื่อพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๑ มวลชนเสื้อแดงกลับอยู่ในสภาพงุนงงสับสนไม่น้อยเพราะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรเมื่อ พวกเราได้เป็นรัฐบาล

จะดำรงตนเป็นผู้ประท้วง รัฐบาลของ เราก็ไม่อยากให้ประท้วง

จะเคลื่อนไหวเพื่อทำลายรากเหง้าเผด็จการที่เราต่างรู้ดีว่าแทรกซึมอยู่ทุกแห่งหนในสังคมไทย รัฐบาลของ เราก็ไม่อยากให้ทำ เพราะเกรงว่าจะ เสียบรรยากาศ

เมื่อแนวทางจากส่วนกลางขาดหาย และยืนยันจะเป็นรัฐบาลกันลูกเดียว มวลชนเกือบทั้งหมดก็หันหลังกลับบ้าน ไปประกอบอาชีพทำมาหากินเพื่อชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปในการต่อสู้นานหลายปีก่อนหน้านั้น

แล้วก็ได้เห็นกันแจ่มแจ้งว่า รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็กลายเป็นรัฐบาลล่อนจ้อน ขาดมวลชนสนับสนุนและปกป้อง โดยเฉพาะเมื่อพันธมิตรฯ เข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ และเข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิในขณะที่คำขู่ยึดอำนาจจากทหารเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ จนไม่นานฝ่าย เราก็ปิดฉากลง

บทเรียนที่สำคัญคือ รัฐบาลประชาธิปไตยในระบอบเผด็จการที่ห้อมล้อมตัวอยู่นั้นจำเป็นต้องอาศัยแรงสนับสนุนโดยตรงจากมวลชนอย่างยิ่ง

ปรองดองมิได้มีหมายความว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องลงไปนอนหงายอยู่กับพื้น และแสดงกิริยาหมอบราบคาบแก้วให้เป็นที่ประจักษ์

แต่จะต้องหมายความว่า ในขณะที่เราต่างก็ไม่ไว้วางใจกันเช่นนี้ เราต้องยอมให้แต่ละฝ่ายยึดมั่นกับปัจจัยสนับสนุนของตนไปพลางก่อน จนกว่าการสละอำนาจแฝงเร้นบางอย่าง ที่ไม่มีลักษณะ ขายสิทธิขั้นพื้นฐานของมวลชน จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน

ในขณะที่ เขายังคงกองทัพที่พรั่งพร้อมด้วยอาวุธ อำนาจตุลาการที่ปฏิเสธมิได้ ตรวจสอบมิได้ และแม้แต่จะวิจารณ์ก็ไม่ได้ พรั่งพร้อมด้วยนักวิชาการที่พร้อมช่วยอธิบายมิจฉาทิฐิของระบอบเก่าให้กลายเป็นถูก สื่อมวลชนที่พร้อมรับใช้อำนาจรัฐ (ที่มิใช่อำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง) เป็นต้น

ก็ชอบธรรมแล้วมิใช่หรือ ที่รัฐบาลเลือกตั้งผู้อยู่ในวงล้อมของศัตรูอย่างนั้นจะต้องประสานมือกับมวลชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อความอบอุ่นมั่นคง

การแสดงท่าทีว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะครหาในความสัมพันธ์ทางการเมืองก็ดี การสั่งซ้ายหันขวาหัน เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการ ปรองดองได้ทุกเมื่อก็ดี ล้วนแสดงภาพใหญ่ว่าเรากำลังรื้อฐานสนับสนุนของเราหรือทำให้เกราะของเราบางและอ่อนแอลงทั้งสิ้น

พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเพื่อไทยจึงควรงดเว้นในท่าทีดังกล่าวนั้น แล้วปล่อยให้ นปช. และกลุ่มพลังประชาธิปไตยต่างๆ เขาขับเคลื่อนไปตามพลังจริงทางสังคมจะดีกว่า

มีหลายท่านออกมาเตือนผู้นำฝ่ายเราให้รู้จัก นิ่งในระยะนี้ ก็เลยนึกถึงกลอนสั้นๆ ที่มีคนเขียนไว้หลายปีแล้วและขอฝากไว้ในที่นี้อีกสักครั้ง :

