ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฟาวล์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ฟาวล์
โดย กาหลิบ

แผนหาเรื่องกัมพูชาผู้เป็นเพื่อนบ้านอาเซียน ซึ่งปฏิบัติการโดยสมาชิกและแนวร่วมของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการวิ่งไปกราบขอร้องเขาเพื่อให้ปล่อยตัว คนที่ต้องวิ่งเต้นตามหน้าที่ก็มิใช่ใครอื่น ก็ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศในโควต้าพันธมิตรฯ ซึ่งกระโดดออกมาเล่นตามบทละครเก่าของฝ่ายเชียร์สีเหลืองทุกประการ

กัมพูชาเขาก็ตอบเรียบๆ ว่าศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่า นายวีระ สมความคิด นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ และคนเดินตามอีก ๕ คนจะมีความผิดฐานเข้าเมืองของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตและบุกรุกพื้นที่ของทหารกัมพูชาหรือไม่และอย่างไร

เครือข่ายสื่อฝ่ายอำนาจเก่าและส่วนที่มีผลประโยชน์ร่วมกับพันธมิตรฯ ก็โหมกันว่ากัมพูชาทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ พยายามที่จะยกให้เป็นเรื่องของลัทธิชาตินิยม

แต่สื่อมวลชนส่วนใหญ่และประชาชนเกือบทั้งประเทศก็ไม่รับลูก และกลับสงสัยว่าคนเหล่านี้ทำเช่นนั้นไปทำไม ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศก็ลดลงจนแทบจะไม่มีความเสี่ยงแล้ว คณะทำงานของทั้งสองชาติก็กำลังหาทางแก้ไขปัญหาดินแดนกันอย่างอารยชนอยู่

แผนหาเรื่องที่กะให้ลุกลามใหญ่โตจนเป็นเรื่องระหว่างชาติ จึงกลายเป็นเรื่องฮาเรื่องใหม่ที่ทุกฝ่ายเอามาเล่ากันอย่างสนุกสนานอยู่ในขณะนี้

คนที่กำลังกัดฟันด้วยความโกรธจึงไม่ใช่กัมพูชาหรือขบวนประชาธิปไตยไทยเพราะกำลังสนุกเฮฮากันอยู่ แต่กลับกลายเป็นคนบางคนใน “ที่สูง” ที่หวังว่าเหตุการณ์แบบนี้จะนำไปสู่ความร้าวฉานระหว่างไทยกับกัมพูชาถึงระดับที่จะส่งสัญญาณให้ทหารออกมายึดอำนาจได้

ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดาว์พงศ์ รัตนสุวรรณ และพวก ก็คงหงุดหงิดใจไม่แพ้กัน เพราะทำให้ทุกอย่างเสียจังหวะไปหมด จนเสียหลักไปทั้งกระบวน

ความจริงพวกนี้เขาก็รู้ว่าเรื่องกระจอกงอกง่อยเยี่ยงนี้คงจะนำมาเป็นเหตุผลของรัฐประหารได้ลำบาก แต่ลึกๆ คงหวังจะเอามาเป็นขั้นต้นของแผนใหญ่ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่านั้น แผนอื่นๆ ซึ่งยังมิได้ปฏิบัติเหล่านี้ รวมไปถึงการทำลายสัญลักษณ์ของสถาบันระดับสูงแล้วโยนให้เป็นความผิดของฝ่ายประชาธิปไตยด้วย นั่นจึงมีน้ำหนักพอที่เขาจะผลักเมืองไทยกลับไปสู่วงจรอุบาทว์

แต่เมื่อคนทั้ง ๗ กลายเป็น “โจ๊ก” ข้ามชาติจนแผนขั้นแรกล่มลงเสียแล้ว โอกาสที่ฝ่ายเขาจะลงบันไดไปจนถึงนรกภูมิที่เขานึกกันว่าเป็นสวรรค์ชั้นฟ้าของตัวเอง ก็หมดสิ้นลงไปด้วย

อย่างน้อยก็ต้องรอ เพราะคงทำซ้ำไม่ได้ในระยะนี้

ความจริงงานนี้พันธมิตรฯ เขาก็ลงทุนมาก เพราะมิได้ทำงานชิ้นเดียว พันธมิตรฯ ได้ไปตั้งเวทีในพื้นที่ต่างๆ หลายจังหวัดเพื่อปลุกเร้ากระแสต่อต้านกัมพูชาหลายครั้ง แต่ก็ผู้คนก็มาร่วมบางตาจนต้องขอแรงชาวอโศกมานั่งให้มีตัวคนเป็นๆ อยู่ในงานบ้าง

ฝ่ายทหารก็รับบทอื่นๆ ที่สอดรับกัน เช่น ส่งคนในเครื่องแบบเข้าไปลักลอบตัดไม้พยุงในกัมพูชาเพื่อยั่วยุเขา เป็นต้น ทหารกัมพูชาก็ยิงตอบโต้ แต่ไม่ปล่อยตัวจนถลำเข้าสู่การรบเต็มรูปแบบอย่างที่ผู้ยั่วยุสัญชาติไทยหวัง พอเขาฉลาดรู้ทันกว่าที่คิด กิจกรรมยั่วยุเหล่านี้ก็ฟาวล์ นักกิจกรรมรับจ้างทั้งที่ใส่เครื่องแบบและไม่ใส่ก็ข้ามแดนกลับมาอย่างอายๆ

นายวีระฯ นายพนิชฯ และพวกจึงมิได้แสดงความกล้าหาญอะไรตามที่เขาหวังจะให้คนทั่วไปเห็นและรู้สึก แต่เป็นคนชนิดที่รับคำสั่งมาแล้วก็ดั้นด้นทำไป ไม่ว่าโง่หรือฉลาดก็ขอให้ได้ทำ สุดท้ายคนที่มีปัญหาคือคนใหญ่ที่แอบสั่งการอยู่เบื้องหลัง ที่ตีสนุกเกอร์ตัวเองจนไม่มีมุมถอยมุมหลีกอีกต่อไป

งานนี้ไม่เพียงแต่กัมพูชาจะหัวเราะ แต่สมาชิกอาเซียนอื่นๆ ยังรู้สึกปลงสังเวชว่าไม่มีปัญญาเล่นการเมืองในประเทศไทยกันดีกว่านี้แล้วหรือ

เขารู้กันทั้งนั้นว่าอะไรที่มันมาถึงปลายจนใกล้จะสุดแล้วนั้น มักจะเปราะบางและมีปัญหา แต่เขาคงไม่ได้เตรียมใจไว้ว่า ปัญหานั้นจะเกิดขึ้นจากการขาดสติและความปัญญาอ่อนของคนใหญ่คนโตในเมืองไทยผู้เคยได้รับความยกย่องสรรเสริญว่าเป็นอัจฉริยะชนิดเลิศคน สุดท้ายเขาก็ต้องสงเคราะห์กันว่าทุกอย่างย่อมมีวันเสื่อมลงและสุดท้ายก็คงสลายไป

ถึงวันนั้น ผู้มีอำนาจไทยจะได้พูดภาษาคนกับเขาได้ในโลกสากลเสียที.

------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

กลอนสวัสดีปีใหม่ "เพื่อนในเรือนจำ" โดย จักรภพ เพ็ญแข


ถึงวันเดือนเคลื่อนใหม่ไม่ลืมเก่า
ยิ่งพวกเราอยู่ข้างในยิ่งใจหาย
เหมือนหายใจไม่เต็มปอดถึงรอดตาย
ก็ไม่คลายกระหายหาในอารมณ์

ขออวยพรทางไกลข้ามไปหา
ให้ชีวาสดชื่นไม่ขื่นขม
ดั่ง "นายผี" ฝากให้ "สหายลม"
นำเอาความชื่นชมให้มวลชน

ไม่นานหรอกเราจะพบคบกันใหม่
เพราะเปลวไฟเปลี่ยนแปลงมันเข้มข้น
เราต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีเสรีชน
ขอเพื่อนทนอีกสักหน่อยจะคอยรัก...

