ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จักรภพ:อำมาตย์จวนตัวใช้แผนแดงฆ่าแดงฯ

จักรภพ:อำมาตย์จวนตัวใช้แผนแดงฆ่าแดง ประชาชาติไทยถูกผลักไสให้เลือกแนวทางปฏิวัติ


ภาพล่าสุดของจักรภพ เพ็ญแข ใส่เสื้อแดงสกรีนรูป ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำการปฏิวัติ 2475 เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์จากต่างประเทศ ซึ่งไม่ระบุสถานที่แน่ชัด ว่า หนทางการปรองดองดูตีบตันเพราะนโยบายของฝ่ายอำมาตย์กำลังผลักไสให้ประชาชนไทย ลุกฮือขึ้นปฏิวัติมวลชนแทนแม้แต่กลไกที่เรียกว่า "แดงฆ่าแดง" ก็ไม่อาจปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของระบอบ นี้ได้อีกต่อไป

0 0 0 0 0

หมายเหตุไทยอีนิวส์: หลัง จากแกนนำนปช.ในต่างประเทศได้พากันเดินทางกลับบ้านกันเกือบหมดทุกคนแล้ว ล่าสุดคือ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หากไม่นับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีเพียงจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรี อดีตโฆษกรัฐบาล และแกนนำนปช.เท่านั้น

เราได้ สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ซึ่งพำนักลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศ เพื่อเปิดเผยทัศนะจุดยืนของเขาต่อสถานการณ์การเมืองไทยตลอดห้วง 3 ปีที่เขาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และทิศทางแนวโน้มในปี 2555

1.คนสนใจกันมากว่าแกนนำที่ไปพักพิงลี้ภัยในต่างประเทศก็กลับมาหมดแล้ว ล่าสุดคือคุณอริสมันต์ ไม่ทราบว่าคุณจักรภพประเมินสถานการณ์อย่างไร และพร้อมจะกลับบ้านหรือยัง?

ขอบคุณครับ ผมทราบว่าพี่น้องมวลชนหลายท่านห่วงใยผม และอยากเห็นผมกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเมืองให้แข่งขันกับโลกเขาได้ ยิ่งเห็น “แกนนำ” เดินทางกลับกันจนหมดแล้วอย่างนี้ก็ยิ่งห่วง กลายเป็นกลัวว่าจะถูกโดดเดี่ยวจนอยู่ไม่ได้และมีอันตราย

ขออาศัยโอกาสนี้กราบขอบคุณต่อพี่น้องทุกท่านเสียก่อนครับ ขอยืนยันว่ากำลังใจอย่างนี้มีความหมายและมีความสำคัญต่อผมมาก และทำให้สู้ต่อได้อีกนาน

ผมประเมินว่าเมืองไทย ณ วันนี้มีบรรยากาศคล้ายวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือวันรุ่งขึ้นหลังการปฏิวัติสยามโดยคณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ภายใต้รัชกาลที่ ๗ ถูกยึดอำนาจไปแล้วหลังเวลา ๖.๐๐ น. ของวันที่ ๒๔ ด้วยความอ่อนแอหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรก็ตาม แต่ปฏิสัมพันธ์ในช่วงหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทำให้เหตุการณ์กลับตาลปัตร พระปกเกล้าฯ เสด็จฯ กลับจากหัวหินคืนสู่พระนคร และผู้แทนของคณะราษฎรก็ได้เฝ้าฯ เกือบจะในทันที

ผมเข้าใจว่าความกลัวสถาบันกษัตริย์ในส่วนลึกของหัวใจของผู้ปฏิวัติ ประกอบกับความประหลาดใจที่กษัตริย์ไม่ขอลี้ภัย (ซึ่งน่าจะเป็นเพราะห่วงใยพระราชวงศ์ที่ถูกกักขังเป็นตัวประกันอยู่) ทำให้บางคนในคณะราษฎรเกิดความคิดในทางประนีประนอม และยังเผลอคิดต่อไปว่าการ “ปรองดอง” เช่นนั้นจะนำไปสู่ความสงบของบ้านเมือง และทำให้พลเมืองได้รับโอกาสร่วมปกครองบ้านเมืองโดยอัตโนมัติ

