ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554
จักรภพ:อำมาตย์จวนตัวใช้แผนแดงฆ่าแดงฯ
จักรภพ:อำมาตย์จวนตัวใช้แผนแดงฆ่าแดง ประชาชาติไทยถูกผลักไสให้เลือกแนวทางปฏิวัติ
ภาพล่าสุดของจักรภพ เพ็ญแข ใส่เสื้อแดงสกรีนรูป ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำการปฏิวัติ 2475 เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์จากต่างประเทศ ซึ่งไม่ระบุสถานที่แน่ชัด ว่า หนทางการปรองดองดูตีบตันเพราะนโยบายของฝ่ายอำมาตย์กำลังผลักไสให้ประชาชนไทย ลุกฮือขึ้นปฏิวัติมวลชนแทนแม้แต่กลไกที่เรียกว่า "แดงฆ่าแดง" ก็ไม่อาจปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของระบอบ นี้ได้อีกต่อไป
หมายเหตุไทยอีนิวส์: หลัง จากแกนนำนปช.ในต่างประเทศได้พากันเดินทางกลับบ้านกันเกือบหมดทุกคนแล้ว ล่าสุดคือ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หากไม่นับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีเพียงจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรี อดีตโฆษกรัฐบาล และแกนนำนปช.เท่านั้น
เราได้ สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ซึ่งพำนักลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศ เพื่อเปิดเผยทัศนะจุดยืนของเขาต่อสถานการณ์การเมืองไทยตลอดห้วง 3 ปีที่เขาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และทิศทางแนวโน้มในปี 2555
1.คนสนใจกันมากว่าแกนนำที่ไปพักพิงลี้ภัยในต่างประเทศก็กลับมาหมดแล้ว ล่าสุดคือคุณอริสมันต์ ไม่ทราบว่าคุณจักรภพประเมินสถานการณ์อย่างไร และพร้อมจะกลับบ้านหรือยัง?
ประชาธิปไตยจึงพิการมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มต้น
อย่าลืมว่าการลุกฮืออย่างเงียบๆ ของพลเมืองไทยใน พ.ศ.๒๕๔๙-ปัจจุบัน นับเป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก หากเราไม่ตระหนักให้ดีว่าเหตุที่่เขาขอ “ปรองดอง” ก็เพราะเขากำลังเพลี่ยงพล้ำ ไม่ใช่เพราะมีน้ำใจต่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
2.คุณจักรภพประเมินสถานการณ์การเมืองของไทยอย่างไรนับแต่เดินทางออกนอกประเทศมาจะครบ 3 ปี ฝ่ายประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนต่อสู้ไปเพียงใด
พิมพ์เขียวนี้ก็มิได้มาจากคำสั่งของนายทุนหรือผู้ที่วางตัวเป็นชนชั้นที่สูงส่งกว่า แต่มาจากการทำงานร่วมกันเพื่อให้เป็นกรอบการทำงานที่เราวัดผลและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานได้
จนกลไกเหล่านี้สึกหรอและกระสุนเริ่มด้าน มวลชนก็อยู่ในสภาพ “รู้ทัน” ขณะนี้เขาจึงหันมาใช้เครื่องมือใหม่อย่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตามกรอบความคิด “แดงฆ่าแดง” ที่เราพูดกัน แต่ปัญหาใหญ่จริงๆ ที่เขาเองก็รู้ดีคือความเสื่อมถอย ณ ศูนย์กลางของระบอบ ปัญหามะเร็งในเนื้อในตัวเองทำให้เครื่องมือใดก็ใช้การไม่ได้เต็มที่ วิกฤติการณ์การเมืองไทยจึงจะไม่มี บทจบที่ “สวยงาม” อย่าง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ หรือ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ อีกและฝ่ายเขาก็รู้ดี ผมคิดว่า “๖ ตุลา” ครั้งต่อไปคงรุนแรงกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ขบวนประชาธิปไตยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเตรียมกายและเตรียมใจให้พรั่งพร้อม การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองจะเกิดขึ้นแน่ และการบริหารระยะเปลี่ยนผ่านน่าจะเป็นหัวใจของเรื่อง
หลักฐานในการเมืองไทยบอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “การปรองดอง” ในอดีตไม่มีความหมายใดๆ ในยามที่เกิดการเผชิญหน้าทางการเมืองในระยะต้นและระยะกลาง อาจมีประโยชน์บ้างในระยะปลาย ที่ผู้แพ้และชนะต่างรู้ชะตาของตนเองอย่างค่อนข้างเด็ดขาดแล้ว
ผมไม่เก่งพอที่จะวิเคราะห์ได้ว่า “การปะทะ” จากนี้ไปจะออกมาในรูปใดและรุนแรงขนาดไหน แต่การสร้างบรรยากาศต่อต้านแนวปฏิรูปอย่างที่กำลังกระทำกับ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่กำลังรณรงค์ต่อต้านกฎหมายหมิ่นฯ ในขณะนี้ เสมือนเป็นปฐมบท (pre-requisite) ที่นำไปสู่ “๖ ตุลา” ครั้งที่ ๒ ได้ ลองสังเกตแนวคิดที่พูดผ่านปากคนต่างๆ ของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ขณะนี้จะพบว่าคล้ายคลึงกัน เช่น ใครที่จะแก้ไขกฎหมายนี้ให้ไปอยู่ต่างประเทศ เป็นต้น ไม่ต่างอะไรนักจากแนวทางของวิทยุยานเกราะ กลุ่มนวพล กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่ม ทส.ปช. ของ พ.ศ. นั้น ประเด็นขณะนี้จึงไม่ใช่การเลือกระหว่างปฏิรูปหรือปฏิวัติ หากมวลชนไม่สามารถแม้แต่จะเสนอให้แก้ไขกฎหมายอย่างเปิดเผยตามสิทธิในรัฐธรรมนูญแล้ว แนวปฏิรูปจะถูกบีบให้เปลี่ยนเป็นแนวปฏิวัติโดยอัตโนมัติ
6.คุณจักรภพใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างไร และเป็นไปได้ไหมที่ขบวนการปฏิวัติหรือปฏิรูปอาจก่อตัวมาจากต่างประเทศคล้ายกับคณะราษฎรเมื่อปี2475
แต่ถ้าจะตอบกันสั้นๆ ศูนย์กลางในการปฏิวัติประชาธิปไตยไทยที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศมีความเป็นไปได้สูงครับ.