ยิ่งใหญ่ไร้มิตรแท้

ยิ่งเก่งแน่ยิ่งต้องนิ่ง

ยิ่งสูงขาดที่พิง

ยิ่งยืนนิ่งยิ่งงดงาม

----------------------------------------------------------------------------

สนับสนุนเสื้อแดง ช่วยสมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อำนาจของสภาผู้แทนราษฎร โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง อำนาจของสภาผู้แทนราษฎร

โดย กาหลิบ

เมื่อวานนี้ตามเวลาไทย มีการไต่สวนพิเศษในสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษ ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลกมาก ขนาดถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และทางเว็บไม่รู้กี่เครือข่าย เที่ยวนี้เป็นกรณีอื้อฉาวที่กว้างขวางและลึกซึ้ง ยังไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีของประเทศเกี่ยวข้องและต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกด้วยหรือไม่ ขณะนี้มีคนขนาดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและตำแหน่งใหญ่ๆ ต้องออกแล้วหลายคน แถมยังรุนแรงขนาดมีคนถูกฆ่าตายแล้วด้วย

นั่นคือ กรณีการดักฟังโทรศัพท์คนใหญ่ๆ ในอังกฤษถึง ๔,๐๐๐ คน ครอบคลุมตั้งแต่นักการเมืองไปจนถึงขาใหญ่ในวงการบันเทิงโดยฝูงนักข่าวของหนังสือพิมพ์แนวตลาดที่มีอายุยืนยาวมากว่าร้อยปีที่มีชื่อว่า “News of the World” หรือ NOTW จุดประสงค์คือ วิ่งหาข่าวมาป้อนหนังสือพิมพ์ที่มีจุดขายเรื่องความอื้อฉาวเพื่อเพิ่มยอดขายของตน โดยใช้วิธีแอบฟัง ดักฟัง และทะลวงฐานข้อมูลโทรศัพท์เอา ดื้อๆ

แถมยังบานปลายถึงวงการตำรวจ เพราะตำรวจเคยทำคดีคล้ายกันอย่างนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีสองปีที่ผ่านมา แต่แล้วก็เกิดหันเหทิศทาง สั่งไม่ฟ้องและไม่ดำเนินคดีต่อ แอบให้หนังสือพิมพ์ NOTW ชดใช้ค่าเสียหายกับผู้ที่ถูกดักฟังในรุ่นแรกเพื่อให้จบกันไป แต่มาคราวนี้ผู้เสียหายขยายจำนวนขึ้นเป็นพันๆ คน คนหนึ่งที่ถูกดักฟังและเป็นเหยื่อคือ อดีตนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ของพรรคแรงงานซึ่งขณะนี้เป็นฝ่ายค้าน เรื่องจึงแดงขึ้นจนปิดไว้ไม่อยู่ คนอังกฤษก็ถามกันเซ็งแซ่ว่า NOTW กับตำรวจร่วมประโยชน์กันอย่างไรถึงได้ร่วมมือใกล้ชิดราวกับองค์กรอาชญากรรมเช่นนี้

ประเด็นแห่งความอื้อฉาวจึงสรุปได้ดังนี้

๑. ธุรกิจกับตำรวจร่วมมือกันหากิน และดำเนินการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง

๒. เจ้าของ NOTW ซึ่งประกาศปิดตัวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน คือรูเพิร์ต เมอร์ด็อคกับลูกชายชื่อเจมส์ เมอร์ด็อค เป็นคนที่ถูกตีตราทางสังคมมานานแล้วว่า เป็นนักธุรกิจอิทธิพลสีเทาๆ ที่ใครยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน คราวนี้จึงมีคนกระโดดเข้ามาร่วมวงศ์ไพบูลย์กันมาก เพราะได้กลิ่นเลือดของเมอร์ด็อค

๓. พรรคอนุรักษ์นิยมผู้เป็นรัฐบาล มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเมอร์ด็อคมานานตั้งแต่สมัยมาร์กาเร็ต แธตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างนโยบายธุรกิจเสรีและแข่งขันเสรีมาเป็นเหตุสนับสนุน นายกรัฐมนตรีเดวิด คามารอนจึงกำลังถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุอื้อฉาวในครั้งนี้ด้วย

เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ เพราะคนอังกฤษไม่นิยมคติปรองดองที่หวังผลตื้นๆ และมักง่าย คนอังกฤษเขามักจะถือว่า อำนาจตีคู่มากับความรับผิดชอบ คนชั่วร้ายต้องได้รับผลกรรมทางสังคมไม่ช้าก็เร็ว จู่ๆ จะฟอกตัวจนขาวสะอาด (whitewashing) เพราะความเหนื่อยล้าและการถอดใจของฝ่ายตรงข้ามมิได้

สิ่งที่งดงามที่เกิดขึ้นควบคู่กับความอัปยศในครั้งนี้จึงมีหลายอย่าง แต่ชัดเจนที่สุดคือบทบาทของสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษที่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ (select committee) ขึ้นมาไต่สวนเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง

เมื่อวานนี้ทั้งวัน เป็นการไต่สวนอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และสองพ่อลูกตระกูลเมอร์ด็อค อย่างน่าดูชม

คำถามและการซักฟอกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกๆ คน ซึ่งนั่งเป็นกลุ่มใหญ่ในโต๊ะรูปเกือกม้า โดยมีผู้ถูกไต่สวนนั่งอยู่อีกปลายหนึ่ง เป็นคำถามที่ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งในอังกฤษคงจะภาคภูมิใจที่ไม่ได้เลือกคนผิด แต่ละคนทำการบ้านมาอย่างดี ไม่มีการตั้งคำถามยืดยาวฟูมฟายเพื่อโชว์ตัวเอง แต่ตัดตรงเข้าสู่แต่ละประเด็นอย่างคมชัด จนคนตอบต้องนั่งอึกอักแบบที่เรียกว่า ไปไม่เป็น อยู่หลายครั้ง

ในระบบของอังกฤษ ที่เมืองไทยไปเอาของเขามานั้น คณะกรรมาธิการวิสามัญก็มิได้มีอำนาจใดๆ ใหญ่โต เรียกเขามาแล้วเขาจะไม่มาก็ได้ ถ้าหากมาแล้วให้ความเท็จ ก็ไม่มีอะไรทางกฎหมายที่จะไปจับเขาติดคุกได้ ซึ่งต่างกับอำนาจอันมากมายของรัฐสภาฝ่ายสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่าคองเกรสส์

แต่เราก็ได้เห็นกันทั่วว่าแรงกดดันทางสังคมและสื่อมวลชนที่มุ่งรับใช้ประชาชนมากกว่ารับใช้เจ้านายเหนือหัวของตนนั้น รุนแรงเสียยิ่งกว่ากฎหมาย แรงกดดันนี้เองที่ทำให้ผู้มีอำนาจและอิทธิพลเหล่านี้ต้องมานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าผู้แทนของประชาชนซึ่งบางคนก็ยังอายุไม่มาก ทั้งหญิงและชาย และมีตัวแทนจากทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎร ให้เราตระหนักกันว่าอำนาจของประชาชน (อังกฤษ) นั้นสูงยิ่งกว่าอำนาจอื่นใด โดยเฉพาะอำนาจของชนชั้นปกครองในอังกฤษนั้นเอง

ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรเราไม่รู้ แต่กระบวนการประชาธิปไตยชนะไปแล้วกว่าครึ่งค่อน

ดูผลงานของสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษแล้ว ก็ต้องกลับมาเตือนสภาผู้แทนราษฎรไทยว่าคุณๆ ผู้เป็นสมาชิกแต่ละคนก็มีอำนาจทางกฎหมายที่ไม่ต่างอะไรจากพวกอังกฤษเขา ปัญหาคือ ผู้ทรงเกียรติแต่ละท่านมีความกล้าหาญทางจริยธรรมในระดับเดียวกับเขาหรือไม่

วันที่เอาฆาตกรฆ่าประชาชนมานั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าท่านและไต่สวนให้ได้ความจริง จะเป็นวันที่เราพร้อมปรบมือให้.

