ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

กาหลิบชิ้นที่ 100 โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง กาหลิบชิ้นที่ ๑๐๐
โดย กาหลิบ

ร้อยกาหลิบได้อีกร้อยเพราะคอยคิด
เฝ้าร้อยจิตร้อยใจให้ความหวัง
เมื่อเมืองไทยไร้เสียงจากเวียงวัง
ก็ตื่นเถิดจากภวังค์...ประชาชน

เมื่อความเงียบเสียบในหัวใจราษฎร์
แต่ยิงกราดลงจากฟ้าเป็นห่าฝน
เขานั่งมองปวงประชาหมาหรือคน
สั่งขยี้ปี้ป่นอยู่บนเตียง

เลิกโทษเถิดพวกลูกน้องล้วนของเขา
ระบอบใดไม่ใช่เราก็ย่อมเสี่ยง
นั่งสง่าน่ากลัวหรือตัวเอียง
ไม่อาจเลี่ยงถูกครอบระบอบใคร

ตาสว่างแล้วทางจะมีต่อ
ปล่อยพวกกราบร้องขอให้เป็นไพร่
ปล่อยไปเถิดสมานฉันท์กับจัญไร
มาร่วมสร้างรัฐใหม่ด้วยไทยเดิม

ถามเมื่อไหร่จะชนะทั้งระบอบ
ก็กะลาที่เขาครอบอย่าช่วยเสริม
หยอดน้ำตาให้มองเห็นเป็นประเดิม
เอาความจริงต่อเติมให้ตาโต

คนฉลาดแต่ยอมน้อมรับใช้
พอนานไปลุกลามเป็นความโง่
แก่ก็ยังเยาว์วัยเพราะไม่โต
อย่าอวดโอ่เหนือขบวนนำมวลชน

สองสายพันธุ์ผูกเป็นแพแพ้ซ้ำซาก
เดินลำบากพี่น้องจึงหมองหม่น
ใครเลือกตั้งแยกไปดั่งใจดล
ใครถนนปฏิวัติจัดกลุ่มกัน

เลิกรวมกันเสียเถิดจะเกิดผล
ยอมรับเถิดว่าเป็นชนคนละขั้น
วิธีการและเป้าหมายไม่คล้ายกัน
จะทอนบั่นกันไฉนในเส้นทาง

คนเลือกตั้งเขาหวังในระบบ
แผนคือพบสรวงสวรรค์อันสล้าง
ทั้งเกี้ยเซี้ยสมานฉันท์มั่นใจทาง
หวังส้มหล่นให้ระหว่างเส้นทางรอ

นักปฏิวัติไม่ยอมรับในระบบ
มีชีวิตหรือเป็นศพไม่คบต่อ
เพียงได้เป็นรัฐบาลไม่ด้านพอ
ไม่ร้องขอไม่อ้อนวอนไม่อ้อนตีน

แยกเสียเถิดแยกเสียทีดีทุกเมื่อ
อย่าหวังขี่สองเสือเหมือนทรงศีล
แยกเสียตามครรลองดังสองจีน
จงสาวตีนเดินแยกให้แตกตัว

หยุดทีเถิดการรวมเหมือนร่วมเพศ
ต้องขีดเขตครึ่งคลองเป็นสองขั้ว
เตรียมเลือกตั้งระฆังลั่นสั่นระรัว
ใครไม่กลัวเดินไกลอย่าไปฟัง

หากได้เป็นรัฐบาลก็สานต่อ
อย่าถือหลักเพียงพอต้องถึงฝั่ง
เอาอำนาจเป็นสะพานสานพลัง
แต่เป้าหมายคงยังมุ่งเปลี่ยนแปลง

สายเลือกตั้งอย่าทำลายสายปฏิวัติ
อำนาจรัฐยังมิได้อย่าหน่ายแหนง
เป็นรัฐบาลสำราญนักอย่าหนักแรง
ช่วยเสริมสายสีแดงผู้เอาจริง

ร้อยกาหลิบเขียนกลอนใช่สอนสั่ง
แต่ด้วยหวังเล่นรุกทุกสรรพสิ่ง
สานพลังสังคมให้สมจริง
อย่าอยู่นิ่งเป็นรัฐบาลสำราญตน

มวลชนเราเอาจริงอย่าทิ้งขว้าง
อย่าเดี๋ยวจับเดี๋ยววางเดี๋ยวทำหล่น
รักจะเปลี่ยนเมืองไทยต้องใช้คน
รวมทุกดวงใจดลจึงเปลี่ยนแปลง.

---------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

กษัตริย์ชิงออสการ์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง กษัตริย์ชิงออสการ์
โดย กาหลิบ

คนที่ชอบดูหนังทั่วโลกคงจะรู้จักรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า รางวัลออสการ์ เป็นอย่างดี เมื่อวานนี้สถาบันผู้จัดได้ประกาศรายชื่อภาพยนตร์และบุคคลที่ได้เข้ารอบสุดท้ายประจำปีล่าสุดนี้อย่างระทึกใจ ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่อง “The King’s Speech” ซึ่งเป็นผลงานจากอังกฤษ ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งคือ ๑๒ รางวัล และผู้แสดงนำฝ่ายชายคือ โคลิน เฟิร์ธ ก็ได้รับการคาดหมายว่าน่าจะคว้ารางวัลผู้แสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมมาครอง วันประกาศรางวัลคือ ๒๗ กุมภาพันธ์ปีนี้

ใครจะได้หรือไม่ได้อย่างไร เราคงไม่ได้นำมาพูดกันตรงนี้เพราะไม่ใช่เรื่อง แต่สิ่งที่น่าสะดุดใจเป็นที่สุดเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดเรื่องนี้ คือความที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษโดยตรง และเป็นเสี้ยวหนึ่งจากประวัติศาสตร์จริงของ “พระราชบิดา” คือพระเจ้าจอร์ชที่ ๖ ผู้เป็นพระราชบิดาและเป็นกษัตริย์องค์ก่อนสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ ๒ ผู้ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน

เรื่องที่นำมาสร้างมีพื้นฐานจากความจริง และเรื่องที่นำมาเสนอนั้นก็มิใช่เรื่องบวก ถึงจะลงท้ายดีแบบที่เรียกว่า happy ending ก็ตาม

หนังเรื่องนี้เล่าถึงกษัตริย์องค์หนึ่งของอังกฤษ ผู้เกือบจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์และเกือบถูกปลดจากกษัตริย์ เพราะปัญหาความทุพพลภาพทางร่างกายอย่างหนึ่ง นั่นคือเป็นคนพูดติดอ่าง

ผู้กำกับภาพยนตร์คือ ทอม ฮูเปอร์ เล่าเรื่องที่ออกจะประหลาดนี้อย่างน่าทึ่ง เรื่องง่ายๆ แต่ชวนให้เราติดตามได้อย่างระทึกใจ และร่วมลุ้นไปกับ “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” ตลอดเรื่อง เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ใส่เข้ามาอย่างพอเหมาะพอดีจนออกมาเป็นหนังประวัติศาสตร์สถาบันกษัตริย์ที่น่าติดตาม อารมณ์ขันก็ไม่ล้ำเส้น และความนับถือในโบราณราชประเพณีก็ยังดำรงอยู่ท่ามกลางอารมณ์ขันและรอยยิ้มนั้น

รายละเอียดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ขอไม่เล่า แต่แนะนำให้ท่านที่สนใจไปหาชมกันเอาเอง

ดูหนังเรื่อง “The King’s Speech” แล้ว สิ่งที่วิ่งตรงเข้ามาสู่ความรู้สึกนึกคิดคือ ประเทศอารยะที่เขายังคงรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้เป็นศรีแก่บ้านเมืองนั้น เขานำเรื่องของสถาบันนี้มาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ตลอดและอย่างกว้างขวาง

ผลการวิจารณ์ดังกล่าวแทนที่จะเป็นการ “หมิ่น” หรือทำให้เกิด “ระคายเคือง” กลับทำให้คนทั่วไปมองเห็นความงามของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ควรเป็น

นั่นคือเป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

พระเจ้าจอร์ชที่ ๖ เป็นคนธรรมดาที่ต้องทำหน้าที่พระมหากษัตริย์ เมื่อติดอ่าง ก็รู้สึกทุกข์ร้อนและต้องแสวงหาทางที่จะพูดได้อย่างปกติ เพื่อทำหน้าที่พระมหากษัตริย์ เหมือนคนธรรมดาๆ ที่ต้องหาทางดับทุกข์ของตนเองไม่ว่าจะทุกข์เล็กหรือใหญ่

การต่อสู้กับตัวเองด้วยหัวใจที่ถูกสั่งสอนให้อดทนมากเป็นพิเศษ ซึ่งบางคนอาจเรียกให้สวยหรูว่า “ขัตติยะมานะ” ก็เป็นบทเรียนสำหรับคนธรรมดาเดินดินผู้มิใช่เทพ มิใช่พรหม ไม่มีอำนาจจะไปไล่ล่าฆ่าฟันราษฎรที่ไหน

แต่เป็นผู้ใช้ความพยายามอย่างสูงส่ง ให้ได้รับความรักใคร่นับถือ และความยอมรับอย่างแท้จริงจากประชาชนของตนเอง

บทบาทที่แสดงออกต่อสังคมก็เป็นการรักษาไว้ซึ่งครรลองทางวัฒนธรรมและสังคมของชาติโดยเอาตัวเองและครอบครัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนทั้งชาติเขาอยากประพฤติปฏิบัติตาม บทบาทใดๆ ที่คนเขาลงความเห็นทั่วกันว่าชั่วว่าเลวก็อย่าเฉียดกรายเข้าไปใกล้

สิ่งที่ได้เห็นจากภาพยนตร์เรื่อง “The King’s Speech” จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของทุกสังคมที่กำลังดูสถาบันพระมหากษัตริย์ของตนเองอย่างพินิจพิเคราะห์และประเมินค่า ในข้อที่ว่า จะรักษาเอาไว้ให้งามอย่างไรในพุทธศักราชนี้

อย่ามาพูดกันง่ายๆ ว่าของฉันเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่อย่างนั้นจะยื่นหน้าไปรับอินเตอร์เน็ต 3G เทคโนโลยีดิจิตอล และความก้าวหน้าอื่นๆ ของโลกหาพระแสงอันใด

ดูหนังเรื่องนี้แล้วลองคิดใคร่ครวญให้ดีว่า ระหว่างการไล่ฆ่า-จับติดคุก และการเปิดรับความรู้สึกของสังคมอย่างคนใจสูง วิธีใดจะรักษาสถาบันไว้ได้ดีกว่ากัน

แต่ก็อย่างว่า... คนที่ “หลง” ขนาดเห็นว่าราษฎรมีศักดิ์ศรีต่ำกว่าสัตว์เลี้ยงของตน ดูสิบรอบก็คงดักดานเท่าเดิม.

-----------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

ฮุนเซ็นดับไฟ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ฮุนเซ็นดับไฟ
โดย กาหลิบ

อาจมีบางคนในหมู่พวกเราเสื้อแดงยังรู้สึกเจ็บใจว่า เหตุใดศาลกัมพูชาจึงตัดสินใจปล่อยตัวฝ่ายที่ก่อกระแสวุ่นวายระหว่างชาติกลับบ้าน ด้วยการรอลงอาญา ทำไมไม่กักเอาไว้ในคุกเขมรชนิดไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยเล่า

ก็พวกเราทางเมืองไทยยังถูกไล่ฆ่า ถูกไล่จับ และถูกล่ากันไม่เลิก มีโอกาสตาต่อตาฟันต่อฟันให้มันสาแก่ใจ ก็ควรทำมิใช่หรือ?