ที่มา : http://thaienews.blogspot.com/index.html
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ศักดิ์ศรีของรัฐบาล โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ศักดิ์ศรีของรัฐบาล
โดย กาหลิบ
บางครั้งในระหว่างการต่อสู้ เราเผลอไผลให้ความสำคัญกับฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป เราเก็บรายละเอียดหมดว่าเขาทำอะไร เคลื่อนไหวอย่างไร ใช้ใครทำงาน และนำมาวิเคราะห์ประเมินผลจนบางทีก็เกินควร เราจึงมองข้ามคนสำคัญที่เราสามารถควบคุมได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรู นั่นคือก็ตัวเราเอง
รู้กันทั่วแล้วว่าแผนรุกฆาตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกำลังก่อตัวขึ้น และเราก็ควรวิเคราะห์ฝ่ายเขาให้ชัด แต่คำถามที่สำคัญที่ลืมถามไม่ได้คือ แล้วตัวรัฐบาลเองเล่าทำอะไรได้บ้างระหว่างนี้?
ถึงรัฐบาลปัจจุบันจะประสบกับสภาพปัญหา “รัฐซ้อนรัฐ” มีคนชักใยให้อำนาจหน่วยงานต่างๆ อยู่เบื้องหลังประหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลตัวจริงของราชอาณาจักร แต่มิได้หมายความว่ารัฐบาลจะไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง ยังมีอำนาจหลายอย่างอยู่ในมือของรัฐบาลและรัฐบาลก็ยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่
จะขอพูดเฉพาะอำนาจที่รับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นของรัฐบาลและเว้นอำนาจอื่นๆ ที่คงไม่ต้องประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามมาร่วมรับรู้
อันดับแรก รัฐบาลต้องตรวจกำลังพลในหน่วยงานต่างๆ ทั้งพลเรือนและทหารเสียแต่บัดนี้ว่า ใครที่สามารถพึ่งพาในยามวิกฤติได้บ้าง การทดสอบว่าไว้วางใจได้ขนาดไหนมีสูตรอยู่แล้ว ไม่ต้องมากล่าวย้ำซ้ำทวนในที่นี้ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี จนที่ปรึกษาลอยของผู้มีอำนาจต่างๆ ในรัฐบาล สามารถเริ่มทำงานนี้ได้ในทันที งานที่ควรนำมาทดสอบก็เป็นงานที่ต้อง “เลือกข้าง” ให้ชัดเจน อย่าเปิดโอกาสให้นกสองหัวหรือคนหลายหน้ามีชีวิตที่เป็นสุขนัก
ใครที่มอบงานไปหรือทดสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ ต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลงเสียในทันที ส่วนจะทำอย่างไรไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้แนวร่วมเพิ่มเพราะโกรธเกลียดฝ่ายเรา ถือเป็นศิลปะส่วนตัวของแต่ละคน อายุปูนนี้กันแล้วคงไม่ต้องมานั่งเขียนบทให้กัน
อันดับสอง รัฐบาลต้องไม่ยอมให้หน่วยงานใต้สังกัดทำตัวเสมือนรัฐอิสระ ในกรณีน้ำท่วมนี่ก็เห็นชัดจากกรณีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน ผู้ว่าราชการบางจังหวัด และกรุงเทพมหานคร กองทัพบก เป็นอาทิ วิธีการหนึ่งคือเรียกผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้นๆ มาประจำการอยู่กับศูนย์อำนาจของรัฐบาลโดยไม่ให้คลาดสายตา หากหมายเลขหนึ่งของหน่วยงานใดทำท่าอิดเอื้อนหรือปฏิเสธ คล้ายๆ กรณีอธิบดีกรมชลประทานที่ส่งรองอธิบดีมาแทน ก็เปลี่ยนอธิบดีนั้นเสีย ใครจะโทรศัพท์มาขู่ว่าใครเป็นคนของใครก็อย่าได้นำพา ถือโอกาสว่าเป็นภัยพิบัติของบ้านเมือง แล้วก็เดินหน้าต่อไป
รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ที่จะวางกำลังพลให้ตนทำงานตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ถึงข้าราชการมีสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อตุลาการศาลปกครองได้หากรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้งก็จงเดินหน้าต่อไป ระหว่างบริหารรัฐบาลต้องใช้คนที่ใช้ได้ ปัญหาในอนาคตเอาไว้แก้ไขในอนาคต อย่านำมาผสมกันจนก้าวขาไม่ออก
ระลึกไว้เสมอว่านี่เป็นรัฐบาลของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลของระบบราชการ หรือรัฐบาลของคนที่คอยควบคุมรัฐบาลอยู่หลังม่าน ข้าราชการมีคนที่จะขึ้นมาแทนกันได้เสมอ ไม่มีใครดีวิเศษขนาดหาผู้ใดแทนที่มิได้
อย่าลืมเช่นกันว่า ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบุคลากรได้ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงชงเรื่องขึ้นมาก่อน
ปัญหาเรื่องนี้จะมีก็เพราะความไม่กล้า เพราะกลัวทะเลาะกับคนใหญ่ที่หนุนบุคคลนั้นๆ จากหลังม่าน หรือไม่ก็เก็บข้าราชการเลวไว้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้ ทั้งหมดนี้ต้องขจัดให้หมดไปและประชาชนสามารถมีบทบาทในการจี้ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำเช่นนั้นได้เสมอ
อันดับสามและสุดท้ายในเวลานี้ รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงงบประมาณแผ่นดิน จะยอมให้สำนักงบประมาณหรือใครหน้าไหนมาอ้างระเบียบเล็กน้อยเพื่อขัดขวางการทำงานในยามฉุกเฉินมิได้
แน่นอนว่าการทำงานในระบบงบประมาณ ต้องมีการคานและถ่วงดุลในรัฐสภาเพื่อมิให้รัฐบาลกระทำผิด แต่ขั้นตอนเหล่านั้นต้องไม่ทำให้รัฐบาลไร้อำนาจหรือมีอำนาจไม่เพียงพอที่จะทำงานรับใช้ประชาชนด้วย
ศักดิ์ศรีของรัฐบาลเลือกตั้งได้มาจากประชาชน ต้องทำตัวให้สม.