สวัสดีปีใหม่จากใจผม... จักรภพ เพ็ญแข
----------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นางมารร้ายกับคุณชายพระเอก โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง นางมารร้ายกับคุณชายพระเอก
โดย กาหลิบ

เมืองไทยคือเมืองละคร ระดับของละครก็ไม่เหนือไปกว่าช่อง ๓ และช่อง ๗ แต่อาจจะโน้มไปทางช่อง ๗ มากกว่า ๓ นิดหน่อยในแง่ความไม่สมจริงของชีวิต พระเอกนางเอกวิเศษเลิศคน ผู้ร้ายตัวโกงก็เลวชาติจนไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงละครได้อย่างไร ความร่ำรวยในละครก็ไม่ต้องอธิบายที่มา ไม่มีใครต้องทำมาหากิน รู้แต่ว่ารวยแล้วก็กินข้าวซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเป็นฉากที่ซ้ำบ่อยสุดของละครไทย

ขณะนี้ละครเรื่องเก่ากำลังฉายซ้ำกันอีกครั้ง โดยส่งข้อความผ่านเว็บต่างๆ ว่า วิกฤติเมืองไทยในปัจจุบันนี้ มีตัวโกงสำคัญคือนางมารร้ายฝ่ายหญิงและพวก ส่วนพระเอกคนเดิมก็ยังเป็นพระเอก อะไรที่เกิดขึ้นในเมืองไทยที่ผ่านมา ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ข้องไม่เกี่ยว นั่งๆ นอนๆ ทั้งวันและนั่งเสียใจว่าทำไมผู้คนถึงเข้าใจผิดเกี่ยวกับตนเอง เพื่อให้คนดูเห็นใจว่าเป็นคนน่าสงสาร

นอกจากเว็บแล้ว ก็จัดส่งนักพูดจัดตั้งของตัวเองออกไปปล่อยข่าวตามกลุ่มประชาชนต่างๆ ด้วยสาระอย่างเดียวกัน เพื่อแก้ข่าวที่อ้างว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจผิด

ในกระแสแฉของวิกิลีคส์ทีมโฆษณาชวนเชื่อของระบอบก็ยังเอามาใช้ประโยชน์ โดยเปิดเผยสิ่งที่อ้างว่าเป็นรายงานลับของสถานเอกอัครราชทูตที่มีใจความอย่างเดียวกัน ในโทรเลข (embassy cables) ฉบับนั้น ระบุว่าความวุ่นวายทั้งหลายเกิดขึ้นจากฝ่ายหญิง ที่กระทำลงไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่าจะเจตนา ฝ่ายชายหรือพระเอกของเรา ไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แถมรู้สึกทุกข์ร้อนอย่างยิ่งในช่วงพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร

ฟังแล้วก็ต้องหัวเราะเป็นภาษาสันสกฤต

เรื่องแบบนี้อาจจะมีคนเชื่อบ้าง หากเอามาเผยแพร่กันก่อนเหตุการณ์สำคัญๆ ต่อไปนี้

๑. การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ได้รับคำรับรองระดับสูงเกือบทันทีหลังกระทำสำเร็จ

๒. เงินช่วยเหลือจากระดับสูงที่ระบุมอบให้กับครอบครัวสมาชิกสตรีของพันธมิตรฯ ที่ถูกระเบิดของตัวเองจนตายหน้ารัฐสภา ซึ่งมักจะถูกลืม เพราะไปจำตอนร่วมงานศพกันมากกว่า

๓. การไม่ห้ามปรามลูกน้องของตัวเองที่ไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับการโค่นล้มรัฐบาลเลือกตั้ง การทำร้ายประชาชน การวางแผนสังหารผู้นำหลายครั้ง และอื่นๆ ที่ขัดต่อบรรยากาศประชาธิปไตย ทั้งที่เวลาผ่านมาหลายปี

๔. การนั่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เมื่อกองกำลังฝ่ายรัฐฆ่าฟันประชาชนในที่ชุมนุมอันเปิดเผยตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตยจนประชาชนตายไปหลายร้อยคน การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงที่ติดตามมาในหลายมิติจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ปล่อยให้เกิดขึ้นทั้งที่มีอำนาจระงับยับยั้งได้
ฯลฯ

แต่เมื่อนำมาโฆษณากันภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ แม้แต่เหล่าสุนัขชาติยังปลงใจเชื่อมิได้

หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เราเห็นว่า ข่าวปล่อยว่าสังคมนี้เกิดปัญหาเพราะนางมารร้ายโดยที่พระเอกไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ เลยนั้น เป็นความเท็จที่ไม่อาจหาใครเชื่อได้อีกต่อไปแล้ว เว้นแต่คนของตัวเองที่อยากเชื่อเพราะกลัวสวรรค์ล่มแล้วจะเสียประโยชน์กันทั้งโคตรตระกูล

ฝ่ายประชาธิปไตยควรหัวเราะสนุกกับข่าวปล่อยประเภทนี้ ไม่ต้องเสียเวลาแก้ข่าว แต่ถ้ามีเวลาก็เล่าย้ำถึงความทุกข์ยากเชิงประวัติศาสตร์ให้กับผู้สนใจฟังไว้เสมอๆ เพื่อให้รับรู้ร่วมกันว่า เมืองไทยเขาแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนเท่านั้นเองคือ มวลชน กับ ผู้กดขี่ระดับสูง ส่วนพระเอกผู้ร้ายนั้นเขาสมมติกันขึ้นมาเพื่อให้เมืองไทยมันสับสนวุ่นวายเหมือนละครไทยเท่านั้นเอง

ขอบคุณที่ฝ่ายตรงข้ามเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่องเพราะนึกว่าได้ผล ทุกครั้งที่ออกมา ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะได้เวทีในการชี้นำไปในทางที่ถูกต้องทุกครั้งไป เหมือนในครั้งนี้

การจัดตั้งมวลชนด้วยความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงเมืองไทยขนาดใหญ่ ในขณะที่เงื่อนเวลาเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายประชาชนอยู่แล้วในนาทีนี้

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้.

----------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โอกาสรัฐประหาร โดย กาหลิบ


เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง โอกาสรัฐประหาร

โดย กาหลิบ


มีผู้คนที่วิตกกังวลถามเสมอว่าจะเกิดการยึดอำนาจในเมืองไทย แบบที่เรียกว่ารัฐประหารกันอีกหรือไม่ในเร็ววันนี้


สังเกตจากสีหน้าท่าทางของผู้ถาม ยากที่จะบอกว่า ถามเพราะอยากให้เกิดหรือกลัวว่าจะเกิดขึ้นกันแน่  


เอาเป็นว่ามวลชนจำนวนไม่น้อยยังคงคิดว่าการรัฐประหารโดยฝ่ายเขา (ฝ่ายประชาธิปไตยขาดเครื่องมืออันจำเป็นที่จะทำในขณะนี้) จะทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง และอย่างน่ากังวลห่วงใย จนอาจทำให้เกิดสภาพที่คาดเดาไม่ได้อีกต่อไปว่าอะไรจะตามมาในฐานะผลกระทบ


มาลองวิเคราะห์กันสักหน่อยเป็นไร


อำนาจด้านกายภาพของการรัฐประหาร อยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบกเป็นส่วนใหญ่ เพราะองค์ประกอบอันจำเป็นต่อการรัฐประหารจนกระทั่งทุกวันนี้ คือกำลังทหารราบและยุทโธปกรณ์ทางบกมากกว่าอย่างอื่น ศักยภาพในการยึดเมืองของกองทัพบกจึงสูงกว่ากองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจ และแม้กระทั่งหน่วยทหารพิเศษ อย่างเทียบกันมิได้ ยิ่งทหารในหน่วยสงครามพิเศษของไทยขึ้นอยู่กับกองทัพบกอย่างนี้ด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยว่าหน่วยงานอื่นๆ จะยึดอำนาจรัฐได้ด้วยกำลัง