ใครที่ยังรู้สึกอย่างนี้โปรดสงบใจฟังกันสักนิดเถิด

ก่อนเกิดเรื่องนักโทษไทย ๗ คนนี้นั้น ท่านที่ติดตามข่าวมาตลอดจะรู้ดีว่า มูลเหตุแท้จริงย้อนกลับไปถึงความสงสัยว่ากัมพูชาจะให้ที่พักพิงกับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ลี้ภัยไปจากเมืองไทย วิตกจริตกันถึงขั้นจัดตั้งกลุ่มประชาชนขึ้นมากล่าวหารัฐบาลเลือกตั้งภายใต้นายกรัฐมนตรี คุณสมัคร สุนทรเวช ว่า “ขายชาติ” และกดดันจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องลาออกไป

ความจริงข้อกล่าวหาขายชาตินี่สืบเนื่องมาตั้งแต่เกิดม็อบต่อต้านนโยบายแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโน่นแล้ว เรื่องนี้คือพล็อตเรื่องหลักของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์เขา เขาใช้ลัทธิคลั่งชาติเป็นเครื่องมือในการกอดบัลลังก์แห่งอำนาจมาแต่ไหนแต่ไร

จำได้ไหมว่า คราวที่เขาฆ่าโหดนักศึกษาเมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นั้น เขาก็กล่าวหาก่อนว่าคนเหล่านี้เป็นลูกญวนลูกแกว หรือไม่ก็เป็นชาวต่างชาติที่แฝงตัวเข้ามาก่อความวุ่นวาย แถมยังมีอาวุธคิดโค่นล้มสถาบันหลักๆ ของไทยอีกต่างหาก เขารู้ดีว่าอารมณ์คลั่งชาตินั้น หากกระตุ้นถูกที่ถูกเวลา ก็เปลี่ยนคนดีๆ ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีพฤติกรรมเป็นฆาตกรได้ทุกเมื่อ

เกมคลั่งชาติไทย-ต่อต้านเขมรที่พยายามกระตุ้นกันมาเรื่อยจนถึงกรณี ๗ คนเที่ยวนี้ จึงเป็นคำสั่งลับจากระดับสูงสุดของประเทศไทย ที่เคยตัวเสียแล้วว่าปุ่มรีโมทคอนโทรลปุ่มนี้ กดเมื่อไหร่ก็ได้ผลตามที่ข้าต้องการทุกทีไป เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า คนที่รับคำสั่งยุคนี้มันเป็นคนรุ่นหน่อมแน้ม ทำงานอะไรไม่เป็นไม่ใช่คนอย่าง สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือ คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้มีประสบการณ์ยาวนาน สิ่งที่ทำก็เลยกลายเป็นความขายหน้าและแสดงความเสื่อมทรามของระบอบไทยอย่างฉกรรจ์

ฝ่ายกัมพูชาเขาก็รู้เรื่องนี้ดี รู้ด้วยซ้ำว่า เขาคนนั้นกำลังสั่งให้ “ปั้น” เรื่องความขัดแย้งกับเขมรให้เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา

ต้องการเร้ากระแสคลั่งชาติพอให้เกิดปะทะกันสักเล็กน้อยตามแนวชายแดน เพื่อเอาเป็นข้ออ้างสำหรับการรัฐประหารในเมืองไทย ที่เขาเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาการเมืองของเขาได้

เพราะบัดนี้เขารู้แล้วว่า เขากดเสื้อแดงไม่อยู่ และกระแสแดงตาสว่างก็กำลังแผ่ซ่านไปทั่วขุมขนอย่างน่ากลัวสำหรับระบอบเก่า เป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของเขาเป็นอย่างยิ่ง ความชะแรแก่ชราก็ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของการใช้อำนาจ อะไรที่จำเป็นต้องทำก็ต้องรีบทำเสียในบัดนี้

หากเรื่องคน ๗ คนยังดำเนินต่อไป ฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ไทยเขาก็จะมีวัตถุดิบอันวิเศษในการปั่นกระแสคลั่งชาติ จนอาจเพียงพอต่อการก่อรัฐประหารล้มกระดานประชาธิปไตยและฆ่าหมู่คนเสื้อแดงได้อีกรอบตามราชประสงค์ สังเกตได้ว่าเขากำลังระดมขี้ข้ากลุ่มต่างๆ ออกมาเล่นบทบาทให้สอดรับกันอยู่ในเรื่องนี้

ออกมาสั่งทหาร ทหารก็ออกมาเดินสวนสนามให้ชื่นใจในวันรุ่งขึ้น

พันธมิตรฯ และกลุ่มนายไชยวัฒน์ฯ ก็ออกมาโวยวายเรื่องขายชาติ-คลั่งชาติ แต่คนไหนที่ต่อรองเอาผลประโยชน์มากไป ก็เขกกบาลเข้าสักที อย่างที่เอาตำรวจไปหิ้วตัวนายไชยวัฒน์ฯ ร่องแร่งออกมาจากร้านสุกี้ แต่ในภาพรวมแล้วก็ให้มันทำหน้าที่ต่อไป

เด็กที่เอามาเล่นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ออกโทรทัศน์ชี้แจงเรื่องเขมร ทำทีเหมือนกับว่าสงครามใกล้จะระเบิด

หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมสนธิสัญญาฯ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และอื่นๆ ก็เล่นบทรับส่งกันไปเรื่อย ตามประสาระบบราชการของคนอื่นที่มิใช่ประชาชน
สุดท้าย นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็เลยเป่าพรวดเดียวจนเทียนดับ กระแสคลั่งชาติที่กะจะเอา ๗ คนเป็นเครื่องมือสำคัญก็เลยสะดุดกึกอย่างแรง ทำท่าจะล้มคว่ำหน้ากระแทกพื้น กันแถวทำเนียบรัฐบาล
นี่ล่ะ... เกมการเมืองของคนที่เขาเคยเล่นมาจนชำนาญมือ เขารับลูกเล่นของคนแก่ที่นึกว่าตัวเองเจ๋งที่สุดในโลกได้อย่างสบาย รับมือด้วยหน้ายิ้มๆ และอารมณ์ขันเสียด้วย

คงต้องสรุปในขั้นนี้ว่า ระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยจะเลี้ยวไปทางไหน ฝ่ายประชาธิปไตยเขาก็มีแผนที่ตามไล่ไว้หมด.

------------------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

สื่อตาสว่างชุดใหม่ รวมเล่ม "กาหลิบ"


มาแล้วค่ะ สื่อ “ตาสว่าง” ชุดใหม่ เว็บบล็อกประชาธิปไตย 100% หรือhttp://www.democracy100percent.blogspot.com/ ภูมิใจเสนอ รวมเล่ม “กาหลิบ” บทความการเมืองแนววิชาการ ในยุคประชาธิปไตยภายใต้ระบอบเผด็จการศักดินา-อำมาตยาธิปไตย
เรื่อง “เมืองไทยหรือเมืองใคร?” เล่ม 1 และ เล่ม 2 (1 ชุดมี 2 เล่ม)

วางจำหน่ายที่ห้างบิ๊กซีลาดพร้าว : ร้าน Red Shop ชั้น 5, ร้านกาแฟ ชั้น 5 หน้าลิฟต์ (Red Living Room), ร้านขายของคนเสื้อแดง ชั้น 6 หน้าบันไดเลื่อน หรือส่งตรงถึงบ้านทางไปรษณีย์ โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร สั่งได้ที่ 084-456 6794-5 หรือสั่งทางอีเมลล์ที่ : tpnews2009@gmail.com

ราคาชุดละ 200 บาท (2 เล่ม) ส่งทางไปรษณีย์ขอเพิ่มค่าส่ง (ลงทะเบียน) 50 บาท หรือชุดละ 250 บาท

----------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาภายในเล่ม

เมืองไทยหรือเมืองใคร? เล่ม 1
จำนวน 36 ตอน สะท้อนเหตุการณ์ระหว่าง 9 มิ.ย. – 1 ก.ย. 2553
1. ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์
2. วิญญาณฆาตกร
3. การเมืองเรื่องสัตว์
4. สิ่งที่อภิสิทธิ์ไม่รู้
5. โลกเริ่มเข้าใจ
6. ลง ส.ส.หรือลงนรก?
7. ทูตหรือทาส?
8. คอยแกนนำ
9. งานลับอเมริกัน
10. ความตายของน้ำหวาน
11. เบื้องหลังตำแหน่งประธานสภาสิทธิมนุษยชน
12. ใครกลัวอนุสาวรีย์ปราบกบฏ (บวรเดช)?
13. แผนเสี้ยมเสื้อแดง
14. โรงพยาบาลบ้า
15. สยามเรียลลิตี้
16. ฆาตกรต่อเนื่อง
17. กัมพูชาสากล
18. ยาดี
19. เงื่อนไขแห่งความรุนแรง
20. ส.ส.แพ้ – แนวทางชนะ
21. ปกขาวเปลือยไทย
22. คดีเทพประทาน
23. มือระเบิด
24. เลือกตั้งระวังพลาด
25. วีรกรรมคุก
26. ผู้นำหาย
27. ขุดเรื่องพระวิหาร...สันดานใคร
28. ไล่กษิต
29. สนิมเนื้อใน
30. ฝันเปียก
31. ต้นทุนของขบวนการ
32. เอกสังคมกับหล่มการเมือง
33. เข้าใจเพื่อน
34. ใครคุมคณะสงฆ์?
35. สนามเล็กในระบอบใหญ่
36. ทางรอดวันนี้สีแดง (1)

เมืองไทยหรือเมืองใคร? เล่ม 2
จำนวน 39 ตอน สะท้อนเหตุการณ์ระหว่าง 3 ก.ย. – 4 ธ.ค. 2553
1. อย่าลืมสุรเกียรติ์
2. ทางรอดวันนี้สีแดง (๒)
3. ภาษาซาอุ
4. สมัครภาคสอง
5. สฤษดิ์น้อย-สฤษดิ์ใหญ่...ใครกำกับ?
6. เตรียมเผด็จการ
7. ปรับขบวน
8. นำแกน
9. อำมาตย์ใหญ่ในกะลา
10. นอกกะลา-ตาสว่าง
11. คัดกรอง
12. เผด็จการไม่เงียบ
13. รัฐสามัญชน-ธนบุรี
14. ๖ ตุลากับพฤษภาสองทมิฬ
15. เศรษฐกิจเสื้อแดง
16. บัวจมน้ำ
17. ไข่อะไร
18. ประจานตน
19. คลิปดับเทวดา
20. ร้ายกว่ารัฐประหาร
21. บาทแข็งเพื่อใคร
22. สองแนวรบ
23. น้ำท่วมและนองเลือด
24. ลูกน้องอันตราย
25. อาจารย์สุรชัย
26. รัฐขวาจัด (๑)
27. รัฐขวาจัด (๒-จบ)
28. น้ำท่วมระบอบไทย
29. ความสำคัญของ ๑๐ เมษา
30. ตลกสลับฉาก
31. นายกรัฐมนตรีสมัคร...สู่สุคติ
32. ช่วยแยกหน่อยเถอะ
33. บิดและเบือน
34. ประโยชน์ของประยุทธ์
35. กรรมเก่าของอำมาตย์
36. วันพนันของพันธมิตร
37. ศาลใคร?
38. พรรคของระบอบ
39. คอยธันวา

---------------------------------------------------------------------------------
เคาะระฆังยก 3! “กาหลิบ-จักรภพ” นำทีมปั่นกระแสแดงใต้ดิน (จาก ASTV ผู้จัดการ)

ASTVผู้จัดการ – เสื้อแดงเปิดแนวรบการเมืองระลอกใหม่ ส่ง “กาหลิบ-จักรภพ” เขียนบทความประจำกล่อมประชาชน ทุกจันทร์-พุธ-ศุกร์ ผ่านเว็บบล็อก ระบุ อย่าตั้งเป้าทำสงคราม “ไพร่-อำมาตย์” เพราะศัตรูที่แท้จริงเป็นอีกคำหนึ่งซึ่งใหญ่กว่าอำมาตย์

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมาในเว็บล็อกของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้ชื่อว่า democracy100percent ได้ เริ่มเผยแพร่บทความของ “กาหลิบ” อดีตคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ซึ่งหายสาบสูญไปตั้งแต่ช่วงหลังเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายน 2552 ซึ่งมีแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้หลบหนีไปต่างประเทศ เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน เป็นต้น