----------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566795 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
อวสานปรองดอง โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง อวสานปรองดอง
โดย กาหลิบ
แนวคิดปรองดองเป็นเรื่องจอมปลอมมาตั้งแต่ต้นสำหรับผู้สังเกตการณ์การเมืองที่เอาจริงเอาจังและไม่หลอกตัวเอง แต่เมื่อคำพิพากษาในคดีของนายอำพล ตั้งนพกุล ผู้ที่ชาวประชาธิปไตยเรียกขานอย่างเคารพและเห็นใจว่า “อากง” ปรากฏขึ้น ความจอมปลอมก็กลายเป็นการหลอกลวงอย่างสมบูรณ์
“อากง” ในวัย ๖๑ ปี ถูกพิพากษาให้จำคุก ๒๐ ปี เพราะส่งข้อความผ่านระบบ SMS รวม ๔ ครั้งไปยังโทรศัพท์ของลูกน้องคนหนึ่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ข้อความเหล่านี้ถูกชี้โดยศาลว่าเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ บวกด้วยฐานความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ในที่สุด “อากง” ก็ต้องคำพิพากษาให้รับราชทัณฑ์รวม ๔ กระทง กระทงละ ๕ ปี รวมทั้งสิ้น ๒๐ ปี
“อากง” มีสิทธิ์ยื่นขออุทธรณ์ภายใน ๓๐ วันก็จริง แต่ความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นในกระบวนการขั้นแรกก็ทำให้มวลชนประชาธิปไตยรู้สึกถึงรสขมในปากและลำคอ จนไม่ปรารถนาจะพึ่งพากระบวนการ “ยุติธรรม” ที่เหลืออีกต่อไป
ใครที่ยังหลงละเมอกับ “การปรองดอง” และ “ความยุติธรรม” ในระบอบปัจจุบัน ถึงเวลาตื่นจากฝันและดื่มด่ำความจริงจากคดีของ “อากง” ได้แล้ว
“อากง” คือบุคคลสามัญธรรมดา ไม่ใช่ผู้นำการเมืองและไม่ใช่แม้กระทั่งนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ความรู้ในเครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็จำกัด อายุอานามก็กว่าหกสิบปี เป็นเพียงชายในวัยเริ่มชราคนหนึ่งที่เจ็บปวดกับความไม่ถูกต้องของบ้านเมืองและประสงค์จะแสดงสิทธิความเป็นคนของตนเองตามเสรีภาพที่เผลอคิดว่าตัวเองมีอยู่เท่านั้น
แกคงเหมือนคนไทยอีกหลายล้านคน ผู้เคยเชื่อในความดีงามของระบอบเก่าๆ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่เขียนประกันสิทธิและเสรีภาพไว้อย่างหรู
คนไทยใจบริสุทธิ์เหล่านี้คงยังมีอีกมาก มิฉะนั้นเหยื่อทมิฬของระบอบเก่าในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงคงจะไม่มากเต็มเมืองถึงขนาดนี้
ในชั่วโมงนี้ข่าว “อากง” กำลังแพร่สะพัดไปตามสื่อระดับโลกอย่างรวดเร็ว เพราะเครือข่ายข่าวที่เราช่วยกันสร้างขึ้นมาด้วยใจ สำนักข่าวฝรั่งเศส, BCC, CNN ฯลฯ เพิ่งจบสิ้นการรายงานข่าวชิ้นแรกของ “อากง” ออกไปสู่โลก และจะมีรายงานข่าวตามมาอีกมาก ทุกรายงานเน้นน้ำหนักที่ความรุนแรงที่ปรากฏในคำพิพากษา
คดีของ “อากง” อาจจะเป็นเส้นแบ่งที่สำคัญของสังคมไทยในอนาคตอันใกล้ เพราะเป็นหลักฐานอันชัดเจนว่าหนทางปรองดองมิได้นำไปสู่ความสงบสุขของสังคมไทยเลย
คอลัมน์หายไปนานหลายสัปดาห์ เพราะติดตามสถานการณ์น้ำการเมืองที่ไหลท่วมคนจนและผู้ที่เริ่มตั้งตัวขึ้นมาด้วยกิจการขนาดเล็กและกลางอย่างที่เรียกกันว่า SMEs อย่างใกล้ชิด จนสรุปได้ว่าคนที่เป็นเจ้าพ่อน้ำเมืองไทยอยู่คนเดียวเป็นคนขนาดไหน น้ำที่เก็บไว้อย่างจงใจเจตนาและการวางแผนอันแยบยลร่วมกับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่จงรักภักดีต่อตัวเขาจนไม่ฟังรัฐบาลของประชาชน ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารอย่างเลือดเย็นเมื่อพบว่าตัวเขารู้สึกว่ากำลังสูญอำนาจเบ็ดเสร็จไปทีละน้อยๆ ตามวัฏสงสารและสันดานชั่วร้ายของตนเอง
มาตรการหลายอย่างในฝ่ายประชาธิปไตยจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อให้สมกับความเหี้ยมโหดของคนสั่งการทำลายและทำร้ายประชาชน แต่ก่อนการประดาบกันในแง่มุมนั้นจะเกิดขึ้น คดี “อากง” ก็ปรากฏขึ้นเสริมสถานการณ์อย่างสอดคล้องต้องกัน
เหมือนฟ้าดินจะช่วยฉีกกระชากรูปทองให้ออกจากตัวเป็นๆ ของเขาให้ทันใจ
ขอให้พี่น้องไทยทั่วโลกและครอบครัวญาติมิตรที่เป็นคนชาตินั้นๆ ช่วยรวมตัวประท้วงให้ปรากฏชัด ณ สถานเอกอัครราชทูต หรือ สถานกงสุลใหญ่ของไทยในประเทศและเมืองต่างๆ โดยเอาตัวอย่างจากคดี “อากง” เป็นคำอธิบายต่อคนที่ยังไม่เข้าใจในปัญหาวิกฤติไทย สื่อสากลทั่วโลกซึ่งเริ่มเข้าใจว่าผู้ร้ายแห่งการเมืองไทยตัวจริงคือใคร คงจะเข้าช่วยเหลือเผยแพร่กิจกรรมของท่านเพื่อเร่งปฏิกิริยาในระดับสากลต่อไป
ดิ้นรนทำลายตัวเองนักก็ดีแล้ว ขอประกาศรับลูก ณ บัดนี้.