แต่ปัญหาคือความอยู่รอดหลังการรัฐประหารนั่นเอง โดยเฉพาะเมื่อเอา “ชนะ” ได้ด้วยกำลัง จนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้สำเร็จสมดังเจตนา ผู้บัญชาการทหารบกคนที่เข้ายึดอำนาจจะอยู่รอดเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว


อย่างกรณี พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ยึดอำนาจได้อย่างราบคาบด้วยอำนาจของผู้บัญชาการทหารบก แต่ร่วงจากอำนาจเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อมีอำนาจที่เหนือกว่า สูงกว่า มากระชากพรมใต้เท้าออกอย่างฉับพลันทันที จนพ่ายแพ้อย่างชนิดเอาตัวแทบไม่รอด


หรืออย่าง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่ยึดอำนาจแล้วก็รีบโกยเงินสร้างความมั่งคั่ง แล้วหาบันไดลงด้วยการตั้งพรรคการเมืองมารองรับและสร้างอำนาจต่อรองน้อยๆ ของตนขึ้นมา ทั้งที่เคยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้แล้วทั้งเมือง ไม่น่าจะจำเป็นต้องอยู่ในสภาพดิ้นรนเอาตัวรอดเลย


เรื่องเหล่านี้ย้ำความเข้าใจว่า อำนาจในการรัฐประหารเมืองไทยไม่ได้อยู่ในมือผู้บัญชาการทหารบกอย่างที่รับเชื่อกันต่อมาเลย ผู้บัญชาการทหารเป็นเพียงหัวหน้าชุดปฏิบัติการเท่านั้น อำนาจล้นฟ้าที่สามารถบิดผันเจตนาของมวลชนประชาธิปไตยได้ทั้งประเทศเป็นอำนาจที่เหนือกว่าผู้บัญชาการทหารบก


ซึ่งเป็นอำนาจเหนือระบบ และเป็นอำนาจในระดับระบอบ


คำถามต่อโอกาสในการรัฐประหารจึงต้องตั้งกับคนบางคนที่มีอำนาจในระดับนั้น ซึ่งเราพอคาดเดาคำตอบกันได้ว่า ขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อของเขาคนนั้น ข้อพิจารณาคือ เขาและครอบครัวจะอยู่รอดปลอดภัยจากการรุกคืบเข้ามาของฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้ารู้สึกว่า ไม่ได้ หรือ ไม่พร้อมเสี่ยง เขาก็จะกดปุ่มรัฐประหารในทันทีโดยไม่รั้งรอ


เพราะฉะนั้น บวกความล่มสลายของการปรองดองสมานฉันท์ ปฏิกิริยาของมวลชนส่วนใหญ่ขึ้นทุกทีต่อคณะบุคคลที่เคยเป็นที่สถิตของความดีและความงาม เข้ากับความอมตะ (ไม่ตาย) ของขบวนประชาธิปไตย ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับชนชั้นนำในเมืองไทย


ล้วนชี้ไปสู่การตัดสินใจสั่งรัฐประหารทั้งนั้น


ใครถามตื้นๆ ง่ายๆ ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ เป็นของเขา เหตุใดเขาจึงจะสั่งทำลายลงเสียเล่า น่าจะถนอมรักษาไว้เป็นข้าช่วงใช้ทางการเมืองมิใช่หรือ?


ก็ตอบได้ทันทีว่า การรัฐประหารแต่ละครั้งมิได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายรัฐบาลเพียงชุดเดียวหรือคณะเดียว แต่เป็นการล้างไพ่ทั้งระบบแล้วสอดใส่ระบบใหม่เข้าไป เพื่อรักษาระบอบใหญ่ไว้ต่างหาก คนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นพวกตนนั้น ก็ค่อยหาตำแหน่งหน้าที่ที่เป็นบำเหน็จรางวัลตอบแทนกันไป เหมือนนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ 


วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ประมาทและระลึกอยู่เสมอว่าเกิดรัฐประหารแล้วเราต้องทำสิ่งใดบ้าง

ซึ่งอาจเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของขบวนประชาธิปไตยไทย.

-----------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เครื่องมือเผด็จการ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เครื่องมือเผด็จการ
โดย กาหลิบ

ผู้ใดยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดของพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ หรือ พรบ.ความมั่นคงฯ อันเป็นเครื่องมือปัจจุบันที่เผด็จการไทยงัดเอาใช้แทนกฎหมายฉุกเฉินต่างๆ ขอแนะนำให้ท่านหาเวลาและเร่งศึกษาโดยด่วน ก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายของเครื่องมือชิ้นนี้โดยไม่ได้ตั้งตัว

เอาบทคัดย่อขึ้นมาพูดไว้ตรงนี้ก่อนเลยก็ได้ว่า พรบ.ความมั่นคงฯ ฉบับนี้ เป็นภาพลวงตาที่ฝ่ายเผด็จการไทยสร้างขึ้นมาหลอกคนไทยและชาวโลกว่า ไม่รุนแรงเท่ากับกฎหมายฉุกเฉินที่ผ่านมา

เขาพยายามบอกว่าการ “ลด” ลงมาใช้ พรบ.ความมั่นคงฯ เป็นหลักฐานว่าสถานการณ์การเมืองดีขึ้น แท้ที่จริงแล้ว ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยต่างอยู่ภายใต้กฎหมายที่โหดเหี้ยมขึ้น แนบเนียนขึ้น และละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์มากกว่าเก่า

การแอบใช้อำนาจเผด็จการในเวลาที่เสมือนว่าปกติ ไม่มีปัญหารุนแรงใดๆ ให้เห็นนั้น เป็นความชำนาญพิเศษของหัวหน้าใหญ่ของระบอบเผด็จการศักดินา-อำมาตยาธิปไตยไทยมาแต่ไหนแต่ไร พวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยจึงประมาทมิได้และต้องตั้งสติให้ดี

การอุ้มฆ่า “ดีเจแดง คชสาร” และเอาศพไปทิ้งไว้ในป่าที่อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ โดยยัดข้อหายาบ้าให้เสร็จสรรพเมื่อไม่กี่วันนี้ เกิดขึ้นในช่วงเชื่อมต่อระหว่างกฎหมายฉุกเฉินและ พรบ. ความมั่นคงฯ และจะไม่ใช่ความสูญเสียครั้งสุดท้ายของฝ่ายประชาชนในศึกชนช้างกับเจ้าของประเทศไทย

พรบ.ความมั่นคงฯ คือมรดกก้อนใหญ่ที่สุดของปิศาจผู้ก่อการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ที่ยกร่างขึ้นมาในปี พ.ศ.๒๕๕๐ และผ่านออกมาเป็นกฎหมายเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชไม่กี่วัน จนดูออกว่ารีบเร่งออกมาเพื่อเตรียมเล่นงานรัฐบาลประชาธิปไตยที่ “ดัน” เกิดใหม่ได้อีกครั้งในนามพรรคพลังประชาชน

ลองยกเนื้อหามาพิจารณาเพียงบางส่วนก็ได้

กฎหมายฉบับนี้ให้ชีวิตใหม่กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. โดยตรง เพราะคือกฎหมายรองรับหรือเป็น “ตัวพ่อตัวแม่” ของหน่วยงานอันร้ายกาจนี้ คำว่ารองรับหมายถึงทั้งในแง่ระบบบริหาร การจัดสรรงบประมาณ สายการบังคับบัญชา และความสามารถจะใช้อำนาจล้นพ้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ครบถ้วนสมบูรณ์หมด ว่าไปแล้วสมบูรณ์ยิ่งกว่า ศอฉ. ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจมากนัก

