ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความมั่นคงของแดงสยาม โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ความมั่นคงของแดงสยาม

โดย กาหลิบ

น่าประหลาดใจจริงๆ สำหรับแดงสยาม ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนแนวความคิดปฏิวัติประชาธิปไตยไทยในขณะนี้ หลังการดักจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรืออาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน ผู้ทำหน้าที่ประธานแดงสยามในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว มวลชนผู้สนับสนุนทั้งหลาย ถึงจะรู้สึกเศร้าใจและเกิดความรวนเรอยู่ในใจบ้างก็กลับเดินหน้าต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ผู้มีแนวความคิดแดงสยามยังนัดหมายรวมกันต่อไปทั่วประเทศและในต่างประเทศ มีทั้งกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ แถมยังวางงานทั้งเปิดเผยและปิดลับกันอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เหมือนจะบอกให้ฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ได้รู้ทีเดียวว่า เดินเกมผิดไปแล้วด้วยการจับกุมอาจารย์สุรชัย

เมื่อหนึ่งขวบปีที่แล้วพอดิบพอดี คือวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ แดงสยามประกาศตัวกลางท้องสนามหลวงอย่างกึกก้องท่ามกลางผู้สนับสนุนตาสว่างจำนวนมาก คำประกาศในค่ำคืนนั้นยังคงเป็นหลักของวันนี้ ละจะเป็นหลักเรื่อยไปจนกว่างานปฏิวัติประชาธิปไตยยไทยสัมฤทธิ์ผล ลองอ่านทบทวนดูอีกสักครั้งแล้วจะรู้เองว่าแดงสยามเสนอแนวคิดใดต่อสังคมไทย และเหตุใดแนวทางอื่นที่น้อยไปกว่านี้จะประสบความล้มเหลวในการสร้างประชาธิปไตยอันแท้จริง:

คำประกาศแดงสยาม

วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓

แดงสยามกำเนิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว ตามสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทย โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม

นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐแบบเผด็จการ จนลุ่มหลงในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฐิ ระบบใดๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาในระบอบอันฉ้อฉล ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคมและสมาชิกทุกผู้ทุกนาม

เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์และปรัชญาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งเลวร้าย พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออก สู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่ได้

เราถูกทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจอุปถัมภ์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย ทั้งๆ ที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลังและกำปัจจัยที่บันดาลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด

เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆ ที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน เป็นต้น ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ

แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยต่อสู้เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่หยุดยั้งถึงจะใช้เวลานานขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย

โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้

๑. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย

๒. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์

๓. สังคมต้องเสมอภาค

๔. กฎมายต้องศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน

๕. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง

ขอเชิญปวงชนชาวไทยได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นความมืดมนของฝ่ายเผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชนชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป

นี่คือภารกิจ แดงสยาม”.

*******************************************************************************

นั่นคือคำอธิบายว่าแดงสยามต้องการสิ่งใด และเหตุใดแนวคิดแดงสยามจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ระบอบศักดินา-อำมาตย์ตัดสินใจส่ง พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ มา ปรองดองกับบางคนในหมู่ พวกเราและหันมาฆ่าฟันแดงสยามด้วยอำนาจรัฐโดยหวังให้ราบคาบ

มวลชนแดงสยามก็คือมวลชน นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เพียงจบการศึกษาระดับมัธยมแล้วมาต่อในระดับอุดมศึกษา เพิ่มความเข้าใจทางสังคมตามความตาสว่างเท่านั้นเอง

ถึงเวลาและได้สติ เราค่อยมารวมกันก็ได้ครับ.

-------------------------------------------------------------------

ด่วน! สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ขอโทษที่ไม่ยินดี โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ขอโทษที่ไม่ยินดี

โดย กาหลิบ


เหตุที่ต้องขอโทษล่วงหน้า ก็เพราะใจอยากแสดงความยินดีจริงๆ ต่อแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดินทั้ง ๗ คนที่ได้รับการประกันตัวสู่อิสรภาพชั่วคราว ๙ เดือนในคุกเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน หากนานไปกว่านี้ก็อาจส่งผลกระทบถาวรในทางร่างกายและจิตใจได้ การได้ออกมาจึงเป็นความโล่งใจเปลาะหนึ่งของคนที่ยังมีมิตรภาพต่อกัน

แต่จะให้ถึงขั้นรู้สึกยินดีนั้น ทำไม่ได้และจะไม่ทำ

ความจริงแทบไม่ต้องอธิบายเหตุผลเรื่องนี้กับผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับบางท่านที่เคลิบเคลิ้มกับละครฉากใหญ่ในบ้านเมืองขณะนี้ ซึ่งอาจจะงงงันสับสนว่า ทำไมถึงไม่ยินดีปรีดาไปกับท่านด้วย เราคงต้องลำดับความกันอีกสักครั้ง

ที่ยินดีไม่ได้ก็เพราะมีเหตุผลใหญ่ ๓ ประการ

ประการแรก การปล่อยตัวแกนนำ ๗ คนจากเกือบสองร้อยคนสู่อิสรภาพชั่วคราว เกิดขึ้นใน ๒๔ ชั่วโมงเดียวกับการจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ สุรชัย แซ่ด่าน ประธานแดงสยาม หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมที่เจดีย์ขาวใกล้ท้องสนามหลวง ฐานความผิดที่นำมากล่าวหาคือมาตรา ๑๑๒ ของประมวลกฎหมายอาญา ตามอำนาจของรัฐธรรมนูญหมวด ๒ นั่นคือความผิดฐานหมิ่นกษัตริย์และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกษัตริย์ การจู่โจมจับกุมครั้งนี้กระทำกันกลางดึกในซอยเปลี่ยวแถวนนทบุรี โดยคนที่เชื่อว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเป็นจำนวนมากที่มีอาวุธครบมือ

ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือข่าวกรองที่ไหนมาช่วยวิเคราะห์ สาธุชนย่อมเข้าใจได้เองว่า นี่ย่อมเกิดจากข้อตกลงระหว่างผู้มีอำนาจในเมืองไทยกับตัวแทนของฝ่าย นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ตัวแทนของผู้มีอำนาจจะเป็นใครไม่รู้ แต่ตัวแทนฝ่าย นปช.ฯ ชัดเจนแล้วว่าคือ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ที่คนทั้ง ๗ เดินทางไปกราบทันทีที่ก้าวออกมาจากคุก

คำถามคือข้อตกลงนั้นจะทำให้มวลชนของเราได้ประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้า นปช.ฯ ยอมรับเงื่อนไขของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยจนถึงขั้นจำกัดบทบาทตัวเองในทางการเมือง และยอมให้คนที่ลุกขึ้นสู้ด้วยความห้าวหาญอย่าง นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และพี่น้องร่วมคุกที่ไม่มีชื่อเสียงเท่าแกนนำทั้ง ๗ อีกเกือบสองร้อยคน ช่วยติดคุกแทนตน