--------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บริษัทบริวาร โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง บริษัทบริวาร

โดย กาหลิบ


เมืองไทยขณะนี้คงกำลังเข้าสู่ห้วงเวลาชดใช้กรรม เหตุการณ์อย่างน้อยสองเรื่องที่ร้อนแรงอยู่ในนาทีนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็เคยขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้ตามวิสัยกะล่อนของชนชั้นนำไทย แต่งานนี้กลับกลายเป็นวัวพันหลัก เสมือนคนที่พลาดติดกับตัวเองจนพูดไม่ออกบอกไม่ได้ ถูกมัดไว้กลางเมืองให้สาธารณชนค่อยๆ คิดตามและเข้าใจลึกซึ้งขึ้นทุกวันในความฉ้อฉล

    

เหตุการณ์ทั้งสองได้แก่กรณีอื้อฉาวเรื่องเครื่องบินพระที่นั่งในเยอรมนีและนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาทต่อวันของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเชื่อกันว่ากำลังจะผงาดขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ 

 

คนละเรื่อง แต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ และความสัมพันธ์นั้นเองได้ฉายภาพแท้จริงของเมืองไทยอย่างแจ่มแจ้งราวกับดูภาพยนตร์ 

   

คงจะไม่พูดในที่นี้ว่า ความเป็นเครื่องบินพระที่นั่ง ความเป็นเครื่องบินที่หลวง (กองทัพอากาศ) จัดถวายเป็นพระราชพาหนะ หรือสถานะความเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์นั้น อธิบายความทั้งหมดนี้ อย่างไร เพราะไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดให้ใครเดือดร้อนเล่นและสาธุชนท่านก็มองเห็นเองได้ แต่ประเด็นร้อนของวันนี้คือ ความอัปยศครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและโดยใคร

   

เรารู้แล้วว่า คำสั่งศาลเยอรมนีที่ให้ยึดทรัพย์ใดๆ ของรัฐบาลไทยได้ สืบเนื่องมาจากความเสียหายของ บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัดในกรณีโครงการก่อสร้างและเก็บเกี่ยวประโยชน์จากดอนเมืองโทลล์เวย์ แต่คำอธิบายที่ละเอียดกว่านั้นรู้สึกจะยังกระมิดกระเมี้ยนกันอยู่

   

ก็เล่าตรงนี้เสียเลยก็แล้วกัน

    

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องมากที่สุดในการอนุมัติโครงการนี้ คือนายมนตรี พงษ์พานิช ผู้เสียชีวิตไปนานแล้วจากโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ ก่อนตายก็เที่ยวฝากเงินทีละมากๆ ไว้กับคนนั้นคนนี้รวมทั้ง พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศในปัจจุบัน) ผู้เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรีฯ ในขณะนั้น โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ทำในรูปสัญญา ในสัญญานั้นก็มีเงื่อนไขบังคับไว้ว่า ในห้วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างถือสัญญาอยู่ รัฐบาลไทย ไม่ว่าจะชุดใดคณะใด จะอนุมัติการก่อสร้างโครงการคมนาคมอื่นใดอันมีลักษณะทับเส้นทางหรือแย่งลูกค้าจากดอนเมืองโทลล์เวย์มิได้ หากขืนทำก็จะต้องถูกปรับจากคู่สัญญาตามความเสียหายที่เกิดขึ้นพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส

    

เวลาผ่านไปจนกระทั่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ดอนเมืองโทลล์เวย์เปิดใช้มาแล้วก่อนหน้านั้นหลายปี และยังอยู่ในสัญญานั้น

    

ปัญหามาเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลชวนฯ อนุมัติให้มีการก่อสร้าง ขยายเส้นทาง และเชื่อมต่อเส้นทางถนนรอบในที่คู่ขนานมากับถนนวิภาวดีรังสิตจนกลายเป็น ถนนใน หรือ local  road ขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน ถนนใหม่รองรับผู้คนแถวนั้นมากมายและนับว่ามีประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการละเมิดสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทเยอรมนีผู้ร่วมก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์อย่างฉกรรจ์

    

