ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จักรภพ:อำมาตย์จวนตัวใช้แผนแดงฆ่าแดงฯ

จักรภพ:อำมาตย์จวนตัวใช้แผนแดงฆ่าแดง ประชาชาติไทยถูกผลักไสให้เลือกแนวทางปฏิวัติ


ภาพล่าสุดของจักรภพ เพ็ญแข ใส่เสื้อแดงสกรีนรูป ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำการปฏิวัติ 2475 เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์จากต่างประเทศ ซึ่งไม่ระบุสถานที่แน่ชัด ว่า หนทางการปรองดองดูตีบตันเพราะนโยบายของฝ่ายอำมาตย์กำลังผลักไสให้ประชาชนไทย ลุกฮือขึ้นปฏิวัติมวลชนแทนแม้แต่กลไกที่เรียกว่า "แดงฆ่าแดง" ก็ไม่อาจปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของระบอบ นี้ได้อีกต่อไป

0 0 0 0 0

หมายเหตุไทยอีนิวส์: หลัง จากแกนนำนปช.ในต่างประเทศได้พากันเดินทางกลับบ้านกันเกือบหมดทุกคนแล้ว ล่าสุดคือ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หากไม่นับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีเพียงจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรี อดีตโฆษกรัฐบาล และแกนนำนปช.เท่านั้น

เราได้ สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ซึ่งพำนักลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศ เพื่อเปิดเผยทัศนะจุดยืนของเขาต่อสถานการณ์การเมืองไทยตลอดห้วง 3 ปีที่เขาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และทิศทางแนวโน้มในปี 2555

1.คนสนใจกันมากว่าแกนนำที่ไปพักพิงลี้ภัยในต่างประเทศก็กลับมาหมดแล้ว ล่าสุดคือคุณอริสมันต์ ไม่ทราบว่าคุณจักรภพประเมินสถานการณ์อย่างไร และพร้อมจะกลับบ้านหรือยัง?

ขอบคุณครับ ผมทราบว่าพี่น้องมวลชนหลายท่านห่วงใยผม และอยากเห็นผมกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเมืองให้แข่งขันกับโลกเขาได้ ยิ่งเห็น “แกนนำ” เดินทางกลับกันจนหมดแล้วอย่างนี้ก็ยิ่งห่วง กลายเป็นกลัวว่าจะถูกโดดเดี่ยวจนอยู่ไม่ได้และมีอันตราย

ขออาศัยโอกาสนี้กราบขอบคุณต่อพี่น้องทุกท่านเสียก่อนครับ ขอยืนยันว่ากำลังใจอย่างนี้มีความหมายและมีความสำคัญต่อผมมาก และทำให้สู้ต่อได้อีกนาน

ผมประเมินว่าเมืองไทย ณ วันนี้มีบรรยากาศคล้ายวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือวันรุ่งขึ้นหลังการปฏิวัติสยามโดยคณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ภายใต้รัชกาลที่ ๗ ถูกยึดอำนาจไปแล้วหลังเวลา ๖.๐๐ น. ของวันที่ ๒๔ ด้วยความอ่อนแอหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรก็ตาม แต่ปฏิสัมพันธ์ในช่วงหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทำให้เหตุการณ์กลับตาลปัตร พระปกเกล้าฯ เสด็จฯ กลับจากหัวหินคืนสู่พระนคร และผู้แทนของคณะราษฎรก็ได้เฝ้าฯ เกือบจะในทันที

ผมเข้าใจว่าความกลัวสถาบันกษัตริย์ในส่วนลึกของหัวใจของผู้ปฏิวัติ ประกอบกับความประหลาดใจที่กษัตริย์ไม่ขอลี้ภัย (ซึ่งน่าจะเป็นเพราะห่วงใยพระราชวงศ์ที่ถูกกักขังเป็นตัวประกันอยู่) ทำให้บางคนในคณะราษฎรเกิดความคิดในทางประนีประนอม และยังเผลอคิดต่อไปว่าการ “ปรองดอง” เช่นนั้นจะนำไปสู่ความสงบของบ้านเมือง และทำให้พลเมืองได้รับโอกาสร่วมปกครองบ้านเมืองโดยอัตโนมัติ

แม้มีลางบอกเหตุหลายอย่างก็กลับไม่สังเกตเห็นหรือมองข้ามไปเสีย อาทิ การที่พระปกเกล้าฯ ขอเติมคำว่า “ชั่วคราว” หลังธรรมนูญการปกครองสยาม พ.ศ.๒๔๗๕ ที่คณะราษฎรอุตส่าห์เสี่ยงหัวขาดเสนอขึ้นมา

จนทำให้เกิดรัฐธรรมนูญแบบ “ปรองดอง” ขึ้นมาแทนในวันที่ ๑๐ ธันวาคมของปีเดียวกันนั้น

ประชาธิปไตยจึงพิการมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มต้น

ผมเห็นว่าถ้าพวกเราใน พ.ศ. นี้ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวและมองสถานการณ์แค่ปลายจมูก โดยไม่มองโครงสร้างรวมของระบอบการเมืองการปกครองแล้วล่ะก็ ประวัติศาสตร์การเมืองส่วนนี้จะซ้ำรอยให้เราได้เจ็บใจกันแน่

อย่าลืมว่าการลุกฮืออย่างเงียบๆ ของพลเมืองไทยใน พ.ศ.๒๕๔๙-ปัจจุบัน นับเป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก หากเราไม่ตระหนักให้ดีว่าเหตุที่่เขาขอ “ปรองดอง” ก็เพราะเขากำลังเพลี่ยงพล้ำ ไม่ใช่เพราะมีน้ำใจต่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุดเรานั่นแหละที่จะกลายเป็นผู้เพลี่ยงพล้ำเสียเอง ความคิดนี้ทำให้ผมยังไม่กลับเมืองไทย ขออยู่นอกพื้นที่อำนาจเพื่อทำงานไปตามอุดมการณ์และเป้าหมายไปจนถึงวันที่เป็นไปไม่ได้เสียก่อนครับ

2.คุณจักรภพประเมินสถานการณ์การเมืองของไทยอย่างไรนับแต่เดินทางออกนอกประเทศมาจะครบ 3 ปี ฝ่ายประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนต่อสู้ไปเพียงใด



ก้าวหน้ามากครับ ก้าวหน้าทั้งปริมาณและคุณภาพ

ในแง่ปริมาณผมนึกขอบคุณ นปช.ฯ และกลุ่มพลังประชาธิปไตยทุกกลุ่ม ไว้ว่าจะวิเคราะห์สถานการณ์ตรงกันหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่แต่ละกลุ่มช่วยสร้างและเสริมในเชิงกิจกรรมการเมือง ส่งผลให้เราขยายจำนวนสมาชิกของขบวนประชาธิปไตยมาถึงขนาดนี้ และเหนียวแน่นกันระดับนี้ได้

ส่วนคุณภาพเราต้องขอบคุณปัญญาชน นักวิชาการ นักคิด และพลเมืองภิวัฒน์จำนวนมาก ที่ทำงาน “ปิดลับ” โดยผ่านไซเบอร์ และการจัดตั้งด้วยวิธีการอันสร้างสรรค์ต่างๆ จนเรายกระดับแนวคิดขึ้นมาขั้นนี้ได้

ความสำเร็จทั้งปริมาณและคุณภาพของขบวนประชาธิปไตยในห้วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นความสำเร็จที่เพียงไม่กี่ปีก่อนยังนึกว่าเป็นฝันกลางวัน โดยไม่อาจเป็นจริงได้เลย

แต่วันนี้ทุกอย่างประจักษ์แก่สายตาและจิตใจแล้วว่าบ้านเมืองกำลังถึงคราวปรับเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ อาจจะยิ่งใหญ่กว่า ร.ศ.๑๓๐ และ พ.ศ.๒๔๗๕ เสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือการยกตัวขึ้นของขบวนประชาธิปไตยยังไม่สิ้นสุด ยังยกขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีเพดานจำกัด

3.ประเมินสถานการณ์ในปีใหม่2555และสถานการณ์การเมืองในระยะต่อไปอย่างไร และขบวนการประชาธิปไตยกับแนวร่วมขบวนประชาธิปไตยในภาพใหญ่ควรกำหนดจังหวะก้าวอย่างไร