ถึงจะพรางตาด้วยการให้นายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.รมน. และผู้บัญชาการทหารบกเป็นรอง เพื่อให้เกิดภาพว่าไม่ใช่ระบบทหารนำ แต่การใช้อำนาจเรื่อยลงมาทั้งหมดเป็นโครงสร้างของกองทัพบกโดยแท้ เสนาธิการทหารบกเป็นเลขาธิการ รมน. โครงสร้าง กอ.รมน. ระดับภาคก็ให้แม่ทัพทั้ง ๔ ภาคเป็นหัวหน้า

ใส่หน้าคนเข้าไปในตำแหน่งสักนิดอาจจะเห็นชัดขึ้น

นอกจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในตำแหน่งรอง ผอ.รมน. จะสามารถนั่งเป็นประธานแทนนายอภิสิทธิ์ฯ ได้ทุกเวลานาทีแล้ว สายพันธุ์ร่วมอย่าง พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบกและเลขาธิการ รมน. ยังได้รับการแต่งตั้งโดยมติ กอ.รมน. ให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ตรวจสอบสถานการณ์ (ศตส.) อีกต่างหาก

ศตส. จึงมาแทน ศอฉ. และคนอย่าง พลเอกดาว์พงษ์ฯ ก็มาแทนนายสุเทพ เทือกสุวรรณ แถมยังมี พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นที่ปรึกษา ศตส. อีกต่างหาก

อำนาจ กอ.รมน. ตาม พรบ.ความมั่นคงฯ สามารถล้วงลึกเข้าไปในทุกหย่อมหญ้าด้วยโครงสร้างในระดับภาคและจังหวัดที่ทหารและคนที่ทหารเลือกคอยคุม ข้าราชการคนไหนขวางหรือทำให้ไม่พอใจก็มีอำนาจย้ายได้ในทันที โดยใช้หลักย้ายก่อนอธิบายทีหลัง

กอ.รมน. ระดับภาคมีอำนาจตั้งที่ปรึกษาได้ถึง ๕๐ คน กอ. รมน. ระดับจังหวัดได้ ๓๐ คน โดยได้รับเงินค่าตอบแทน แปลว่าเขาสามารถดึงขาใหญ่ในแต่ละท้องถิ่นเข้ามาเป็นพวกได้และลดทอนอำนาจของฝ่ายประชาชนลงไปในเครือข่ายที่เป็นประหนึ่งมาเฟียใหม่

แต่สำคัญที่สุดคือ ความหมายของการรักษาความมั่นคงตาม พรบ.ฉบับนี้ ซึ่งเขียนไว้กว้างขวางอย่างชนิดที่รัฐเผด็จการตรงๆ ยังอาย

“มาตรา ๓....... “การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” หมายความว่า การดำเนินการเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใด ที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัยอันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลาย หรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ ให้กลับสู่สภาวะปกติเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ...”

สำคัญตรงวลี “...ที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัย...” นั่นเอง

แปลไทยเผด็จการมาเป็นไทยประชาธิปไตยได้ว่า แม้เหตุการณ์ยังไม่เกิด เพียงเจ้าหน้าที่เกิดลางสังหรณ์หรือหวาดระแวงว่าจะเกิด ก็สามารถใช้อำนาจอันล้นพ้นตามกฎหมายของสภาเผด็จการฉบับนี้ได้อย่างเต็มอัตราในทันที

ลิดรอนสิทธิของประชาชนทั้งประเทศได้ตามความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ต้องมีหลักฐาน หรืออ้างเอาได้ตามใจของเหล่ามาเฟียประเทศไทยในทุกเวลา

นี่ล่ะครับ ยอดของเผด็จการ หรือพูดอย่างชาวบ้านคือเผด็จการโคตรพ่อโคตรแม่

ใครละเมอเพ้อพกอยู่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นหลังเลิกใช้กฎหมายฉุกเฉิน โปรดตื่นจากหลับ

แล้วมาเร่งศึกษาเครื่องมือเผด็จการชิ้นนี้ให้ละเอียดเถิด

แล้วได้รู้ว่าสงครามเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น.

----------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ให้เวลา-อย่าเซ็ง โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ให้เวลา-อย่าเซ็ง

โดย กาหลิบ


พรรคพวกเล่าว่าขณะนี้พี่น้องเสื้อแดงเป็นจำนวนมากกำลังรู้สึก “เซ็ง” กับวิธีการและบรรยากาศการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งความไม่ชัดเจนของแนวทางการต่อสู้ หรือความรู้สึกว่าได้เกิดการสมานฉันท์อย่างเสียเกียรติขึ้น 

ถึงความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยจะหันหลังกลับในทางอุดมการณ์ เพราะแนวคิดไปไกลเกินกว่าลมจะหวน แต่เราก็ควรถนอมน้ำใจกันเองด้วยการวิเคราะห์ว่าบรรยากาศเช่นนี้แปลว่าอะไรและน่าจะนำไปสู่อะไร อย่างน้อยก็คงลดปริมาณความรู้สึกเซ็งลงบ้าง

ใครก็ตาม หากมองสถานการณ์ไทยทั้งภาพและตั้งทัศนะในระดับระบอบแล้ว จะเข้าใจทีเดียวว่ามันต้องเป็นเช่นนี้เอง เป้าต่อสู้ของพวกเราเริ่มจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์ ผู้พิพากษาและสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรม กองทัพ ไปจนถึงองคมนตรีและทำท่าจะขยายผลต่อ

กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่การอภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา 

บางคนเห็นไปว่าขณะนี้กลับยิ่งใหญ่กว่า ๒๔๗๕ ในแง่ที่ว่ามวลมหาประชาชนเข้าร่วมขบวนด้วยอย่างกล้าหาญมุ่งมั่น

เรื่องใครยิ่งใหญ่กว่าใครนี้ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เอาอย่างหมอเหล็ง ศรีจันทร์ผู้รวมกลุ่มขึ้นมาเรียกร้องและแสวงหาประชาธิปไตยจนถูกจำคุกและเกือบถูกประหารชีวิตในเหตุการณ์ที่ฝ่ายผู้ชนะเขาจิกเรียกว่า “กบฎ ร.ศ. ๑๓๐” ดีกว่า ท่านเดินทางมาแสดงความยินดีกับพระยาพหลพลพยุหเสนาเมื่อการอภิวัฒน์ประสบผลสำเร็จ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและแสดงความชื่นชมอย่างสูง 

เจ้าคุณพหลฯ ท่านกลับตอบถ้อยคำอันเป็นปิยวาจานั้นว่า “ถ้าไม่มีคณะของคุณ ก็คงไม่มีคณะของผม”

ขบวนประชาธิปไตยไม่เคยแข่งขันกันในความยิ่งใหญ่ โด่งดังหรือแสวงหาผลประโยชน์ ทุกชิ้นของทุกคนที่ได้เคลื่อนไหวโดยบริสุทธิ์ย่อมเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการก่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในภาพใหญ่

เมื่อเราสู้กันมาถึงระดับนี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้นำ แกนนำ และมวลชนที่ร่วมสู้จะตระหนักถึงความจริงอันยากลำบากว่า ขณะนี้เราดั้นด้นกันมาจนถึงภูผาแล้ว สงครามแท้จริงไม่ได้อยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่อยู่ในก้าวย่างจากนี้ไปจนถึงที่สุด

เวลานี้คือจังหวะที่ยากลำบากที่สุดของการต่อสู้ โดยเฉพาะในการรวบรวมความกล้าหาญเพื่อประกาศต่อประเทศชาติและประชาคมโลกว่าเรากำลังต่อสู้กับสิ่งใด กับใคร 

และข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองโดยมีนัยยะสำคัญนั้นคืออะไร 

ไม่ว่าใครมาถึงขั้นนี้ ก็ต้องไตร่ตรองด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ละเว้นการใช้อารมณ์ความรู้สึกให้ได้มากที่สุดเพื่อถามตัวเองเสียให้ชัด