เมื่อละเมิดเขา เขาก็ฟ้อง และผลสุดท้ายก็กลายมาเป็นความน่าอับอายทั่วถึงกันตั้งแต่บนสุดของห่วงโซ่อาหารเมืองไทยจนถึงชั้นล่าง

    

เหตุการณ์ชี้ให้เราเห็นทีเดียวว่า พรรคการเมือง นักการเมือง และบริษัทบริวารของชนชั้นนำไทย ผู้อ้างตนเองว่ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ยิ่งกว่าใครๆ ในแผ่นดินนี้ เขานำอำนาจที่ได้จากการอ้างอย่างนั้นไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ความเห็นแก่ตัวอย่างโลภโมโทสันครั้งนี้น่าจะฉีกหน้ากากให้คนทั้งหลายได้เห็นว่า ชนชั้นนำเมืองไทยเขาร่วมกัน รู้กัน และเป็นทีมเดียวกันในการทำมาหากินแบบพวกปล้นปวงชนกันอย่างไร

    

เมื่อกรรมตามทันในวันนี้ จึงปิดก้นตัวเองไม่มิด มองเห็นทะลุทะลวงไปถึงไหนๆ ให้ขายหน้าเขา

    

กรณีค่าแรงขั้นต่ำเป็นอีกเรื่องที่กำลังสนุก 

    

เพราะการถกเถียงกำลังลุกลามจากประเด็นทางวิชาการและนโยบายไปสู่ความเห็นแก่ตัวล้วนๆ และชี้ให้เราเห็นทีเดียวว่าภาคธุรกิจของไทยที่ว่าแน่ว่าเก่งกันนักนั้น สุดท้ายอยู่ในระบบอุปถัมภ์ของผู้ใด อาศัยอำนาจและอิทธิพลของใครในการทำมาหากินกันเป็นโคตรตระกูล เพราะขาดทั้งความรู้และความสามารถที่จะสร้างอะไรได้ด้วยตนเอง 

   

ถ้าไม่มีอำนาจและอิทธิพลคุ้มหัวที่เจ้าตัวต้องคอยจ่ายค่าคุ้มครองอยู่ตลอดมา เจ้าสัวไทยหลายคนคงจะถือกะลาขอทานเขากินไปนานแล้ว 

    

ความขัดแย้งเรื่องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ ๓๐๐ บาทกำลังกลายเป็นการแบ่งข้างระหว่างพรรคเพื่อไทยที่ประกาศยืนกับผู้ที่เป็นคนจนกับภาคเอกชนที่ถือตัวเองว่าเป็นอยู่ในระบบอุปถัมภ์ของเจ้าของประเทศไทยและเป็นเด็กเส้น     

    

ศึกครั้งนี้จึงมากกว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ แต่เป็นการแบ่งข้างว่าใครเป็นพวกใคร และสำคัญกว่านั้นจะเป็นการแสดงว่าใครเป็นพวกเดียวกับประชาชน

    

พรรคเพื่อไทยเองก็อย่าทะนงตน หากทำไม่สำเร็จก็สูญเสียสถานะเช่นนั้นเอาง่ายๆ ได้เหมือนกัน 

    

นิทานเรื่องนี้สอนว่าระบอบการเมืองใดๆ อยู่ได้ด้วยการค้ำจุนของบริษัทบริวาร การรักษาอำนาจของชนชั้นนำย่อมต้องอาศัยผู้คนเหล่านี้เป็นมือเป็นไม้ 

    

ประเด็นคือเมื่อคนเหล่านี้แสดงธาตุแท้ของความเป็นคนชั่วขึ้นมา มันสะท้อนอะไรกลับไปถึงผู้อุปถัมภ์บ้างเล่า.