---------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566795 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com
วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ความตายของกัดดาฟี่ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ความตายของกัดดาฟี่
โดย กาหลิบ
การสังหารโหดอดีตผู้นำลิเบีย พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ เกิดขึ้นระหว่างน้ำหลากครั้งใหญ่ในเมืองไทย ใจคอคนไทยอย่างเราๆ ก็เวียนวนอยู่กับเรื่องใกล้ตัว ไม่อยากคิดอะไรไกลนักในระยะนี้ แต่การหักมุมในการเมืองระหว่างประเทศที่ปลิดชีพกัดดาฟี่เที่ยวนี้ออกจะมีความหมายต่อโลกในหลายมิติ จะเพิกเฉยไปเลยคงไม่สมควร โดยเฉพาะในความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย เพื่อนร่วมทุกข์ในเมืองไทยทุกๆ ท่านคงเข้าใจที่จะไม่พูดเรื่องน้ำสักวัน
ข่าวสารทุกวันนี้รวดเร็วถึงขนาดที่ภาพการจับตัวและกลายสภาพเป็นร่างไร้วิญญาณของกัดดาฟี่มาถึงเร็วว่าเนื้อข่าว เราเห็นภาพกัดดาฟี่ที่ดูงุนงงตื่นกลัว ถูกกลุ้มรุมอย่างไม่เป็นมิตรโดยผู้คนที่มีอาวุธในมือ แล้วภาพก็ตัดไปที่ร่างเปื้อนเลือดของอดีตผู้นำลิเบียที่กำลังถูกนำขึ้นแสดงบนเวทีต่อหน้าประชุมชนที่เมืองเซิร์ต และเห็นได้ชัดว่าถูกปลิดชีพลงเสียแล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่ากระสุนนัดสุดท้ายที่ฆ่ากัดดาฟี่มาจากที่ใด จากกองกำลังติดอาวุธฝ่ายประชาชนที่รุมล้อมอยู่หรือจากองครักษ์คนสุดท้ายที่ตัดสินใจลั่นกระสุนใส่ศีรษะอดีตเจ้านายของตนเพื่อให้พ้นจากประชาทัณฑ์และพิทักษ์ศักดิ์ศรีกันแน่ แต่นั่นเป็นภาระหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์และผู้สนใจในการรวบรวมหลักฐานเพื่อประกอบภาพขึ้นใหม่
สิ่งที่มีความหมายต่อเราในเมืองไทยคือการตายของกัดดาฟี่และผลกระทบต่อเนื่องจากวันนี้
ข้อเท็จจริงที่ควรบันทึกไว้ก่อนที่อารมณ์ล้างแค้นจะไหลเข้ามาแทนที่คือ กัดดาฟี่มิได้ถูกโค่นโดยประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยสรรพาวุธของมหาอำนาจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะฝรั่งเศส เพราะเขาไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเกิดคือเซิร์ตอย่างปลอดภัย กองกำลังประชาชนเข้าไม่ถึงตัวนานถึงสองเดือน แต่เมื่อเขาตัดสินใจย้ายที่หลบซ่อนตัวนั่นเองที่ข่าวรั่ว ขบวนรถกันกระสุนของเขาถูกโจมตีปานสายฟ้าแลบจากเครื่องบินรบฝรั่งเศสซึ่งได้รับข้อมูลอย่างแม่นยำ แต่กัดดาฟี่ก็ยังไม่ตาย วิ่งออกจากซากรถที่สิ้นสภาพขบวนอารักขา พร้อมกับลูกชายและหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองประจำตัวแล้วไปหลบซ่อนในท่อน้ำ จากนั้นเองกองกำลังติดอาวุธฝ่ายประชาชนก็เข้าถึงตัว แล้วการฆาตกรรมทางการเมืองจึงเกิดขึ้น จะโดยใครก็ตาม
ชาวประชาธิปไตยทั่วโลกผู้รู้ถึงพฤติกรรมเลวร้ายยาวนานของกัดดาฟี่ รวมทั้งนักประชาธิปไตยไทย คงกำลังสาธุการกับการตายของเขา กัดดาฟี่คือคนที่ฆ่า ทรมาน และละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนลิเบียมานานถึงสี่ทศวรรษ ชีวิตมนุษย์ถูกกระทบกระเทือนอย่างสาหัสจากระบอบเขามาไม่รู้จักเท่าไหร่ แม้แต่ประชาคมระหว่างประเทศก็ยังชิงชังในความเป็นผู้ก่อการร้ายสากลของเขา การสิ้นชีพอย่างน่าสยดสยองของเขาจึงเสมือนว่าบาปอันหนักได้สนองเขาเข้าให้ ดูจะเป็นสมดุลแห่งชีวิตอยู่
ประชาชนผู้ถูกกดขี่ทำร้ายจนต้องลุกขึ้นสู้กับผู้เผด็จการและระบอบชั่วร้าย ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของสังคมมนุษย์ และเป็นความงอกงามของประชาธิปไตย แต่สมควรหรือไม่ที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจจะเข้าร่วมแทรกแซงด้วยอย่างนี้?
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นตามธรรมชาติคือประชาชนลุกขึ้นสู้ด้วยตนเอง เมื่อถูกทำร้ายโดยผู้มีอำนาจรัฐก็ย่อมมีสิทธิ์ในการป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ หากจะมีประชาคมระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องในบางขั้นตอนก็ควรเป็นองค์การสหประชาชาติ มากกว่าจะเป็นประเทศอื่นที่มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากันในความเป็นพลโลก พูดง่ายๆ ว่าถ้าจะเอาผิดกัดดาฟี่ในอาชญากรรมทางการเมืองอันมากมายของเขา ชาวลิเบียก็ควรเป็นผู้ชี้นำและดำเนินการเอง อดีตผู้นำควรถูกนำตัวขึ้นศาล ใช้หลักนิติธรรมมาเป็นเนื้อ โทษจะถึงขึ้นประหารชีวิตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนั้น
ไม่ใช่การไล่ฆ่าโดยกองกำลังต่างชาติ และต้อนให้กระเซอะกระเซิงไปถูกฆ่าโดยคนที่กำลังโกรธแค้นชิงชัง
การลงโทษคนที่มีหัวใจเป็นสัตว์ ต้องกระทำโดยจิตใจที่สูงกว่า การลดตัวลงไปเป็นสัตว์ด้วยมิใช่สิ่งพึงกระทำ
เราไม่ต้องการกลายเป็นเผด็จการระบอบใหม่ที่มาแทนเผด็จการระบอบเก่า แต่ต้องการนำความเป็นมนุษย์ที่สูงกว่าเข้ามามอบแก่สังคม เราต้องระวังความคิดและจิตใจของเราให้ดี
ความตายของกัดดาฟี่นั้นเข้าใจได้ แต่ชาวประชาธิปไตยควรคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งถึงผลทางสังคมในอนาคต ก่อนที่เราจะต้องตกอยู่ในที่นั่งนั้นเอง.