ต่อให้ขึ้นเวทีแสดงอิทธิฤทธิ์หรือให้สัมภาษณ์ช่องแดงช่องเขียวกันอย่างหยาดเยิ้มว่าเราจะต่อสู้ต่อไปหรือเราจะไม่มีวันลืมเพื่อนร่วมคุก เราก็จะเห็นว่าเป้าหมายต่อสู้จะเหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์กับบรรดาลูกน้องผู้มีอำนาจ แต่จะเอาโวหารมาเชือดเฉือนอย่างมันปากจนชาวบ้านบางคนอาจหลงเชื่อว่าเป็นการต่อสู้อย่างแท้จริง เสียเวลามวลชนซ้ำซากกันไปอีกหลายเดือนหลายปีจนไดดเลือกตั้งสมใจ ท้ายที่สุดเมื่อมวลชนนึกขึ้นได้ว่าทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์ ก็อาจหมดแรงเลิกชุมนุมกันไปเอง ส่วนใครที่มันดื้อรั้นไม่ยอมก้มหัวให้ ก็จับใส่คุกแบบขังลืมหรือไล่ฆ่าอย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้เห็น หรือถึงทาง นปช.ฯ จะรู้เห็นก็คงไม่เข้ามาร่วมทุกข์ เหมือนที่ไม่ยอมเอ่ยปากถึงการจับกุมนายสุรชัยฯ แม้แต่คำเดียว เพราะอาจขัดผลประโยชน์และความสุขของตน

ประการที่สอง การไม่เจรจาเผื่อผู้ร่วมคุกอีกเกือบ ๒๐๐ คนซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรม และการที่แกนนำไม่ประกาศจุดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับมวลชนเหล่านั้น ถึงขั้นที่ควรปฏิเสธอิสรภาพ หากอิสรภาพนั้นจะตกอยู่กับคนเพียง ๗ คน เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่เป็นคุณต่อขบวนประชาธิปไตย

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จได้โดยคนเพียง ๗ คนหรืออดีตนายกรัฐมนตรี ๑ คน เราต้องขอความช่วยเหลือมวลชนจำนวนมากที่สุดให้เข้าร่วมในกิจกรรมที่หลากหลายที่สุด บนดิน ใต้ดิน ในเวทีชุมนุม นอกเวทีชุมนุม ทั้งงานที่มีองค์กรนำควบคุมชี้นำ และกิจกรรมธรรมชาติของมวลชน การส่งสัญญาณใดๆ ในขบวนจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมเช่นนี้เป็นสำคัญ

แนวคิดที่ว่าเอาตัวแกนนำออกมาก่อนเถิด มวลชนจะได้มี หัวคือแนวคิดที่ล้าหลัง น่าแปลกใจที่ยังมีผู้เชื่อว่า มวลชนตาสว่างในวันนี้สามารถ ถูกนำได้ มวลชนปัจจุบันก้าวหน้าและกล้าหาญกว่าเวทีมานานแล้ว ปรากฏการณ์ปัจจุบันที่เกิดแนว แดงสยามขึ้นควบกับ นปช.แดงทั้งแผ่นดินยิ่งทำให้สิ่งที่มวลชนลังเลและเคลือบแคลงใจในอดีตหมดสิ้นไป จากนี้ไปแนวคิดปฏิวัติย่อมจะชัดเจนขึ้น วิธีการในการบรรลุถึงเป้าหมายเท่านั้นเองที่ต้องวางกันให้ชัดเพื่อให้มวลชนตาสว่างมองเห็นความเป็นไปได้

ประการที่สามซึ่งเป็นข้อสุดท้าย ในการเจรจาเยี่ยงนี้ วีรชนแห่งเดือนเมษายนและพฤษภาคมของเราที่ตายเป็นร้อยๆ หายไปไหน ความตายกลางถนนหลวงและกระจายไปทั่วประเทศไทย ด้วยฝีมือคนประเภทเดียวกับคนที่ตัวแทน นปช.ฯ ไปเจรจาด้วย ไม่มีความสำคัญใดๆ เลยหรือ

ใครเตรียมจัดงานเฉลิมฉลอง หรือจะจัดคอนเสิร์ตแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างไรก็ทำไปเถิด แต่ใจเราไม่อาจยอมรับการก้าวข้ามศพวีรชนกันอย่างนี้ได้

หวังว่าเหตุผลสามประการนี้คงชัดเจนพอสำหรับคนที่มีหัวใจ.

-------------------------------------------------สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

คลิป "สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์" โดนรวบตัว - สน.โชคชัย

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แถลงการณ์ของนายจักรภพ เรื่อง การจับกุมนายสุรชัยฯ


แถลงการณ์ของ นายจักรภพ เพ็ญแข

เรื่อง การจับกุมนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์และการให้ประกันตัวแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน

วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

ในนามขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยไทย ผมขอประณามการตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ประธานแดงสยาม หลังการปฏิบัติภารกิจทางการเมืองเมื่อคืนวันจันทร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ พฤติกรรมดังกล่าว สวนทางกับหลักประชาธิปไตยสากลทุกประการทั้งในเนื้อหากฎหมายอันเกี่ยวพันกับสถาบันกษัตริย์และในการดำเนินการจับกุมด้วยบุคคลนอกเครื่องแบบด้วยอาวุธครบมือ เราถือว่า นี่คือการประกาศความเป็นศัตรูอย่างชัดแจ้งกับประชาชน ความหวังใดๆ ที่เราจะได้ประชาธิปไตยที่แท้ภายใต้ระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยเช่นที่เป็นอยู่นี้ได้ดับลงแล้วอย่างสิ้นเชิง

นี่มิใช่ รุ่งอรุณแห่งความยุติธรรมหากคืออัสดงคตแห่งระบอบประชาธิปไตยไทย หรือเป็นช่วงตะวันตกดินก่อนเข้าสู่ช่วงกาฬปักษ์อันมืดมิด

ความยินดีที่ได้เห็นแกนนำ นปช.ฯ ทั้ง ๗ คนได้รับการประกันตัว จึงถูกถ่วงดุลด้วยการจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และเหยื่อการเมืองในระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จของไทย ขอให้มวลชนจงรวมตัวกันยืนหยัดในอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริงต่อไป โดยไม่เห็นแก่เศษเนื้อข้างจานหรือสินบนทางการเมืองที่ไร้ความหมายใดๆ

นอกจากนั้นให้ยกเลิกความในรัฐธรรมนูญหมวด ๒ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ อันเป็น ฐานความผิดของนายสุรชัยฯ และของบุคคลอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งตัวผมเอง ลงโดยสิ้นเชิง สาระของรัฐธรรมนูญในส่วนนี้ ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโฉดชั่วและเป็นภูเขาที่ขวางกั้นมิให้ระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงเกิดขึ้นได้ หากกฎหมายนี้และอื่นๆ ในลักษณะนี้ยังดำรงอยู่ สังคมไทยจะกลายเป็นสนามรบและจะเกิดความรุนแรงทางการเมืองอีกในไม่ช้า

ขอให้มวลชนตาสว่างผู้เป็นนักปฏิวัติ ร่วมเดินทางสายสำคัญนี้ต่อไป ผมขอปวารณาตัวเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยไทย ขอให้แกนนำทุกท่านที่พรั่งพร้อมต่อการเดินไกล เช่น คุณพลท เฉลิมแสน ผู้ประสานภารกิจ ช่วยเป็นเรี่ยวแรงภายในประเทศ ให้แก่มวลชนที่รักยิ่งของเราอย่างมั่นคงและศรัทธา.