ระบอบเผด็จการไม่ต้องเสียเวลาถามตัวเอง เพราะเขาใช้ระบบควบคุมบังคับและใช้อำนาจเพื่อให้บรรลุผลความต้องการของเขา แต่ผู้ร่วมก่อสร้างระบอบประชาธิปไตยไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะเราจะไม่เอาเผด็จการใหม่ไปแทนเผด็จการเก่า แต่ต้องการสังคมใหม่ที่ยอมรับนับถือในความเป็นมนุษย์มากขึ้น ถึงจะยุ่งยากและเสียเปรียบเผด็จการในระยะต้นบ้างก็ตามที

ความเห็นที่แตกต่างในขบวนประชาธิปไตยขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน คุณทักษิณฯ พรรคเพื่อไทย นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย แดงสยาม และอื่นๆ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตั้งคำถามและหาคำตอบในเวลาที่สำคัญนี้ทั้งสิ้น

เราต้องยอมอดทนและให้เวลากับการปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

อย่ากลัวว่าจะแพ้ แนวทางของใครที่ไม่ใช่ เขาจะปลีกตัวหรือผละออกจากขบวนไปเรื่อยๆ ผู้ที่มุ่งมั่นในการต่อสู้อันแท้จริงก็จะรวมกลุ่มกันใหม่และแน่นขึ้นเรื่อยๆ (regrouping) เพื่อเดินให้กระชับและมุ่งตรงไปสู่ผลในที่สุด 

คิดเร็วเดินเร็วโดยปราศจากความถ่องแท้เสียอีก จะนำผลร้ายมาสู่ขบวนของเราได้

โปรดอย่าเซ็งและมาใช้เวลานี้ให้สมค่าด้วยหัวใจอันปีติเถิดครับ.

-------------------------------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไทยรั่ว โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ไทยรั่ว
โดย กาหลิบ

สุดท้ายเมืองไทยก็ยังอยู่ในระบบโลก ใครจะเสแสร้งอย่างไรว่าเมืองไทยไม่เหมือนใคร ผู้มีอำนาจไทยไม่ใช่ผู้เผด็จการแม้ในขณะที่กำลังใช้อำนาจเยี่ยงเผด็จการหรือยิ่งกว่า ถึงขนาดนั่งเฉยให้เขาฆ่าคนชาติเดียวกันที่ใจกลางเมือง หรือแอบสั่งให้เขาทำ ก็ยังมาดัดจริตกันว่าไม่รู้เรื่อง ระดมสร้างนิยายต่างๆ ขึ้นมาไม่รู้กี่เรื่องเพื่อดำรงภาพอันตระการตา แต่ทว่าจอมปลอมสับปลับ ในที่สุดก็จะมาตายคารังตัวเองเมื่อความจริงปรากฏขึ้น

การอยู่ในระบบโลกแปลว่า เมื่อโลกติดหวัด ไทยก็จะไอจามตามไปด้วย

เชื้อหวัดระลอกล่าสุดที่แพร่ไปในระดับโลก คือการเผยแพร่เอกสารลับของรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนมากถึง ๒๕๑,๒๘๗ ฉบับผ่านวิกิลีคส์ (Wikileaks) ซึ่งกำลังเปลี่ยนสภาพจากเว็ปธรรมดามาเป็น “วีรชนเอกชน” รายล่าสุดแห่งระบอบประชาธิปไตยโลก

ข้อมูลในเอกสารสองแสนกว่าฉบับ ช่วยลากอภิมหาอำมาตย์ไทยและอำมาตย์ไทยเข้าไปในปลักโคลนแห่งความเน่าเสียของระบอบอำมาตย์โลกด้วย ทั้งที่เกี่ยวกับไทยไม่กี่หน้า

พาดพิงถึงองคมนตรี ราชเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี นายสนธิ ลิ้มทองกูล และเหนือขึ้นไปกว่านั้นอย่างไรบ้าง คงจะหาอ่านกันได้ไม่ยาก เพราะกระจายเร็วกว่าไฟไหม้ป่ายามหน้าแล้งเสียอีก

ความชั่วร้ายบางอย่างไม่ต้องเอามาพูด ให้มวลชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในเมืองไทยท่านอ่านและทำความเข้าใจเองช้าๆ ปล่อยเวลาให้แลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเองสักพัก เชื่อว่าจะช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติอนุรักษ์นิยมแบบหลงใหลใฝ่ฝันมายอมรับความจริงได้ง่ายกว่า

เปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกยังไม่สำคัญเท่ากับเปลี่ยนปัญญาและความคิด ซึ่งถ้าถึงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนได้หมดทุกอย่างในเมืองไทย รวมทั้งสิ่งที่เจ็ดชั่วโคตรไม่เคยรู้ความจริงและไม่เคยคิดเป็นอื่น

ข้อมูลเกี่ยวกับชนชั้นนำของไทยในวิกิลีคส์ตอกย้ำความจริงที่เราพูดกันมานานในหมู่คนเสื้อแดง เมืองไทยไม่ได้อยู่ในมือของคนไทย แม้จะเลือกตั้งอย่างประชาธิปไตยกันบ้างเป็นครั้งคราว (เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของประเทศ) ก็ปรากฏว่าอำนาจรัฐหลุดจากมือมวลชนไปสู่มือของเขาและครอบครัวที่คอยใช้อำนาจนั้นผ่านบรรดามหาอำมาตย์ทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีสองคนและอดีตเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศอีกหนึ่งคน นำมาเล่าให้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ฟังในขณะนั้น เป็นเพียงการคุยใต้บันไดของคนใช้แก่ๆ สองสามคน ที่กำลังกังวลว่านายใหญ่ใกล้จะถึงแก่กาลกิริยาและตัวเองจะอยู่ไม่ได้กับผู้สืบสันดานของเขา ไม่ใช่ความห่วงใยใดๆ ต่อประเทศชาติและประชาชนเลยแม้แต่น้อย

วิกิลีคส์จึงไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่อะไรกับเรา แต่ช่วยย้ำเตือนว่าการต่อสู้ของขบวนประชาธิปไตยในครั้งนี้มีความสำคัญขนาดไหน

และเตือนเราซ้ำอีกว่า การต่อสู้ครั้งนี้ต้องเดินไปจนสุดทาง ไม่ใช่สู้แบบมักง่ายหรือหวังผลแบบตื้นๆ จนเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยในอนาคตต้องตกราง เหมือนหลายครั้งในประวัติศาสตร์

มวลชนไทยที่ติดตามข่าวนี้ กรุณาอย่าเชื่อเลยครับว่างานนี้เป็นความอัปยศของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะไม่สามารถเก็บความลับทางการทูตของตัวเองได้ดีพอ สิ่งต่างๆ ที่เผยแพร่เกี่ยวกับจีน อิหร่าน รัสเซีย หรือศัตรู/มิตรทุกๆ ราย ล้วนสอดคล้องกับนโยบายการเมืองและวิถีการทูตของเขาทั้งสิ้น

ใครจะอยู่เบื้องหลังการ “รั่ว” ครั้งนี้ก็ตาม ควรรู้ว่ามันทำให้เกิดปรากฎการณ์ขึ้นสองอย่าง แรกที่สุดคือ ทำให้ นายจูเลียน อาซานเจ้ ผู้ก่อตั้งเว็ปวิกิลีคส์ กลายเป็นวีรชนคนใหม่ของโลกไซเบอร์และขบวนประชาธิปไตยในระดับโลก

สอง ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับข้อแรกเลยหากมองให้ลึก งานนี้ไม่ได้ทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างที่เข้าใจกันเลย แต่กลับช่วยเผยแพร่ลัทธิอเมริกันใหม่อย่างมีประสิทธิผลกว่าเดิมอีกต่างหาก