เรามีทางเลือกใหญ่ๆ สองทางสำหรับการทำงานประชาธิปไตย

ทางแรกคือต่างคนต่างทำตามอุดมการณ์และความถนัดของตน หรือต่างคนต่างเดินไปสู่เป้าหมาย (ที่เชื่อว่า) เป็นเป้าหมายเดียวกัน จนกว่าจะพบว่าเป็นคนละเป้าหมายหรือกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

ทางที่สองคือทำงานร่วมกันโดยกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีร่วมกันขึ้นมา โดยต่างคนต่างทำตามความถนัดและความสามารถของตนเช่นเดิม เพียงมีพิมพ์เขียว (blueprint) ขึ้นมาสักฉบับหนึ่งเท่านั้น

พิมพ์เขียวนี้ก็มิได้มาจากคำสั่งของนายทุนหรือผู้ที่วางตัวเป็นชนชั้นที่สูงส่งกว่า แต่มาจากการทำงานร่วมกันเพื่อให้เป็นกรอบการทำงานที่เราวัดผลและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานได้

ผมคงไม่ก้าวล่วงถึงขั้นไปชี้นำว่า ใครควรทำอะไรและทำอย่างไร แต่บอกได้ว่าการทำงานแบบที่สองคือร่วมมือกันตามยุทธศาสตร์นั้น จะเกิดขึ้นแน่ เริ่มต้นอาจจะไม่กี่ราย และใครรู้ในภายหลังก็เข้าร่วมในภายหลังได้ ไม่ควรคิดน้อยใจหรือคิดอาละวาดสร้างความสำคัญ

ปัญหาอัตตาสูง (ego) เป็นเรื่องที่ถ่วงงานของเราเรื่อยมา จนบางคนกลายเป็นมนุษย์ที่ขอกันดีๆ ไม่ได้ แต่กลายเป็นถูกสั่งได้ เพราะได้เผยจุดอ่อนจนถูกมนุษย์คนอื่นเขาเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไม่รู้ตัว

ผมคิดว่าคนในขบวนประชาธิปไตยนั้น แบ่งประโยชน์ออกได้เป็น ๒ แนวทางตามคำตอบของผมในข้อที่แล้ว ทางหนึ่งคือปริมาณ และอีกทางหนึ่งคือคุณภาพ ซึ่งไม่ได้แปลว่าฝ่ายปริมาณจะไร้คุณภาพหรือฝ่ายคุณภาพจะไร้ปริมาณโดยสิ้นเชิง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นว่าใครเฉดไหนเท่านั้นเอง แต่ละคนจะได้สร้างดวงดาวในสไตล์ของตัวเองขึ้น ขบวนประชาธิปไตยของเราทุกวันนี้ใช้วิธีแบ่งงานกันทำ (division of labor) ได้อย่างสบาย

4.ประเมินสถานการณ์ในปี2555และระยะต่อไปของฝ่ายอำมาตย์อย่างไร และขบวนประชาธิปไตยต้องกำหนดจังหวะก้าวรับ ก้าวรุก อย่างไร

ผมคิดว่าศักดินา-อำมาตย์มาถึงระยะหมดเครื่องมือใหม่ในการรักษาอำนาจ และเริ่มงัดเอาของเก่ามาใช้ประโยชน์ แล้ว ไม่ว่าอำนาจกองทัพ อำนาจศาล-ตุลาการ อำนาจองค์กรอิสระ อำนาจผ่านภาคธุรกิจ อำนาจผ่านสื่อมวลชนในสัมปทานรัฐ อำนาจกำหนดควบคุมทรัพยากรธรรมชาติอย่างมวลน้ำในเขื่อน ใช้มาเรื

จนกลไกเหล่านี้สึกหรอและกระสุนเริ่มด้าน มวลชนก็อยู่ในสภาพ “รู้ทัน” ขณะนี้เขาจึงหันมาใช้เครื่องมือใหม่อย่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตามกรอบความคิด “แดงฆ่าแดง” ที่เราพูดกัน แต่ปัญหาใหญ่จริงๆ ที่เขาเองก็รู้ดีคือความเสื่อมถอย ณ ศูนย์กลางของระบอบ ปัญหามะเร็งในเนื้อในตัวเองทำให้เครื่องมือใดก็ใช้การไม่ได้เต็มที่ วิกฤติการณ์การเมืองไทยจึงจะไม่มี บทจบที่ “สวยงาม” อย่าง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ หรือ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ อีกและฝ่ายเขาก็รู้ดี ผมคิดว่า “๖ ตุลา” ครั้งต่อไปคงรุนแรงกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ขบวนประชาธิปไตยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเตรียมกายและเตรียมใจให้พรั่งพร้อม การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองจะเกิดขึ้นแน่ และการบริหารระยะเปลี่ยนผ่านน่าจะเป็นหัวใจของเรื่อง

5.ทางเลือกของสังคมไทยระหว่างการปรองดองกับการปะทะกันอย่างถึงรากถึงโคนสิ่งใดจะเป็นแนวโน้มหลัก

“ปรองดอง” เป็นคำที่ดีและไพเราะ แต่ไม่สอดคล้องต่อธรรมชาติของระบอบการเมืองการปกครองแบบอำนาจสูงสุด (absolutism) ระบอบอำนาจสูงสุดไม่ยอมรับการแบ่งปันในอำนาจและผลประโยชน์ แต่มองตนเองว่าเป็นผู้จัดการอำนาจและผลประโยชน์นั้นเอง

ผู้กุมอำนาจในลักษณะนี้จะไม่เห็นว่าการแข่งขันทางอำนาจเป็นเรื่องปกติ แต่เห็นว่าเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดกวาดล้างโดยสิ้นเชิง

หลักฐานในการเมืองไทยบอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “การปรองดอง” ในอดีตไม่มีความหมายใดๆ ในยามที่เกิดการเผชิญหน้าทางการเมืองในระยะต้นและระยะกลาง อาจมีประโยชน์บ้างในระยะปลาย ที่ผู้แพ้และชนะต่างรู้ชะตาของตนเองอย่างค่อนข้างเด็ดขาดแล้ว

ผมไม่เก่งพอที่จะวิเคราะห์ได้ว่า “การปะทะ” จากนี้ไปจะออกมาในรูปใดและรุนแรงขนาดไหน แต่การสร้างบรรยากาศต่อต้านแนวปฏิรูปอย่างที่กำลังกระทำกับ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่กำลังรณรงค์ต่อต้านกฎหมายหมิ่นฯ ในขณะนี้ เสมือนเป็นปฐมบท (pre-requisite) ที่นำไปสู่ “๖ ตุลา” ครั้งที่ ๒ ได้ ลองสังเกตแนวคิดที่พูดผ่านปากคนต่างๆ ของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ขณะนี้จะพบว่าคล้ายคลึงกัน เช่น ใครที่จะแก้ไขกฎหมายนี้ให้ไปอยู่ต่างประเทศ เป็นต้น ไม่ต่างอะไรนักจากแนวทางของวิทยุยานเกราะ กลุ่มนวพล กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่ม ทส.ปช. ของ พ.ศ. นั้น ประเด็นขณะนี้จึงไม่ใช่การเลือกระหว่างปฏิรูปหรือปฏิวัติ หากมวลชนไม่สามารถแม้แต่จะเสนอให้แก้ไขกฎหมายอย่างเปิดเผยตามสิทธิในรัฐธรรมนูญแล้ว แนวปฏิรูปจะถูกบีบให้เปลี่ยนเป็นแนวปฏิวัติโดยอัตโนมัติ

6.คุณจักรภพใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างไร และเป็นไปได้ไหมที่ขบวนการปฏิวัติหรือปฏิรูปอาจก่อตัวมาจากต่างประเทศคล้ายกับคณะราษฎรเมื่อปี2475

ผมขอรวมคำถามนี้มาตอบพร้อมกันตรงนี้นะครับ การปฏิวัติใดๆ ในอดีตเกิดขึ้นจากความคิดทางอุดมการณ์ก็ได้ จากตำรับตำราหรือลัทธิใดๆ ก็ได้ แต่จะไม่ยกขึ้นเป็นสถานการณ์ปฏิวัติหากไม่เกิดความฉุกเฉินอย่างฉับพลัน (immediacy) ขึ้นก่อน

สถานการณ์โดยรวมจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิวัติในแต่ละสังคม ไม่ใช่ถูกชี้นำโดยเอกเทศจาก “ผู้นำปฏิวัติ” โดยอัตวิสัยเท่านั้น

สังคมไทยเราถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมปฏิรูป เพราะไม่ชอบการเผชิญหน้าและไม่ชอบความยืดเยื้อ โดยปกติคงไม่อยากปฏิวัตินัก แต่คำถามคือเรากำลังถูกผลักไสให้ดาหน้าไปสู่สถานการณ์เช่นว่านั้นหรือไม่

ผมคิดว่าเงื่อนไขแบบนั้นกำลังปรากฏขึ้นอย่างช้าๆในสังคมอนุรักษ์นิยมแบบไทย ศูนย์กลางจะอยู่ที่ใดน่าจะไม่สำคัญนัก ซ่อนตัวอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศก็ได้ เพราะขบวนปฏิวัติต้องปรับตัวอีกนับครั้งไม่ถ้วนในสถานการณ์จริง

แต่ถ้าจะตอบกันสั้นๆ ศูนย์กลางในการปฏิวัติประชาธิปไตยไทยที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศมีความเป็นไปได้สูงครับ.