--------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com
วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554
สู้กันซึ่งหน้า โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สู้กันซึ่งหน้า
โดย กาหลิบ
เพิ่งดูการโต้ความคิดเต็มเหยียดสองชั่วโมงของผู้ที่ต้องการเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในสหรัฐฯ เพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับบารัค โอบาม่า แล้วก็เกิดความคิดหลายอย่าง
การโต้ความคิด หรือ debate ครั้งนี้เกิดขึ้นในหมู่ผู้สมัคร ๗ คน และเฉือนกันในสายตาของผู้ชมอเมริกันนับหมื่นในห้องประชุมของโรงแรมเวเนเชียนลาสเวกัส และอีกเป็นล้านๆ คนที่ชมทางโทรทัศน์ นี่คือหนึ่งในการเดินสายโต้ความคิดของผู้สมัครเหล่านี้ และใครจะอยู่จะไปจนถึงวันเลือกตัวผู้สมัครในการประชุมใหญ่ของพรรคขึ้นอยู่กับคะแนนนิยมที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลง ทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตต่างยอมรับและใช้รูปแบบที่คล้ายคลึงกันนี้
๗ คนของรีพับลิกัน ซึ่งจะต้องสู้กันจนเหลือเพียงคนเดียว และคนๆ นั้นก็จะเลือกผู้สมัครร่วมเพื่อเป็นรองประธานาธิบดีอีกคนหนึ่งในภายหลัง ประกอบด้วยอดีตสมาชิกวุฒิสภาอย่าง ริค แซนทอรั่ม ที่วางตนเองเป็นผู้สมัคร “หนุ่ม” อดีตผู้ว่าการรัฐอย่าง มิตต์ รอมนี่ย์ ผู้เป็นตัวเต็งในชั่วโมงนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบันอย่าง รอน พอลล์ และ มิเชล บาคแมน ซึ่งเป็นสุภาพสตรีคนเดียวในกลุ่ม ขาใหญ่ผู้เป็นอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่าง นิวท์ กิงริช ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสอย่าง ริค เพอร์รี่ ไปจนถึงชายผิวดำผู้สร้างจุดยืนว่าเป็นนักธุรกิจคนนอกและไม่ใช่นักการเมืองอาชีพอย่าง เฮอร์แมน เคน ที่กำลังเข้าตามวลชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ใครเป็นใครและมีโอกาสเข้าวินขนาดไหน วันหลังคงมีโอกาสได้เสวนากัน แต่ความสำคัญที่เกิดขึ้นในกิจกรรมการเมืองสไตล์อเมริกันอย่างนี้อยู่ที่การโต้ความคิดกันสดๆ แบบซึ่งหน้า หยิบเอาเรื่องที่มวลชนสนใจมาสาดใส่กันอย่างเปิดเผย แม้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและถ้าเป็นสไตล์ไทยเดิมก็ต้องคุยด้วยเสียงกระซิบ เขาก็พูดกันเสียงดังๆ และคาดคั้นคำตอบกันเหมือนจะฆ่าฟันกันทางการเมือง
ยกตัวอย่างเรื่องเหล่านี้เสียหน่อยให้เห็นภาพ การประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเอาอย่างไร เอาเงินกลุ่มไหนไปช่วยกลุ่มไหน ภาษีจะลดให้ใคร เพิ่มให้ใคร อำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นของใคร รัฐบาลกลางที่กรุงวอชิงตันหรือรัฐบาลระดับมลรัฐในท้องถิ่นนั้นๆ เงินที่เอาไปช่วยประเทศต่างๆ ในฐานะความช่วยเหลือในขณะที่คนอเมริกันลำบากยากจน จะยกเลิกหรือไม่ งบประมาณทางทหารควรลดลงขนาดไหน โดยไม่เกิดผลกระทบต่อการป้องกันประเทศ ฯลฯ
การโต้ความคิดเป็นไปอย่างดุเดือด อย่างตอนหนึ่ง ริค เพอร์รี่ เรียก มิตต์ รอมนี่ย์ ว่า “คนโกหก” และ “คนเสแสร้ง” เพราะมีข้อกล่าวหาว่ารอมนี่ย์แอบจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไว้ทำงานในสวนเกษตรของเขา ก็ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงคละเคล้าระหว่างเรื่องส่วนตัวกับนโยบาย
นอกจากรอมนี่ย์จะถูกโจมตีและคนอื่นๆ ก็เข้าช่วยรุมเพราะกำลังนำ อีกคนหนึ่งที่ความนิยมดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าง เฮอร์มัน เคน ก็ถูกเล่นงานไม่น้อย โดยเฉพาะข้อเสนอภาษี 9-9-9 ที่หวังให้เป็นเครื่องมือกระตุ้นและสร้างเศรษฐกิจ ข้อเสนอนี้ถูกโจมตีจากทั้ง ริค เพอร์รี่ มิเชล บาคแมน และริค ซานทอรั่ม ว่าเป็นแผนการที่คนอเมริกันจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้นในบั้นปลาย
ความน่าสนใจของเคนอย่างหนึ่ง นอกจากความเป็น “คนนอก” และฉีกตัวเองจากนักการเมือง ๖ คนที่เหลือแล้ว เขายังเป็นคนผิวดำ ประเด็นนี้น่าจะเป็นยุทธวิธีที่จะเอาคนดำฝ่ายรีพับลิกันมาชนคนดำอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นแชมเปี้ยนฝ่ายเดโมแครตอยู่ในสนาม นั่นคือประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า
ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการสู้กันซึ่งๆ หน้า ได้แก่ความชัดเจนในจุดยืนของผู้สมัครแต่ละคน สิ่งที่ผู้ดำเนินรายการ แอนเดอร์สัน คูเปอร์ จาก CNN และผู้ชมส่วนหนึ่งลุกขึ้นถาม ล้วนเป็นหมัดตรงๆ ชนิดเลี่ยงไม่ได้ทั้งนั้น ใครที่คิดว่าวาทศิลป์และความลื่นกะล่อนทางการเมืองจะช่วยได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เท่ากับลุกขึ้นประจานตัวเองในที่สาธารณะ
ดูตัวอย่างนี้แล้วก็นึกถึงเมืองไทยเรา
ไม่มีใครบอกว่าอยากให้เมืองไทยจู่ๆ กลายเป็นเมืองอเมริกันหรือตาบอดจนมองข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างกัน แต่ยอมรับหรือไม่ว่าการพูดอะไรตรงๆ ไม่ได้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างในเมืองไทยขาดความชัดเจน
เอาตัวอย่างเฉพาะหน้าก็ยังได้ จนถึงบัดนี้ทุกคนพูดแต่การแก้ปัญหาน้ำโดยทุบโต๊ะตัดบททุกคนว่า อย่ามาถามว่าเราเกิดวิกฤติขึ้นมาได้อย่างไร โดยความคิดที่ครอบงำประเทศมาเนิ่นนานขนาดไหน และทำเป็นไล่ให้ไปช่วยคนที่เดือดร้อนเพื่อกลบเกลื่อน หากคำถามนี้ถูกนำขึ้นไปสู่เวทีที่ลาสเวกัสอย่างเมื่อครู่นี้คงจะกระชากใครต่อใครที่หลบอยู่หลังภาพอันงดงามออกมารับผิดชอบได้ เราจะได้ไม่ต้องพึ่งของปลอมและหันมาสร้างศรัทธาต่อของจริง นั่นคือรัฐบาลของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ไปนั่งอ้อล้อกันอยู่แถวออสเตรเลียไม่มีประโยชน์ใดๆ อย่างยั่งยืนเลย.