สำหรับคอลัมน์ใหม่ของ “กาหลิบ” ซึ่งใช้ชื่อว่า “เมืองไทยหรือเมืองใคร?” มีกำหนดในการเผยแพร่ทุกวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ทางเว็บล็อกดังกล่าว

“Nangfa ขอต้อนรับคอลัมน์ใหม่ใสปิ๊ง “เมืองไทยหรือเมืองใคร?” ของ “กาหลิบ” ที่ท่านกรุณาสละเวลาอันมีค่าเขียนให้เว็บบล็อก “ประชาธิปไตย 100%” หรือ “Democracy 100 percent” เขียนใหม่ๆ สดๆ ไม่ได้ผ่านการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนเลย เหตุคงจะเป็นเพราะว่า “Nangfa” ได้บ่นไปตามไหนต่อไหนบ่อยๆ ขี้บ่นจนไปเข้าหู “กาหลิบ” ว่า ตอนนี้พวกเราชาวเสื้อแดงรู้สึกเคว้งคว้าง ว้าเหว่ ขาดผู้นำ ทำอะไรไม่ถูก จะเพราะอะไรก็คงทราบกันดีด้วยความซาบซึ้งใจอย่างยิ่งแล้ว ผู้นำโดนไล่ล่าจับขังคุก คนที่ยังไม่ถูกจับก็เปิดเผยตัวไม่ได้ เว็บไซด์โดนปิดหมด หนังสือแดงเกือบทุกฉบับโดนสั่งไม่ให้ตีพิมพ์ พวกเราจึงอยากมีใครสักคนหรือจะหลายๆ คนก็ยิ่งดี ที่เรารัก เชื่อมั่น และศรัทธา มาให้ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเป็นอาหารสมอง ทำให้เราฟุ้งซ่านน้อยลงและมีกำลังใจในการรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาของเรา เพราะ “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”...” ผู้ดูแลเว็บล็อกดังกล่าวระบุ

สำหรับข้อเขียนของ “กาหลิบ” ในตอนแรกซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา ใช้ชื่อว่า “ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์” มีเนื้อหาหมิ่นเหม่ โดยมีการกล่าวกระทบชิ่งไปยังบุคคลที่ “กาหลิบ” ระบุว่าอยู่สูงกว่าอำมาตย์ โดยกล่าวยืนยันว่าศัตรูของไพร่ในสงครามประชาชนนั้นไม่ใช่อำมาตย์ แต่เป็นอีกคำหนึ่งซึ่งใหญ่กว่าอำมาตย์

“แกนนำในขณะนั้นยกไพร่ขึ้นคู่กับคำว่า “อำมาตย์” จนคนส่วนหนึ่งพลอยเข้าใจว่าสงครามประชาชนของคนชาติไพร่ที่เราต่างเข้าร่วม กันในขณะนี้ เป็นการต่อสู้กับขุนนางระดับต่างๆ เท่านั้น ยังจำได้ว่าแกนนำบางคนถึงกับพร่ำพูดอยู่เสมอ “เราจะต่อสู้เฉพาะพลเอกเปรมลงมาเท่านั้น” … แท้ที่จริงแล้วคำว่าไพร่ไม่ได้ เข้าคู่กับอำมาตย์หรือขุนนาง มันคู่กับอีกคำหนึ่งที่แสดงความใหญ่ขึ้นไปอีก”

ทั้งนี้ “กาหลิบ” พยายามกล่าวโน้มน้าวคนเสื้อแดง โดยระบุว่า อย่าติดอยู่ภายใต้กับดักของคำว่า “ไพร่-อำมาตย์” เพราะมิเช่นนั้นจะไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย โดยเขาระบุว่า ถ้าคนเสื้อแดงจะไปเชียงใหม่ ก็จงอย่าหยุดไว้เพียงแค่อยุธยา และคนเสื้อแดงที่ตาสว่างทุกคนต้องนำธงมาปักจนเป็นเรือธง เพื่อเดินไปสู่จุดหมาย

************************************************************************

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์
โดย กาหลิบ

ผมกาหลิบ...ผู้เคยโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษของ “โลกวันนี้รายวัน” และจู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้ขอหวนกลับมาคารวะท่านผู้อ่านที่รักและเคารพทุกๆ ท่านด้วยจิตใจดวงเดิมจริงแท้ไม่แปรผัน

ในห้วงเวลาที่แล้วมา กาหลิบเริ่มชี้ถึงรอยปริร้าวของสังคมไทยที่กำลังถ่างกว้างขึ้นทุกวัน เพราะการกระทำของคนบางคนที่ถืออำนาจรัฐไทยไว้ในมือ เหมือนของเล่น หรือรีโมทคอนโทรล และสำแดงฤทธิ์เดชของตัวเองผ่านเครือข่ายอำนาจในสังคมไทยที่จัดตั้งมานานหลาย สิบปีจนอยู่มือ

มาห้วงเวลานี้ รอยปริร้าวได้กลายเป็นรอยแยกอันยิ่งใหญ่ในสังคมไทย แตกและแยกอย่างไม่มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ใดๆ จะเทียบเคียงได้ สังคมอุปถัมภ์ของไทย ภายใต้มูลนาย ไพร่ และทาสที่เคยเกิดภาพลวงตาว่าอยู่กันได้อย่าง “โนพร็อบเบล้ม” บัดนี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาดในทางใจ ส่วนจะแยกกันทางกายต่อไปอย่างไรยังไม่รู้ได้

รู้แต่ว่าสถานการณ์จะ เลวร้ายลงเรื่อยๆ

เพื่อนฝูงถามกาหลิบมาตลอดว่า ทำไมเมืองไทยเป็นถึงขนาดนี้ได้ และจะมีทางออกอย่างไรหรือไม่

กาหลิบ ก็ได้แต่เอาผลที่ตัวเองสังเกตในห้วงเวลาที่ผ่านมานี้มาเป็นคำตอบขั้นต้น และบอกให้สหายทั้งหลายเอาสิ่งเหล่านี้ผสมกันอย่างที่เขาชอบเรียกกันว่า วิเคราะห์

อย่างแรกคือความโหดเหี้ยมเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจสูงสุด

อย่างที่สองคือการแก่งแย่งแข่งขันในระบอบขุนนางไทย

อย่างที่สามคือพรรคการเมืองสันดานโจรที่ทำตัวเป็นขี้ข้าสวามิภักดิ์

อย่างที่สี่คือสื่อมวลชน นักวิชาการ ข้าราชการ ที่เรียกรวมๆ ว่าประชาสังคม เอาเข้าจริงทำตัวเป็น “ข้าสังคม”

และอย่างที่ห้าคือประชาชนผู้หูตาสว่าง และสำนึกได้ในบัดดลว่าข้าถูกเอาเปรียบมาตลอดชีวิตของข้าและโคตรตระกูล จนตัดสินใจลุกขึ้นสู้กับเครือข่ายปิศาจฆาตกร

กาหลิบได้แต่บอกแก่ท่าน ผู้เจริญทั้งหลายว่า จงเอาองค์ประกอบทั้งห้านี้มาบวกกันเถิด แล้วจะสงเคราะห์ได้เองว่าความวุ่นวายจลาจลเมืองไทยในขณะนี้ มันควรจะเกิดมาเสียนานแล้ว อย่างที่ฝรั่งมังค่าเขาเรียกว่า long overdue

มาเกิดเดี๋ยวนี้ออกจะช้าไปหน่อยด้วยซ้ำ

ถามว่าศาสนาพุทธซึ่งเป็นกระแส หลักทางสังคมและวัฒนธรรมเล่า ช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ ก็ต้องตอบว่าใครที่มีจริตพุทธและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น เขาก็รอดอยู่แล้ว แต่มวลชนส่วนมากที่ยังห่างไกล เขาไม่ได้ประโยชน์โภชย์ผลเต็มที่เพราะพุทธศาสนจักรในเมืองไทยเองก็ถูกครอบงำ ด้วยเครือข่ายปิศาจเหมือนกัน

ครับ ที่เขาเรียกว่าการปกครองคณะสงฆ์นั่นไง ไล่ขึ้นไปจะพบว่าอำนาจล้นพ้นที่สร้างพระก็ได้ สึกพระก็ได้ ทำพระชาวบ้านให้เป็นพระขุนนางแบบยศช้างขุนนางพระ (จนเสียพระ) ก็ได้ หรือคอยทำลายพระดีๆ ที่คอยให้สติผู้คนด้วยธรรมะจนได้รับความนิยมยกย่องและกลายเป็นภัยคุกคามต่อ ตัวเขาก็ได้ มันสถิตอยู่ในไม่กี่ที่หรอกครับ เผลอๆ จะมีแค่หลักเดียวเสียด้วยซ้ำ

แถมยังเป็นหลักเสื่อมเสียอีก

เวทีเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์นั้นทำความดีต่อขบวนประชาธิปไตยไว้ หลายอย่าง แต่โดดเด่นที่สุดในความคิดของกาหลิบคือการชูเรื่องไพร่ขึ้นมา จนมวลชนต่างคุ้นเคยกับคำว่าไพร่ และเข้าใจทันทีว่าชะตากรรมของไพร่มันก็อย่างที่เห็นอยู่นี้

จะกล่าวหาว่าร้ายอย่างไรก็ได้

เอาตัวไปโยนใส่คุกก็ได้

ลากเอาอาวุธ สงครามมายิงหัวเราเหมือนชีวิตไม่มีราคาค่างวดก็ได้

เสียอยู่นิดเดียว ที่แกนนำในขณะนั้นยกไพร่ขึ้นคู่กับคำว่า “อำมาตย์” จนคนส่วนหนึ่งพลอยเข้าใจว่าสงครามประชาชนของคนชาติไพร่ที่เราต่างเข้าร่วม กันในขณะนี้ เป็นการต่อสู้กับขุนนางระดับต่างๆ เท่านั้น ยังจำได้ว่าแกนนำบางคนถึงกับพร่ำพูดอยู่เสมอ “เราจะต่อสู้เฉพาะพลเอกเปรมลงมาเท่านั้น”

แท้ที่จริงแล้วคำว่าไพร่ไม่ได้ เข้าคู่กับอำมาตย์หรือขุนนาง มันคู่กับอีกคำหนึ่งที่แสดงความใหญ่ขึ้นไปอีก

ถ้าไม่จับคู่ให้ถูกต้อง สงครามครั้งนี้จะผิดทางตั้งแต่ต้น

ไม่ต้องพูด ถึงโอกาสแห่งชัยชนะเลยด้วยซ้ำ

กะจะไปถึงเชียงใหม่ อย่าพูดว่าเอาแค่อยุธยาสิครับ

กาหลิบจึงขอปักธงไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า ศัตรูของไพร่ไม่ใช่อำมาตย์

มวลชนผู้ตาสว่างทุกๆ ท่านครับ โปรดนำธงของท่านมาปักร่วมกันจนเกิดเป็นเรือธงขึ้นเถิด.