ขอกราบพี่น้องประชาชนจากหัวใจของผม

นายจักรภพ เพ็ญแข

**********************************************************************

แถลงการณ์ฉบับภาษาอังกฤษ

Statement of Mr. Jakrapob Penkair, Former Minister of Prime Minister’s Office

The Arrest of Mr. Surachai Danwattananusorn and The Bail Granting to UDD’s Leaders

Tuesday, February 22, 2011

On behalf of Thailand’s revolutionary movement, I so condemn the charging and the arrest of Mr. Surachai Danwattananusorn, Dang Siam’s President, after a political activity on the night of February 21, 2011. Such action goes directly against international norms of democracy in both substance, which involves Thailand’s monarchy, and its execution, by employing several fully-armed, police plainclothes. We take it as a pronouncement of the state’s hostility to its people. Any hope to achieve true democracy for Thailand within the current imperial-aristocratic regime has been completely dashed.

This is not “Dawn of Thailand’s Justice”, as stated, but a major sunset to Thailand’s democratization before the arrival of Dark Age.

The joy of seeing the UDD’s leaders freed is thus balanced out with Mr. Surachai’s arrest, as well as other victims’ injustice, myself included. May the people stand firm on their plight, with complete disregard of the residues of democracy and meaningless political bribery.

Furthermore, it is time to relinquish the undemocratic and repressive laws of Lese Majeste in Thailand. This very legal basis, cited as the ground of Mr. Surachai’s guilt as well as hundreds others, has been exploited as deadly political weapons for so long, and these laws stand mountainously against the path of true democracy. If it remains, the situation will soon be inflamed and more violence will be applied to this once-peaceful country.

May the wide-eyed, revolutionary people of democracy stay united and attached to our new path. I willingly take part to such road and wish some of the well-prepared group leaders, like Mr. Palot Chalermsan, accomodate our people domestically with mental stability and full faith.

From My Heart to Our Struggling People of Thailand

Jakrapob Penkair

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แดงถกเถียง โดย กาหลิบ







คอลัมน์

เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง แดงถกเถียง

โดย กาหลิบ

ข่าว ความขัดแย้งในหมู่เสื้อแดง ย่อมทำให้คนเสื้อแดงไม่สบายใจ คนเสื้อแดงอยากได้ยินว่าคนเสื้อแดงทุกคนรักและสามัคคีกัน เพื่อสู้ศัตรูได้อย่างเป็นเอกภาพจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ในช่วงสองสัปดาห์มานี้จะได้ยินคำพูดและคำเขียนประมาณนี้อยู่บ่อยครั้ง และรู้สึกเห็นใจคนเสื้อแดงที่พลีตนเพื่อการต่อสู้มาตลอดหลายปีนี้มาก

วันนี้จึงต้องนำเรื่องนี้มาพูดกันตรงๆ เพื่อเข้าใจให้ทะลุ และกำหนดใจให้ได้ว่าควรทำอย่างไรกันต่อไป

ถ้ามองกันตื้นๆ ไม่นำข้อมูลย้อนหลังมาวิเคราะห์ให้สมบูรณ์ บางท่านอาจจะนึกว่างานนี้คุณธิดา ถาวรเศรษฐ์ ในฐานะผู้มีอำนาจใน นปช. แดงทั้งแผ่นดิน กับคุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ประธานแดงสยาม เป็นคนสองคนที่ทะเลาะทุ่มเถียงกันอย่างไม่หยุดยั้ง และมีตัวละครอย่าง คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เข้ามาร่วมแจมแบบผิวๆ หรือ คุณไจล์ส อึ๊งภากรณ์ ที่แสดงอาการเลือกข้างและร่วมการชกต่อยอย่างเมามัน

สรุปอย่างนี้ก็ไม่ผิดนัก แต่เป็นปลายทางและปลายเหตุอย่างยิ่ง

ต้นเหตุคือแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างคนที่กำลังถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ไม่ใช่เรื่องสาดน้ำใส่กันว่าใครกล้าหาญกว่าใครสมัยที่ยังชูธงคอมมิวนิสต์อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากยอมรับกันอย่างคนที่มองเห็นสัจจะในการต่อสู้แล้ว การทะเลาะกันครั้งนี้ก็มีเหตุผล

อันที่จริง ความรู้สึกแบ่งแยกได้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเหตุฆ่าประชาชน ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เมื่อมีคำแถลงอย่างเป็นทางการและเป็นสาธารณะของคณะ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ขับไล่ ผู้นำมวลชนสองคนออกจากขบวน คือพลตรีขัตติยะ สวัสดิผลและคุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หลังจากเกิดกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า แดงสยาม ขึ้นแล้ว ผลจากการกระทำนั้น ได้สร้างความร้าวรานใจอย่างยิ่งในหมู่มวลชนที่ตาสว่างขึ้นทุกวัน ความคิดมวลชนเริ่มก้าวหน้า แต่ใจยังยึดติดกับตัวแกนนำที่ร่วมต่อสู้กันมาจนเกิดลัทธิพรรคพวก ถึงขนาดรู้ว่าเดินผิดก็ยังยอมร่วมเดินด้วย ซึ่งน่ารักไปอีกแบบหากมองในมุมส่วนตัว ความรู้สึกในเรื่องนี้ของ นปช.ฯ ไม่เคยเปลี่ยน ก็การระดมมวลชนยังประสบความสำเร็จมืดฟ้ามัวดิน เรียกกี่ครั้งก็มายอมทนทุกข์ทรมานอยู่ด้วยทุกครั้ง แกนนำ นปช.ฯ จึงเกิดมั่นใจในอำนาจและไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรในขบวนประชาธิปไตยที่หลากหลายแตกต่างขึ้นทุกวัน จนแม้มวลชนนับร้อยถูกฆ่าอย่างทารุณกลางนครหลวง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นฝีมือของระบอบ ทัศนะนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน ยิ่งเมื่อหยิบคุณธิดาฯ ขึ้นมารักษาการประธานแล้ว ทัศนะนี้ดูจะกลายเป็นอุดมการณ์ใหม่ที่เอามาตอกย้ำซ้ำซากกันเสมอเลยด้วยซ้ำ

ถามแบบบ้านๆ ว่า ก็ได้ข่าวว่าแดงสยามโจมตี นปช.ฯ อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง คนที่ถูกวิจารณ์เขาจะลุกขึ้นมามีอาการหรือตอบโต้บ้างไม่ได้หรืออย่างไรเล่า

คำตอบคือได้ดูให้ลึกลงไปหรือเปล่าว่าการโจมตีนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร ส่วนตัวหรือส่วนรวม และเป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาธิปไตยหรือไร้ประโยชน์

หัวใจของเรื่องอยู่ตรงที่ว่า แนวคิดเปลี่ยนแปลงโดยการปฏิรูป และนโยบายชุมนุมไปเรื่อยจนกว่าได้รับชัยชนะโดยอ้างว่าจะ ยกระดับการต่อสู้ไปพลางนั้น ทางแดงสยามเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า มวลชนชาวไทยในวันนี้เขาพร้อมต่อแนวคิดปฏิวัติและไม่อยากชุมนุมไปเรื่อยๆ โดยไร้ความหมายและทิศทางสู่ชัยชนะอีกต่อไปแล้ว เขาจึงวิพากษ์วิจารณ์เอา

และขณะที่วิพากษ์อยู่นั้น เขาก็ร้องขอให้มวลชนปฏิวัติเข้าร่วมในทุกกิจกรรมของ นปช.ฯ และของกลุ่มประชาธิปไตยต่างๆ อย่างไม่ขาดตอน เพื่อมิให้พลังมวลชนคนเสื้อแดงต้องลดน้อยถอยลงไป

แล้วมันเสียหายตรงไหนต่อขบวน?