เราคนไทยจึงต้องหาทางใช้ประโยชน์จากกรณีวิกิลีคส์ตามเกมการเมืองไทย อย่าใจร้อนเล่นเกมอเมริกัน อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ขณะนี้

เป้าหมายของขบวนเราคือการรื้อไม้ทีละแผ่นในบ้านผุ จนพบพร้อมกันและอุทานว่าจอมปลวกมันอยู่ตรงนี้นี่เอง

พบแล้วจะทำลายเพื่อให้บ้านเมืองมั่นคง หรือดันไปหาผ้าสีมาพันโดยรอบและบวงสรวงซ้ำเข้าไปอีก จนกลายเป็นจอมปลวกศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่เป็นผู้ทำลาย ขึ้นอยู่กับความโง่เขลาและความขลาดกลัวของผู้เกี่ยวข้องในขณะนั้น

ส่วนมวลชนเราต้องเดินหน้าจัดตั้ง เสมือนฉีดวัคซีนป้องกันโรค (แกล้ง) โง่เหล่านั้นไว้ล่วงหน้า.
---------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เริ่มยกระดับ โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง เริ่มยกระดับ

โดย กาหลิบ

บ่ายวันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ มวลชนนับหมื่นหลั่งไหลเข้าไปในห้องประชุมคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อฟังการอภิปรายโดยวิทยากร ๔ คนคือ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ดร.ณัฐพล ใจจริง ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และผู้ดำเนินการอภิปราย แต่ที่ดึงดูดผู้คนได้มากที่สุดน่าจะเป็นหัวข้อของการอภิปรายนั้นเอง

...สถาบันกษัตริย์ - รัฐธรรมนูญ - ประชาธิปไตย”

ไม่ได้ยินบ่อยนักภายในรัฐที่ถือตามทฤษฎีที่ว่า กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกับราษฎรทั้งหลาย

ผู้ฟังในวันนั้นจึงเดินทางไปร่วมด้วยหัวใจที่กระตือรือร้น และผลที่ปรากฎขึ้นก็คือไม่ผิดหวัง

วิทยากรทุกท่านในวันนั้นตลอดจนผู้ดำเนินรายการ นำเสนอข้อมูล บทวิเคราะห์ และข้อเสนอที่ตรงกับหัวข้อและตรงกับความกระหายใคร่รู้ของผู้ฟัง ไม่มีใครโฆษณาเกินจริง หรือลดเลี้ยวไปมาเพื่อความปลอดภัยของผู้พูด 

ใครฟังอย่างตั้งใจในวันนั้นจะสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของผู้รู้กลุ่มหนึ่งที่ประสงค์จะช่วยหาทางออกให้แก่วิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของรัฐไทย

ถ้าคนบ้าที่ไหนไล่ตามที่ยัดเยียดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับคนบนเวทีหรือผู้จัดในวันนั้น ก็เท่ากับปิดไฟดวงน้อยที่หลงเหลืออยู่ให้มันมืดมิดไปทั้งบ้านเมือง เมืองไทยจะหล่นสู่หลุมพรางที่อาจจะไม่มีทางออกยกเว้นในภายหลังความเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดจำหน้าตัวเองไม่ได้ 

ใครสนใจในเนื้อหาสาระของการอภิปรายคงจะหาฟังหรืออ่านกันได้ เราคงจะไม่ใส่ไว้ในเนื้อที่นี้ แต่อยากตราเอาไว้ว่า เมื่อมองย้อนหลังกลับมาคำอภิปรายที่ทรงคุณค่าในระดับบ้านเมืองครั้งนี้จะถูกมองว่าเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญในการปฏิวัติประชาธิปไตยไทย ไม่ใช่เพียงนิทรรศการทางปัญญาที่ถ่ายทอดกันไปมาในหมู่นักวิชาการไม่กี่คน 

ผู้พูดในวันนั้นตกผลึก ผู้ฟังในวันนั้นก็หลากหลายกลุ่มสังคมและเดินทางมาร่วมฟังอย่างคนตาสว่าง ในใจอยากเข้าใจเมืองไทยของตัวเองให้มันชัดเจนพอที่จะไม่เหลียวหลังอีกต่อไป

งานวันนั้นถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญครั้งหนึ่งของขบวนปฏิวัติ ใครที่ไม่ได้ไปรีบหาแถบเสียงและภาพมาวิสัชนากันโดยด่วนเถิด ก่อนจะตกขบวน

นักวิชาการทั้ง ๔ ท่านในวันนั้นไม่ใช่คนหน้าใหม่ในขบวนประชาธิปไตย แต่วันนั้นท่านประกาศชัดเจนว่าแต่ละคนเป็นนักปฏิวัติประชาธิปไตยในขณะเดียวกันด้วย

นักประชาธิปไตยกับนักปฏิวัติประชาธิปไตย ในวันนี้มีความแตกต่างกันมาก

นักประชาธิปไตยตามประเพณีนิยม มักนั่งรอเวลาและวิพากษ์คนอื่นๆ ไปด้วยว่าใจร้อนและนำอันตรายมาสู่เพื่อนฝูง หรือไม่ก็วิจารณ์อีกสุดโต่งหนึ่งว่างอมืองอเท้าไม่ยอมทำอะไร ในขณะที่ตนเองมองไม่เห็นหรือใจไม่กล้ายอมรับว่านี่คือสถานการณ์ปฏิวัติไปแล้ว 

นักปฏิวัติประชาธิปไตยต้องไม่หลงกลระบอบเผด็จการโบราณอีกต่อไป และไม่เสียเวลาฟังคำพร่ำบ่นของนักประชาธิปไตยประเพณี แต่ต้องยืนหยัดปฏิเสธกลไกของระบอบปัจจุบันทุกอย่างตามยุทธศาสตร์ปฏิวัติ กลไกเหล่านี้อาจรวมถึงการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่มีฐานะเป็นเพียงสภากาแฟของนักเลือกตั้ง ระบบรัฐบาลและราชการปัจจุบัน ตลอดจนกระบวนการปรองดองที่ไร้ความจริงใจไร้ความหมาย

ผู้ที่จะก้าวเดินด้วยกันจากนี้ไปต้องตั้งทัศนะในเชิงระบอบ ไม่ใช่ระบบเล็กๆ น้อยๆ ที่ปฏิรูปไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกินยาระงับประสาทชั่วครั้งชั่วคราว  

การอภิปราย “สุธาชัย-สมศักดิ์-ณัฐพล-วรเจตน์” ในวันนั้น เป็นส่วนแรกๆ ของการเดินบนถนนสายใหม่ที่คนไทยยังไม่เคยเดินอย่างจริงจังและด้วยความมั่นใจมาก่อน

ถนนสายนี้มีหลายเลน รอให้มวลชนเดินและวิ่งมาสมทบกันได้มากมายทั้งประเทศ

ทั้งหมดนี้คืออีกไม่นานนัก.