แม้มีลางบอกเหตุหลายอย่างก็กลับไม่สังเกตเห็นหรือมองข้ามไปเสีย อาทิ การที่พระปกเกล้าฯ ขอเติมคำว่า “ชั่วคราว” หลังธรรมนูญการปกครองสยาม พ.ศ.๒๔๗๕ ที่คณะราษฎรอุตส่าห์เสี่ยงหัวขาดเสนอขึ้นมา

จนทำให้เกิดรัฐธรรมนูญแบบ “ปรองดอง” ขึ้นมาแทนในวันที่ ๑๐ ธันวาคมของปีเดียวกันนั้น

ประชาธิปไตยจึงพิการมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มต้น

ผมเห็นว่าถ้าพวกเราใน พ.ศ. นี้ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวและมองสถานการณ์แค่ปลายจมูก โดยไม่มองโครงสร้างรวมของระบอบการเมืองการปกครองแล้วล่ะก็ ประวัติศาสตร์การเมืองส่วนนี้จะซ้ำรอยให้เราได้เจ็บใจกันแน่

อย่าลืมว่าการลุกฮืออย่างเงียบๆ ของพลเมืองไทยใน พ.ศ.๒๕๔๙-ปัจจุบัน นับเป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก หากเราไม่ตระหนักให้ดีว่าเหตุที่่เขาขอ “ปรองดอง” ก็เพราะเขากำลังเพลี่ยงพล้ำ ไม่ใช่เพราะมีน้ำใจต่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุดเรานั่นแหละที่จะกลายเป็นผู้เพลี่ยงพล้ำเสียเอง ความคิดนี้ทำให้ผมยังไม่กลับเมืองไทย ขออยู่นอกพื้นที่อำนาจเพื่อทำงานไปตามอุดมการณ์และเป้าหมายไปจนถึงวันที่เป็นไปไม่ได้เสียก่อนครับ

2.คุณจักรภพประเมินสถานการณ์การเมืองของไทยอย่างไรนับแต่เดินทางออกนอกประเทศมาจะครบ 3 ปี ฝ่ายประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนต่อสู้ไปเพียงใด



ก้าวหน้ามากครับ ก้าวหน้าทั้งปริมาณและคุณภาพ

ในแง่ปริมาณผมนึกขอบคุณ นปช.ฯ และกลุ่มพลังประชาธิปไตยทุกกลุ่ม ไว้ว่าจะวิเคราะห์สถานการณ์ตรงกันหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่แต่ละกลุ่มช่วยสร้างและเสริมในเชิงกิจกรรมการเมือง ส่งผลให้เราขยายจำนวนสมาชิกของขบวนประชาธิปไตยมาถึงขนาดนี้ และเหนียวแน่นกันระดับนี้ได้

ส่วนคุณภาพเราต้องขอบคุณปัญญาชน นักวิชาการ นักคิด และพลเมืองภิวัฒน์จำนวนมาก ที่ทำงาน “ปิดลับ” โดยผ่านไซเบอร์ และการจัดตั้งด้วยวิธีการอันสร้างสรรค์ต่างๆ จนเรายกระดับแนวคิดขึ้นมาขั้นนี้ได้

ความสำเร็จทั้งปริมาณและคุณภาพของขบวนประชาธิปไตยในห้วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นความสำเร็จที่เพียงไม่กี่ปีก่อนยังนึกว่าเป็นฝันกลางวัน โดยไม่อาจเป็นจริงได้เลย

แต่วันนี้ทุกอย่างประจักษ์แก่สายตาและจิตใจแล้วว่าบ้านเมืองกำลังถึงคราวปรับเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ อาจจะยิ่งใหญ่กว่า ร.ศ.๑๓๐ และ พ.ศ.๒๔๗๕ เสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือการยกตัวขึ้นของขบวนประชาธิปไตยยังไม่สิ้นสุด ยังยกขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีเพดานจำกัด

3.ประเมินสถานการณ์ในปีใหม่2555และสถานการณ์การเมืองในระยะต่อไปอย่างไร และขบวนการประชาธิปไตยกับแนวร่วมขบวนประชาธิปไตยในภาพใหญ่ควรกำหนดจังหวะก้าวอย่างไร

เรามีทางเลือกใหญ่ๆ สองทางสำหรับการทำงานประชาธิปไตย

ทางแรกคือต่างคนต่างทำตามอุดมการณ์และความถนัดของตน หรือต่างคนต่างเดินไปสู่เป้าหมาย (ที่เชื่อว่า) เป็นเป้าหมายเดียวกัน จนกว่าจะพบว่าเป็นคนละเป้าหมายหรือกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

ทางที่สองคือทำงานร่วมกันโดยกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีร่วมกันขึ้นมา โดยต่างคนต่างทำตามความถนัดและความสามารถของตนเช่นเดิม เพียงมีพิมพ์เขียว (blueprint) ขึ้นมาสักฉบับหนึ่งเท่านั้น

พิมพ์เขียวนี้ก็มิได้มาจากคำสั่งของนายทุนหรือผู้ที่วางตัวเป็นชนชั้นที่สูงส่งกว่า แต่มาจากการทำงานร่วมกันเพื่อให้เป็นกรอบการทำงานที่เราวัดผลและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานได้

ผมคงไม่ก้าวล่วงถึงขั้นไปชี้นำว่า ใครควรทำอะไรและทำอย่างไร แต่บอกได้ว่าการทำงานแบบที่สองคือร่วมมือกันตามยุทธศาสตร์นั้น จะเกิดขึ้นแน่ เริ่มต้นอาจจะไม่กี่ราย และใครรู้ในภายหลังก็เข้าร่วมในภายหลังได้ ไม่ควรคิดน้อยใจหรือคิดอาละวาดสร้างความสำคัญ

ปัญหาอัตตาสูง (ego) เป็นเรื่องที่ถ่วงงานของเราเรื่อยมา จนบางคนกลายเป็นมนุษย์ที่ขอกันดีๆ ไม่ได้ แต่กลายเป็นถูกสั่งได้ เพราะได้เผยจุดอ่อนจนถูกมนุษย์คนอื่นเขาเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไม่รู้ตัว

ผมคิดว่าคนในขบวนประชาธิปไตยนั้น แบ่งประโยชน์ออกได้เป็น ๒ แนวทางตามคำตอบของผมในข้อที่แล้ว ทางหนึ่งคือปริมาณ และอีกทางหนึ่งคือคุณภาพ ซึ่งไม่ได้แปลว่าฝ่ายปริมาณจะไร้คุณภาพหรือฝ่ายคุณภาพจะไร้ปริมาณโดยสิ้นเชิง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นว่าใครเฉดไหนเท่านั้นเอง แต่ละคนจะได้สร้างดวงดาวในสไตล์ของตัวเองขึ้น ขบวนประชาธิปไตยของเราทุกวันนี้ใช้วิธีแบ่งงานกันทำ (division of labor) ได้อย่างสบาย

4.ประเมินสถานการณ์ในปี2555และระยะต่อไปของฝ่ายอำมาตย์อย่างไร และขบวนประชาธิปไตยต้องกำหนดจังหวะก้าวรับ ก้าวรุก อย่างไร

ผมคิดว่าศักดินา-อำมาตย์มาถึงระยะหมดเครื่องมือใหม่ในการรักษาอำนาจ และเริ่มงัดเอาของเก่ามาใช้ประโยชน์ แล้ว ไม่ว่าอำนาจกองทัพ อำนาจศาล-ตุลาการ อำนาจองค์กรอิสระ อำนาจผ่านภาคธุรกิจ อำนาจผ่านสื่อมวลชนในสัมปทานรัฐ อำนาจกำหนดควบคุมทรัพยากรธรรมชาติอย่างมวลน้ำในเขื่อน ใช้มาเรื