----------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เวลาเอเชีย โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เวลาเอเชีย
โดย กาหลิบ
พร้อมกับที่ไทยกำลังเดือดร้อนเรื่องสถานการณ์น้ำ โลกทั้งโลกกำลังหนักใจว่าเศรษฐกิจภาพรวมจะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นวิกฤติโลกหรือไม่
ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือวอลล์สตรีทที่ตกโครมในคราวเดียว ท่ามกลางความไม่ประสีประสาของรัฐบาลบารัค โอบาม่าที่ยังไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร และความล้มเหลวของกรีซ ในการปฏิบัติตามข้อตกลงในฐานะลูกหนี้ของสหภาพยุโรป ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกในนาทีนี้กำลังเข้าสู่ห้วงเหวแห่งปัญหาลึก จะถึงขั้นที่กระทบต่อทุกคนรวมทั้งเมืองไทยหรือไม่ก็ยังไม่รู้
เราจำเป็นต้องหันกลับมาวิเคราะห์เรื่องนี้และกำหนดวิธีการรับมือให้ถูกต้อง การต่อสู้ในทางการเมืองอันเข้มข้นรุนแรงและสถานการณ์น้ำที่เสียหายรุนแรงเป็นประวัติการณ์ก็ต้องบริหารคู่ขนานไป จะรอเรื่องหนึ่งจบก่อนแล้วจึงหันมามิได้ เพราะจะไม่ทันเวลา
หน่วยงานบริหารเศรษฐกิจในโครงสร้างประจำ ไม่ว่าจะสภาพัฒน์ฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ ก็เน้นภาระงานเฉพาะหน้าที่สำคัญและเร่งด่วน เช่น การมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำลด การวางโครงสร้างน้ำของประเทศใหม่ทั้งระบบ เป็นต้น
แต่การเตรียมรับปัญหาเศรษฐกิจพิเศษที่จะจรมาเมื่อไหร่ก็ได้นั้น ควรตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาให้สมกับสถานการณ์และควรตั้งเสียตั้งแต่บัดนี้
นอกจากภาระหน้าที่ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจและเป็นประหนึ่งหวูดเตือนภัยสำหรับประเทศแล้ว คณะทำงานพิเศษนี้ยังมีงานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการบริหารสิ่งที่นักเศรษฐกิจหลายคนพยากรณ์และเรียกขานว่า “เวลาเอเชีย”
เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่มากที่สุดในโลกและมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่อำนาจเศรษฐกิจกลับอยู่ในมือของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมากกว่า การผงาดของจีน อินเดีย เกาหลีใต้และแม้กระทั่งญี่ปุ่นก็ยังขาดความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก และยังไม่ประสบความสำเร็จที่จะเข้าแทนระบบเดิมที่มหาอำนาจเศรษฐกิจเก่าๆ เขาวางไว้ เช่น ยึดเงินตราสหรัฐฯ เป็นสื่อหลักในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ (forex) จัดระดับการพัฒนาของทุกๆ ประเทศตามเกณฑ์ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นต้น
เหตุผลหนึ่งก็เพราะเอเชียมีปัญหาการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างกันมากเหลือเกิน สาธารณรัฐประชาชนจีนผู้ยิ่งใหญ่เป็นทั้งที่พึ่งและภัยคุกคามของบางประเทศในเอเชีย วัฒนธรรมมุสลิมในเอเชีย โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่จริงๆ คือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ก็ถูกวาดภาพให้กลายเป็น “ภัยคุกคาม” ของโลกในฐานะบ่อเกิดของ “ลัทธิก่อการร้าย” ทั้งๆ ที่ต้องการการพัฒนาไม่น้อยไปกว่าประเทศไหนๆ ในโลกเลย น่านน้ำซึ่งเชื่อกันว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ พาราเซล และอื่นๆ ก็เป็นที่วิวาทบาดหมางจนแทบจะยกกองทัพมาทำสงครามกัน เป็นต้น พูดง่ายๆ คือ เอเชียถูกใครเขาแหย่ให้ทะเลาะกันอย่างได้ผล และทำมาตลอดประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ โน่นแล้ว คนที่แหย่เขารู้ดีทีเดียวว่าเมื่อใดที่เอเชียรวมตัวกันได้ อำนาจเศรษฐกิจโลกจะไหลกลับรวมศูนย์กันที่นี่
การบริหาร “เวลาเอเชีย” นั้นทำได้หลายวิธี รัฐบาลจากการเลือกตั้งสมัย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ลองแล้วหนึ่งวิธี นั่นคือตั้งกลุ่มความร่วมมือที่รวมประเทศตัวแทนของทุกอนุภูมิภาค (sub-region) ในเอเชีย ผลก็คือการผงาดขึ้นของกลุ่ม ACD ซึ่งเริ่มต้นโดยประเทศไทย ประชุมครั้งแรกที่เชียงใหม่ และถูกนำไปสานต่อโดยมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย นั่นคือสาธารณรัฐประชาชนจีนผู้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งที่สอง ณ นครชิงต่าว แต่แล้วรัฐบาลไทยชุดนั้นก็ถูกรัฐประหารหมดอำนาจไป ส่งผลให้แรงผลักดัน ACD มาทำหน้าที่ผู้บริหาร “เวลาเอเชีย” ลดลงเป็นอันมาก
วิธีอื่นๆ ในการรวมเอเชียในทางเศรษฐกิจยังมีอีก และไทยในยุคที่รัฐบาลของประชาชนอย่างนี้ก็สามารถทำหน้าที่เจ้าภาพได้อีก ไม่ต่างจากสมัยรัฐบาลทักษิณ
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาและเตรียมรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเสียแต่บัดนี้ หากวิกฤติไม่เกิด เหตุการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย ก็ยุบเลิกคณะทำงานลงเสียเมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องดีแบบนี้ไม่มีเสียหน้าหรือเสียรังวัดใดๆ.