ที่มา : http://thaienews.blogspot.com/index.html

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ศักดิ์ศรีของรัฐบาล โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ศักดิ์ศรีของรัฐบาล

โดย กาหลิบ


บางครั้งในระหว่างการต่อสู้ เราเผลอไผลให้ความสำคัญกับฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป เราเก็บรายละเอียดหมดว่าเขาทำอะไร เคลื่อนไหวอย่างไร ใช้ใครทำงาน และนำมาวิเคราะห์ประเมินผลจนบางทีก็เกินควร เราจึงมองข้ามคนสำคัญที่เราสามารถควบคุมได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรู นั่นคือก็ตัวเราเอง

รู้กันทั่วแล้วว่าแผนรุกฆาตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกำลังก่อตัวขึ้น และเราก็ควรวิเคราะห์ฝ่ายเขาให้ชัด แต่คำถามที่สำคัญที่ลืมถามไม่ได้คือ แล้วตัวรัฐบาลเองเล่าทำอะไรได้บ้างระหว่างนี้?

ถึงรัฐบาลปัจจุบันจะประสบกับสภาพปัญหา รัฐซ้อนรัฐมีคนชักใยให้อำนาจหน่วยงานต่างๆ อยู่เบื้องหลังประหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลตัวจริงของราชอาณาจักร แต่มิได้หมายความว่ารัฐบาลจะไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง ยังมีอำนาจหลายอย่างอยู่ในมือของรัฐบาลและรัฐบาลก็ยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่

จะขอพูดเฉพาะอำนาจที่รับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นของรัฐบาลและเว้นอำนาจอื่นๆ ที่คงไม่ต้องประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามมาร่วมรับรู้

อันดับแรก รัฐบาลต้องตรวจกำลังพลในหน่วยงานต่างๆ ทั้งพลเรือนและทหารเสียแต่บัดนี้ว่า ใครที่สามารถพึ่งพาในยามวิกฤติได้บ้าง การทดสอบว่าไว้วางใจได้ขนาดไหนมีสูตรอยู่แล้ว ไม่ต้องมากล่าวย้ำซ้ำทวนในที่นี้ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี จนที่ปรึกษาลอยของผู้มีอำนาจต่างๆ ในรัฐบาล สามารถเริ่มทำงานนี้ได้ในทันที งานที่ควรนำมาทดสอบก็เป็นงานที่ต้อง เลือกข้างให้ชัดเจน อย่าเปิดโอกาสให้นกสองหัวหรือคนหลายหน้ามีชีวิตที่เป็นสุขนัก

ใครที่มอบงานไปหรือทดสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ ต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลงเสียในทันที ส่วนจะทำอย่างไรไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้แนวร่วมเพิ่มเพราะโกรธเกลียดฝ่ายเรา ถือเป็นศิลปะส่วนตัวของแต่ละคน อายุปูนนี้กันแล้วคงไม่ต้องมานั่งเขียนบทให้กัน

อันดับสอง รัฐบาลต้องไม่ยอมให้หน่วยงานใต้สังกัดทำตัวเสมือนรัฐอิสระ ในกรณีน้ำท่วมนี่ก็เห็นชัดจากกรณีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน ผู้ว่าราชการบางจังหวัด และกรุงเทพมหานคร กองทัพบก เป็นอาทิ วิธีการหนึ่งคือเรียกผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้นๆ มาประจำการอยู่กับศูนย์อำนาจของรัฐบาลโดยไม่ให้คลาดสายตา หากหมายเลขหนึ่งของหน่วยงานใดทำท่าอิดเอื้อนหรือปฏิเสธ คล้ายๆ กรณีอธิบดีกรมชลประทานที่ส่งรองอธิบดีมาแทน ก็เปลี่ยนอธิบดีนั้นเสีย ใครจะโทรศัพท์มาขู่ว่าใครเป็นคนของใครก็อย่าได้นำพา ถือโอกาสว่าเป็นภัยพิบัติของบ้านเมือง แล้วก็เดินหน้าต่อไป

รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ที่จะวางกำลังพลให้ตนทำงานตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ถึงข้าราชการมีสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อตุลาการศาลปกครองได้หากรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้งก็จงเดินหน้าต่อไป ระหว่างบริหารรัฐบาลต้องใช้คนที่ใช้ได้ ปัญหาในอนาคตเอาไว้แก้ไขในอนาคต อย่านำมาผสมกันจนก้าวขาไม่ออก

ระลึกไว้เสมอว่านี่เป็นรัฐบาลของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลของระบบราชการ หรือรัฐบาลของคนที่คอยควบคุมรัฐบาลอยู่หลังม่าน ข้าราชการมีคนที่จะขึ้นมาแทนกันได้เสมอ ไม่มีใครดีวิเศษขนาดหาผู้ใดแทนที่มิได้

อย่าลืมเช่นกันว่า ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบุคลากรได้ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงชงเรื่องขึ้นมาก่อน

ปัญหาเรื่องนี้จะมีก็เพราะความไม่กล้า เพราะกลัวทะเลาะกับคนใหญ่ที่หนุนบุคคลนั้นๆ จากหลังม่าน หรือไม่ก็เก็บข้าราชการเลวไว้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้ ทั้งหมดนี้ต้องขจัดให้หมดไปและประชาชนสามารถมีบทบาทในการจี้ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำเช่นนั้นได้เสมอ

อันดับสามและสุดท้ายในเวลานี้ รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงงบประมาณแผ่นดิน จะยอมให้สำนักงบประมาณหรือใครหน้าไหนมาอ้างระเบียบเล็กน้อยเพื่อขัดขวางการทำงานในยามฉุกเฉินมิได้

แน่นอนว่าการทำงานในระบบงบประมาณ ต้องมีการคานและถ่วงดุลในรัฐสภาเพื่อมิให้รัฐบาลกระทำผิด แต่ขั้นตอนเหล่านั้นต้องไม่ทำให้รัฐบาลไร้อำนาจหรือมีอำนาจไม่เพียงพอที่จะทำงานรับใช้ประชาชนด้วย

ศักดิ์ศรีของรัฐบาลเลือกตั้งได้มาจากประชาชน ต้องทำตัวให้สม.