ส่วนข้อเขียนของคุณไจล์ส อึ๊งภากรณ์นั้น อ่านถ้อยคำเผ็ดร้อนเหล่านั้นแล้วเราก็เห็นเจตนาดี คุณไจล์สฯ คงจะห่วงว่ามวลชนจะเกิดความสับสนและอาจตัดสินใจไม่เดินทางมาร่วมการชุมนุมให้มันใหญ่โตเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกต่อไป จนอาจทำให้ขบวนประชาธิปไตยพ่ายแพ้ต่ออำนาจอันมหาศาลของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ได้ คุณไจล์สฯ จึงบริภาษแดงสยามว่าชอบพูดเอามัน ขาดประสบการณ์ และมีพฤติกรรมเป็นเด็กไร้เดียงสา ความจริงคุณไจล์สฯ มองลึกลงไปอีกหน่อย ถามความเห็นของคนอื่นๆ มากกว่าของตัวเองอีกสักนิด แล้วจะพบเองว่า มวลชนปัจจุบันเก่งกว่าที่คุณไจล์สฯ เชื่อ มวลชนเขารู้ว่าใครเป็นใครในแกนนำและองค์กรนำ วันนี้เขายังยอมเดินตามก็เพราะเราอยู่ในขั้นตอนแบบ นปช.ฯ แต่วันหนึ่งเมื่อเงื่อนไขยกระดับขึ้น เขาก็จะเดินแนวปฏิวัติอย่างมั่นใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีใครชี้นำ ส่วนจะเป็นแดงสยามหรือไม่ขึ้นอยู่กับมวลชนในวันนั้น โดยไม่มีใครบอกได้ คุณไจล์สฯ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ไม่ใช่เทพเจ้า ก็ย่อมจะไม่รู้เช่นกัน

สรุปแล้วการถกเถียงระหว่างคุณธิดาฯ กับคุณสุรชัยฯ นั้น เป็นเรื่องของแนวความคิดที่ลึกซึ้ง คนเสื้อแดงที่มีสติและไม่คลั่งระบบพรรคพวกจะได้รับประโยชน์มากจากการถกเถียงแบบนี้ ขอให้พิจารณาดูให้ดีเถิด

เพียงอย่าเผลอมองว่า การปฏิวัติคนละขั้นตอนคือความขัดแย้ง นั่นจะผิดจุดมากไปหน่อยครับ.

------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ใครได้ใครเสีย โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ใครได้ใครเสีย

โดย กาหลิบ

ศักดินา-อำมาตย์ไทยดีใจกันยกใหญ่ เมื่อได้ยินข่าวว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือ UNSC ลงมติไม่รับพิจารณาปัญหาสถานการณ์ชายแดนและเหตุปะทะหลายรอบระหว่างไทยและกัมพูชา แต่กลับแนะนำให้สมาคมประชาชาติตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) เป็นผู้รับเรื่องแทน

เขาคงนึกว่าเป็นชัยชนะ จึงรีบแข่งกันออกข่าวกันละล่ำละลักในทำนองว่า กัมพูชาหน้าแตกสลายเสียแล้วในองค์การสหประชาชาติ แล้วก็รีบส่งข่าวไปยังคนใหญ่บนตึกสูงว่าเป็นผลงานของตน

นี่คือธรรมชาติของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยไทยในยามกระแสน้ำเชี่ยวใกล้เปลี่ยนแปลง ใครหาเสียงใส่ตัวอย่างไรได้ก็ต้องรีบทำ ถึงเวลาเขากระดิกนิ้วให้ยุบ ยึด หรือยืด (อายุรัฐบาล) ออกไป ตัวเองจะได้ส่วนแบ่งแห่งอำนาจนั้นบ้าง

ประเด็นคือเรื่องนี้เป็นชัยชนะของใครกันแน่?

เรารู้กันดีว่างานแบบนี้คือภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศไทย ซึ่งมีสภาพจริงเป็นกระทรวงกิจการภายนอกของระบอบศักดินา-อำมายาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น พี่น้องคนไทยในต่างประเทศที่จำเป็นต้องขอพึ่งบริการของสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ไทย หรืออื่นๆ จะรู้ซึ้งว่าข้าราชการในทุกระดับ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐทุกหน้าที่ที่สังกัดกระทรวงนี้ เขามิได้มีหัวใจบริการมวลชนคนเดินดินแต่อย่างใดเลย

บ่อยครั้งที่คนไทยต้องสะเทือนใจกลับออกมาด้วยความรู้สึกว่าเป็นประชาชนชั้นสอง

ผลจากการนี้ทำให้การวิ่งเต้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อขอให้ UNSC มีมติเช่นนั้นเกิดขึ้น จะเรียกว่าเป็นผลงานทางการทูตเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในเมืองไทยก็ได้ สายพันธุ์อย่างนี้ก็ชัดเจน มิฉะนั้นเขาจะตั้งเอาคนอย่าง นายกิตติพงศ์ ณ ระนอง ก้นกุฏิของ นายกษิต ภิรมย์ เป็นเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติทำไมตั้งแต่ต้น

แต่ผลประโยชน์ที่เขาได้รับก็มีเพียงเท่านั้น

ในกรอบอาเซียนก็ไม่ได้แปลว่าความกระหายสงครามของระบอบไทยจะไม่ถูกฉีกหน้ากาก ตรงกันข้าม ขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนเขากำลังมองระบอบโบราณของไทยอย่างรังเกียจ สื่อไทยหากมีจรรยาบรรณหลงเหลืออยู่ในตัวบ้าง ก็ควรเสนอความจริงให้คนไทยทั่วประเทศเขารู้ว่าเสียงข้างมากในอาเซียนวันนี้เป็นของฝ่ายกัมพูชา

การขุดความขัดแย้งชายแดนที่เก่าสุดกู่มาหาเรื่องจนเกิดการรบพุ่งกับกัมพูชา แปลว่าจากนี้ไป เจ้าของระบอบไทยก็สามารถเปิดสงครามกับเมียนมาร์ ลาว และมาเลเซียได้ทุกเมื่อ คนไทยส่วนมากยังไม่รู้ว่าเขตแดนทั้งสามด้านที่ติดต่อกับไทยล้วนมีกรณีพิพาทกันทั้งนั้น ไม่มีเว้นเลยแม้แต่ด้านเดียว

กระทรวงการต่างประเทศไทยเก่งขนาดไหน ก็ลองพิจารณาดู เพื่อนบ้านรอบไทยทั้งสี่ทิศล้วนมีปัญหากับไทยและเกลียดชังรัฐบาลไทยทั้งสิ้น

เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แถมด้วยความเห็นใจฝ่ายประชาธิปไตยที่แสดงออกชัดโดยฟิลิปปินส์กับบรูไนในฐานะสมาชิกอาเซียน เท่ากับว่าอย่างน้อยมีสมาชิกอาเซียนหกประเทศแล้วที่เขาพร้อมแสดงจุดยืนเช่นเดียวกับกัมพูชา