จนกลไกเหล่านี้สึกหรอและกระสุนเริ่มด้าน มวลชนก็อยู่ในสภาพ “รู้ทัน” ขณะนี้เขาจึงหันมาใช้เครื่องมือใหม่อย่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตามกรอบความคิด “แดงฆ่าแดง” ที่เราพูดกัน แต่ปัญหาใหญ่จริงๆ ที่เขาเองก็รู้ดีคือความเสื่อมถอย ณ ศูนย์กลางของระบอบ ปัญหามะเร็งในเนื้อในตัวเองทำให้เครื่องมือใดก็ใช้การไม่ได้เต็มที่ วิกฤติการณ์การเมืองไทยจึงจะไม่มี บทจบที่ “สวยงาม” อย่าง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ หรือ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ อีกและฝ่ายเขาก็รู้ดี ผมคิดว่า “๖ ตุลา” ครั้งต่อไปคงรุนแรงกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ขบวนประชาธิปไตยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเตรียมกายและเตรียมใจให้พรั่งพร้อม การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองจะเกิดขึ้นแน่ และการบริหารระยะเปลี่ยนผ่านน่าจะเป็นหัวใจของเรื่อง

5.ทางเลือกของสังคมไทยระหว่างการปรองดองกับการปะทะกันอย่างถึงรากถึงโคนสิ่งใดจะเป็นแนวโน้มหลัก

“ปรองดอง” เป็นคำที่ดีและไพเราะ แต่ไม่สอดคล้องต่อธรรมชาติของระบอบการเมืองการปกครองแบบอำนาจสูงสุด (absolutism) ระบอบอำนาจสูงสุดไม่ยอมรับการแบ่งปันในอำนาจและผลประโยชน์ แต่มองตนเองว่าเป็นผู้จัดการอำนาจและผลประโยชน์นั้นเอง

ผู้กุมอำนาจในลักษณะนี้จะไม่เห็นว่าการแข่งขันทางอำนาจเป็นเรื่องปกติ แต่เห็นว่าเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดกวาดล้างโดยสิ้นเชิง

หลักฐานในการเมืองไทยบอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “การปรองดอง” ในอดีตไม่มีความหมายใดๆ ในยามที่เกิดการเผชิญหน้าทางการเมืองในระยะต้นและระยะกลาง อาจมีประโยชน์บ้างในระยะปลาย ที่ผู้แพ้และชนะต่างรู้ชะตาของตนเองอย่างค่อนข้างเด็ดขาดแล้ว

ผมไม่เก่งพอที่จะวิเคราะห์ได้ว่า “การปะทะ” จากนี้ไปจะออกมาในรูปใดและรุนแรงขนาดไหน แต่การสร้างบรรยากาศต่อต้านแนวปฏิรูปอย่างที่กำลังกระทำกับ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่กำลังรณรงค์ต่อต้านกฎหมายหมิ่นฯ ในขณะนี้ เสมือนเป็นปฐมบท (pre-requisite) ที่นำไปสู่ “๖ ตุลา” ครั้งที่ ๒ ได้ ลองสังเกตแนวคิดที่พูดผ่านปากคนต่างๆ ของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ขณะนี้จะพบว่าคล้ายคลึงกัน เช่น ใครที่จะแก้ไขกฎหมายนี้ให้ไปอยู่ต่างประเทศ เป็นต้น ไม่ต่างอะไรนักจากแนวทางของวิทยุยานเกราะ กลุ่มนวพล กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่ม ทส.ปช. ของ พ.ศ. นั้น ประเด็นขณะนี้จึงไม่ใช่การเลือกระหว่างปฏิรูปหรือปฏิวัติ หากมวลชนไม่สามารถแม้แต่จะเสนอให้แก้ไขกฎหมายอย่างเปิดเผยตามสิทธิในรัฐธรรมนูญแล้ว แนวปฏิรูปจะถูกบีบให้เปลี่ยนเป็นแนวปฏิวัติโดยอัตโนมัติ

6.คุณจักรภพใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างไร และเป็นไปได้ไหมที่ขบวนการปฏิวัติหรือปฏิรูปอาจก่อตัวมาจากต่างประเทศคล้ายกับคณะราษฎรเมื่อปี2475