********************************************************* **************
อนึ่ง เมื่อปี 2551 “กาหลิบ” ผู้เขียนคอลัมน์เลือกคบไม่เลือกข้างในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ได้เคยสร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อเขียนถึงการตัดสินใจหนีคดีอาญา และคอร์รัปชันของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษโดยยุยงให้มีการสร้างความรุนแรงด้วยการก่อ “สงครามประชาชน”

ขณะที่ในเว็บบล็อกของกลุ่มคนเสื้อแดงดังกล่าว นอกจากจะดำเนินการเผยแพร่บทความที่สนับสนุนการล้มระบอบการปกครองแล้ว ยังมีการเผยแพร่บทความของนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำคนเสื้อแดงที่หลบหนีหมายจับอยู่ในต่างประเทศ รวมถึงคลิปวิดีโอต่างๆ อีกด้วย

************************************************************************

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

เสพติด โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เสพติด

โดย กาหลิบ


ข่าวที่ศาลไม่ยอมตามความต้องการของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ในการถอนประกัน คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตัวคุณจตุพรฯ ที่รอดคุกไปได้อีกมื้อหนึ่ง แต่อารมณ์เดียวกันนี้เอง ได้แสดงความจริงอย่างหนึ่งว่า มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังผูกติดอยู่กับอะไรบางอย่างในระบอบไทยเดิม หรือระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตย อยู่เป็นอันมาก จนอาจขัดขวางเป้าหมายใหญ่ของขบวนเราได้ 

สิ่งที่ผูกติดอย่างไม่ยอมปล่อยนั้นคือ ความเชื่อลึกๆ ว่า ศาลยังคงเป็นศาล ผู้พิพากษายังคงเป็นผู้พิพากษา กฎหมายทุกระดับยังคงเป็นกฎหมาย ทั้งที่ฝ่ายประชาธิปไตยถูกโค่นอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในช่วงปีหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็ด้วยอำนาจศาล หรือที่เรียกกันเองว่าตุลาการวิบัตินี่เอง 

ไม่เฉพาะสัญลักษณ์ใหญ่อย่างคุณทักษิณฯ และครอบครัวเท่านั้นที่ถูก “ฆ่า” ด้วยกระบวนการทางกฎหมายของศาลไทย ยังมีพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน นายกรัฐมนตรีผู้ชอบธรรมอย่างคุณสมัคร สุนทรเวช และคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปจนถึงมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยนับไม่ถ้วนที่กำลังถูกล่า ถูกจับ และถูกละเมิดสิทธิของความเป็นคนด้วยวิธีการต่างๆ จนท้ายที่สุด ก็กลายเป็นข้อสรุปไปแล้วทั่วโลกว่าในเมืองไทยทุกวันนี้หามีกฎหมายและความเป็นธรรมทางสังคมไม่ 

ใครที่คอยลุ้นอยู่ตลอดว่าคดีนั้นคดีนี้ออกหัวออกก้อยอย่างไร จนถึงลุ้นว่าคุณจตุพรฯ จะสูญเสียอิสรภาพไปอีกคนหนึ่งในคราวที่ผ่านมานี้หรือไม่ ลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้วหรือ?

หากจำได้ ก็ไม่น่าจะเสียเวลาในชีวิตเพื่อลุ้นระทึกในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะการรอดคุกหรือคดีที่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็ตามนั้น ย่อมมีเหตุผลการเมืองอยู่เบื้องหลัง ใครจะไปรู้ว่าเขา “ปล่อย” คุณจตุพรฯ ในคราวนี้เพราะเหตุใด อาจเป็นเพราะกลัวคนเสื้อแดงที่รักคุณจตุพรฯ จะลุกฮือ อาจเป็นเพราะไม่อยากเปิดประเด็นใหม่ในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะเชื่อว่าคุณจตุพรฯ ไม่ได้คิดล้มเจ้าแต่จะล้มนายอภิสิทธิ์ฯ กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์สองคนเท่านั้่น หรืออาจจะเป็นเหตุผลกลใดที่เราหยั่งไม่ถึงอีกมาก

สิ่งเดียวเท่านั้นที่อ้างไม่ได้คือการตัดสินใจคดีคุณจตุพรฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีความมากมายในระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องของกฎหมายแท้ๆ 

ใครอ้างอย่างนี้ได้อย่างหน้าชื่น ก็เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งและผสมพันธุ์รัฐบาลกับใครก็ได้ รวมทั้งกับประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณไม่มีทัศนะเรื่องระบอบและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหญ่ในหัวคิด อย่าไปดัดจริตต่อสู้กับรัฐบาลนี้เลย

หากยอมรับระบอบใหญ่ว่ายังศักดิ์สิทธิ์ น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ ก็เท่ากับยอมรับเจ้าของระบอบนี้เป็นนายใหญ่ของชีวิตต่อไป เมื่อยอมรับนายของเขาแล้ว จะไปทะเลาะเบาะแว้งกับสุนัขในสังกัดอย่างนายอภิสิทธิ์ฯ หรือนายธาริตฯ ทำไมให้อายหมา?

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า เมื่อพวกเราอย่างคุณจตุพรฯ กำลังอยู่บนเส้นด้าย จะเข้าคุกหรือไม่ก็ยังไม่รู้นั้น เราจะห่วงกังวลและพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยคุณจตุพรฯ ไม่ได้ คนที่รักกันและต่อสู้ร่วมกันมาเนิ่นนานเช่นนี้ จิตใจก็ต้องผูกพันกันและห่วงหาอาทรกันเป็นธรรมดา 

แต่ความดีงามในหัวใจ จะต้องไม่ปล่อยไปไกลจนลืมภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าการเข้าคุกหรือไม่เข้า หากเอางานในภายภาคหน้าเป็นหลัก เราอาจจะต้องเดินหลังตรงเข้าคุกกันอีกมากด้วยซ้ำ เพื่อผลักดันให้สิ่งที่เราเชื่อมั่นและต่อสู้คือประชาธิปไตยที่แท้ ให้เกิดขึ้นในสังคมพิกลพิการอย่างเมืองไทยได้ 

บางทีการทอดตัวรับอาญาจากรัฐ ก็เป็นวิธีการต่อสู้อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้ที่หลบหนีไปตั้งฐานต่อสู้ที่อื่นเพื่อจะได้มีอิสรภาพเอามาทำงานการเมืองได้ ขบวนประชาธิปไตยต้องอาศัยหลายวิธีในการต่อสู้กับศัตรูตัวใหญ่ที่มีวิชามารและเล่ห์กระเท่มากมายสุดจะพรรณนา เราจึงจะคาดหวังชัยชนะได้บ้าง

การต่อสู้จากนี้ไป ต้องไม่ลืมว่าเรากำลังต่อสู้ในเชิงระบอบ ไม่น้อยไปกว่านั้นและไม่ต่อรองราคาชีวิตของมวลชนทั้งที่เสียไปแล้วและยังอยู่ให้มันน้อยไปกว่านั้น 

อย่าไปหวังความเป็นธรรม ความชอบธรรม และความเมตตาใดๆ จากระบอบที่ประกอบขึ้นด้วยการฆาตกรรม การทำลายล้าง และการสูบเลือดสังคมไทยในทุกมิติ แม้แต่ในระบบความคิดความเชื่อเป็นอันขาด

ศาลเศิลอะไรมันก็ของเขาทั้งนั้น

โปรดระลึกไว้ว่า ถ้ายังเสพติดเขาอยู่ ก็เท่ากับว่าเรายังไม่ได้นับหนึ่งในการต่อสู้กับเขาเลย.

----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

สินค้าปลอม (ตอนที่ ๓-จบ)


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สินค้าปลอม (ตอนที่ ๓-จบ)
โดย กาหลิบ

อีกสี่มาตรการของโครงการประชาวิวัฒน์ ที่ช่วยเร่งให้ “ประชาวิบัติ” กันทั้งชาติบ้านเมือง เหลือไว้แต่คนข้างบนและขี้ข้าสอพลอไม่กี่ตน ที่หวังจะร่ำรวยกันเฉพาะชนชั้นและกลุ่มพวกของตนเพียงถ่ายเดียว มีดังนี้:

“๖. ลดการจัดเก็บค่าไฟกับผู้ใช้ต่ำกว่า ๙๐ หน่วยแบบถาวร ไม่ใช้เงินภาษี แต่จะปรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ใครใช้ไฟฟ้ามากก็จ่ายมาก”

เรื่องนี้ต้องพูดตรง จะกระเทือนซางใครบ้างก็ต้องทนเอาเอง จำได้ไหมว่ามรสุมการเมืองลูกแรกที่โถมเข้าใส่รัฐบาลทักษิณจนขยายกลายเป็นเครือข่ายกาลีเมืองที่มีชื่อว่าพันธมิตรฯ นั้นคืออะไร?

ก็กรณีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีชื่อว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือ กฟผ. นั่นไง

คำว่า ขายชาติ ที่เอามาป้ายตัวนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งและรัฐบาลของประชาชน ก็เริ่มต้นตั้งแต่คราวนั้นมาจนถึงสมัยหลังๆ และการรัฐประหาร

กฟผ. แปรรูปไม่ได้เพราะเป็นที่ทำการของเหลือบประเทศที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง พูดเช่นนี้ก็มิได้หมายว่าเจ้าหน้าที่และพนักงานทุกคนของ กฟผ. เลวหมดหรือเป็นส่วนหนึ่งของการฉ้อโกงเชิงนโยบายภายใต้หน่วยงานนี้ทั้งหมด แต่คนข้างบนของเมืองไทย และคนระดับบนของ กฟผ. เขาร่วมมือร่วมเท้ากันมาตั้งแต่เป็นการไฟฟ้ายันฮีในยุค นายเกษม จาติกวณิช ที่จะผูกขาดการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ใช้ปูนซีเมนต์มากและต้องการควบคุมกิจการไฟฟ้าของชาติให้อยู่ในมือตัวเองอย่างสมบูรณ์ เพราะเขารู้ดีว่าอำนาจควบคุมนี้จะทำให้ทุกคนในประเทศต้องเป็นข้าทาสบริวารในยุคใหม่ของเขา ใครบ้างที่อยู่ได้โดยไม่ใช่ไฟฟ้าเลยในยุคสมัยนี้?

รัฐบาลทักษิณจึงมุ่งแก้ไขที่ต้นตอของปัญหาไฟฟ้า คือตัว กฟผ. แต่ถูกทำลายอย่างเลือดเย็นและเป็นระบบจนแทบจะหมดสิ้นไป แต่มาถึงรัฐบาลขี้ข้าศักดินา-อำมาตย์ในยุคนี้ กลับเอาสินบนเล็กๆ น้อยๆ มาจูงใจลูกค้าไฟฟ้าให้รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองจะดีขึ้นทั้งๆ ที่แอบไปขึ้นราคาเอาทางค่า FT ในขณะที่มุ่งรักษาความร่ำรวยมหาศาลและสวัสดิการแบบอภิสิทธิ์ชนของคนใน กฟผ. เอาไว้อย่างไม่ปล่อยมือ

แล้วผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็ก และกลางเล่า? รัฐบาลที่คุยโม้ว่าจะส่งเสริมให้เขาสร้างธุรกิจใหม่เพื่อชาติ เหตุใดจึงมาเพิ่มต้นทุนค่าไฟของเขาเอาดื้อๆ ในช่วงใกล้เลือกตั้ง?

รวมความแล้วนโยบายนี้เป็นยุทธวิธีการเลี่ยงประเด็นที่สำคัญโดยวิธีติดสินบนมวลชน

“๗. หาทางลดต้นทุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ปรับรูปแบบไข่ไก่ขายโดยการชั่งกิโล” และ

“๘. กรณีราคาไข่ไก่ จะนำร่องซื้อขายเป็นกิโลกรัมเพื่อประหยัดค่าคัดแยกได้ถึง ๕๐ ส.ต. โดยเริ่มทดลองในเขตมีนบุรี”

นโยบายนี้จะทำเอาใจเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี ที่มีข่าวลอยลมมาว่าเป็นผู้อุดหนุนรายใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยในช่วงที่ “ไถนา” ก่อนการเลือกตั้ง ก็น่าจะบอกกันตรงๆ ได้ เห็นว่าเป็นนักเลงกันนักมิใช่หรือ?

ทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับไก่และไข่ไทยทุกวันนี้ เด็กอมมือก็รู้ดีว่าอยู่ในมือและเท้าของซีพีอย่างครบวงจรแล้ว ตั้งแต่พันธุ์ไก่ ยาไก่ อาหารไก่ เล้าไก่ เทคโนโลยีเลี้ยงไก่ เชือดไก่ จนถึงการขายไก่ในตลาดประเภทต่างๆ ตั้งแต่ขายส่งขายปลีกในตลาดสด ถึงเซเว่นอิเลเว่น และส่งออกไก่ไปต่างประเทศ ไม่มีทางใดที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายทำนองแล้ว ซีพีจะเสียประโยชน์ แถมงานนี้ยังเห็นได้ชัดว่า ได้รับประโยชน์มหาศาลในการทำลายผู้ค้ารายย่อยที่เป็นก้างขวางคอในนโยบายผูกขาดของซีพีอีกต่างหาก

ค่าคัดแยกนั้นเป็นต้นทุนก็จริง แต่เป็นวิธีกระจายรายได้อย่างหนึ่งของประชาชนที่ยากจน และเป็นรายได้ส่วนที่ซีพีเอื้อมเข้ามาไม่ถึง รัฐบาลชุดนี้จึงช่วยกระทืบประชาชนเพื่อช่วยพ่อค้าที่ร่ำรวยจนชาติหน้าและชาติไหนก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว

“๙. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตั้งเป้าลดคดีให้ได้ ๒๐% ใน ๖ เดือน เพิ่มกล้องวงจรปิด-บุคลากร บูรณาการทำงาน”

นโยบายสุดท้ายนี่แทบไม่ต้องพูดถึง เหมือนลอกเอามาจากนโยบายที่ทุกรัฐบาลพูดต่อๆ กันมาอย่างนกแก้วนกขุนทอง โดยประชาชนรู้สึกเอือมระอาและนึกขำอยู่ในใจ

ใครเตรียมจะวิ่งเต้นขายกล้องและระบบวงจรปิดกับนักการเมืองและส่วนราชการนั้นก็ช่างเถิด ยังถือเป็นส่วนน้อย แต่การประกาศนโยบายโดยไม่วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาทางสังคมและคนในระดับรากหญ้าของประเทศอย่างแท้จริง คือการอำพรางที่เลวร้ายยิ่งกว่า ว่า ไม่ได้มีความจริงใจต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเลย นโยบายของรัฐบาลเลือกตั้งที่ชนะมาจริงๆ มิใช่แอบตีท้ายครัวประชาชนเหมือนการผสมรัฐบาลชุดนี้ เขาพูดเจาะจงลงไปเลยทีเดียวว่า จะแก้ไขปัญหาไหน และด้วยวิธีการใด เช่น การทำสงครามกับยาเสพติด เป็นต้น ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนยังจำติดตาและติดใจมาจนถึงทุกวันนี้
รวมความแล้ว “ประชาวิวัฒน์” ของรัฐบาลชุดนี้ ก็คือภาพสะท้อนของระบอบที่เขาดำรงอยู่ เท่านั้นเอง นั่นคือ

๑. สร้างภาพด้วยกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อ

๒. นโยบายที่ทำแล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรให้กระเทือนผลประโยชน์ศักดินา-อำมาตย์

๓. ป้อนยาระงับประสาทให้ประชาชนกินเป็นคราวๆ ไปโดยหวังผลในการควบคุมมวลชนทางการเมือง.

------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

สินค้าปลอม (ตอนที่ ๒) โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?


เรื่อง สินค้าปลอม (ตอนที่ ๒)


โดย กาหลิบ


ยิ่งมองลึกลงไป จะยิ่งพบว่านโยบายที่เรียกเสียเพราะว่าประชาวิวัฒน์นั้น เอาเข้าจริงก็เป็นของเลียนแบบนโยบายประชานิยมของรัฐบาลเลือกตั้ง แต่เป็นการเลียนแบบอันเลวร้ายเพราะไม่เคยคิดที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางบวกอย่างแท้จริง ผลประโยชน์ที่หวังจากนโยบายทั้ง ๙ นี้ก็คือคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดขึ้นเท่านั้นเอง


มาลองดูกันต่อไป


“๒. การเข้าถึงสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษให้กับแท็กซี่และหาบเร่แผงลอย เชื่อจะเป็นลูกค้าดีของสถาบันการเงิน เพราะมีรายได้ชัดเจน” 


ฟังดูดีและน่าจะทำให้มวลชนกลุ่มที่รักเสื้อแดงและได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลเลือกตั้งยุคก่อนรัฐประหาร ได้หันกลับมาสวมกอดรัฐบาลชุดนี้บ้าง


แต่ก็ไม่


คำว่า “การเข้าถึงสินเชื่อฯ” แทนที่จะใช้คำว่า การตั้งกองทุน หรือ การผลักเงินลงสู่มือของผู้ที่มีความจำเป็น หรืออะไรทำนองนี้นั้น หมายความว่า กว่าจะได้เงินจากรัฐบาลชุดนี้ ผู้กู้จะต้องกระทำผ่านสถาบันการเงินหรือหน่วยงานของรัฐในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะพบขั้นตอนและความฉ้อฉลมากมาย เรียกร้องให้สอพลอวิ่งเต้น เงินก็จะไปสู่มือของคนมีเส้น และไม่ถึงคนจนที่จำเป็นจริง ต่างจากนโยบายธนาคารคนจน แปลงสินทรัพย์เป็นทุน และอื่นๆ ของรัฐบาลทักษิณ


แท็กซี่มากมายที่รักเสื้อแดงและชิงชังฝ่ายตรงข้าม เกิดขึ้นจากการสัมผัสได้ว่ารัฐบาลของคุณทักษิณฯ มีความจริงใจ และ “ให้” คนจนอย่างแท้จริง โดยมุ่งขจัดคนกลางที่เป็นเหลือบทางธุรกิจออกไปจนเกือบหมดสิ้น จนสามารถแปลงสภาพจากผู้เช่าไร้อนาคตมาเป็นผู้ประกอบการย่อยโดยมีรถยนต์นั้นเองเป็นเครื่องมือ 


หาบเร่แผงลอยนั้นก็เอ่ยให้ชัดเจนเพื่อผลในการหาเสียงเท่านั้น รัฐบาลที่เขาจะทำให้เกิดผลจริงเขาตั้งกองทุนเพื่อคนจนทั้งมวลเลยทีเดียว จะหาบเร่แผงลอยหรืออื่นใดก็เปิดโอกาสให้ทั้งนั้น การผลักให้พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยไปเป็น “ลูกค้า (ชั้น) ดีของสถาบันการเงิน” ย่อมไม่ต่างอะไรจากผลักเข้าสู่ความเป็นทาสทางการเงินชนิดโงหัวไม่ขึ้น แทนที่จะช่วยให้พ้นจากดงหมาป่าหรือนายทุนกระหายเลือดทั้งหลายซึ่งสนับสนุนทุกสีที่ไม่ใช่สีแดง เหมือนพี่น้องแท็กซี่ที่เขาต้องการอิสระเสรียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่รัฐบาลชุดนี้กลับจะยัดเยียดความเป็นทาสให้เขา


รัฐบาลที่ชวนประชาชนไปอยู่ใต้ตีนนายทุน ย่อมชี้ว่ารัฐบาลก็คงมีสันดานเช่นนั้น


“๓. ขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จัดทำบัตร ให้เบอร์เสื้อวิน แจกหมวกนิรภัย ปรับปรุงวิน การทำบัตรจะนำไปสู่การพัฒนาสวัสดิการ”


เริ่มต้นก็ต่างกันลิบลับแล้ว รัฐบาลเลือกตั้งของคุณทักษิณเริ่มช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยอย่างมวลชนวิน ไม่ใช่ด้วยการขึ้นทะเบียนกันเหมือนวัวเหมือนควาย แต่ขจัดอิทธิพลมืดให้กับพี่น้องประชาชนเหล่านี้ทั้งระบบ เมื่ออิทธิพลมืด ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือ “ขาใหญ่” ทั้งหลายลดลงบ้าง (ถึงไม่หมดทีเดียว) ชีวิตของมวลชนเหล่านี้ก็ดีขึ้น หายใจคล่องขึ้น หลังจากนั้นจึงพูดกันเรื่องการพัฒนาวิชาชีพครบทั้งระบบ เพื่อให้อยู่ได้และอยู่ดี ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายการสัญจรที่มีประสิทธิภาพของผู้คนทั้งหลายด้วย 


“๔. เพิ่มจุดผ่อนปรนให้หาบเร่แผงลอย หวังลดรายจ่ายนอกระบบและจะจัดโซนการค้าให้เป็นระบบระเบียบ แต่จะไม่กระทบผู้ใช้ทางเท้า”


เอาอีกแล้ว วิธีการ “พัฒนา” ด้วยการลากประชาชนไปอยู่ใต้ระบบราชการและเจ้าหน้าที่ขี้ฉ้อของรัฐ คือความถนัดของรัฐบาลเสมียนราชการเยี่ยงนี้ 


การจัดโซนการค้านั้นไม่ต้องเอารัฐบาลลงมาทำหรอก ผู้ว่าราชการจังหวัดเขาก็จัดได้ การขึ้นทะเบียนผู้ค้าสุดท้ายจะกลายเป็นการสร้างระบบควบคุมอันสมบูรณ์ โดยให้คนของรัฐเข้ามาเรียกร้องผลประโยชน์ใต้ดินและกลั่นแกล้งประชาชนที่ไร้เส่้นสายมากกว่าเดิม 


ข้อนี้ไม่ใช่นโยบายด้วยซ้ำ เป็นเพียงการคิดแคบๆ ตื้นๆ เพื่อหวังผลเลือกตั้งเท่านั้นเอง


“๕. นำเงินกองทุนน้ำมันมาตรึงราคาก๊าซ (แอลพีจี) ในภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง แต่จะเลิกอุดหนุนภาคอุตสาหกรรม”


ดีไหมรัฐบาลชุดนี้ เอาเงินจากกองทุนที่ควรจะยกเลิกไปแล้วมาอุดหนุนค่าการตลาดให้กับผู้ค้าขายในวงการก๊าซหุงต้ม ซึ่งเป็นผลประโยชน์มหาศาลให้กับผู้ออกนโยบาย แถมยังเอื้อภาคขนส่ง เอาเงินที่ควรเป็นของชาติไปให้เขา เอาผลมาอ้างกับประชาชนว่าราคาจะได้คงเดิม 


รัฐบาลเลือกตั้งในยุคคุณทักษิณฯ พูดถูกแล้ว เมื่อสร้างนโยบายขึ้นบนสามขาคือ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส ทุกนโยบายต้องอยู่ในกรอบทั้งสามนี้ แต่นโยบายอย่างนี้เพียงทำให้ประชาชนดูเหมือนจะจ่ายเท่าเดิม แต่เตะเงินของชาติไปให้พรรคพวกอย่างสง่าผ่าเผยและมากมหาศาล สุดท้ายรายจ่ายของประชาชนก็ไม่ลดจริง อย่างเก่งก็คงเดิมเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่ประเทศชาติผู้จ่ายจริง จะเกิดความเสียหายอย่างประมาณมิได้


(ยังมีต่อ) 


-----------------------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

สินค้าปลอม โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สินค้าปลอม (ตอนที่ ๑)
โดย กาหลิบ

ในสมัยก่อน ผู้บริโภคที่พบสินค้าปลอมแปลงอาจจะโยนของชิ้นนั้นทิ้งไปโดยไม่คิดอะไรมากและไม่คิดจะดำเนินการอะไรต่อ หน้าที่ในการแจ้งความดำเนินคดีเป็นของฝ่ายรัฐและผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่บัดนี้ผู้บริโภคตระหนักในสิทธิของตนและอันตรายในการสินค้าหลอกลวงเช่นนี้มากขึ้น การประท้วงทวงสิทธิจึงเริ่มจะรุนแรงขึ้นและได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นที่ลากคนที่เกี่ยวข้องมากระทืบเสียแทบเป็นภัสม์ธุลี

สินค้าปลอมแปลงล่าสุดที่ถูกส่งสู่ตลาดใหญ่ที่มีผู้บริโภคถึง ๖๕ ล้านคน และกำลังจะถูกประจาน ประณาม และชี้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง ก็คือนโยบายล่าสุดของรัฐบาลไทยปัจจุบัน ซึ่งเป็นกรรมต่อเนื่องของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตย ที่เรียกอย่างหรูว่าโครงการประชาวิวัฒน์และในชื่อจริงว่าโครงการเร่งรัดปฏิบัติการด่วนเพื่อคนไทยจำนวน ๙ ข้อ

๙ ข้อนี่แหละที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลของเขาสู่ประชาชนผู้เสียภาษีอากร