---------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ภาพคณะรัฐมนตรี โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ภาพคณะรัฐมนตรี

โดย กาหลิบ

เป็นธรรมดาของการเมืองเลือกตั้ง ยังไม่ทันได้ตัวนายกรัฐมนตรีเราก็อยากเห็นคณะรัฐมนตรีเสียแล้ว เหตุเพราะตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่ได้มีไว้บริหารราชการแผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว แต่คือดรรชนีชี้วัดอำนาจและความรุ่งโรจน์ของบุคคลผู้มีความทะเยอทะยานทางการเมืองด้วย นี่คือองค์ประกอบที่บอกเราได้ล่วงหน้าว่าเสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร มีเชื้อมะเร็งอยู่ที่ตรงไหน ท้ายที่สุดทำให้เราคิดได้เองว่า ประชาชนจะได้ผลคุ้มค่ากับการเสียสละเพื่อประชาธิปไตยมาถึงขนาดนี้หรือไม่

คณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งจึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าความลงตัวทางการเมืองหรือแม้แต่ความรู้ความสามารถเฉพาะตัว แต่จำต้องสื่อภาพสาธารณะที่ทำให้ประชาชนภูมิใจได้ว่าประชาธิปไตยมีตัวตนและมีประสิทธิภาพจริง

เราต้องไม่คิดผิดๆ ว่า การตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นเพียงพิธีกรรมหรือขั้นตอนทางการเมือง ยิ่งในช่วงที่ประชาธิปไตยถูกทดสอบมากๆ หรือเผด็จการรุมล้อมรอบตัวเหมือนสัตว์ป่ารอรุมทึ้งเราบ้าง ก็ยิ่งต้องใส่ใจกับความหมายทั้งในเชิงเนื้อหาและสัญลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นในกระบวนการนั้น

เรื่องนี้จึงเขียนเผื่อนักการเมืองบางคนที่มีนิสัยหลงลืม เผลอคิดไปว่าเลือกตั้งจบแล้วก็หมดหน้าที่ของประชาชนแล้ว จนเห็นว่างานตั้งรัฐมนตรีเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของผู้มีอำนาจเท่านั้น

ถามว่าคณะรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยควรเป็นอย่างไร?

ก่อนตอบก็ต้องจำกัดความคำว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำเนิดขึ้นในเงื่อนไขใด เพราะ ชัยชนะที่พรรคเพื่อไทยได้รับในวันนี้คือผลมวลรวมในการต่อสู้ของภาคประชาชนอย่างหลากหลายและยาวนาน ไม่ใช่อุบัติเหตุหรือเหตุบังเอิญ ไม่ใช่ผลงานโดยเฉพาะของแกนนำประชาชน ไม่ใช่ความเก่งของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการสั่งสมมาตั้งแต่การต่อสู้กับระบอบเผด็จการไทยมาตั้งแต่เกือบหนึ่งร้อยปีก่อน

ตัดส่วนมาเฉพาะการต่อสู้ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้รู้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นหนี้บุญคุณทางการเมืองกับใครบ้างก็ยังได้

รายชื่อคงไม่ยืดยาวนัก

๑. ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมในกระแสหลัก เช่น พีทีวี นปก. นปช. เป็นต้น

๒. ประชาชนผู้เข้าร่วมในกระแสเสริมที่กำลังวิวัฒนาการไปเป็นกระแสหลัก เช่น กลุ่ม ๒๔ มิถุนา เวทีราษฎร แดงสยาม เป็นต้น

๓. ประชาชนผู้ไม่ปรากฏตัวตามเวที แต่แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน และยกระดับการต่อสู้ทางไซเบอร์ (ซึ่งเคยถูกเหยียดหยามทำให้เป็นตัวตลกไปว่า พวกหลังตู้เย็น”)

๔. ประชาชนผู้ไม่ปรากฏตัว แต่สนับสนุนปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นในการต่อสู้มาตลอด

๕. เครือข่ายฝ่ายซ้ายที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นมานานปีและยัง แสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่างกับฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเข้มข้นอยู่

๖. ข้าราชการและคนของรัฐประเภทต่างๆ ที่เนื้อในเป็น แตงโม

๗. เครือข่ายการจัดตั้งเดิมของพรรคฝ่ายขวาอย่างพรรคประชากรไทยและพรรคไทยรักไทย

๘. เครือข่ายชาวไทยในต่างประเทศที่สนับสนุนงานเคลื่อนไหวในประเทศแบบรอบทิศทาง

หากเราคำนึงถึงผู้สนับสนุนและผู้ปิดทองหลังพระเหล่านี้ วิญญูชนจะตอบคำถามได้เองว่า เราควรจัดตั้งคณะผู้บริหารประเทศที่เรียกว่าคณะรัฐมนตรีอย่างไรเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองในใจของแต่ละท่าน