แล้วเวียดนามอีกเล่า ใครคิดว่าเขาจะหันมาเห็นใจรัฐบาลไทย คนๆ นั้นก็คงปัญญาอ่อน

สิริรวมแล้วก็ ๗ ประเทศ สิงคโปร์นั้นเขาบำเพ็ญตนเป็นพ่อค้าก็ปล่อยเขาไป อินโดนีเซียดำรงฐานะเป็นประธานอาเซียนในปีนี้อยู่ ก็ขอให้ทำหน้าที่เป็นประธานไป ไม่ต้องแสดงจุดยืน

แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังมิใช่ประเด็นหัวใจของเรื่อง

มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ส่งเรื่องไปยังอาเซียนนั้น แท้ที่จริงมีความหมายว่าสถานะในกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะไม่ได้มีหลักการใหม่ใดๆ มามอบให้

ในนาทีนี้ องค์การสหประชาชาติจึงยังยืนยันว่า กรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารยังเป็นของชาวกัมพูชา และกระบวนการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก็ควรจะดำเนินต่อไปตามที่ยูเนสโกเสนอ

ทหารหาญและพี่น้องประชาชนที่ระบอบโบราณของไทยบังคับให้ไปตาย ร่างกายพิการ และบาดเจ็บหนักบ้างเบาบ้างอยู่ที่ชายแดนด้านอำเภอกันทรลักษณ์ จึงเป็นความสูญเสียฟรี โดยที่ประเทศไทยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยแม้แต่น้อยนิดจากงานนี้

เจ็บใจไหมครับ คนไทยที่รักชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่รักชาติจนน้ำลายไหลทั้งหลาย

คราวหน้าเขาสั่งยิง เปลี่ยนเป้าหมายกันสักทีดีไหมท่าน?

----------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เหตุประหลาดในคดีดา ตอร์ปิโด โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เหตุประหลาดในคดีดา ตอร์ปิโด

โดย กาหลิบ

โลกและไทยต่างรู้กันว่า นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด คือผู้ต้องคำพิพากษาจำคุกถึง ๑๘ ปีในคดีดูหมิ่นและหมิ่นประมาทองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือองค์รัชทายาท หรือที่เราเรียกกันจนคล่องปากว่าดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญ คดีความคิดคดีนี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมไทย ทำให้รู้กันทั่วไปว่าความผิดฐานนี้จะต้องรับโทษทัณฑ์ชนิดไร้ความเมตตาปราณี ไม่ให้ผุดให้เกิด และตอกย้ำความไม่เป็นนประชาธิปไตยจริงของบ้านนี้เมืองนี้

แต่แล้วจู่ๆ เมื่อวันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ว่า ให้ยกเลิกโทษจำคุก ๑๘ ปีนั้นให้หมด รวมทั้งให้ย้อนกระบวนการทั้งหมดเสียใหม่โดยให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ว่าการพิจารณาคดีทั้งหมดควรทำเป็นการพิจารณาลับหรือไม่ เรื่องนี้คือคำร้องที่ฝ่าย ดา ตอร์ปิโด ร้องมานานนักหนาแล้ว แต่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมรับฟัง

สรุปแล้วในนาทีนี้ ดา ตอร์ปิโด กลายเป็นผู้ที่ไม่มีความผิดใดๆ ติดตัวเลย เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น

ทนายความของคุณดาฯ ประกาศทันทีว่าจะขอประกันตัวลูกความออกมาสู่อิสรภาพ เพราะถูกจำคุกมานานเกือบสามปีโดยไม่มีความผิด

หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คือเธอถูกจำคุกฟรีมาตลอดจนบัดนี้

เรื่องนี้ฟังแล้วดีใจแทนคุณดาฯ ก็ได้ หรือทำให้ยิ่งมองเห็นความชั่วร้ายของระบอบและระบบที่กุมชะตากรรมของคนไทย ๖๕ ล้านคนยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณก็ได้ แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร คงต้องยอมรับว่างานนี้มีอะไรหลายอย่างที่แปลกประหลาดอยู่หลายประเด็น

ไล่ตั้งแต่เรื่องเล็กขึ้นไปเลย

ข้อแรก สิทธิ์ในการอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นควรเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่กรณีนี้คุณดาฯ แกต้องเสียเวลาในความเป็นมนุษย์ไปนานเกือบสามปีกว่าจะได้รับ ลองคิดดูว่าหากศาลเรียกเรื่องนี้มาพิจารณาในวันรุ่งขึ้น ดา ตอร์ปิโด ก็คงได้ออกมาสู่อิสรภาพตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาแล้ว สามปีในชีวิตของคนๆ หนึ่งถือว่ามากมาย ใครหน้าไหนจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียเหล่านี้?

ข้อสอง เมื่อศาลอุทธรณ์เอ่ยคำว่า ผู้ต้องขังเป็นผู้ไม่มีความผิด สภาพของความเป็นผู้ต้องขังควรหมดไปจากตัวในทันที ทำไมต้องเดือดร้อนให้ยื่นขอประกันตัวอีก เมื่อศาลชั้นต้นเป็นผู้ละเมิดขั้นตอนก็ต้องถือว่าเป็นความผิดของศาลโดยแท้ ไม่ใช่ความผิดของผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทำไมเธอจึงไม่ได้รับอิสรภาพโดยอัตโนมัติเล่า?

ข้อสาม อะไรอยู่เบื้องหลังงานนี้กันแน่ ข้อกฎหมายที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้หลังผ่านไปเกือบสามปีหรือหน้าไหนมันเข้ามาแทรกแซงอำนาจตุลาการอย่างที่ทำมาตลอดชีวิตเข้าอีก หากเป็นประเด็นหลัง บางคนอาจจะพร้อมสรุปทันทีว่าบ้านนี้เมืองนี้มีความเมตตากรุณาอยู่ ทั้งที่พฤติกรรมของคนๆ นี้ชี้บอกเราตรงข้ามทั้งนั้นว่าเป็นคนใจอำมหิต ทุกครั้งที่เข้าแทรกแซงเพื่อ ลดโทษในคดีหมิ่นฯ ก็เป็นเรื่องของการรักษาชื่อเสียงภาพลักษณ์ของตนทั้งนั้น ไม่ได้เห็นแก่ความเป็นมนุษย์ของใครทั้งสิ้น แต่ฝ่ายรักษาระบอบ (ทั้งสีแดงและสีเหลือง) อาจนำเรื่องนี้มาโฆษณาชวนเชื่อให้เทิดทูนเหนือหัวกบาลกันต่อไปอีก

ข้อสี่ การพิจารณาคดีของศาลนั้น ตั้งอยู่บนสองฐานคือ สารบัญญัติ และวิธีบัญญัติ สารบัญญัติคือเนื้อหาและการตีความของกฎหมาย ส่วนวิธีบัญญัติเป็นเรื่องของกระบวนการทำงานของคนที่เป็นศาล เราพูดกันมามากแล้วว่า สาระของกฎหมายไทยมากมายมีปัญหา ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยมากอยู่ แต่กรณี ดา ตอร์ปิโด ทำให้เรารู้ว่า ไม่เฉพาะสาระเท่านั้นที่มีปัญหา วิธีทำงานของศาลก็มีข้อบกพร่องอย่างฉกรรจ์ นอกจากจะไม่เคารพในสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยของประชาชนแล้ว ยังมีลักษณะส่งเสริมอำนาจของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างเห็นได้ชัดด้วย แถมเมื่อสังคมจับผิดได้คาหนังคาเขาแล้ว ยังไม่มีบทบัญญัติใดที่แสดงว่าศาลชนิดนั้นต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรเลย

กรณี ดา ตอร์ปิโด จึงอยู่ในระดับเดียวกับตัวของคุณดา ตอร์ปิโดเอง คือได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องใส่ใจกับเรื่องอย่างนี้และกำหนดให้เป็นวาระสำคัญที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยไม่ชักช้า เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายประชาชนได้อำนาจรัฐ

หากสนุกกับเกมเลือกตั้งและสถานภาพ ส.ส. จนคิดว่าประชาธิปไตยแปลว่าตัวกูและพรรคพวกของกูสบาย กินอยู่หรูหรา เงินเต็มท้องพระคลังส่วนตัว และมีเสียงข้างมากในสภา ไม่นานนี้อาจจะได้เห็น ดา ตอร์ปิโด อีกมากมายที่จะถูกบังคับขับไสเข้าสู่วงจรอุบาทว์ของกระบวนการยุติธรรมไทย นั่นคือเอามาตรา ๑๑๒ หรือกฎหมายคล้ายคลึงกันนี้มาฆ่าฟังหัวเชื้อประชาธิปไตยในแผ่นดินจนราบคาบ อย่างต่ำแกล้งให้ติดคุกสักสามปีโดยไม่มีความผิดเล่นโก้ๆ ก็ยังได้

ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี วันหนึ่ง ดา ตอร์ปิโด คนใหม่อาจจะหมายถึงตัวคุณเอง.

------------------------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มูบารัคลาออก โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง มูบารัคลาออก

โดย กาหลิบ

ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ ผู้ประท้วงอียิปต์เป็นแสนๆ กำลังโห่ร้องแสดงความยินดีสุดขีด เมื่อรู้ข่าวว่า ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัค ที่ครองอำนาจมานานกว่า ๓๐ ปี ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว

ผู้ออกมาแถลงข่าวนี้ทางโทรทัศน์แห่งชาติของอียิปต์คือ รองประธานาธิบดี โอมาร์ สุไลมาน ผู้เป็นเป้าหมายหนึ่งของการประท้วงต่อต้าน โดยเฉพาะเมื่อเขากล่าวอย่างชัดเจนไปทั่วประเทศและทั่วโลกเมื่อไม่กี่วันนี้ว่าอียิปต์และคนอียิปต์ยังไม่พร้อมต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถึงคำพูดสั้นๆ ว่า ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัคได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐต่อหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ของอียิปต์จะเป็นเหตุให้คนอียิปต์ส่วนใหญ่รู้สึกลิงโลดใจ แต่ก็ยังไม่ชัดนักว่า รักษาการประธานาธิบดีอย่างนายสุไลมานจะอยู่ร่วมโลกกับขบวนประชาธิปไตยอียิปต์อย่างไรต่อไปเมื่อหัวใจและอุดมการณ์แตกต่างกันถึงเพียงนั้น

ในขณะที่เสียงยินดีดังกึกก้องไปทั้งจัตุรัสตาเฮียร์กลางกรุงไคโรและนครอเล็กซานเดีย เราควรลองพิจารณาโดยใช้สติว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ในประเทศที่สำคัญในโลกอาหรับประเทศนี้

การลาออก ต่อหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ของอียิปต์นั้น เป็นวิธีสื่อสารที่ค่อนข้างชัดว่าผู้นำของอียิปต์คงมิได้ลาออกอย่างสมัครใจหรือด้วยตนเอง แต่ถูกบังคับด้วยคนถืออาวุธที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของตนมากกว่า

มิหนำซ้ำยังเอ่ยถึงคำว่า สภากลาโหมของประเทศในฐานะผู้ ใช้อำนาจแทนเสียด้วย

ครับ มูบารัคคงจะถูกรัฐประหารเงียบเข้าให้แล้ว

วันนี้คือวันศุกร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันนัดหมายประท้วงครั้งใหญ่ในอียิปต์ จุดประสงค์อันชัดเจนและเป็นสาธารณะคือการกดดันเรียกร้องให้ประธานาธิบดีมูบารัคลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่แม่ทัพนายกองของอียิปต์ก็รีบเข้าหารือกันว่าจะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้อย่างไร

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง คำประกาศลาออกก็ปรากฏขึ้น ภาษาที่ใช้อธิบายอย่างสั้นๆ ก็สื่อความหมายว่าชนชั้นปกครองในอียิปต์ได้ตัดสินใจร่วมกันแล้วว่าจะไม่ท้าทายประชาชนที่กำลังแสดงสิทธิ์ประท้วงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แนวโน้มเมื่อตอนเย็นชี้ว่าขบวนประท้วงอาจจะเคลื่อนเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดีได้ ซึ่งหากเกิดปรากฎการณ์เช่นนั้น โอกาสที่จะเกิดการปะทะชนิดเสียเลือดเสียเนื้อคงจะมีมาก

สุดท้ายก็ต้องถอดชนวนสถานการณ์ด้วยการบีบให้ประธานาธิบดีผู้เป็นนายพลเก่าและเป็นรองประธานาธิบดีของอันวาร์ ซาดัตต้องลาออกไปทั้งที่เจ้าตัวไม่สมัครใจและประกาศแล้วว่าจะอยู่ต่อไป

คำถามคือ สิ่งที่ดีใจกันมากว่าเป็น ชัยชนะของประชาชนชาวอียิปต์ในขณะนี้ คือชัยชนะเหนือตัวบุคคลผู้มีอำนาจล้นพ้นอย่างมูบารัคเพียงคนเดียว หรือเป็นชัยชนะเหนือเหล่าผู้มีอำนาจในอียิปต์ที่ยังอยู่ในอำนาจกันอีกมากมายกันแน่?

ตัวบุคคลอย่าง โอมาร์ สุไลมาน รักษาการประธานาธิบดี ที่ประชาชนกำลังโกรธแค้นกันมากในทัศนะว่าอียิปต์ควรเป็นเผด็จการต่อไปและไม่พร้อมต่อระบอบประชาธิปไตย คณะผู้บัญชาการทหารที่ร่วมกันกดดันอย่างหนักจนอาจถึงขั้นเอาปืนจ่อหัวผู้ที่เคยเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐให้ลาออกหรือไม่ก็ไม่รู้นั้น คือมิตรหรือศัตรูของประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย?

ประชาชนชาวอียิปต์ได้รับ ชัยชนะเปลาะนี้แล้ว ยังต้องเตรียมใจและเตรียมกายไว้รอสู้รบอีกรอบหนึ่งกับ โอมาร์ สุไลมาน และคณะทหารเหล่านี้หรือไม่?

เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เพราะเสียงเช่นนี้ย่อมจางหายไปกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของคนที่คิดว่าตนเองได้รับชัยชนะแล้ว เช่นในอียิปต์ขณะนี้

เราควรร่วมยินดีกับเพื่อนชาวประชาธิปไตยอียิปต์ที่ออกแรงอย่างได้ผล สามารถเปลี่ยนตัวหัวของประเทศได้ด้วยความมุ่งมั่นและกล้าหาญของตน

การไล่ประธานาธิบดีเผด็จการออกจากตำแหน่งได้หนึ่งคนถือเป็นความก้าวหน้าอย่างสำคัญที่มองข้ามมิได้ แต่การรุรังเผด็จการเหมือนล้มจอมปลวกลงทั้งอันนั้น ยังเป็นภารกิจต่อเนื่องที่หัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความปีติในค่ำคืนนี้อาจยังไม่ได้คิดหรือไม่อยากจะคิด

อย่างไรก็ตาม เราต้องแสดงความยินดีจากหัวใจสู่พี่น้องของเราในอียิปต์ และในใจก็หวังอย่างเหลือเกินว่าชาวประชาธิปไตยไทยคงจะตามไปติดๆ ในไม่ช้า.

----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิบวันอันตราย โดย กาหลิบ




คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สิบวันอันตราย

โดย กาหลิบ

ช่วงเวลาตั้งแต่วันนี้ (วันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) ไปจนถึงวันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ดูเหมือนจะเป็นเวลาแห่งความแปรปรวนอีกครั้งของเมืองไทย เพราะสิ่งบ่งชี้ต่างๆ ส่อถึงความเร่งรัดและกดดันของผู้มีอำนาจรัฐในเมืองไทย เวลาเช่นนี้อะไรก็เกิดขึ้นก็ได้ สิ่งที่จะเกิดนั้นอาจจะเป็นข่าวสาธารณะอันโด่งดังก็ได้ หรือจะเป็นการใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอย่างเงียบๆ ก็ได้เช่นกัน

หลายคนคิดว่าสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ชายแดนเชื่อมจังหวัดศรีสะเกษ-พระวิหารซึ่งได้ระเบิดขึ้นเป็นสงครามขนาดเล็ก คือเหตุที่จะกระทบต่อการเมืองในประเทศไทย แต่ความจริงเรื่องนี้มิได้เป็น เหตุของเรื่องเลย แต่สถานการณ์นี้คือ ผลของแผนเปลี่ยนแปลงการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบกันอยู่ในชั่วโมงนี้

พูดให้ชัดก็คือ สถานการณ์รบที่ชายแดนคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กรุงเทพมหานคร ไม่ใช่สถานการณ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้ฝ่ายกัมพูชาเองก็ดูจะเข้าใจดี สังเกตตรงที่เขาไม่ชวนรบต่อ แต่กลับยื่นประท้วงตรงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่รับเรื่องของเขาโดยพลัน

การเกี่ยวเอาองค์การสหประชาชาติเข้ามาอย่างทันควัน เกือบทำให้ยุทธวิธีของจอมวางแผนแห่งระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยต้องตกราง ฝ่ายนั้นคาดไว้ว่ากัมพูชาจะตกหลุมด้วยการรบพุ่งอย่างรุนแรง ชนิดไม่มองซ้ายมองขวา ยิ่งมีข่าวว่าสมเด็จฮุนเซ็นส่งลูกชายสองคนมาร่วมรบด้วยก็ยิ่งกระหยิ่มใจ ใครบางคนรายงานตรงขึ้นไปบนตึกหลายชั้นทีเดียวว่า กัมพูชาเข้าหลุมพรางที่ฝ่ายตนวางเอาไว้แล้ว ขอให้ท่านสั่งการลงมาเถิดว่าจะให้ฉวยโอกาสฆ่า ทำลาย กวาดล้าง และทำลายคนเสื้อแดง ที่บัดนี้ท่านถือว่าเป็นศัตรูหลักของท่านด้วยวิธีไหนและอย่างไร

ประยุทธ จันทร์โอชา เสนอเอากองทัพบกทำรัฐประหาร แต่ต้องชิงธงกับสายที่ยังพอมีบารมีเหลืออยู่บ้างของ ประวิตร วงศ์สุวรรณ ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัวแปรในสายนี้คือ ดาว์พงศ์ รัตนสุวรรณ ที่แปลกแยกอยู่ในใจระหว่างนาย พี่ และเพื่อน ก็คงรอคำสั่งสวรรค์เพื่อให้หมดกรรม

ประสงค์ สุ่นศิริ สนธิ ลิ้มทองกูล และจำลอง ศรีเมือง เสนอแผนป่วนเมืองด้วยปาก เพื่อแหย่ให้มีสงครามเบี่ยงความสนใจไปเสียที่ชายแดน ขู่ไว้ด้วยว่าพันธมิตรฯ จะเดินทางไปที่นั่น ถึงเวลาก็แบ่งไปชนิดนับได้ว่าไม่กี่ตัว แล้วเอากำลังที่บางราวกับเส้นผมของ สมศักดิ์ โกศัยสุข คงไว้ใช้งานที่ทำเนียบฯ

กษิต ภิรมย์ วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกำลังแก้ไขปัญหา แต่ความจริงก็วิ่งให้มันวุ่นไปอย่างนั้นเอง จะได้เกิดภาพว่าไทยกำลังมีปัญหาระหว่างประเทศอยู่จริงๆ

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เล่นบทตัวกลาง วางตัวเป็นทนายความของผู้มีอำนาจสูงสุด ต่อรองมันทุกด้านเผื่อด้านไหนจะให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับตัวเองก่อน รวมทั้งกับอดีตนายกรัฐมนตรีไกลบ้าน

เนวิน ชิดชอบ ก็หวังส้มหล่นอยู่เต็มที่ หากสุดท้ายข้างบนไม่กล้ากดปุ่มรัฐประหารแบบโฉ่งฉ่าง ก็อาจรัฐประหารเงียบ ด้วยการกดดันให้อภิสิทธิ์ฯ ลาออกหรือยุบสภาผู้แทนราษฎร แล้วผ่องถ่ายอำนาจมายังพรรคภูมิใจไทยให้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อสกัดหนทางสู่อำนาจของพรรคเพื่อไทย

ทั้งหมดนี้จะเกิดหรือไม่เกิดอยู่ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เอง เพราะสถานการณ์ชายแดนที่ไปจุดไว้มีแนวโน้มว่าจะดับไม่ได้ดั่งใจ ทีมกฎหมายอัมสเตอร์ดัม-เปรอฟเกิดค้นพบวิธีส่งอภิสิทธิ์ฯ ขึ้นเขียงที่ ICC หรือศาลอาญาระหว่างประเทศและกำลังเร่งคดี พันธมิตรฯ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลหมดน้ำยาเรียกคนมาร่วมประท้วง จนเหลือแต่ผีตายซากจำนวน

เพียงหยิบมือเดียว นานไปภาพก็จะฟ้องต่อคนทั้งหลายว่าปลุกกระแสไม่ขึ้นเหมือนคนล่มปากอ่าว ฯลฯ

ทั้งหมดนี้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกำลังนั่งนอนมองอย่างสบายใจ จุดยืนของฝ่ายแดงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กำลังถูกเปรียบเทียบกับฝ่ายเสื้อเหลืองที่แปรปรวนวูบวาบ หรือไม่ก็ฝ่ายสีชมพูกับหลากสีที่หุบปากหุบคำไปแล้ว

แดงที่มีลักษณะมั่นคงและขยายจำนวนแผ่กว้างไปเรื่อยๆ ย่อมเป็นภัยคุกคามต่อใครก็ตามที่นอนรักษาอำนาจอยู่อย่างดื้อรั้น

แต่พฤติกรรมตามประวัติศาสตร์บอกเราว่า เขาไม่เคยยอมให้บรรยากาศเช่นนี้ดำรงอยู่ได้นานนัก

ในเร็ววันนี้อะไรจึงต้องเกิดขึ้นสักอย่าง จะเงียบเชียบหรือดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไรไม่รู้.