ลองมาวิสัชนากันหน่อยปะไร แล้วจะรู้ว่าหาก ๙ ข้อนี่เป็นของขวัญ ก็ไม่ต่างอะไรจากซื้อเหล้าเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ ซึ่งอาจจะลงท้ายด้วยอุบัติเหตุจราจรหรือเกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้รับขึ้นมาเฉยๆ

๑. “ให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมได้รับสิทธิประโยชน์เจ็บป่วยเสียชีวิต รวมถึงเบี้ยชราภาพ หรือประชาชนจ่ายเงิน ๑๐๐/๑๕๐ บาทต่อเดือน จ่าย ๗๐ บาทรัฐสมทบ ๓๐ บาท หรือ จ่าย ๑๐๐ บาทรัฐสมทบ ๕๐ บาท กรณีหลังจะประกันกรณีชราภาพด้วย”

นายอภิสิทธิ์ฯ รู้หรือไม่ว่า โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลที่นำโดย ดร.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งเขาพยายามเลียนแบบเพื่อเอาคะแนนนิยมสู่พรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นโครงการที่มิได้แอบอิงทุนสะสมของกองทุนประกันสังคมเอาเลย ผู้ใดที่เอะอะก็คว้าเอาเงินในกองทุนประกันสังคมมาใช้ ผู้นั้นก็คือมนุษย์ลวงโลกที่สะสมปัญหาไว้ให้ลูกหลานเหลนโหลนไปแก้ไขในวันข้างหน้า

กองทุนประกันสังคมถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ๓ ฝ่ายคือระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล เป็นเรื่องของความเป็นธรรมในหมู่ผู้สร้างงาน (productivity) ให้กับบ้านกับเมือง มิได้ออกแบบมารองรับสิทธิในการรับการรักษาพยาบาลในกรอบใหญ่ขนาดทั้งประเทศไทย

หากนายอภิสิทธิ์ฯ จะแย้งว่าตนจะใช้เงินกู้ยืมจากต่างประเทศและในประเทศ จะไม่แอบใช้ในกองทุนประกันสังคมเลย (ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้) ก็จะเดินตรงไปสู่ปัญหาที่สอง คือโยนเงินกู้ที่ต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยเข้าสู่ระบบสาธารณสุขแห่งชาติที่ยังฉ้อฉลและขาดประสิทธิภาพอย่างรุนแรง

รัฐบาลทักษิณจึงริเริ่มโครงการ ๓๐ บาท ซึ่งแท้ที่จริงคือ วิธีการใหม่ในการบริหารต้นทุนและการบริการของระบบสาธารณสุขของประเทศ หลักการที่สำคัญคือ ยึดเอาความพอใจและสิทธิของผู้ป่วยเป็นหลัก ไม่ใช่เอาผลประโยชน์และความสะดวกของโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เป็นหลัก อย่างที่ทำมาตั้งแต่รัชกาลก่อนๆ หลังจากนั้นแต่ละสถานพยาบาลเริ่มเรียนรู้ที่จะพัฒนาระบบบริการเพื่อผูกใจคน เพื่อรักษา “ค่าหัว” ของผู้ป่วยแต่ละรายมารวมเป็นงบประมาณของตน

แต่วิธีการจอมปลอมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ นอกจากจะทำให้เกิดระบบรักษาพยาบาลที่ด้อยประสิทธิภาพทั้งประเทศแล้ว ยังสิ้นเปลืองเงินทุนมหาศาลจากกองทุนประกันสังคม และเงินงบประมาณอื่นๆ จนอาจถึงขั้นทำให้กองทุนนั้นขาดทุนในระยะยาว รัฐบาลมีปัญหางบประมาณในระยะไกล ส่งผลกระทบถึงสิทธิของผู้ใช้แรงงานในทุกระดับและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

ถ้าสื่อมวลชนและนักวิชาการส่วนใหญ่ของไทยยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ขอให้ไปติดตามผลการดำเนินการของนโยบายข้อนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการบริหารต้นทุนเอาเองเถิด แล้วจะเกิดสยองขวัญขึ้นเองว่าสิทธิของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้กำลังจะถูกทำลายลงอย่างไร

ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการแข่งขันของชาติที่จะถูกกระหน่ำซ้ำเติมอย่างหนัก (ยังมีต่อ)

--------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/
e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

ส่งคนไปตาย โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ส่งคนไปตาย
โดย กาหลิบ

นอกจากจะรับคำสั่งเบื้องบน (แต่ใจต่ำช้า) มาฆ่ามวลชนเสื้อแดงที่ชุมนุมโดยสงบและสันติเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อย่างเลือดเย็นแล้ว ชาวประชาธิปไตยควรรู้ด้วยว่ารัฐบาลหุ่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังเปื้อนเลือดชนิดชุ่มโชกอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้

แม้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย แต่เขาก็คือเพื่อนมนุษย์ที่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย

เมื่อวันคริสต์มาส พ.ศ.๒๕๕๓ หรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ รัฐบาลปิศาจของไทยได้บีบบังคับให้ผู้อพยพชาวเมียนมาร์จำนวน ๑๖๖ คนให้เดินทางระหกระเหินกลับเข้าสู่ดินแดนเมียนมาร์ในขณะที่การสู้รบอันรุนแรงระหว่างกองทัพเมียนมาร์และชนกลุ่มน้อยกำลังดำเนินอยู่ โดยไม่มีทั้งเสบียงและอาวุธใดๆ ที่จะใช้ป้องกันตัวเองในยามคับขัน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยแถลงข่าวฉอเลาะกับโลกว่าไทยไม่มีนโยบายบังคับขับไสผู้อพยพออกจากประเทศใดๆ เพราะไทยเคารพในกรอบนโยบายมนุษยธรรมสากลอย่างยิ่ง

เพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมทุกข์เหล่านี้คือชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลเมียนมาร์ไม่ต้องการ เมื่อบุกเข้าปะทะกับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยครั้งใดและไม่ว่ากับกลุ่มใด ทหารเมียนมาร์ก็จะถือโอกาสผลักดันชาวบ้านกลุ่มน้อยที่มิใช่ทหารออกจากพื้นที่ด้วยเสมอ หากไม่ไปหรืออิดออด ก็มักจะถูกกระสุนตะกั่วกลิ้งอยู่ที่เก่า

นโยบายรัฐบาลศักดินา-อำมาตยาธิปไตยที่ใช้กำลังผลักดันคนเหล่านี้กลับ โดยที่สถานการณ์ก็มิได้ดีขึ้นเลยเช่นนี้ จึงเท่ากับส่งเขาไปตาย ไม่ต่างอะไรจากคำสั่งประหารชีวิตคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น

ยิ่งในจำนวน ๑๖๖ คนปรากฏว่า ๑๒๐ คนเป็นผู้หญิงและเด็ก ก็ยิ่งทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้นว่า จิตใจไทยที่ประกอบด้วยความเมตตาและกรุณาเป็นพื้น ซึ่งเราเคยภาคภูมิใจกันนัก มันได้หายสาบสูญไปกับความโหดร้ายของเจ้าของประเทศผู้เข่นฆ่าประชาชนของตัวเองแล้วหรือ?

การจงใจส่งคนเหล่านี้กลับไปสู่ชะตากรรมและความตายในวันคริสต์มาส ทำให้เห็นเจตนาที่ดำมืดยิ่งไปกว่านั้นอีก เขารู้ว่าวันคริสมาสต์มาสของแต่ละปีนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวของรัฐบาลตะวันตกและสื่อมวลชนทั่วโลก โอกาสจะโด่งดังเป็นข่าวมีน้อย เขาเลือกเอาวันนั้นเป็นวันประกอบกรรมชั่วครั้งใหญ่เพราะเขารู้ดีว่าอาชญากรรมเยี่ยงนี้จะต้องทำอย่างเงียบเชียบและลับตาคนที่สุด

นายเบ็นจามิน ซาแวคกี้ ผู้ติดตามข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมืองไทยมานานปี เขียนชี้ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมด้วยว่ารัฐบาลไทยชุดนี้มีพฤติกรรมเช่นนี้มาตลอด เมื่อวันคริสต์มาสของปี พ.ศ.๒๕๕๒ ก็ได้ผลักดันชาวม้งลาวเป็นจำนวนถึง ๔,๕๐๐ คนกลับประเทศ ซึ่งแน่ใจได้ว่าคนเหล่านี้ถ้าไม่ถูกฆ่าก็ถูกจับ โดยที่ในจำนวนนี้ยังเป็นผู้อพยพขึ้นทะเบียนเตรียมไปประเทศที่ ๓ แล้วถึง ๑๕๘ คน

แปลว่านโยบายกระทำทารุณต่อเพื่อนบ้านรอบไทยได้กลายเป็นเรื่องถาวรและกระทำอย่างต่อเนื่องมาแล้วทุกปีและมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไป

องค์กรระหว่างประเทศทั้งในกรอบสหประชาชาติและที่มิใช่รัฐจะออกมาประณามหยามเหยียดอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เขาจะต้องดำเนินการในวันหน้า

แต่ข้อคิดสำคัญต่อคนไทยโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้คือ เรากำลังอยู่กับระบอบการปกครองชนิดไหน?

คนไทยไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไม่ว่าเป็นเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย หรือเวียดนาม การไปมาหาสู่และคบค้าก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องกว้างขวาง แต่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากลับบอกเราว่า ผู้ปกครองไทยกลับเลือกที่จะมองโลกแตกต่างจากคนไทยและเห็นเพื่อนบ้านเป็นศัตรูคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา จนถึงขนาดกดดันให้ส่งผู้บริสุทธิ์ที่เขามาขอพึ่งพาอาศัยกลับไปสู่ความตายได้


ระบอบไทยปัจจุบันจึงมิใช่มนุษย์ แต่เป็นระบอบยักษ์ระบอบมารที่กินเลือดคนเป็นภักษาหาร
การยิงศีรษะและหน้าอกของพี่น้องชาวไทยกลางราชประสงค์และภายในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามจึงเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ของเขาคนนี้เท่านั้น

ซึ่งมิใช่ครั้งแรกและยังมิใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน.

---------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ลัทธินำตน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ลัทธินำตน
โดย กาหลิบ

จำนวนมวลชนอันมหาศาลที่แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นภาพประทับใจของวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ คือหลักฐานยืนยันว่าขบวนประชาธิปไตยเลิกยึดกับตัวผู้นำ และรวมตัวกันด้วยอุดมการณ์อย่างแท้จริง

แล้วก็ไม่ได้ขึ้นกับองค์กรนำด้วย เพราะองค์กร (ที่ว่า) นำอยู่ในขณะนี้ยังส่งสัญญาณที่สลับสับสนอยู่ ไม่มีความแน่ชัดเลยว่าจุดยืนในปัจจุบันเป็นอย่างไรแน่ อย่าว่าแต่อนาคตเลย คงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการจัดตั้งตัวเองเสียก่อนจะไปจัดตั้งมวลชนในระดับต่อไปได้

แต่มวลชนมิได้ถอยหลังไปเพราะเหตุที่ว่านี้เลย กลับมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่ออนาคตต่อไปอย่างน่าชื่นใจ และคงจะน่าหวาดกลัวสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่นึกว่าฆ่าแล้ว ขังแล้ว ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณและยึดทรัพย์สินที่เขาหามาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว ขบวนการน่าจะหดตัวลงไปจนไร้พลัง ที่ไหนได้ นัดใหม่เมื่อใดก็จะเห็นสีแดงเบ่งบานเต็มถนนหนทางและแน่นขนัดไปทั่วบ้านทั่วเมือง

ถ้ายังไม่ทุพพลภาพขนาดปัญญาอ่อน เขาคนนั้นก็ต้องรู้ว่างานนี้ประชาชนเอาจริง โดยปราศจากความกลัว ความลังเล และผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อม โอกาสในการต่ออายุของลัทธิปิศาจก็คงจะลดน้อยถอยลงไปตามกรรม

สังเกตภาพรวมและความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้แล้ว ก็น่าจะเรียกปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ว่า “ลัทธินำตน” หรือ “Doctrine of Self-Governing”