-----------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com
ทัวร์พิเศษสุด กองเชียร์ไทยหัวใจแดง ครั้งที่ 2
ทัวร์พิเศษสุด กองเชียร์ไทยหัวใจแดง ครั้งที่ 2
ณ ประเทศกัมพูชา
(เพียงท่านละ 6,500 บาท รวมค่ารถ ค่าอาหาร ที่พัก ประกันอุบัติเหตุ)
เดินทาง วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม - กลับวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2554
"สู่อารยธรรมขอม หลอมหัวใจไทยกัมพูชา" “กองเชียร์ไทยหัวใจแดง” มาอีกแล้วครับ.. คราวนี้เยี่ยมเยือนโบราณสถานอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก “นครวัด-นครธม” ในราชอาณาจักรกัมพูชา... พวกเราย่อมไม่ลืมว่า ในการต่อสู้กว่าห้าปีของพวกเรา เรามีกัมพูชา-เพื่อนบ้านผู้น่ารัก-ช่วยเหลืออย่างมีน้ำใจมาโดยตลอด พวกเราจึงขอเชิญชวนทุก ๆ ท่าน เดินทางไปเที่ยว และให้กำลังใจกับกัลยาณมิตรของเราในโอกาสนี้ แถมยังจะได้เป็นประวัติชีวิตอีกต่างหากว่า ได้ไปเยือนสถานที่อันโด่งดังกระเดื่องโลกมาแล้วด้วยตัวเอง
กัมพูชา ตั้งอยู่กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทิศเหนือติดกับประเทศไทย (จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์) และลาว (แขวง อัตตะปือและจำปาสัก) ทิศตะวันออกติดเวียดนาม (จังหวัดกอนทูม เปลกู ซาลาย ดั๊กลั๊ก ส่องแบ๋ เตยนิน ลองอาน ด่งท๊าบ อันซาง และเกียงซาง) ทิศตะวันตกติดประเทศไทย (จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด) และทิศใต้ติดอ่าวไทย
โปรแกรม 3 วัน 2 คืน (โดยรถกลับรถ)
กรุงเทพฯ – อรัญประเทศ – ปอยเปต – นครวัด – นครธม – บันทายศรี – ทะเลสาบ
วันแรกของการเดินทาง 28 ตุลาคม 54 จุดนัดพบ - อรัญประเทศ – ปอยเปต – เสียมราฐ (B/L/D)
06.00 น. คณะพร้อมกันที่จุดนัดพบ แล้วออกเดินทางไปยัง อ. อรัญประเทศ (บริการอาหารเช้าบนรถ)
09.30 น. คณะเดินทางถึง อ. อรัญประเทศ นำคณะท่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ไทย – กัมพูชา แล้วออกเดินทางโดยรถปรับอากาศสู่จังหวัดเสียมราฐ ตามถนนหมายเลข 6 ซึ่งเป็นถนนลาดยางระยะทาง
12.30 น. เดินทางถึงเมืองเสียมราฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทนครวัด
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร จ. เสียมราฐ นำท่านเก็บสัมภาระเข้าโรงแรมที่พัก ณ โรงแรมระดับ 4 ดาว อังกอร์ริเวร่า / สมายลิ่ง / ซิตี้อังกอร์ /รีโฮเต็ล หรือเทียบเท่า หลังจากนั้นนำท่านไหว้พระองค์เจก-พระองค์จอม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดเสียมราฐ
17.00 น. นำคณะขึ้นเขาพนมบาเค็ง หรือวนัมกันตาล ที่ตั้งของปราสาทพนมบาเค็งซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งอำนาจของเมืองยโศธรปุระ ในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เพื่อบันทึกภาพพระอาทิตย์อัสดงเหนือบารายตะวันตกที่สวยงามจากยอดประสาทพนมบาเค็ง ท่านจะสามารถมองเห็นเมืองพระนครในบรรยากาศยามเย็นอร่าม เป็นสีทองงดงามดั่งเมืองเนรมิตซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเสียมราฐ
19.30 น. รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารสวัสดี ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด
เสียมราฐ หลังนำท่านกลับโรงแรมที่พัก
07.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก
08.00 น. เดินทางสู่บันเตียเสรย หรือ บันทายศรี ตามภาษาเขมรจะแปลว่า “ป้อมแห่งสตรี” ด้านตัวปราสาทนั้นสร้างในแนวราบ เป็นปราสาทหลังเล็กๆกลุ่มหนึ่งสร้างด้วยหินทรายสีชมพู และแกะสลักภาพรูปนูนต่ำ โคปุระของปราสาทบันทายศรีเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งมีความงดงามมาก ศิลปกรรมของบันทายศรีจะมีความอ่อนช้อย ประณีต มีความคม บางชัดเจนเป็นพิเศษโดยเฉพาะลวดลายพรรณพฤกษาและลายต่างๆ ล้วนมีความชัดเจนประดุจกลีบดอกกลีบใบที่สลักอยู่บนหินลอยเด่นออกมา ส่วนรูปนางอัปสรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่านางอัปสราและเทวดาในสมัยอื่นๆ คือมีรูปร่างสมส่วน หน้าตาหมดจด อาภรณ์และเครื่องประดับมีความชัดเจน ถือได้ว่างามที่สุดในศิลปะของเขมร
หลังจากนั้นออกเดินทางมุ่งสู่ เมืองนครธม หรือ อังกอร์ธม ชมความงดงมและความมหัศจรรย์ของปราสาท และโบราณสถานที่สำคัญๆอาทิเช่น ปราสาทปักษีจำกรง แล้วชม สะพานนาคราช เป็นหลักศิลามีเอกลักษณ์เฉพาะด้านเช่น รูปแกะสลักรูปเทวดากำลังฉุดนาค ฯ ปราสาทบายน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของนครธม และเป็นสุดยอดของปราสาทเขมรในยุคเสื่อมยอดปราสาททุกหลังจะแกะสลักเป็นรูปเทวพักตร์ 4 หน้าซึ่งหันออกไปทอดพระเนตรดูแลทุกข์ สุข ของประชาชนทั้ง 4 ทิศ และขอนำท่านกราบนมัสการ พระชัยพุทธมหานาค เป็นพระพุทธรูปนาคปรกศิลาที่มีขนาดใหญ่ และท่านจะได้ชม บ่อน้ำโบราณ ซึ่งน้ำในบ่อนี้จะถูกนำมาใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ทุกรัชกาล และจะได้สัมผัสถึงภาพจิตกรรมแกะสลักที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวเขมรโบราณ เปรียบเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของชาวเขมร
12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารดอกบัวใหม่ เป็นร้านอาหารเขมร-จีน-เวียดนาม
13.00 น. หลังจากนั้นพาชมปราสาทตาพรหม เป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่สร้างใหญ่โตกว่าสนาม