----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566795 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อวสานปรองดอง โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง อวสานปรองดอง

โดย กาหลิบ


แนวคิดปรองดองเป็นเรื่องจอมปลอมมาตั้งแต่ต้นสำหรับผู้สังเกตการณ์การเมืองที่เอาจริงเอาจังและไม่หลอกตัวเอง แต่เมื่อคำพิพากษาในคดีของนายอำพล ตั้งนพกุล ผู้ที่ชาวประชาธิปไตยเรียกขานอย่างเคารพและเห็นใจว่า อากงปรากฏขึ้น ความจอมปลอมก็กลายเป็นการหลอกลวงอย่างสมบูรณ์

อากงในวัย ๖๑ ปี ถูกพิพากษาให้จำคุก ๒๐ ปี เพราะส่งข้อความผ่านระบบ SMS รวม ๔ ครั้งไปยังโทรศัพท์ของลูกน้องคนหนึ่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ข้อความเหล่านี้ถูกชี้โดยศาลว่าเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ บวกด้วยฐานความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ในที่สุด อากงก็ต้องคำพิพากษาให้รับราชทัณฑ์รวม ๔ กระทง กระทงละ ๕ ปี รวมทั้งสิ้น ๒๐ ปี

อากงมีสิทธิ์ยื่นขออุทธรณ์ภายใน ๓๐ วันก็จริง แต่ความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นในกระบวนการขั้นแรกก็ทำให้มวลชนประชาธิปไตยรู้สึกถึงรสขมในปากและลำคอ จนไม่ปรารถนาจะพึ่งพากระบวนการ ยุติธรรมที่เหลืออีกต่อไป

ใครที่ยังหลงละเมอกับ การปรองดองและ ความยุติธรรมในระบอบปัจจุบัน ถึงเวลาตื่นจากฝันและดื่มด่ำความจริงจากคดีของ อากงได้แล้ว

อากงคือบุคคลสามัญธรรมดา ไม่ใช่ผู้นำการเมืองและไม่ใช่แม้กระทั่งนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ความรู้ในเครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็จำกัด อายุอานามก็กว่าหกสิบปี เป็นเพียงชายในวัยเริ่มชราคนหนึ่งที่เจ็บปวดกับความไม่ถูกต้องของบ้านเมืองและประสงค์จะแสดงสิทธิความเป็นคนของตนเองตามเสรีภาพที่เผลอคิดว่าตัวเองมีอยู่เท่านั้น

แกคงเหมือนคนไทยอีกหลายล้านคน ผู้เคยเชื่อในความดีงามของระบอบเก่าๆ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่เขียนประกันสิทธิและเสรีภาพไว้อย่างหรู

คนไทยใจบริสุทธิ์เหล่านี้คงยังมีอีกมาก มิฉะนั้นเหยื่อทมิฬของระบอบเก่าในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงคงจะไม่มากเต็มเมืองถึงขนาดนี้

ในชั่วโมงนี้ข่าว อากงกำลังแพร่สะพัดไปตามสื่อระดับโลกอย่างรวดเร็ว เพราะเครือข่ายข่าวที่เราช่วยกันสร้างขึ้นมาด้วยใจ สำนักข่าวฝรั่งเศส, BCC, CNN ฯลฯ เพิ่งจบสิ้นการรายงานข่าวชิ้นแรกของ อากงออกไปสู่โลก และจะมีรายงานข่าวตามมาอีกมาก ทุกรายงานเน้นน้ำหนักที่ความรุนแรงที่ปรากฏในคำพิพากษา

คดีของ อากงอาจจะเป็นเส้นแบ่งที่สำคัญของสังคมไทยในอนาคตอันใกล้ เพราะเป็นหลักฐานอันชัดเจนว่าหนทางปรองดองมิได้นำไปสู่ความสงบสุขของสังคมไทยเลย

คอลัมน์หายไปนานหลายสัปดาห์ เพราะติดตามสถานการณ์น้ำการเมืองที่ไหลท่วมคนจนและผู้ที่เริ่มตั้งตัวขึ้นมาด้วยกิจการขนาดเล็กและกลางอย่างที่เรียกกันว่า SMEs อย่างใกล้ชิด จนสรุปได้ว่าคนที่เป็นเจ้าพ่อน้ำเมืองไทยอยู่คนเดียวเป็นคนขนาดไหน น้ำที่เก็บไว้อย่างจงใจเจตนาและการวางแผนอันแยบยลร่วมกับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่จงรักภักดีต่อตัวเขาจนไม่ฟังรัฐบาลของประชาชน ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารอย่างเลือดเย็นเมื่อพบว่าตัวเขารู้สึกว่ากำลังสูญอำนาจเบ็ดเสร็จไปทีละน้อยๆ ตามวัฏสงสารและสันดานชั่วร้ายของตนเอง

มาตรการหลายอย่างในฝ่ายประชาธิปไตยจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อให้สมกับความเหี้ยมโหดของคนสั่งการทำลายและทำร้ายประชาชน แต่ก่อนการประดาบกันในแง่มุมนั้นจะเกิดขึ้น คดี อากงก็ปรากฏขึ้นเสริมสถานการณ์อย่างสอดคล้องต้องกัน

เหมือนฟ้าดินจะช่วยฉีกกระชากรูปทองให้ออกจากตัวเป็นๆ ของเขาให้ทันใจ

ขอให้พี่น้องไทยทั่วโลกและครอบครัวญาติมิตรที่เป็นคนชาตินั้นๆ ช่วยรวมตัวประท้วงให้ปรากฏชัด ณ สถานเอกอัครราชทูต หรือ สถานกงสุลใหญ่ของไทยในประเทศและเมืองต่างๆ โดยเอาตัวอย่างจากคดี อากงเป็นคำอธิบายต่อคนที่ยังไม่เข้าใจในปัญหาวิกฤติไทย สื่อสากลทั่วโลกซึ่งเริ่มเข้าใจว่าผู้ร้ายแห่งการเมืองไทยตัวจริงคือใคร คงจะเข้าช่วยเหลือเผยแพร่กิจกรรมของท่านเพื่อเร่งปฏิกิริยาในระดับสากลต่อไป

ดิ้นรนทำลายตัวเองนักก็ดีแล้ว ขอประกาศรับลูก ณ บัดนี้.

---------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566795 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความตายของกัดดาฟี่ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ความตายของกัดดาฟี่

โดย กาหลิบ

การสังหารโหดอดีตผู้นำลิเบีย พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ เกิดขึ้นระหว่างน้ำหลากครั้งใหญ่ในเมืองไทย ใจคอคนไทยอย่างเราๆ ก็เวียนวนอยู่กับเรื่องใกล้ตัว ไม่อยากคิดอะไรไกลนักในระยะนี้ แต่การหักมุมในการเมืองระหว่างประเทศที่ปลิดชีพกัดดาฟี่เที่ยวนี้ออกจะมีความหมายต่อโลกในหลายมิติ จะเพิกเฉยไปเลยคงไม่สมควร โดยเฉพาะในความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย เพื่อนร่วมทุกข์ในเมืองไทยทุกๆ ท่านคงเข้าใจที่จะไม่พูดเรื่องน้ำสักวัน

ข่าวสารทุกวันนี้รวดเร็วถึงขนาดที่ภาพการจับตัวและกลายสภาพเป็นร่างไร้วิญญาณของกัดดาฟี่มาถึงเร็วว่าเนื้อข่าว เราเห็นภาพกัดดาฟี่ที่ดูงุนงงตื่นกลัว ถูกกลุ้มรุมอย่างไม่เป็นมิตรโดยผู้คนที่มีอาวุธในมือ แล้วภาพก็ตัดไปที่ร่างเปื้อนเลือดของอดีตผู้นำลิเบียที่กำลังถูกนำขึ้นแสดงบนเวทีต่อหน้าประชุมชนที่เมืองเซิร์ต และเห็นได้ชัดว่าถูกปลิดชีพลงเสียแล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่ากระสุนนัดสุดท้ายที่ฆ่ากัดดาฟี่มาจากที่ใด จากกองกำลังติดอาวุธฝ่ายประชาชนที่รุมล้อมอยู่หรือจากองครักษ์คนสุดท้ายที่ตัดสินใจลั่นกระสุนใส่ศีรษะอดีตเจ้านายของตนเพื่อให้พ้นจากประชาทัณฑ์และพิทักษ์ศักดิ์ศรีกันแน่ แต่นั่นเป็นภาระหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์และผู้สนใจในการรวบรวมหลักฐานเพื่อประกอบภาพขึ้นใหม่

สิ่งที่มีความหมายต่อเราในเมืองไทยคือการตายของกัดดาฟี่และผลกระทบต่อเนื่องจากวันนี้

ข้อเท็จจริงที่ควรบันทึกไว้ก่อนที่อารมณ์ล้างแค้นจะไหลเข้ามาแทนที่คือ กัดดาฟี่มิได้ถูกโค่นโดยประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยสรรพาวุธของมหาอำนาจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะฝรั่งเศส เพราะเขาไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเกิดคือเซิร์ตอย่างปลอดภัย กองกำลังประชาชนเข้าไม่ถึงตัวนานถึงสองเดือน แต่เมื่อเขาตัดสินใจย้ายที่หลบซ่อนตัวนั่นเองที่ข่าวรั่ว ขบวนรถกันกระสุนของเขาถูกโจมตีปานสายฟ้าแลบจากเครื่องบินรบฝรั่งเศสซึ่งได้รับข้อมูลอย่างแม่นยำ แต่กัดดาฟี่ก็ยังไม่ตาย วิ่งออกจากซากรถที่สิ้นสภาพขบวนอารักขา พร้อมกับลูกชายและหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองประจำตัวแล้วไปหลบซ่อนในท่อน้ำ จากนั้นเองกองกำลังติดอาวุธฝ่ายประชาชนก็เข้าถึงตัว แล้วการฆาตกรรมทางการเมืองจึงเกิดขึ้น จะโดยใครก็ตาม