ตรงข้ามกับลัทธิบูชาบุคคลที่ครอบงำสังคมไทยมานานนับร้อยปี

ผู้ที่จิตใจไม่เข้มแข็ง หรือขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่จะทำให้เกิดเคารพนับถือในตัวเอง ก็มักไขว่คว้าหาสิ่งที่เชื่อว่าเข้มแข็งกว่า ทรงพลังกว่า และดีเลิศประเสริฐศรีมากกกอดไว้ บ้างถือเทพ บ้างก็ถือผี บ้างก็หลุดหายเข้าไปในไสยศาสตร์ (ซึ่งแปลว่าศาสตร์แห่งความมืดดำ) บ้างก็ยึดถือสิ่งที่นึกว่าเป็นศาสนธรรม แต่ความจริงเป็นความยึดมั่นถือมั่นกับเปลือกกับกระพี้ จนหลงใหลใฝ่ฝัน กลายเป็นปัญหาใหม่ที่เรียกกันว่า ติดดี

แต่หนักที่สุดคือลัทธินี้ได้ชักนำคนไทยไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นกับตัวบุคคลในทางการเมืองจนไม่อาจมองเห็นหลักประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเองได้เลย เพราะบุคคลนั้นๆ ตั้งตัวขึ้นเป็นมาตรฐานแห่งความดีและความจริงของสังคม ยกตัวเองจนเหนือกว่ากฎธรรมชาติ นานเข้าผู้คนก็เริ่มลืมว่าเขาเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนกับคนอื่นๆ แถมมองไม่เห็นว่า มีอกุศลมูลหนักหนาอยู่ในตัวมากกว่าผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไปเสียด้วยซ้ำ

การดำรงอยู่ของผู้วิเศษทางการเมืองทำให้เกิดลัทธิประหลาดขึ้นในเมืองไทย ขัดหลักธรรมชาติและหลักประชาธิปไตยทุกข้อ แม้กระทั่งสำหรับพุทธศาสนิกชนที่แท้ ลัทธิของเขาคนนี้ก็ขัดอย่างจังต่อธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพุทธธรรม เรียกว่าหาอะไรที่สัมพันธ์กับความเป็นอารยะมิได้เลย

ต่อมาเมื่อผู้คนก้าวหน้าและเรียนรู้ดีขึ้น ก็กลับมีผู้นำอื่นๆ ที่อยากเลียนแบบดารา ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำการเมืองในขั้นเทพ หรือใครก็ตามที่เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ ทำความผิดซ้ำซากจนสังคมไทยถูกบังคับให้กระโดดจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ยึดมั่นกับตัวบุคคลต่อไปอย่างกบเลือกนาย จึงเกิดผู้นำการเมืองรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมานำพรรคการเมือง รัฐบาล และแม้กระทั่งในเวทีชุมนุมประท้วง

โชคดีที่กรรมของแต่ละคนพาให้ภาพมายาเหล่านี้หลุดหายไปทีละภาพทีละแผ่น มวลชนคนเสื้อแดงผู้ผ่านทั้งความผิดหวังและสมหวังมานานปี จึงกำหนดใจตนเองเสียใหม่ว่า จะยึดเอาแนวทางเป็นหลักและเอาตัวบุคคลเป็นรอง

กิจกรรมส่วนตัวจึงค่อยๆ ยกระดับขึ้นเป็นกิจกรรมส่วนรวม

การต่อสู้ทางการเมืองจึงขยายจากกิจกรรมเพื่อกลุ่มเพื่อพวกมาสู่การรณรงค์ที่เป็นสาธารณะ

การรวมตัวของคนเสื้อแดงจึงยิ่งใหญ่ตระการตา โดยไม่ต้องรอให้ผู้นำพร้อมนำ ตรงกันข้าม ผู้อยากนำจะต้องก้าวให้ทันมวลชนที่เดินหน้าเต็มตัวอย่างทหารหาญ และนำเสนอแนวทางการเมืองที่มวลชนเขาเห็นว่าก้าวหน้าและไม่ด้อยพัฒนาเหมือนในอดีต

ราชประสงค์เนืองแน่นในคืนนั้นมิใช่ด้วยลัทธิบูชาบุคคล แต่เป็นลัทธินำตนโดยแท้.

------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/
e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

แดงดอกไม้ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง แดงดอกไม้
โดย กาหลิบ

ในระหว่างกิจกรรมของมวลชนคนเสื้อแดงอันหลากหลาย ทั้งในนาม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน และกลุ่มอื่นๆ มีข้อคิดความเห็นบางอย่างที่ขอฝากไว้ในฐานที่รักกันชอบกัน เพื่อขบวนประชาธิปไตยของเรา

ขณะนี้ถือได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตยได้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยในเชิงระบอบแล้ว เพียงแต่เป็นการพลิกในระยะต้นที่ยังมีภารกิจคอยให้ทำอีกมาก ผลสัมฤทธิ์ที่ชัดในกระบวนการนี้ คือมวลชนผู้ก้าวหน้า ใฝ่รู้ และหนักแน่นมั่นคงทางอุดมการณ์

สามข้อนี้คือคุณลักษณะสามประการที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปียังมีคนปรามาสอยู่ว่าคนไทยไม่มีก้าวหน้า คือพร้อมเคลื่อนตัวเองจากการติดหล่มเชิงระบอบ จากความเชื่อที่ฝังหัวแต่เดิมว่าเราต่างมีผู้ปกครองที่ดีวิเศษอย่างหาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ จนไม่จำเป็นต้องปกครองตัวเองตามแนวทางประชาธิปไตยและไม่จำเป็นต้องมีระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

ใฝ่รู้ คือความกระหายที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้ปกครองที่มีอำนาจเหนือชีวิตของตนเองโดยสละความสุขส่วนตนเดินทางไปร่วมชุมนุม ร่วมกลุ่ม (ในทุกระดับ) และร่วมรับส่งข้อมูลจนความรู้ความเข้าใจแผ่ออกไปในวงกว้าง

หนักแน่นมั่นคงทางอุดมการณ์ คือความมั่นใจว่าแนวทางที่ตนเองยึดถือถูกต้อง ไม่วอกแวกไม่วูบวาบ ไม่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อด้วยวิธีการที่หลากหลายของฝ่ายตรงข้ามง่ายเหมือนก่อน

มวลชนที่ได้คุณภาพและประสิทธิภาพถึงขนาดนี้ เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ของประเทศชาติแล้ว ใครประกาศตนเองว่าเป็นผู้นำ แกนนำ หรือองค์กรนำมวลชนเสื้อแดง จะต้องยอมรับนับถือสิ่งเหล่านี้เสียก่อน

คนที่ลุ่มหลงว่าฉันคือ “กูรู้” ถึงขนาดยกตัวเองขึ้นเป็นครูบาอาจารย์ของทุกคน แถมยังขืนใจให้เขาน้อมตัวเป็นลูกศิษย์โดยที่เขาไม่เต็มใจ แสดงว่าคนๆ นั้นยังขาดวุฒิภาวะที่สำคัญของผู้นำในแนวประชาธิปไตย นั่นคือ ความยอมรับนับถือในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีลักษณะข่มหรืออวดเบ่ง
อัตตาสูงชนิดนี้ หากยังคงมีในระบบความคิด มันจะคอยบังตามิให้เห็นความจริงว่ามวลชนของเรามีความก้าวหน้า มีนิสัยใฝ่รู้ และมีความหนักแน่นมั่นคงทางอุดมการณ์

ความไว้วางใจในมวลชนก็จะเหลือเพียงน้อยนิด และสุดท้ายก็จะเห็นมวลชนเป็นเพียงส่วนย่อยของระบบใหญ่ที่ตนเป็นเจ้า ในที่สุดก็จะกลายเป็นเผด็จการไปโดยไม่รู้ตัว

ทำไมมวลชนแดงของเราจึงไม่เป็นแดงดอกไม้ ที่ชูช่อไสวสวยงามอย่างหลากสีหลากพันธุ์และอยู่ร่วมกันได้ในแปลงเดียวกัน?

หากเจตนาเป็นเช่นนี้ก็ง่าย ผู้นำและองค์กรนำจะต้องยอมรับความหลากหลายแตกต่างเสียก่อน ไม่ด่วนตัดสินโครมครามลงไปว่าฉันถูกเธอผิด ไม่มีแดงแท้-แดงเทียม ไม่มีคนที่อุดมการณ์เข้มจัดเกินกว่าใครเสมือนว่าศีลสูงกว่าคนอื่นๆ แต่ยอมรับว่าทุกคนอยู่ในเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ และสุดท้ายก็จะตาสว่าง (ก้าวหน้า) อย่างเดียวกันได้

มวลชนและกลุ่มพลังต่างๆ เองก็ไม่ควรด่วนตัดสินว่าผู้นำและองค์กรนำนั้นเลวหรือดี หากพิสูจน์ไม่ได้ถึงข่าวลือและการให้ร้ายต่างๆ ทั้งส่วนรวมและส่วนตัว ในขณะที่เขายังดำรงจุดยืนสาธารณะเพื่อมวลชนอยู่โดยไม่ออกนอกแนวทาง เราควรยกประโยชน์ให้จำเลยไปก่อน วันหลังว่ากันใหม่ ถ้าเราไม่หนักแน่นอย่างนั้นเราจะไม่เหลือคนทำงานในฝ่ายประชาธิปไตยเลย

ธรรมชาติมีความลึกซึ้งสุขุมยิ่งในการเลือกพันธุ์คัดพันธุ์ ต้นไม้ใบหญ้าจึงสวยงามลงตัวมีสมดุล หากเราดูแบบธรรมชาติเสียบ้าง ขบวนการใดๆ เพื่อมวลชนจะยกระดับตัวเองได้ง่าย

อย่าลืมว่าเสื้อแดงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

ใครคิดแข่งกับเหลือง ชมพู และหลากสีโดยใช้วิชามารเยี่ยงเขา จะพบว่าไร้ประสิทธิภาพและไม่สามารถรักษาความรักนับถือจากมวลชนได้นาน เพราะไม่เป็นธรรมชาติ

ฝากแนวคิดแดงดอกไม้ไว้ตรงนี้ครับ.

-----------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

ทัศนะใคร? โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ทัศนะใคร
โดย กาหลิบ

หลักฐานที่มัดตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ากับแผนยั่วยุกัมพูชา จนข้าช่วงใช้ทั้งหลายถูกจับกุมตัวเรียบหมด ๗ คนนั้น เอาเข้าจริงยังสำคัญน้อยกว่าทัศนะของนายอภิสิทธิ์ฯ ที่แสดงออกอย่างชัดเจนในคลิปที่น่าสนใจนี้

การแอบมอบหมาย นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ซึ่งเป็น ส.ส. พรรคตนให้เดินทางไปปฏิบัติงานลับโดยไม่แจ้งให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ และไม่ยอมปริปากใดๆ กับผู้ร่วมรับผิดชอบในคณะรัฐมนตรีและฝ่ายการเมืองได้ทราบเลยนั้น เป็นสิ่งส่อแสดงว่านายอภิสิทธิ์ฯ รับงานเรื่องนี้มาจากผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ หรือคนที่ชาวบ้านตาสว่างเขาเรียกกันว่า “มือที่มองไม่เห็น” นั่นเอง

มือหรือตีนที่ (นึกว่าคนเขา) มองไม่เห็นนี้ มีทัศนะที่น่าตกใจเกี่ยวกับการดำรงของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์หรืออุษาคเนย์มานาน เหตุการณ์ไร้สาระล่าสุดนี้ ความจริงก็ยืนยันถึงสันดานอันต่อเนื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แถมยังโยงมาถึงพฤติกรรมเลวร้ายอย่างสม่ำเสมอที่เขากระทำต่อคนไทยด้วยกัน