ข้อสำคัญข้อแรกคืออย่าให้ผู้ดำรงตนเป็นนายหน้าทางการเมือง ซึ่งถือเป็นเหลือบประเภทหนึ่งในขบวนประชาธิปไตยมาช่วงชิงอำนาจจากประชาชนแล้วชี้นำในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้

มวลชนผู้ต่อสู้ร่วมกันมาอย่างแท้จริง จะต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มกดดัน (pressure groups) จนมีอิทธิพลไม่มากก็น้อยต่อกระบวนการเลือกตัวผู้บริหารประเทศ ใครที่มีบทบาทในทางส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ให้เป็นหรือหาทางสนับสนุน ใครมีบทบาทตรงข้าม หรือคอยเกาะกระแสเพื่อนเหมือนปลิงดูดเลือดอย่างด้านๆ ก็ต้องช่วยกันชี้ให้คนทั่วไปเห็นและสกัดกั้น

ข้อสอง สัดส่วนคณะรัฐมนตรีต้องประกอบด้วย ๑) ตัวแทนของอำนาจประชาธิปไตยที่ถูกโค่นล้มในการรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๔๙ และการแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยในปี พ.ศ.๒๕๕๑ ๒) ผู้แทนของมวลชนในการต่อสู้ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมา ๓) ผู้มีทักษะพิเศษในการบริหารงานยามวิกฤติที่จะสามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ในการบริหารได้ทันเวลา (ทันเวลาก่อนจะถูกศัตรูร่วมกันโค่นล้มลงอีกครั้ง)

ข้อสามคือ คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะต้องสำนึกถึงชัยชนะจากการเลือกตั้ง ตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่ามวลชนท่านได้มอบอำนาจอันเด็ดขาดชัดเจนให้เราบริหารแล้ว ต้องเลิกเหนียมอายหรือเกรงใจที่จะใช้อำนาจเหล่านั้นในการกำจัดเชื้อโรคของระบอบประชาธิปไตย

สุดท้ายจะได้ตั้งคณะรัฐมนตรีหรือไม่ หรือใครต้องรู้สึกว่าเป็นคนปัญญาอ่อนสังเวย ปรองดองถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องตกนรกหมกไหม้กันไปตามกรรมเวรของแต่ละคน.

--------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เศรษฐกิจคู่การเมือง โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เศรษฐกิจคู่การเมือง

โดย กาหลิบ

นี่คือระยะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และเป็นการจัดตามกรอบความคิดเดิมคือ รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเราจึงได้ยินเสียงแปลกๆ จากมุมเล็กมุมน้อยของสังคมในลักษณะชี้นำและขีดวงการเดินของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองตามผลการเลือกตั้งจากประชาชน

เสียงแปลกๆ พวกนี้คือส่วนหนึ่งของข้อจำกัดทางการเมืองไทยในปัจจุบันและเป็นภาพสะท้อนที่ดีถึงปัญหาที่ใหญ่โตกว่านั้นสำหรับคนที่ยังมองอะไรไม่เห็น

การตีกรอบอย่างหนึ่งคือการโน้มน้าวชวนเชื่อผ่านสื่อกระแสหลัก รวมแม้กระทั่งกลไกภายในของ เสื้อแดงเองว่า รัฐบาลใหม่ควรมุ่งงาน เศรษฐกิจของชาติเพียงอย่างเดียวก่อน และอย่าไปแตะต้อง กับ การเมืองในระยะนี้

ว่าแล้วก็ชวนกันถกเถียงในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำบ้าง บัตรเครดิตชาวนาบ้าง บัตรประจำตัวประชาชนของเด็กๆ บ้าง โดยอ้างว่าเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอในระหว่างหาเสียง จึงต้องนำมาสัมมนากัน