ผมขอรวมคำถามนี้มาตอบพร้อมกันตรงนี้นะครับ การปฏิวัติใดๆ ในอดีตเกิดขึ้นจากความคิดทางอุดมการณ์ก็ได้ จากตำรับตำราหรือลัทธิใดๆ ก็ได้ แต่จะไม่ยกขึ้นเป็นสถานการณ์ปฏิวัติหากไม่เกิดความฉุกเฉินอย่างฉับพลัน (immediacy) ขึ้นก่อน

สถานการณ์โดยรวมจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิวัติในแต่ละสังคม ไม่ใช่ถูกชี้นำโดยเอกเทศจาก “ผู้นำปฏิวัติ” โดยอัตวิสัยเท่านั้น

สังคมไทยเราถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมปฏิรูป เพราะไม่ชอบการเผชิญหน้าและไม่ชอบความยืดเยื้อ โดยปกติคงไม่อยากปฏิวัตินัก แต่คำถามคือเรากำลังถูกผลักไสให้ดาหน้าไปสู่สถานการณ์เช่นว่านั้นหรือไม่

ผมคิดว่าเงื่อนไขแบบนั้นกำลังปรากฏขึ้นอย่างช้าๆในสังคมอนุรักษ์นิยมแบบไทย ศูนย์กลางจะอยู่ที่ใดน่าจะไม่สำคัญนัก ซ่อนตัวอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศก็ได้ เพราะขบวนปฏิวัติต้องปรับตัวอีกนับครั้งไม่ถ้วนในสถานการณ์จริง

แต่ถ้าจะตอบกันสั้นๆ ศูนย์กลางในการปฏิวัติประชาธิปไตยไทยที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศมีความเป็นไปได้สูงครับ.

ที่มา : http://thaienews.blogspot.com/index.html

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ศักดิ์ศรีของรัฐบาล โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ศักดิ์ศรีของรัฐบาล

โดย กาหลิบ


บางครั้งในระหว่างการต่อสู้ เราเผลอไผลให้ความสำคัญกับฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป เราเก็บรายละเอียดหมดว่าเขาทำอะไร เคลื่อนไหวอย่างไร ใช้ใครทำงาน และนำมาวิเคราะห์ประเมินผลจนบางทีก็เกินควร เราจึงมองข้ามคนสำคัญที่เราสามารถควบคุมได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรู นั่นคือก็ตัวเราเอง

รู้กันทั่วแล้วว่าแผนรุกฆาตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกำลังก่อตัวขึ้น และเราก็ควรวิเคราะห์ฝ่ายเขาให้ชัด แต่คำถามที่สำคัญที่ลืมถามไม่ได้คือ แล้วตัวรัฐบาลเองเล่าทำอะไรได้บ้างระหว่างนี้?

ถึงรัฐบาลปัจจุบันจะประสบกับสภาพปัญหา รัฐซ้อนรัฐมีคนชักใยให้อำนาจหน่วยงานต่างๆ อยู่เบื้องหลังประหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลตัวจริงของราชอาณาจักร แต่มิได้หมายความว่ารัฐบาลจะไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง ยังมีอำนาจหลายอย่างอยู่ในมือของรัฐบาลและรัฐบาลก็ยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่

จะขอพูดเฉพาะอำนาจที่รับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นของรัฐบาลและเว้นอำนาจอื่นๆ ที่คงไม่ต้องประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามมาร่วมรับรู้

อันดับแรก รัฐบาลต้องตรวจกำลังพลในหน่วยงานต่างๆ ทั้งพลเรือนและทหารเสียแต่บัดนี้ว่า ใครที่สามารถพึ่งพาในยามวิกฤติได้บ้าง การทดสอบว่าไว้วางใจได้ขนาดไหนมีสูตรอยู่แล้ว ไม่ต้องมากล่าวย้ำซ้ำทวนในที่นี้ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี จนที่ปรึกษาลอยของผู้มีอำนาจต่างๆ ในรัฐบาล สามารถเริ่มทำงานนี้ได้ในทันที งานที่ควรนำมาทดสอบก็เป็นงานที่ต้อง เลือกข้างให้ชัดเจน อย่าเปิดโอกาสให้นกสองหัวหรือคนหลายหน้ามีชีวิตที่เป็นสุขนัก

ใครที่มอบงานไปหรือทดสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ ต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลงเสียในทันที ส่วนจะทำอย่างไรไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้แนวร่วมเพิ่มเพราะโกรธเกลียดฝ่ายเรา ถือเป็นศิลปะส่วนตัวของแต่ละคน อายุปูนนี้กันแล้วคงไม่ต้องมานั่งเขียนบทให้กัน

อันดับสอง รัฐบาลต้องไม่ยอมให้หน่วยงานใต้สังกัดทำตัวเสมือนรัฐอิสระ ในกรณีน้ำท่วมนี่ก็เห็นชัดจากกรณีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน ผู้ว่าราชการบางจังหวัด และกรุงเทพมหานคร กองทัพบก เป็นอาทิ วิธีการหนึ่งคือเรียกผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้นๆ มาประจำการอยู่กับศูนย์อำนาจของรัฐบาลโดยไม่ให้คลาดสายตา หากหมายเลขหนึ่งของหน่วยงานใดทำท่าอิดเอื้อนหรือปฏิเสธ คล้ายๆ กรณีอธิบดีกรมชลประทานที่ส่งรองอธิบดีมาแทน ก็เปลี่ยนอธิบดีนั้นเสีย ใครจะโทรศัพท์มาขู่ว่าใครเป็นคนของใครก็อย่าได้นำพา ถือโอกาสว่าเป็นภัยพิบัติของบ้านเมือง แล้วก็เดินหน้าต่อไป

รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ที่จะวางกำลังพลให้ตนทำงานตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ถึงข้าราชการมีสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อตุลาการศาลปกครองได้หากรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้งก็จงเดินหน้าต่อไป ระหว่างบริหารรัฐบาลต้องใช้คนที่ใช้ได้ ปัญหาในอนาคตเอาไว้แก้ไขในอนาคต อย่านำมาผสมกันจนก้าวขาไม่ออก

ระลึกไว้เสมอว่านี่เป็นรัฐบาลของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลของระบบราชการ หรือรัฐบาลของคนที่คอยควบคุมรัฐบาลอยู่หลังม่าน ข้าราชการมีคนที่จะขึ้นมาแทนกันได้เสมอ ไม่มีใครดีวิเศษขนาดหาผู้ใดแทนที่มิได้

อย่าลืมเช่นกันว่า ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบุคลากรได้ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงชงเรื่องขึ้นมาก่อน

ปัญหาเรื่องนี้จะมีก็เพราะความไม่กล้า เพราะกลัวทะเลาะกับคนใหญ่ที่หนุนบุคคลนั้นๆ จากหลังม่าน หรือไม่ก็เก็บข้าราชการเลวไว้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้ ทั้งหมดนี้ต้องขจัดให้หมดไปและประชาชนสามารถมีบทบาทในการจี้ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำเช่นนั้นได้เสมอ

อันดับสามและสุดท้ายในเวลานี้ รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงงบประมาณแผ่นดิน จะยอมให้สำนักงบประมาณหรือใครหน้าไหนมาอ้างระเบียบเล็กน้อยเพื่อขัดขวางการทำงานในยามฉุกเฉินมิได้

แน่นอนว่าการทำงานในระบบงบประมาณ ต้องมีการคานและถ่วงดุลในรัฐสภาเพื่อมิให้รัฐบาลกระทำผิด แต่ขั้นตอนเหล่านั้นต้องไม่ทำให้รัฐบาลไร้อำนาจหรือมีอำนาจไม่เพียงพอที่จะทำงานรับใช้ประชาชนด้วย

ศักดิ์ศรีของรัฐบาลเลือกตั้งได้มาจากประชาชน ต้องทำตัวให้สม.

----------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566795 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com