ชาวประชาธิปไตยทั่วโลกผู้รู้ถึงพฤติกรรมเลวร้ายยาวนานของกัดดาฟี่ รวมทั้งนักประชาธิปไตยไทย คงกำลังสาธุการกับการตายของเขา กัดดาฟี่คือคนที่ฆ่า ทรมาน และละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนลิเบียมานานถึงสี่ทศวรรษ ชีวิตมนุษย์ถูกกระทบกระเทือนอย่างสาหัสจากระบอบเขามาไม่รู้จักเท่าไหร่ แม้แต่ประชาคมระหว่างประเทศก็ยังชิงชังในความเป็นผู้ก่อการร้ายสากลของเขา การสิ้นชีพอย่างน่าสยดสยองของเขาจึงเสมือนว่าบาปอันหนักได้สนองเขาเข้าให้ ดูจะเป็นสมดุลแห่งชีวิตอยู่

ประชาชนผู้ถูกกดขี่ทำร้ายจนต้องลุกขึ้นสู้กับผู้เผด็จการและระบอบชั่วร้าย ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของสังคมมนุษย์ และเป็นความงอกงามของประชาธิปไตย แต่สมควรหรือไม่ที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจจะเข้าร่วมแทรกแซงด้วยอย่างนี้?

สิ่งที่ควรเกิดขึ้นตามธรรมชาติคือประชาชนลุกขึ้นสู้ด้วยตนเอง เมื่อถูกทำร้ายโดยผู้มีอำนาจรัฐก็ย่อมมีสิทธิ์ในการป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ หากจะมีประชาคมระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องในบางขั้นตอนก็ควรเป็นองค์การสหประชาชาติ มากกว่าจะเป็นประเทศอื่นที่มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากันในความเป็นพลโลก พูดง่ายๆ ว่าถ้าจะเอาผิดกัดดาฟี่ในอาชญากรรมทางการเมืองอันมากมายของเขา ชาวลิเบียก็ควรเป็นผู้ชี้นำและดำเนินการเอง อดีตผู้นำควรถูกนำตัวขึ้นศาล ใช้หลักนิติธรรมมาเป็นเนื้อ โทษจะถึงขึ้นประหารชีวิตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนั้น

ไม่ใช่การไล่ฆ่าโดยกองกำลังต่างชาติ และต้อนให้กระเซอะกระเซิงไปถูกฆ่าโดยคนที่กำลังโกรธแค้นชิงชัง

การลงโทษคนที่มีหัวใจเป็นสัตว์ ต้องกระทำโดยจิตใจที่สูงกว่า การลดตัวลงไปเป็นสัตว์ด้วยมิใช่สิ่งพึงกระทำ

เราไม่ต้องการกลายเป็นเผด็จการระบอบใหม่ที่มาแทนเผด็จการระบอบเก่า แต่ต้องการนำความเป็นมนุษย์ที่สูงกว่าเข้ามามอบแก่สังคม เราต้องระวังความคิดและจิตใจของเราให้ดี

ความตายของกัดดาฟี่นั้นเข้าใจได้ แต่ชาวประชาธิปไตยควรคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งถึงผลทางสังคมในอนาคต ก่อนที่เราจะต้องตกอยู่ในที่นั่งนั้นเอง.

--------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สู้กันซึ่งหน้า โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สู้กันซึ่งหน้า

โดย กาหลิบ


    

เพิ่งดูการโต้ความคิดเต็มเหยียดสองชั่วโมงของผู้ที่ต้องการเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในสหรัฐฯ เพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับบารัค โอบาม่า แล้วก็เกิดความคิดหลายอย่าง   

    

การโต้ความคิด หรือ debate ครั้งนี้เกิดขึ้นในหมู่ผู้สมัคร ๗ คน และเฉือนกันในสายตาของผู้ชมอเมริกันนับหมื่นในห้องประชุมของโรงแรมเวเนเชียนลาสเวกัส และอีกเป็นล้านๆ คนที่ชมทางโทรทัศน์ นี่คือหนึ่งในการเดินสายโต้ความคิดของผู้สมัครเหล่านี้ และใครจะอยู่จะไปจนถึงวันเลือกตัวผู้สมัครในการประชุมใหญ่ของพรรคขึ้นอยู่กับคะแนนนิยมที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลง ทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตต่างยอมรับและใช้รูปแบบที่คล้ายคลึงกันนี้

    

๗ คนของรีพับลิกัน ซึ่งจะต้องสู้กันจนเหลือเพียงคนเดียว และคนๆ นั้นก็จะเลือกผู้สมัครร่วมเพื่อเป็นรองประธานาธิบดีอีกคนหนึ่งในภายหลัง ประกอบด้วยอดีตสมาชิกวุฒิสภาอย่าง ริค แซนทอรั่ม ที่วางตนเองเป็นผู้สมัคร “หนุ่ม” อดีตผู้ว่าการรัฐอย่าง มิตต์ รอมนี่ย์ ผู้เป็นตัวเต็งในชั่วโมงนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบันอย่าง รอน พอลล์ และ มิเชล บาคแมน ซึ่งเป็นสุภาพสตรีคนเดียวในกลุ่ม ขาใหญ่ผู้เป็นอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่าง นิวท์ กิงริช ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสอย่าง ริค เพอร์รี่ ไปจนถึงชายผิวดำผู้สร้างจุดยืนว่าเป็นนักธุรกิจคนนอกและไม่ใช่นักการเมืองอาชีพอย่าง เฮอร์แมน เคน ที่กำลังเข้าตามวลชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    

ใครเป็นใครและมีโอกาสเข้าวินขนาดไหน วันหลังคงมีโอกาสได้เสวนากัน แต่ความสำคัญที่เกิดขึ้นในกิจกรรมการเมืองสไตล์อเมริกันอย่างนี้อยู่ที่การโต้ความคิดกันสดๆ แบบซึ่งหน้า หยิบเอาเรื่องที่มวลชนสนใจมาสาดใส่กันอย่างเปิดเผย แม้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและถ้าเป็นสไตล์ไทยเดิมก็ต้องคุยด้วยเสียงกระซิบ เขาก็พูดกันเสียงดังๆ และคาดคั้นคำตอบกันเหมือนจะฆ่าฟันกันทางการเมือง

    

ยกตัวอย่างเรื่องเหล่านี้เสียหน่อยให้เห็นภาพ การประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเอาอย่างไร เอาเงินกลุ่มไหนไปช่วยกลุ่มไหน ภาษีจะลดให้ใคร เพิ่มให้ใคร อำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นของใคร รัฐบาลกลางที่กรุงวอชิงตันหรือรัฐบาลระดับมลรัฐในท้องถิ่นนั้นๆ เงินที่เอาไปช่วยประเทศต่างๆ ในฐานะความช่วยเหลือในขณะที่คนอเมริกันลำบากยากจน จะยกเลิกหรือไม่ งบประมาณทางทหารควรลดลงขนาดไหน โดยไม่เกิดผลกระทบต่อการป้องกันประเทศ ฯลฯ

    

การโต้ความคิดเป็นไปอย่างดุเดือด อย่างตอนหนึ่ง ริค เพอร์รี่ เรียก มิตต์ รอมนี่ย์ ว่า “คนโกหก” และ “คนเสแสร้ง” เพราะมีข้อกล่าวหาว่ารอมนี่ย์แอบจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไว้ทำงานในสวนเกษตรของเขา ก็ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงคละเคล้าระหว่างเรื่องส่วนตัวกับนโยบาย

    

นอกจากรอมนี่ย์จะถูกโจมตีและคนอื่นๆ ก็เข้าช่วยรุมเพราะกำลังนำ อีกคนหนึ่งที่ความนิยมดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าง เฮอร์มัน เคน ก็ถูกเล่นงานไม่น้อย โดยเฉพาะข้อเสนอภาษี 9-9-9 ที่หวังให้เป็นเครื่องมือกระตุ้นและสร้างเศรษฐกิจ ข้อเสนอนี้ถูกโจมตีจากทั้ง ริค เพอร์รี่ มิเชล บาคแมน และริค ซานทอรั่ม ว่าเป็นแผนการที่คนอเมริกันจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้นในบั้นปลาย 