การถกเถียงเรื่องนโยบายเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง เพราะนโยบายของรัฐบาลย่อมกระทบต่อคนไทยเป็นจำนวนหลายสิบล้านคน ความเป็นประชาธิปไตยอย่างหนึ่งคือการเคารพในสิทธิที่อาจถูกกระทบได้จากนโยบายใหม่ๆ ไม่ว่าผลกระทบทางบวกหรือทางลบ

แต่พร้อมกับการถกเถียงทางนโยบายเศรษฐกิจและสังคมนั้น ต้องมีสำนึกอยู่เสมอว่าการเมืองในปัจจุบันยังอยู่ในวงจรอุบาทว์อย่างโงหัวไม่ขึ้นอยู่ หากไม่ถกเถียงในปัญหาการเมืองไปพร้อมกันแล้วจะพบว่าปัญหาการเมืองเหล่านั้นจะย้อนกลับมาเป็นมารผจญจนไม่สามารถดำเนินนโยบายของรัฐบาลได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

การเมืองในความหมายนี้ เราต้องชี้ถึงปัญหาหลายอย่างที่ครอบงำทั้งชาติอยู่ เช่น รัฐธรรมนูญที่ยังคงประกันสิทธิของชนชั้นนำในการแทรกแซงและบ่อนทำลายรัฐบาลของประชาชนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญที่มีเจตนาลดทอนความเข้มแข็งของระบบรัฐสภาด้วยวิธีทำลายวินัยพรรค มีองค์กรอิสระต่างๆ ที่ทำหน้าที่เสมือนพรรคการเมืองที่เลือกฝักฝ่ายและดูจะเป็นเครื่องมือในการทำลายประชาธิปไตยในบ้านเมืองอย่างเป็นระบบ เป็นต้น

ประเด็น การเมืองซึ่งยังมีอีกมากเหล่านี้ คือเครื่องมือที่ อำนาจเก่าเคยใช้ในการทำลายล้างรัฐบาลของประชาชนมาแล้วอย่างได้ผล และแนวโน้มก็ยังจะใช้ต่อไปอีกจนกว่าเขาจะเชื่อว่าประชาชนกลับคืนสู่การถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์

เมื่อบรรยากาศเป็นเช่นนี้ เราจะก้มหน้าก้มตาทำงานบริหารชาติ โดยไม่แก้ปัญหาในระดับความเป็นความตายของเราเสียก่อนได้หรือ?

รัฐบาลใหม่ต้องเงยหน้าอย่างองอาจ ประกาศกับสังคมอย่างมั่นใจเลยว่าจะบริหารเศรษฐกิจกับการเมืองไปพร้อมกัน รวมทั้งงานทางสังคมที่จะไม่แยกส่วนหรือจัดลำดับการทำงานตามใจนายหน้าผู้หากินอยู่กับอำนาจในระบอบเก่า

หลักการที่เห็นพูดๆ กันว่า เศรษฐกิจก่อนการเมืองทีหลังนั้น เป็นความไร้เดียงสาของคนที่นึกว่าเขา ยอมเราแล้วจริง

ถ้าพูดกันให้ถึงแก่นก็ต้องสงเคราะห์ว่าทัศนะอย่างนี้คือความไม่รับผิดชอบทางการเมืองของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากเด็ดขาด

รู้ล่ะว่าอยากเป็นรัฐบาล และอยากแสดงฝีมือเหมือนสมัยไทยรักไทยให้มันกระฉูด ลัทธิดาราในวงการเมืองจะได้หวนกลับมาอีกครั้งเมื่อประชาชนเซ็งแซ่สรรเสริญเหมือนก่อนรัฐประหาร แต่อย่าลืมโดยเด็ดขาดว่าระบอบการเมืองที่แวดล้อมรัฐบาลนี้อยู่มิได้ถูกออกแบบมาเพื่อเรา

อำนาจแท้จริงถูกกำหนดและอำพรางเอาไว้เป็นปุ่มอำนาจของ เขาทั้งสิ้น

ถ้าไม่แก้ปัญหาการเมืองควบคู่ไปด้วยก็เตรียมลี้ภัยกันอีกรอบหนึ่งได้

เพราะของบางอย่างอาจเสื่อมทรุดลงไปบ้าง แต่ยังมีตัวอยู่.

---------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com