คนๆ นี้เชื่อว่าเมืองไทยที่เขานึกว่าเขาครอบครองอยู่แต่เพียงผู้เดียวนั้น จะเจริญก้าวหน้าโดดเด่นได้ก็ต่อเมื่อเพื่อนบ้านรอบทิศเขาตกต่ำ ยากจน และเต็มไปด้วยความขัดแย้งจนโงหัวไม่ขึ้น

เมื่อใดที่เพื่อนบ้านรอบไทย ไม่ว่าจะเป็นพม่า มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา และแม้กระทั่งเวียดนามที่มิได้มีพรมแดนติดต่อกัน เกิดสันติภาพและเตรียมพัฒนาตัวเองให้หลุดจากความล้าหลัง จะพบว่าคนใหญ่ของเมืองไทยกลับทำทุกอย่างที่จะให้เขากลับเข้าสู่วงจรอุบาทว์แห่งความโง่ จน เจ็บ เหมือนกับตัวทำกับคนไทยครึ่งค่อนประเทศมาตลอดระยะเวลาแห่งการครองชาติ

ในกรณีพม่านั้น ก็ถึงขนาดให้ทหารไทยปลอมตัวเป็นกองกำลังไทยใหญ่ แอบโจมตีจนทหารพม่าเขาล้มตายไปเป็นร้อย เพราะความเกลียดชังมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ที่โคตรตระกูลของตัวเองถูกฝ่ายเขาโค่นอำนาจลงด้วยความโง่

ลาวนั้นเจ็บหลายแบบ ทั้งส่งทหารรับจ้างสัญชาติไทยเข้าไปโค่นรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ที่ได้อำนาจมาด้วยการปฏิวัติของประชาชนและพยายามยึดครองดินแดนของเขาด้วยกำลัง

มาเลเซียก็โดนทั้งเรื่องดินแดน การขนส่งสินค้าผิดกฎหมายข้ามประเทศ และอื่นๆ

กัมพูชานั้นเรียกว่าถูกรางวัลที่ ๑ มาตลอด คนๆ นี้เกลียดชังกัมพูชามาแต่ครั้งที่เขาเป็นคนหนุ่มและเจ้าชีวิตของกัมพูชาก็ยังอยู่ในวัยคะนอง การขับเคี่ยวแข่งขันของเด็กเสียคนสองคน ความขี้อิจฉาริษยาอย่างหนักของฝ่ายไทย และการแข่งขันระหว่างประเทศ ทำให้ผู้มีอำนาจไทยเข้าไปแทรกแซงจนความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจและสายที่ต่างกันทางอุดมการณ์ระเบิดขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองยืดเยื้อยาวนานและทำลายโอกาสของกัมพูชามากว่าสามทศวรรษ และทำให้ไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรอันยากลำบากทางเศรษฐกิจมาจนถึงทุกวันนี้

การหาเรื่อง เรื่องปราสาทและดินแดน ทั้งๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องเขากำลังแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและเป็นทางการอยู่ เป็นเครื่องชี้ว่าผู้มีอำนาจไทยมีวิสัยและทัศนะที่เป็นอันธพาล พร้อมจะกวนน้ำให้ขุ่นและปลุกเร้าลัทธิคลั่งชาติมาเป็นเครื่องมือของตัวเองตลอดเวลา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สนิทกับใคร ใครแสดงตัวว่ารักใคร่และพร้อมอุปถัมภ์ เราก็รู้อยู่แก่ใจจากการแสดงออกบ่อยครั้งผ่านข่าวของรัฐทุกช่อง ไม่ต้องเสียเวลาปฏิเสธ และไม่ต้องมาอ้อนวอนให้เห็นใจคนแก่

คงเสี้ยมสอนกันมาแล้วสิว่า การจะครอบครองประเทศไทยให้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ นายอภิสิทธิ์ฯ จะต้องทำลายความสำเร็จและโอกาสก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้านในทุกเวลาที่ทำได้

ทำแล้วผู้อุปถัมภ์ที่นั่งสั่งฆ่าคนอย่างเลือดเย็นอยู่บนที่สูงคงจะพึงพอใจ เติมคะแนนให้กับคนรับใช้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แผนการยั่วยุกัมพูชาจึงได้เกิดขึ้น

เวรกรรมคงมีจริง อุตส่าห์อำพรางตัวเองว่าฉลาดเลิศคนมาหลายปี มาบัดนี้ทำอะไรก็หลุดก็รั่วไปหมด ราวกับไฟธาตุใกล้จะแตก

พอแผนแตกคาที่อย่างนี้แล้ว ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ซัวสะเดยสิครับงานนี้.

------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

เขมรรู้ทัน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เขมรรู้ทัน
โดย กาหลิบ

แหล่งข่าวในกัมพูชาเล่าว่าพวกผู้นำของเขากำลังหัวเราะกันสนุก กรณีรุกแผ่นดินที่กัมพูชาเขาถือกรรมสิทธิ์จนต้องเข้าตะรางกันไปแล้วทั้ง ๗ คนได้กลายเป็นลูกบอลที่เตะกันได้อย่างสนุกสนาน เขาไม่ได้เคร่งเครียดกันเหมือนคนไทยบางคนที่คอยบงการตามแผนยั่วยุนี้อยู่และกำลังจะเสียแผน

ดูเหมือนฝ่ายเขมรจะอ่านขาด เขาจึงยืนยันทำตามกฎหมายของเขา ฝ่ายไทยจะไปอาละวาดมากนักก็จะเสียกิริยาในฐานะที่โลกเขานึกว่าเป็นอารยชน

เขารู้ดีว่าเจ้าของแผนนี้จะเล่นได้อีกเพียงไม่กี่น้ำ เพราะจุดชนวนอารมณ์กริ้วของเจ้าของบ้านก็ไม่ติด หันไปจุดทางกองทัพก็ไม่ได้ผล ไม่นานก็ต้องยอมพับฐานไป

สมาชิกเสื้อเหลืองที่แล่นไปจ่ออยู่แถวๆ ชายแดนสระแก้วและศรีสะเกษ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ รายงานชี้เป้ากันสวยหรูว่ามีเป็นพันๆ คน เอาเข้าจริงสองร้อยก็ยังไม่ถึงดี แถมเป็นสมาชิกชนิดมีค่าหัว (รายวัน) เสียเกินครึ่ง

พวกที่ถูกหลอกให้คลั่งชาติทั้งที่ไม่มีสาระอะไรเลย ก็พอมีอยู่บ้าง แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วลืมตาตื่นและได้สติกลับมาเพียงเล็กน้อยก็คงจะหารถกลับ เพราะไม่ต้องการเป็นเหยื่อของนักรับจ้างทางการเมืองที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นเพื่อผลที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนเลยแม้แต่น้อย

ความจริงคิดอย่างคนสติดีก็คงไม่มีใครบุกไปถึงที่คุมขังอยู่ดี ระยะทางจากชายแดนจนถึงคุกนั้นมันราว ๔๐๐ กิโลเมตร และรอบข้างก็ประเทศของเขาทั้งนั้น ขาออกมาก็คงต้องจุดธูปเรียกกัน

ใจจริงเขาก็คงอยากให้บุกกันเข้ามาเหมือนกัน ขาดบางคนไปแผ่นดินไทยอาจจะสูงขึ้น

กัมพูชาก็มีหน้าที่นั่งกระดิกขารอเวลา เพราะนายกรัฐมนตรีไทยยอมรับแล้วว่าเป็นคนสั่งให้ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ไปทำงานอันสุ่มเสี่ยงครั้งนี้

คนผูกอย่างนายอภิสิทธิ์ฯ จึงต้องเป็นคนแก้ หากการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ผลก็ไม่ได้ความดี เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น แต่ถ้าไม่ได้ผล นายพนิชฯ นายวีระ สมความคิด และพวกก็ต้องติดคุกเขมรเป็นเวลายาวนาน ผลกรรมอันหนักในทางการเมืองก็จะตกอยู่กับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ

ถ้าถามกันให้ลึกลงไปอีกนิดว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ก็คงพอลำดับได้ว่า

๑. เกิดจากความแค้นที่ไม่สามารถบังคับให้กัมพูชารับใช้เป้าหมายทางการเมืองในประเทศไทยได้ ทั้งๆ ที่เป็นเทพจุติลงมาเกิดเป็นเจ้าของประเทศไทย

๒. เกิดจากทัศนะดูถูกเหยียดหยามเพื่อนบ้านว่ายากจนและต้อยต่ำกว่าไทย ทำให้วางแผนและดำเนินการทุกประการอย่างไม่รอบคอบ ขาดความยั้งคิด และคิดอย่างประมาทว่าจะพลิกเกมกลับได้ทุกเมื่อ

๓. เกิดจากความไร้ปัญญาในการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยไม่รู้เลยว่าการเมืองที่น่ารังเกียจของฝ่ายอำนาจเก่าหรือเผด็จการโบราณของไทยได้ทำให้เกียรติภูมิของไทยลดต่ำอย่างมากในสายตาของประเทศเพื่อนบ้าน วันนี้หากไทยเกิดพิพาทกับกัมพูชาก็แน่ชัดว่า “สหบาทา” คงจะเป็นชะตากรรมของไทย ไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ร้องเสียงหลงว่า อย่าให้อาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอันขาด

เรื่องของคน ๗ คนนี้ ความจริงเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญต่อผลประโยชน์แห่งชาติเลย แม้แต่น้อย หากวิธีดำเนินการนั้นเอง กลับเป็นสิ่งบ่งบอกถึงอุปนิสัยของผู้มีอำนาจในเมืองไทยว่าใช้สายตาและแนวคิดอย่างไรต่อประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นนิสัยเดิมๆ และวิธีปฏิบัติเดิมๆ ที่ทำให้มีข้อพิพาทระหว่างกันในเรื่องต่างๆ หลากหลายประเด็นและรอบทิศ

บัดนี้เขารู้แล้วว่า ประชาชนชาวไทยและรัฐบาลเลือกตั้งล้วนเป็นมิตรกับเขา แต่ผู้มีอำนาจใหญ่แห่งประเทศไทยทุกคนเลือกที่จะวางตัวเป็นศัตรูและเห็นเพื่อนบ้านต่ำต้อยกว่าตนทั้งสิ้น

เขาจึงรักคนไทยและชิงชังผู้ปกครองด้วยไทยกันทั้งนั้น

ต้องขอบคุณทั้ง ๗ คนที่ช่วยรักษาสันดานเดิมให้เป็นที่ประจักษ์ชัดในหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญนี้.

-----------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

สนับสนุน SMS-TPNews


สนับสนุน SMS-TPNews (Thai People News) : ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย โดยทีมงานมืออาชีพ เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.) e-mail : tpnews2009@gmail.com , บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

กลอนอวยพรปีใหม่ชาวเสื้อแดง โดย จักรภพ เพ็ญแข


กลอนอวยพรปีใหม่ ๒๕๕๔ :

เดโมเครซี่ร้อยเปอร์เซ็นต์เราเด่นชัด
แต่ละผลัดแต่ละปีเรามีหวัง
อันสิทธิในแผ่นดินที่ภินท์พัง
จักย้อนรังกลับมาหาประชาไทย

อวยพรใดก็ไม่เท่าพวกเราร่วม
ตาสว่างโดยรวมก็เปลี่ยนไหว
ถึงภูเขาเข้าขวางใจกลางไทย
ก็จะด้นดั้นไปไม่ครั่นคร้าม

ขอให้เราเสื้อแดงเปล่งแสงสู้
ให้โลกรู้ไทยเราจะก้าวข้าม
เพื่อร่วมสร้าง Thailand อันแสนงาม
ประกาศนามมวลชนคนเท่ากัน

กัดฟันเถิดพวกเราเราร่วมรัก
เดินด้วยศักดิ์ศรีสร้างทางสวรรค์
ถึงประชาธิปไตยไม่เร็ววัน
ก็มิใช่ความฝันเรามั่นใจ

ขอปีใหม่ให้พลังอีกครั้งเถิด
สิทธิชนก่อกำเนิดเป็นไทยใหม่
ถึงมากล้นอุปสรรคมุ่งหลักชัย
ให้คนไทยตาสว่างกลางแผ่นดิน...

---------------------------------------------------------------