    

ความน่าสนใจของเคนอย่างหนึ่ง นอกจากความเป็น “คนนอก” และฉีกตัวเองจากนักการเมือง ๖ คนที่เหลือแล้ว เขายังเป็นคนผิวดำ ประเด็นนี้น่าจะเป็นยุทธวิธีที่จะเอาคนดำฝ่ายรีพับลิกันมาชนคนดำอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นแชมเปี้ยนฝ่ายเดโมแครตอยู่ในสนาม นั่นคือประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า

    

ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการสู้กันซึ่งๆ หน้า ได้แก่ความชัดเจนในจุดยืนของผู้สมัครแต่ละคน สิ่งที่ผู้ดำเนินรายการ แอนเดอร์สัน คูเปอร์ จาก CNN และผู้ชมส่วนหนึ่งลุกขึ้นถาม ล้วนเป็นหมัดตรงๆ ชนิดเลี่ยงไม่ได้ทั้งนั้น ใครที่คิดว่าวาทศิลป์และความลื่นกะล่อนทางการเมืองจะช่วยได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เท่ากับลุกขึ้นประจานตัวเองในที่สาธารณะ

    

ดูตัวอย่างนี้แล้วก็นึกถึงเมืองไทยเรา

    

ไม่มีใครบอกว่าอยากให้เมืองไทยจู่ๆ กลายเป็นเมืองอเมริกันหรือตาบอดจนมองข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างกัน แต่ยอมรับหรือไม่ว่าการพูดอะไรตรงๆ ไม่ได้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างในเมืองไทยขาดความชัดเจน 

    

เอาตัวอย่างเฉพาะหน้าก็ยังได้ จนถึงบัดนี้ทุกคนพูดแต่การแก้ปัญหาน้ำโดยทุบโต๊ะตัดบททุกคนว่า อย่ามาถามว่าเราเกิดวิกฤติขึ้นมาได้อย่างไร โดยความคิดที่ครอบงำประเทศมาเนิ่นนานขนาดไหน และทำเป็นไล่ให้ไปช่วยคนที่เดือดร้อนเพื่อกลบเกลื่อน หากคำถามนี้ถูกนำขึ้นไปสู่เวทีที่ลาสเวกัสอย่างเมื่อครู่นี้คงจะกระชากใครต่อใครที่หลบอยู่หลังภาพอันงดงามออกมารับผิดชอบได้ เราจะได้ไม่ต้องพึ่งของปลอมและหันมาสร้างศรัทธาต่อของจริง นั่นคือรัฐบาลของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย

    

ไปนั่งอ้อล้อกันอยู่แถวออสเตรเลียไม่มีประโยชน์ใดๆ อย่างยั่งยืนเลย.


----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เวลาเอเชีย โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เวลาเอเชีย

โดย กาหลิบ


พร้อมกับที่ไทยกำลังเดือดร้อนเรื่องสถานการณ์น้ำ โลกทั้งโลกกำลังหนักใจว่าเศรษฐกิจภาพรวมจะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นวิกฤติโลกหรือไม่

ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือวอลล์สตรีทที่ตกโครมในคราวเดียว ท่ามกลางความไม่ประสีประสาของรัฐบาลบารัค โอบาม่าที่ยังไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร และความล้มเหลวของกรีซ ในการปฏิบัติตามข้อตกลงในฐานะลูกหนี้ของสหภาพยุโรป ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกในนาทีนี้กำลังเข้าสู่ห้วงเหวแห่งปัญหาลึก จะถึงขั้นที่กระทบต่อทุกคนรวมทั้งเมืองไทยหรือไม่ก็ยังไม่รู้

เราจำเป็นต้องหันกลับมาวิเคราะห์เรื่องนี้และกำหนดวิธีการรับมือให้ถูกต้อง การต่อสู้ในทางการเมืองอันเข้มข้นรุนแรงและสถานการณ์น้ำที่เสียหายรุนแรงเป็นประวัติการณ์ก็ต้องบริหารคู่ขนานไป จะรอเรื่องหนึ่งจบก่อนแล้วจึงหันมามิได้ เพราะจะไม่ทันเวลา

หน่วยงานบริหารเศรษฐกิจในโครงสร้างประจำ ไม่ว่าจะสภาพัฒน์ฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ ก็เน้นภาระงานเฉพาะหน้าที่สำคัญและเร่งด่วน เช่น การมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำลด การวางโครงสร้างน้ำของประเทศใหม่ทั้งระบบ เป็นต้น

แต่การเตรียมรับปัญหาเศรษฐกิจพิเศษที่จะจรมาเมื่อไหร่ก็ได้นั้น ควรตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาให้สมกับสถานการณ์และควรตั้งเสียตั้งแต่บัดนี้

นอกจากภาระหน้าที่ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจและเป็นประหนึ่งหวูดเตือนภัยสำหรับประเทศแล้ว คณะทำงานพิเศษนี้ยังมีงานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการบริหารสิ่งที่นักเศรษฐกิจหลายคนพยากรณ์และเรียกขานว่า เวลาเอเชีย

เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่มากที่สุดในโลกและมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่อำนาจเศรษฐกิจกลับอยู่ในมือของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมากกว่า การผงาดของจีน อินเดีย เกาหลีใต้และแม้กระทั่งญี่ปุ่นก็ยังขาดความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก และยังไม่ประสบความสำเร็จที่จะเข้าแทนระบบเดิมที่มหาอำนาจเศรษฐกิจเก่าๆ เขาวางไว้ เช่น ยึดเงินตราสหรัฐฯ เป็นสื่อหลักในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ (forex) จัดระดับการพัฒนาของทุกๆ ประเทศตามเกณฑ์ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นต้น

เหตุผลหนึ่งก็เพราะเอเชียมีปัญหาการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างกันมากเหลือเกิน สาธารณรัฐประชาชนจีนผู้ยิ่งใหญ่เป็นทั้งที่พึ่งและภัยคุกคามของบางประเทศในเอเชีย วัฒนธรรมมุสลิมในเอเชีย โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่จริงๆ คือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ก็ถูกวาดภาพให้กลายเป็น ภัยคุกคามของโลกในฐานะบ่อเกิดของ ลัทธิก่อการร้ายทั้งๆ ที่ต้องการการพัฒนาไม่น้อยไปกว่าประเทศไหนๆ ในโลกเลย น่านน้ำซึ่งเชื่อกันว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ พาราเซล และอื่นๆ ก็เป็นที่วิวาทบาดหมางจนแทบจะยกกองทัพมาทำสงครามกัน เป็นต้น พูดง่ายๆ คือ เอเชียถูกใครเขาแหย่ให้ทะเลาะกันอย่างได้ผล และทำมาตลอดประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ โน่นแล้ว คนที่แหย่เขารู้ดีทีเดียวว่าเมื่อใดที่เอเชียรวมตัวกันได้ อำนาจเศรษฐกิจโลกจะไหลกลับรวมศูนย์กันที่นี่

การบริหาร เวลาเอเชียนั้นทำได้หลายวิธี รัฐบาลจากการเลือกตั้งสมัย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ลองแล้วหนึ่งวิธี นั่นคือตั้งกลุ่มความร่วมมือที่รวมประเทศตัวแทนของทุกอนุภูมิภาค (sub-region) ในเอเชีย ผลก็คือการผงาดขึ้นของกลุ่ม ACD ซึ่งเริ่มต้นโดยประเทศไทย ประชุมครั้งแรกที่เชียงใหม่ และถูกนำไปสานต่อโดยมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย นั่นคือสาธารณรัฐประชาชนจีนผู้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งที่สอง ณ นครชิงต่าว แต่แล้วรัฐบาลไทยชุดนั้นก็ถูกรัฐประหารหมดอำนาจไป ส่งผลให้แรงผลักดัน ACD มาทำหน้าที่ผู้บริหาร เวลาเอเชียลดลงเป็นอันมาก

วิธีอื่นๆ ในการรวมเอเชียในทางเศรษฐกิจยังมีอีก และไทยในยุคที่รัฐบาลของประชาชนอย่างนี้ก็สามารถทำหน้าที่เจ้าภาพได้อีก ไม่ต่างจากสมัยรัฐบาลทักษิณ

ขอเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาและเตรียมรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเสียแต่บัดนี้ หากวิกฤติไม่เกิด เหตุการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย ก็ยุบเลิกคณะทำงานลงเสียเมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องดีแบบนี้ไม่มีเสียหน้าหรือเสียรังวัดใดๆ.