หลวงของไทย รวบรวมหมวดปราสาทไว้ถึง 24 หลัง ตั้งอยู่กลางป่ามีแมกไม้ขึ้นปกคลุม บางแห่งมีรากไม้ใหญ่อันมหึมาโอบอุ้มพระเทวสถานไว้อย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นพาท่านชม ปราสาทนครวัด หรือ อังกอร์วัด สิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกที่เปรียบเสมือนวิมานของเทพเจ้าสูงสุดที่บรรจงชะลอลงมาประดิษฐานไว้บนโลกมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของการเดินทางในครั้งนี้ ปราสาทนครวัดสร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยถวายเป็นพุทธบูชา ท่านจะได้ชมความงดงามตระการตาของโบราณสถาน และรูปแกะสลักต่างๆเช่น รูปแกะสลักนางอัปสราลิ้น 2 แฉก,ภาพแกะสลักนูนต่ำการกวนเกษียรสมุทร ภาพแกะสลักการยกทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โดยกองทัพเสียมกุก ห้องทุบอก และชมความงามของยอดปราสาททรงดอกบัวตูม
07.30 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม พร้อมเช็คเอ้าท์
08.30 น. พาท่านล่องเรือในโตนเลสาป ทะเลน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีพันธุ์ปลา
ชุกชุมมากที่สุด ชมวิถีชีวิตชาวเรือกว่า 5,000 ครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในทะเลกว้าง ซึ่งครอบคลุม
พื้นที่ถึง 5 จังหวัด ที่ใช้เรือเป็นบ้าน ใช้น้ำเป็นเรือนตาย ในชุมชนชาวน้ำมีครบทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน คาราโอเกะ ร้านขายของชำลอยน้ำ นำคณะกลับเข้าตัวเมือง จ. เสียมราฐ
หลังจากนั้นพาท่านเที่ยวชมตลาดต้นโพธิ์ เลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองของที่ระลึกสัมผัสชีวิตชาวกัมพูชาในเสียมราฐ จากนั้นนำท่านออกเดินทางกลับชายแดนปอยเปต
ระหว่างเดินทางกลับแวะชมเขื่อนน้ำบารายตะวันตก เป็นเขื่อนน้ำสมัยโบราณที่ขุดด้วยมือมนุษย์ โดยใช้แรงงานมากกว่า 50,000 คน ใช้เวลา 5 ปี ล้อมรอบด้วยคันหินลึกประมาณ
12.30 น. เดินทางถึงชายแดนปอยเปต , รับประทานอาหารกลางวันที่ ณ ทรอปิคาน่า รีสอร์ท (คาสิโน) หลังจากทานอาหาร เที่ยวชมบ่อนคาสิโน 30 นาที
14.00 น. ได้เวลาพอสมควรนำท่านดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ปอยเปต – ไทย ช็อปปิ้งที่ตลาดโรงเกลือตามอัธยาศัย ตลาดโรงเกลือ ตั้งอยู่บ้านคลองลึก ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ ห่างจากประตูชัย ประมาณ
กล่าวได้พัฒนาขึ้นมาเป็นตลาดชายแดนที่มีขนาดใหญ่โตมาก มีสินค้าราคาถูกนานาชนิดทั้งของไทย เขมร เวียดนาม จีน มาวางขายให้กับประชาชนทั่วๆไป ได้เวลาพอสมควรส่งคณะ กลับกรุงเทพฯด้วยความสุข และประทับใจ .
18.30 น. บริการอาหารค่ำที่ร้านอาหารเวียตนามเจ้าดั้งเดิมในอรัญฯ
หมายเหตุ : จองด่วนที่ : คุณไพโรจน์ ช่วยชู โทร. 087-9345926, 088-2572014, 086-0730053
โอนเงินชำระได้ที่ บัญชี นายไพโรจน์ ช่วยชู จำนวนเงิน 6,500 บาท
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอ่อนนุช ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 133-217-1311
หมายเหตุ : (1) กรุณา FAX. หลักฐานการโอนเงินมาได้ที่ โทร. 037-232383
(2) ผู้เดินทางกรุณาส่งสำเนาหนังสือเดินทาง FAX มาล่วงหน้าได้ที่ โทร.037-232383
(3) จุดจอดรถทัวร์ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์สถานีหัวหมาก ถนนศรีนครินทร์
ข้อแนะนำ
การเตรียมตัวในการไปเที่ยวประเทศกัมพูชา
- อากาศร้อน ถึง ร้อนมาก แต่ส่วนมากอากาศจะใกล้เคียงกับประเทศไทย
- แต่ช่วงเดินเที่ยวแต่ละปราสาท ต้องมีเจอแดด และฝุ่นบ้าง ควรเตรียมครีมกันแดด
และ ยาแก้แพ้ต่างๆ ไปด้วยหากจำเป็นต้องใช้ยาเฉพาะบุคคล
- การเข้าชมปราสาทต่างๆ เช่น ปราสาทนครวัด จะต้องเดิน เยอะมากๆ เตรียมครีมนวดแก้ปวดเมื่อยไปด้วยถ้าหากเราไม่ค่อยได้ออกกำลัง
- ห้องน้ำในช่วงระหว่างการเดินทางห้องน้ำจะมีตามจุดพักรถ ตามสภาพของชาวพื้นบ้าน
แต่เมื่อถึง จ.เสียมราฐ ห้องน้ำสะอาด จะมีตามโรงแรม ในบริเวณปราสาท หรือ ร้านอาหารที่เราไป.
- เรื่องอาหาร ไม่ต้องกลัว ทานอาหารร้านคนไทย และ ร้านอาหารระดับนานาชาติ เกือบทุกมื้อ สะอาด ปลอดภัย / หากท่านรอบคอบก็เตรียมยาแก้ท้องเสียไปด้วย เพราะยาที่เราใช้ในเมืองไทยค่อนข้างหายากและแพง (แต่โดยทั่วไปแล้วทีมงานเรามีเตรียมอยู่แล้ว)
- ควรเตรียม ยาแก้แพ้ หรือ ยารักษาโรคประจำตัว ไปด้วย เพราะการไปซื้อที่ต่างแดน
อาจไม่ได้ตามที่ต้องการ และ ควรแจ้งกับทีมงานก่อนการเดินทางทุกครั้ง
การเตรียมใจ
- เราต้องทำใจรับกับความเป็นกัมพูชา ประเทศบ้านเมืองไม่ได้สวยงามเสมอไป อาจจะเจอฝุ่น
ขอทาน กลิ่นไม่พึงประสงค์ บ้างในบางสถานที่ และ เวลาข้ามด่านให้ระมัดระวังสิ่งของ
ของเรา เช่น กระเป๋าสตางค์ /กล้องถ่ายรูป / พาสปอร์ต เป็นต้น . ห้ามประมาท เพราะ
เด็กที่นี่จะมืออาชีพ อาจจะทำเป็นวิ่งเล่น แล้ววิ่งชนเราแต่ของมีค่า โดยเฉพาะ
โทรศัพท์มือถือของเราจะติดมือเด็กไปด้วย
สาธารณูปโภค
ระบบไฟฟ้าใช้ 220 V และ รูปแบบปลั๊กเช่นเดียวกับเมืองไทย
การแลกเงิน
ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา สามารถใช้เงินตราทั่วไป ได้ทั้ง 3 สกุล เงินบาทไทย,
ดอลล่าร์สหรัฐ และ เรียลกัมพูชา (ใช้ในการทำบุญในปราสาทต่างๆ หรือเข้าห้องน้ำ
ระหว่างทาง)
------------------------------------------------------------
สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com