--------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชายแดนยุ่งเพราะกรุงเทพฯ โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ชายแดนยุ่งเพราะกรุงเทพฯ

โดย กาหลิบ

ใครอยากเข้าใจอย่างแท้จริงว่า การปะทะด้วยกำลังทหารที่ชายแดนไทยและกัมพูชาซึ่งระเบิดขึ้นมาตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ มีเบื้องหลังอย่างไรแน่ อันดับแรกต้องถอนตัวออกมาจากความรู้สึกคลั่งชาติหลงชาติที่ระบบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยไทยกำลังเร้าอยู่เสียก่อน เพราะจะทำให้ขาดสติและสับสนทางใจได้ง่าย

ลัทธิรักชาติ (nationalism) ถือเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งของระบบรัฐสมัยใหม่ ใครมีก็ถือว่าเป็นคนดี ควรยกย่องสรรเสริญกันให้เอิกเกริกไป ความจริงความรักชาตินี้ทำให้คนในชาติสามัคคีกันเพื่อความเจริญก้าวหน้าก็ได้ หรือทำให้คิดยกพวกไปตีกับชาติอื่นจนเกิดเสียหายใหญ่หลวงก็ได้ เรื่องนี้ผิดหรือถูกค่อยไปว่ากันในเวทีอื่น

แต่ความคลั่งชาติและความหลงใหลในชาติ คือโรคอย่างหนึ่งที่ล้นทะลักออกมาจากความรักชาติ และทำให้คิดร้ายต่อสรรพสิ่งรอบตัวได้มากหากไม่ควบคุมให้ดี

เหมือนสถานการณ์ในขณะนี้

สิ่งแรกที่ต้องตราไว้ก่อนที่ฝุ่นจะฟุ้งไปมากกว่านี้คือ สถานการณ์ชายแดนไทยและกัมพูชาเที่ยวนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนหรือกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใดเลย เพราะกรณีเช่นนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยกลไกต่างๆ สารพัด ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งกลไกในกรอบสหประชาชาติและอาเซียน แต่รัฐบาลไทยในฐานะที่เป็นตัวแทนของระบอบไทยก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้ง

คำปฏิเสธเด็ดขาดของฝ่ายไทยชี้ว่าการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จอย่างคนใจสูง โดยใช้กลไกพหุภาคีและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างอารยะ คงไม่ใช่เป้าหมายอันแท้จริงเสียแล้ว

ที่ดินใต้ปราสาทพระวิหารและรอบๆ ดูจะเป็นเพียงข้ออ้างให้ได้เกิดพิพาทกัน เพราะนอกจากฝ่ายไทยจะปฏิเสธกลไกสันติภาพทุกประการอย่างไร้เหตุผลแล้ว ข้อตกลงแก้ปัญหาที่เพิ่งทำระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์กับรัฐบาลกัมพูชาก็สูญหายไปเฉยๆ ภาพจึงชัดเจนขึ้นทุกทีว่า ระบอบการปกครองใหญ่ที่ครอบรัฐบาลอภิสิทธิ์อยู่อีกต่อหนึ่งคงเกิดกระหายสงครามขึ้นมาแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสในการอ้างปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นเหตุในการยึดอำนาจรัฐประหารก็มีสูง

เราเคยวิเคราะห์กันมาแล้วว่า ทางเลือกของประมุขแห่งระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยมีไม่มากนัก ยิ่งเมื่อเครือข่ายและแนวร่วมของฝ่ายประชาธิปไตยแข็งแกร่งขึ้นอย่างชนิดล้มไม่ลง เมื่อร่างทรงที่เลือกมาอย่างประณีตบรรจงคือนายอภิสิทธิ์ฯ มีโอกาสขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพราะการสั่งฆ่ามวลชนประชาธิปไตย หรือเมื่อในขณะที่ขบวนการตาสว่างกำลังยกระดับขึ้นสู่แนวทางปฏิวัติ เป็นต้น

การล้างไพ่ล้มกระดานจึงอาจจะเป็นทางออกจากปมปัญหาที่สางไม่ออก

แต่ปัญหาคือกัมพูชาเป็นประเทศเอกราชอันสมบูรณ์ มิได้อยู่ในเขตอำนาจของประมุขของระบอบศักดินาไทย ปฏิบัติการ ผลักอกชกหน้ากัมพูชาที่วัดแก้วสิกขาฯ จึงอาจกำลังนำไปสู่สภาวการณ์ใหม่ที่ผู้มีอำนาจไทยควบคุมไม่อยู่ การปะทะเล็กน้อยอาจขยายเป็นสงครามและสงครามอาจขยายเป็นการรบพุ่งกันตลอดแนวชายแดนได้ การสร้างเหตุการณ์โดยหวังผลแคบๆ ภายในประเทศไทยจึงอาจกลายเป็นปัญหาใหม่ในระดับระหว่างประเทศไปในที่สุด

งานนี้เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่า ทัศนะอันคับแคบเห็นแก่ตัวของผู้นำระบอบโบราณของไทย ที่ทำให้เชื่อฝังใจว่า ประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศมีศักดิ์ศรีในความเป็นประเทศ ศักยภาพในการพัฒนา และขีดความสามารถในการรบที่ต่ำต้อยกว่าเขา ถึงขนาดแสดงกิริยาอาการที่ไม่ต่างอะไรจากคนหลงโลกที่ไม่รู้ว่าใครเขาพัฒนาไปถึงไหนอย่างไรแล้ว

ระบอบเดียวกันนี้จึงฉุดกระชากลากถูประเทศไทยลงสู่ที่ต่ำ จากประเทศที่เกือบพัฒนาแล้วกลายเป็นนประเทศที่มีความเสี่ยงอันตรายสูง และทำให้ราคาค่างวดของประเทศลดลงอย่างน่าใจหาย

ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์มติชนมีคอลัมน์ฮิตติดตลาดชื่อ กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทยที่ได้ชี้ประเด็นสำคัญคือการพัฒนาเมืองไทยให้สมดุล มิใช่ลำเอียงเข้าข้างนครหลวงจนน่าเกลียด วันนี้จะเห็นกันบ้างหรือไม่ว่ากลุ่มผู้ตัดสินใจที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ กำลังสร้างกรรมหนักหน่วงให้กับจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดทั้งแนวอย่างไม่รับผิดชอบ แถมเศรษฐกิจโดยรวมของชาติยังเสียหายจากบรรยากาศในภาพรวม

ชาวบ้านเขาเริ่มเห็นกันทุกทีแล้วครับว่า วันหนึ่งคงต้องล้างกรุงเทพฯ กันเหมือนล้างป่าช้าเสียที.

------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/