-----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

ทัวร์พิเศษสุด กองเชียร์ไทยหัวใจแดง ครั้งที่ 2


ทัวร์พิเศษสุด กองเชียร์ไทยหัวใจแดง ครั้งที่ 2

ณ ประเทศกัมพูชา

(เพียงท่านละ 6,500 บาท รวมค่ารถ ค่าอาหาร ที่พัก ประกันอุบัติเหตุ)

เดินทาง วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม - กลับวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2554

"สู่อารยธรรมขอม หลอมหัวใจไทยกัมพูชา" “กองเชียร์ไทยหัวใจแดง” มาอีกแล้วครับ.. คราวนี้เยี่ยมเยือนโบราณสถานอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก “นครวัด-นครธม” ในราชอาณาจักรกัมพูชา... พวกเราย่อมไม่ลืมว่า ในการต่อสู้กว่าห้าปีของพวกเรา เรามีกัมพูชา-เพื่อนบ้านผู้น่ารัก-ช่วยเหลืออย่างมีน้ำใจมาโดยตลอด พวกเราจึงขอเชิญชวนทุก ๆ ท่าน เดินทางไปเที่ยว และให้กำลังใจกับกัลยาณมิตรของเราในโอกาสนี้ แถมยังจะได้เป็นประวัติชีวิตอีกต่างหากว่า ได้ไปเยือนสถานที่อันโด่งดังกระเดื่องโลกมาแล้วด้วยตัวเอง

กัมพูชา ตั้งอยู่กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทิศเหนือติดกับประเทศไทย (จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์) และลาว (แขวง อัตตะปือและจำปาสัก) ทิศตะวันออกติดเวียดนาม (จังหวัดกอนทูม เปลกู ซาลาย ดั๊กลั๊ก ส่องแบ๋ เตยนิน ลองอาน ด่งท๊าบ อันซาง และเกียงซาง) ทิศตะวันตกติดประเทศไทย (จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด) และทิศใต้ติดอ่าวไทย

โปรแกรม 3 วัน 2 คืน (โดยรถกลับรถ)

กรุงเทพฯ – อรัญประเทศ ปอยเปต นครวัด นครธม บันทายศรี – ทะเลสาบ


วันแรกของการเดินทาง 28 ตุลาคม 54 จุดนัดพบ - อรัญประเทศ ปอยเปต เสียมราฐ (B/L/D)

06.00 . คณะพร้อมกันที่จุดนัดพบ แล้วออกเดินทางไปยัง อ. อรัญประเทศ (บริการอาหารเช้าบนรถ)

09.30 . คณะเดินทางถึง อ. อรัญประเทศ นำคณะท่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ไทย กัมพูชา แล้วออกเดินทางโดยรถปรับอากาศสู่จังหวัดเสียมราฐ ตามถนนหมายเลข 6 ซึ่งเป็นถนนลาดยางระยะทาง 152 กม.

12.30 . เดินทางถึงเมืองเสียมราฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทนครวัด

รับประทานอาหารกลางวัน ภัตตาคาร . เสียมราฐ นำท่านเก็บสัมภาระเข้าโรงแรมที่พัก ณ โรงแรมระดับ 4 ดาว อังกอร์ริเวร่า / สมายลิ่ง / ซิตี้อังกอร์ /รีโฮเต็ล หรือเทียบเท่า หลังจากนั้นนำท่านไหว้พระองค์เจก-พระองค์จอม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดเสียมราฐ

17.00 . นำคณะขึ้นเขาพนมบาเค็ง หรือวนัมกันตาล ที่ตั้งของปราสาทพนมบาเค็งซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งอำนาจของเมืองยโศธรปุระ ในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เพื่อบันทึกภาพพระอาทิตย์อัสดงเหนือบารายตะวันตกที่สวยงามจากยอดประสาทพนมบาเค็ง ท่านจะสามารถมองเห็นเมืองพระนครในบรรยากาศยามเย็นอร่าม เป็นสีทองงดงามดั่งเมืองเนรมิตซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเสียมราฐ

19.30 . รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารสวัสดี ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด

เสียมราฐ หลังนำท่านกลับโรงแรมที่พัก



วันที่สองของการเดินทาง
29 ตุลาคม 54 บันทายศรี นครธม ตาพรหม นครวัด (B/L/D)

07.00 . รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก

08.00 . เดินทางสู่บันเตียเสรย หรือ บันทายศรี ตามภาษาเขมรจะแปลว่า ป้อมแห่งสตรีด้านตัวปราสาทนั้นสร้างในแนวราบ เป็นปราสาทหลังเล็กๆกลุ่มหนึ่งสร้างด้วยหินทรายสีชมพู และแกะสลักภาพรูปนูนต่ำ โคปุระของปราสาทบันทายศรีเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งมีความงดงามมาก ศิลปกรรมของบันทายศรีจะมีความอ่อนช้อย ประณีต มีความคม บางชัดเจนเป็นพิเศษโดยเฉพาะลวดลายพรรณพฤกษาและลายต่างๆ ล้วนมีความชัดเจนประดุจกลีบดอกกลีบใบที่สลักอยู่บนหินลอยเด่นออกมา ส่วนรูปนางอัปสรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่านางอัปสราและเทวดาในสมัยอื่นๆ คือมีรูปร่างสมส่วน หน้าตาหมดจด อาภรณ์และเครื่องประดับมีความชัดเจน ถือได้ว่างามที่สุดในศิลปะของเขมร

หลังจากนั้นออกเดินทางมุ่งสู่ เมืองนครธม หรือ อังกอร์ธม ชมความงดงมและความมหัศจรรย์ของปราสาท และโบราณสถานที่สำคัญๆอาทิเช่น ปราสาทปักษีจำกรง แล้วชม สะพานนาคราช เป็นหลักศิลามีเอกลักษณ์เฉพาะด้านเช่น รูปแกะสลักรูปเทวดากำลังฉุดนาค ฯ ปราสาทบายน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของนครธม และเป็นสุดยอดของปราสาทเขมรในยุคเสื่อมยอดปราสาททุกหลังจะแกะสลักเป็นรูปเทวพักตร์ 4 หน้าซึ่งหันออกไปทอดพระเนตรดูแลทุกข์ สุข ของประชาชนทั้ง 4 ทิศ และขอนำท่านกราบนมัสการ พระชัยพุทธมหานาค เป็นพระพุทธรูปนาคปรกศิลาที่มีขนาดใหญ่ และท่านจะได้ชม บ่อน้ำโบราณ ซึ่งน้ำในบ่อนี้จะถูกนำมาใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ทุกรัชกาล และจะได้สัมผัสถึงภาพจิตกรรมแกะสลักที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวเขมรโบราณ เปรียบเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของชาวเขมร

12.00 . รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารดอกบัวใหม่ เป็นร้านอาหารเขมร-จีน-เวียดนาม

13.00 . หลังจากนั้นพาชมปราสาทตาพรหม เป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่สร้างใหญ่โตกว่าสนาม

หลวงของไทย รวบรวมหมวดปราสาทไว้ถึง 24 หลัง ตั้งอยู่กลางป่ามีแมกไม้ขึ้นปกคลุม บางแห่งมีรากไม้ใหญ่อันมหึมาโอบอุ้มพระเทวสถานไว้อย่างน่าอัศจรรย์

จากนั้นพาท่านชม ปราสาทนครวัด หรือ อังกอร์วัด สิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกที่เปรียบเสมือนวิมานของเทพเจ้าสูงสุดที่บรรจงชะลอลงมาประดิษฐานไว้บนโลกมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของการเดินทางในครั้งนี้ ปราสาทนครวัดสร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยถวายเป็นพุทธบูชา ท่านจะได้ชมความงดงามตระการตาของโบราณสถาน และรูปแกะสลักต่างๆเช่น รูปแกะสลักนางอัปสราลิ้น 2 แฉก,ภาพแกะสลักนูนต่ำการกวนเกษียรสมุทร ภาพแกะสลักการยกทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โดยกองทัพเสียมกุก ห้องทุบอก และชมความงามของยอดปราสาททรงดอกบัวตูม

19.30 . รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารตนเลแม่โขง พร้อมชมการแสดงศิลปะวัฒนธรรมของชาวกัมพูชา เช่น ระบำนางอัปสรา



วันที่สามของการเดินทาง 30 ตุลาคม 54 โตนเลสาป - ตลาดต้นโพธิ์ - บารายตะวันตก -ไทย (B/L/D)

07.30 . รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม พร้อมเช็คเอ้าท์

08.30 . พาท่านล่องเรือในโตนเลสาป ทะเลน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีพันธุ์ปลา

ชุกชุมมากที่สุด ชมวิถีชีวิตชาวเรือกว่า 5,000 ครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในทะเลกว้าง ซึ่งครอบคลุม

พื้นที่ถึง 5 จังหวัด ที่ใช้เรือเป็นบ้าน ใช้น้ำเป็นเรือนตาย ในชุมชนชาวน้ำมีครบทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน คาราโอเกะ ร้านขายของชำลอยน้ำ นำคณะกลับเข้าตัวเมือง จ. เสียมราฐ

หลังจากนั้นพาท่านเที่ยวชมตลาดต้นโพธิ์ เลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองของที่ระลึกสัมผัสชีวิตชาวกัมพูชาในเสียมราฐ จากนั้นนำท่านออกเดินทางกลับชายแดนปอยเปต

ระหว่างเดินทางกลับแวะชมเขื่อนน้ำบารายตะวันตก เป็นเขื่อนน้ำสมัยโบราณที่ขุดด้วยมือมนุษย์ โดยใช้แรงงานมากกว่า 50,000 คน ใช้เวลา 5 ปี ล้อมรอบด้วยคันหินลึกประมาณ 5 เมตร สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 3 หรือพระเจ้าอิวรมัน โดยทรงโปรดให้สร้างบารายครอบคลุมพื้นที่ 650 เอเคอร์ไว้เก็บน้ำฝน และยังเป็นการสร้างตามคติความเชื่อที่ว่า เขาพระสุเมรุอันเป็นที่สถิตของทวยเทพ ต้องมีน้ำล้อมรอบที่นี่เคยขุดพบรูปสัมริดขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่กรุงพนมเปญ ออกเดินทางต่อระหว่างทางเยี่ยมชมหมู่บ้านแกะสลักหิน ที่อำเภอพระเนตร จ.บันเตียเมียนเจย เลือกซื้อหินแกะสลักได้ตามความพึงพอใจ

12.30 . เดินทางถึงชายแดนปอยเปต , รับประทานอาหารกลางวันที่ ณ ทรอปิคาน่า รีสอร์ท (คาสิโน) หลังจากทานอาหาร เที่ยวชมบ่อนคาสิโน 30 นาที

14.00 . ได้เวลาพอสมควรนำท่านดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ปอยเปต ไทย ช็อปปิ้งที่ตลาดโรงเกลือตามอัธยาศัย ตลาดโรงเกลือ ตั้งอยู่บ้านคลองลึก ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ ห่างจากประตูชัย ประมาณ 500 เมตร คำว่าโรงเกลือเป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่ดังกล่าวมาตั้งแต่เดิมเพราะในอดีตตรงบริเวณนี้เป็นสถานที่ใช้เก็บเกลือ เพื่อนำไปขาย ให้กับชาวกัมพูชานำไปใช้ทำปลาเค็ม ต่อมา ความจำเป็นต้องใช้เกลือลดน้อยลงประกอบกับเกิดภัยการสู่รบภายในประเทศกัมพูชาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นตลาดขายสินค้า ตลาดโรงเกลือจัดเป็นตลาดที่ขายเครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่จำเป็นแก่การครองชีพ มาตั้งแต่ปี พ..2534 และได้ใช้คำว่า " ตลาดโรงเกลือ " แต่ในปัจจุบันตลาดดัง

กล่าวได้พัฒนาขึ้นมาเป็นตลาดชายแดนที่มีขนาดใหญ่โตมาก มีสินค้าราคาถูกนานาชนิดทั้งของไทย เขมร เวียดนาม จีน มาวางขายให้กับประชาชนทั่วๆไป ได้เวลาพอสมควรส่งคณะ กลับกรุงเทพฯด้วยความสุข และประทับใจ .

18.30 น. บริการอาหารค่ำที่ร้านอาหารเวียตนามเจ้าดั้งเดิมในอรัญฯ



หมายเหตุ : จองด่วนที่ : คุณไพโรจน์ ช่วยชู โทร. 087-9345926, 088-2572014, 086-0730053

โอนเงินชำระได้ที่ บัญชี นายไพโรจน์ ช่วยชู จำนวนเงิน 6,500 บาท

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอ่อนนุช ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 133-217-1311

หมายเหตุ : (1) กรุณา FAX. หลักฐานการโอนเงินมาได้ที่ โทร. 037-232383

(2) ผู้เดินทางกรุณาส่งสำเนาหนังสือเดินทาง FAX มาล่วงหน้าได้ที่ โทร.037-232383

(3) จุดจอดรถทัวร์ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์สถานีหัวหมาก ถนนศรีนครินทร์


ข้อแนะนำ

การเตรียมตัวในการไปเที่ยวประเทศกัมพูชา

- อากาศร้อน ถึง ร้อนมาก แต่ส่วนมากอากาศจะใกล้เคียงกับประเทศไทย

- แต่ช่วงเดินเที่ยวแต่ละปราสาท ต้องมีเจอแดด และฝุ่นบ้าง ควรเตรียมครีมกันแดด

และ ยาแก้แพ้ต่างๆ ไปด้วยหากจำเป็นต้องใช้ยาเฉพาะบุคคล

- การเข้าชมปราสาทต่างๆ เช่น ปราสาทนครวัด จะต้องเดิน เยอะมากๆ เตรียมครีมนวดแก้ปวดเมื่อยไปด้วยถ้าหากเราไม่ค่อยได้ออกกำลัง

- ห้องน้ำในช่วงระหว่างการเดินทางห้องน้ำจะมีตามจุดพักรถ ตามสภาพของชาวพื้นบ้าน

แต่เมื่อถึง จ.เสียมราฐ ห้องน้ำสะอาด จะมีตามโรงแรม ในบริเวณปราสาท หรือ ร้านอาหารที่เราไป.

- เรื่องอาหาร ไม่ต้องกลัว ทานอาหารร้านคนไทย และ ร้านอาหารระดับนานาชาติ เกือบทุกมื้อ สะอาด ปลอดภัย / หากท่านรอบคอบก็เตรียมยาแก้ท้องเสียไปด้วย เพราะยาที่เราใช้ในเมืองไทยค่อนข้างหายากและแพง (แต่โดยทั่วไปแล้วทีมงานเรามีเตรียมอยู่แล้ว)

- ควรเตรียม ยาแก้แพ้ หรือ ยารักษาโรคประจำตัว ไปด้วย เพราะการไปซื้อที่ต่างแดน

อาจไม่ได้ตามที่ต้องการ และ ควรแจ้งกับทีมงานก่อนการเดินทางทุกครั้ง

การเตรียมใจ
- เราต้องทำใจรับกับความเป็นกัมพูชา ประเทศบ้านเมืองไม่ได้สวยงามเสมอไป อาจจะเจอฝุ่น

ขอทาน กลิ่นไม่พึงประสงค์ บ้างในบางสถานที่ และ เวลาข้ามด่านให้ระมัดระวังสิ่งของ

ของเรา เช่น กระเป๋าสตางค์ /กล้องถ่ายรูป / พาสปอร์ต เป็นต้น . ห้ามประมาท เพราะ

เด็กที่นี่จะมืออาชีพ อาจจะทำเป็นวิ่งเล่น แล้ววิ่งชนเราแต่ของมีค่า โดยเฉพาะ

โทรศัพท์มือถือของเราจะติดมือเด็กไปด้วย

สาธารณูปโภค

ระบบไฟฟ้าใช้ 220 V และ รูปแบบปลั๊กเช่นเดียวกับเมืองไทย

การแลกเงิน

ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา สามารถใช้เงินตราทั่วไป ได้ทั้ง 3 สกุล เงินบาทไทย,

ดอลล่าร์สหรัฐ และ เรียลกัมพูชา (ใช้ในการทำบุญในปราสาทต่างๆ หรือเข้าห้องน้ำ

ระหว่างทาง)

------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com