-----------------------------------------------------------------------------------------------

สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อย่าหยุดแค่อภิสิทธิ์ โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง อย่าหยุดแค่อภิสิทธิ์
โดย กาหลิบ

ฝันของหลายท่านที่อยากเห็นจอมเผด็จการไทยขึ้นศาลระหว่างประเทศในฐานะจำเลยหลักในคดีอาญาโลกและถูกลงโทษด้วยอาญาสากลอาจกำลังเป็นจริงแล้ว การให้ข้อมูลข่าวสารแก่สังคมและการเดินสายทั่วโลกของพวกเราเริ่มได้ผล ร่วมกับเครือข่ายอย่าง นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นขาหนึ่ง

บัดนี้โลกบางส่วนเริ่มเข้าใจในสถานการณ์อันสลับซับซ้อนของไทยและโน้มใจมาทางฝ่ายมวลชนของเรามากขึ้น แม้สหรัฐอเมริกาก็ยังเริ่มนิ่มลงและรับฟังมากขึ้น ถึงเราจะยังไม่อาจมั่นใจได้ก็ตาม

แต่ประเด็นใหญ่ที่ฝ่ายมวลชนควรรับทราบและช่วยกันผลักดันต่อไปคือ การดำเนินคดีครั้งนี้ต้องไม่หยุดแค่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอย่างที่พูดกันอยู่ ณ วงในในขณะนี้

การเอาเรื่องกับฆาตกรระดับหางแถวอย่างนายอภิสิทธิ์ฯ นายสุเทพฯ หรือแม้แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและฝ่ายทหาร ถึงจะเป็นคดีที่มีโอกาสสูงในการเอาผิดและลงโทษ แต่จะไร้ประโยชน์ต่อการผลักดันให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงขึ้นในประเทศไทย

หลายปีมาแล้วที่เราต้องเผชิญภัยกับคนๆ เดียวและวงศ์วานญาติเครือของเขา เราเอาเรื่องเขาไม่ได้เพราะเขาซ่อนมือได้อย่างแนบเนียนและเปลี่ยนคนทำงานมาหลายรุ่น

ก่อนอภิสิทธิ์จะคลอดในค่ายทหารโดยผ่านขบวนการบ้านสี่เสาฯ ก็มีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถนอม กิตติขจร สัญญา ธรรมศักดิ์ สองพี่น้องตระกูลปราโมช ธานินทร์ กรัยวิเชียร เปรม ติณสูลานนท์ อานันท์ ปันยารชุน ชวน หลีกภัย และ สุรยุทธ์ จุลานนท์มาก่อน

ก่อนจะมีประยุทธ์ ก็มีผู้บัญชาการทหารบกมาแล้วนับไม่ถ้วน เกิดแก่เจ็บตายรายรอบฐานเทวทัตกันมากมาย มีน้อยคนหนีรอดจากวงจรกรรมได้ก็หนีไปอยู่เงียบๆ กับงบสืบราชการลับและประโยชน์ที่เบียดบังเอามาจากตำแหน่ง ก่อนจะตายจากไปอย่างเงียบๆ โดยพยายามไม่เป็นข่าวแม้จากขุมนรก

ขบวนการทำลายรัฐบาลทักษิณที่ดำเนินการมาเป็นขั้นตอน จนถึงการฆ่ามวลชนกลางกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ นี้ ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่ตัวคนทำงานอย่างอภิสิทธิ์กับประยุทธ์

แต่เป็นพฤติกรรมการฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างที่เรียกกันว่า serial killings ของผู้จ้างวาน

สร้างประวัติศาสตร์กันทั้งที ต้องกล้าๆ หน่อย ตีงูเห่าแค่หลังหัก มันก็เลื้อยกลับมาขบกัดมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยได้อีก

เสียงคัดค้านในเรื่องนี้ลอยลมมาว่า อย่าเอาถึงขนาดนั้นเลย เพียงตัดแขนตัดขาเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ที่เหลือคือนั่งรอเวลาของเรา

ก็ต้องตอบถ้อยของเสียงที่ฟังดูสุขุมคัมภีรภาพนี้ว่า เขามีแขนขามากมายเกินกว่าที่เราจะตัดได้หมดสิ้น

ตัดอภิสิทธิ์กับคนอีกสองสามคนมีหรือจะหยุดเขาได้

ยุทธวิธีตัดแขนตัดขาจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของการใช้อำนาจในระบอบของเขา ฝ่ายประชาชนจะต้องเผชิญภัยอีกไม่รู้จักเท่าไหร่ถ้าเราเอากันเพียงแค่นั้น

เท่าที่ผ่านมาบาดเจ็บล้มตายและหัวใจสลายกันเกินพอแล้วมิใช่หรือ?

จึงขอร้องผ่านช่องทางนี้เพื่อให้เป็นสาธารณะ แทนที่จะกระซิบกระซาบกันเบาๆ ในวงในอย่างเดิมก็เพื่อให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจตัวจริงท่านได้ร่วมสนทนาและวิสัชนาด้วย เพราะการตัดสินใจครั้งนี้มีความสำคัญต่อคนไทยทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นที่ล้มหายตายจากไปแล้วจนถึงรุ่นที่กำลังจะมาเกิด จะคบคิดกันเพื่อประโยชน์การเมืองเฉพาะหน้าเท่านั้นหาได้ไม่

งานนี้เป็นการทำความสะอาดระบอบ ไม่ใช่แค่ระบบ

เราต้องถางป่าไปตลอดจนโล่งเตียน อย่าได้เหลือมุมมืดไว้ให้งูพิษและสัตว์ร้ายทั้งหลายมันหลบซ่อนตัวในระบอบที่โฆษณาว่าเป็นประชาธิปไตยต่อไปอีกเลย.

------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ซ่อมเลือกตั้ง...ไม่ใช่เลือกตั้งซ่อม โดย กาหลิบ




คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ซ่อมเลือกตั้ง...ไม่ใช่เลือกตั้งซ่อม
โดย กาหลิบ

ผลการเลือกตั้งซ่อมห้าเขตปรากฏผลออกมาแล้ว พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเพียงที่นั่งเดียวในจังหวัดขอนแก่นด้วยคะแนนเสียงที่น่าประทับใจ แต่อีกสี่ที่นั่งล้วนเป็นพรรคในเครือข่ายรัฐบาลทั้งสิ้น

หนังสือพิมพ์บางฉบับไปไกล ขนาดพาดหัวข่าวในทำนองว่า เนวินชนะทักษิณ

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ได้รับเลือกตั้งที่โคราช ก็ให้สัมภาษณ์ในแนวนี้

ข่าวที่กระฉ่อนกันมากก่อนจะถึงวันเลือกตั้งคือทุนหนาหนักที่ส่งตรงลงมาจากที่สูง โดยที่ไม่ต้องไปกล่าวถึงระบบราชการที่ไม่เอื้อต่อฝ่ายประชาชนในทุกมิติเลยแม้แต่น้อย บวกกับความวูบวาบของพรรคการเมืองสายประชาชนเองที่ไม่แน่ใจว่าจะสู้แค่ไหนเท่าใดจึงมีกั๊กมีขยัก ทำให้ผู้สังเกตการณ์ที่รู้น้อยที่สุดยังเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในระบบเลือกตั้งขณะนี้

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ตอบคำถามว่าเหตุใดเผด็จการตัวพ่อของระบอบโบราณจึงมีทีท่าสนับสนุนการเลือกตั้งอยู่เสมอทั้งที่ใจไม่เคยศรัทธาหรือยอมรับในครรลองประชาธิปไตยเอาเลย

เขายอมให้บริวารจัดการเลือกตั้งเป็นระยะๆ ทั้งเลือกตั้งทั่วไปและเลือกตั้งย่อย เพราะเขารู้ดีว่านี่คือระบบที่เขาควบคุมได้ค่อนข้างสมบูรณ์

เมื่อคุมได้จนใช้เป็นเครื่องมือและข้ออ้างในการรักษาอำนาจเหนือระบบของตัวเองได้แล้ว ก็อ้างกับประชาคมโลกว่าราชอาณาจักรไทยเป็นประชาธิปไตยเหมือนนานาอารยประเทศ โดยใช้กระทรวงการต่างประเทศไปโฆษณา

คงไม่ช้าเกินไปที่จะพูดใหม่อีกสักครั้งว่า เลือกตั้งตามระบอบของใคร ก็ย่อมจะเป็นผลประโยชน์ของคนๆ นั้น
ประโยชน์ทั้งในการรักษาอำนาจโดยตรงและการรักษาภาพลักษณ์ว่าตัวเองมิได้เป็นเผด็จการตัวใหญ่ของโลก

ระบบเลือกตั้งขณะนี้มิได้อยู่ในระบอบของประชาชน แต่อยู่ในระบอบอภิสิทธิ์ชนที่มีคนใหญ่ที่สุดคอยอุปถัมภ์ค้ำชู จะให้ผลเลือกตั้งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร

ปัญหาคือพูดอย่างนี้สักพักก็จะมีคนตะโกนขึ้นมาว่า ขี้แพ้ชวนตี แพ้เขาแล้วมาบ่นโวยวายว่าการเลือกตั้งขาดความเป็นธรรม เพื่อให้เกิดความเจ็บใจแค้นเคือง

เถียงกลับก็ลำบากเพราะดันไปเข้าระบบของเขาจริงๆ เหมือนผีพนันที่ไม่รู้เล่ห์กลของเจ้ามือหรือเจ้าของบ่อน ถึงเวลาหมดตัวเดินกลับบ้านอย่างซังกะตาย บ่นไปตลอดทางว่าโดนมันโกงก็คงไม่มีใครเขาสนใจรับฟัง หรือฟังก็ไม่เห็นอกเห็นใจ

การตัดสินใจว่าจะเข้าระบบใดเพื่อพิสูจน์ตนเองนั้น จึงต้องพิจารณารอบด้านเสียก่อนว่าระบบนั้นอยู่ในกรอบและกลไกแบบใด เพราะหลวมตัวเข้าไปแล้วติดกับ จะอ้างได้ยากว่าเรากลายเป็นเหยื่อของความอยุติธรรมเสียแล้ว เหมือนการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

ถามว่าพูดอย่างวัวหายล้อมคอกมันจะดีหรือ ทำไมไม่ให้กำลังใจกันแทนที่จะซ้ำเติม

ตอบทันทีว่าประโยชน์ใหญ่ของงานนี้คือการทำลายฝันกลางวันและความละเมอเพ้อพกของคนที่กำลังเชื่อว่าจะได้ระบอบประชาชนคืนมาด้วยกลไกของระบบเลือกตั้ง

วันนี้ยิ่งต้องช่วยกันจี้ความพลาดพลั้งขนาดเล็กกันให้มากๆ เพื่อจะไม่ต้องพบความล้มเหลวในวันต่อสู้ครั้งใหญ่

นั่นคือการเลือกตั้งทั่วไปหลังยุบสภา หรือเมื่อสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้หมดวาระ

ถ้าไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์และปรับยุทธวิธีเสียตั้งแต่บัดนี้ ทุกๆ พรรคในฝ่ายประชาธิปไตยจงอย่าได้คิดร่วมเลือกตั้งเป็นอันขาด ใครที่กำลังเร่งเลือกตั้งก็ควรจะหยุดยั้งการกระทำของตน เงินทองหาได้ด้วยวิธีอื่น อย่าหวังซบกลไกการเลือกตั้งเพียงเพื่อจะเลี้ยงลูกเมียและบริวารทั้งหลายเลย เพราะอาจจะพาลงเหวกันทั้งหมดได้

หันมาจัดตั้งมวลชนลุกขึ้นสู้กับตัวกลไกมันเสียเลยครับ.

-----------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ยกเลิกฉุกเฉิน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ยกเลิกฉุกเฉิน
โดย กาหลิบ

คำประกาศยกเลิกอำนาจพิเศษซึ่งเป็นอำนาจเผด็จการตามพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดสองฉบับรวมกันที่จะเกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยควรพิจารณาให้รอบคอบและมองในครบทุกมุม อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเงื่อนไขทางการเมืองดีขึ้นแล้วสำหรับเรา ควรคิดเสมอว่า มีหลุมพรางอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง

พูดเช่นนี้ก็มิใช่ว่ามองโลกในแง่ร้ายหรือคิดขัดความสำราญของคนที่จะลงเลือกตั้งหรือผู้ลี้ภัยที่อยากจะกลับบ้านเต็มทน

แต่เป็นเพราะภาพรวมการเมืองบ่งบอกว่าสถานการณ์ของประเทศกำลังเลวร้ายลง ไม่ใช่ดีขึ้น

ผู้ที่มีพรรษาทางการเมืองแนะนำมาว่า ข่าวดีข่าวเดียวท่ามกลางข่าวร้ายเป็นสิบๆ เรื่อง มีแนวโน้มว่าจะเป็นเล่ห์กลของฝ่ายตรงข้ามมากกว่านะโยม

ลองพิจารณาดูภาพใหญ่ที่สุดเสียก่อน

ระบอบปัจจุบันตระหนักแล้วว่าตนกำลังมีปัญหาใหญ่หลวง เท่าที่ผ่านมาได้ใช้เครื่องมือประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองมาแล้วทุกชนิดและใช้หลายครั้ง จนหมดบัดนี้คลังแสง ได้ลากเกมยาวหวังเอาเวลาช่วยทำลายฝ่ายประชาธิปไตยมานานหลายปีแล้ว นอกจากจะไม่ลดลงแล้วยังขยายขบวนการทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ จนสุดท้ายเอาตัวเองออกมาหาเสียงแล้วก็ยังยักแย่ยักยันจนต้องนั่งคิดแล้วคิดอีกว่าได้คุ้มเสียหรือไม่ เพราะผลชี้ว่า คนที่รักมีน้อยลง และคนที่เกลียด หรืออย่างน้อยคือคนไม่ได้คิดสรรเสริญเยินยอใดๆ กับตน กลับมีมากขึ้นและกล้าแสดงตัวชัดเจนขึ้น หากนี่คือเคราะห์กรรมของคนธรรมดาสามัญ ก็คงเริ่มยอมรับสัจธรรมและปรับตัวเอง

แต่เขาคือมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ห่อหุ้มตัวเองอยู่ในความหลงอันสาหัส เป็นอัตตาขั้นสูงที่ห่างไกลธรรมะจนเอื้อมกันไม่ถึง ปัญญาที่จะเข้าใจในอวสานของตนเองจึงมีน้อยหรือไม่มี

ในภาวะเช่นนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ รวมทั้งการปะทะที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของมวลชนอีกหลายระลอกและการรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน

การยกเลิกอำนาจเผด็จการพิเศษรอบนี้ จึงเป็นเพียงการเปลี่ยนยุทธวิธีไล่ล่าฝ่ายประชาชนให้หนักขึ้น โดยมีความอยู่รอดของระบอบโบราณเป็นเดิมพัน

เขายกเลิกทหารบนดินเพื่อจะเอาทหารลงใต้ดิน ไม่ต่างอะไรจากหวย ภายใต้ความมืดมัวทางปัญญาของคนอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดาว์พงศ์ รัตนสุวรรณ และขี้ข้านายอื่นๆ ผู้มีความหวังอันเรืองรองคือ ฟื้นฟูระบบผูกขาดอำนาจทางการเมืองโดยกองทัพ และอ้างสถาบันเป็นเป้าหมายสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับฝ่ายตน

สมประโยชน์กันทั้งสองชนชั้น

เพราะฉะนั้น ใครที่ชอบชี้ว่าระบอบอำมาตย์ครองอำนาจในเมืองไทยโดยผู้อยู่เหนือขึ้นไปไม่รู้เรื่องนั้น หากผู้พูดไม่ได้หลงทางอยู่ในที่มืด ก็ต้องตีความว่าพูดเพื่อลวงมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยให้ไขว้เขว และควรที่มวลชนจะช่วยกันเตือนให้หยุดพูด

มองเล็กลงมาอีกหน่อย เราก็ได้เห็นว่าเงื่อนไขที่ช่วยกันก่อให้บ้านเมืองใกล้จะเกิดรัฐประหารรอบต่อไปนั้น ก็มีมากขึ้นเป็นรายวัน เราได้เห็นความพร้อมของกองทัพ ความเคลื่อนไหวที่ขยับแล้วขยับอีกของฝ่ายสีเหลืองที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรฯ การแสดงละครเรื่อง “สองมาตรฐาน” โดยคณะผู้ถืออำนาจตุลาการที่เล่นแล้วเล่นอีกโดยไม่สนใจว่าคนดูจะสนใจหรือกำลังจะลุกฮือขึ้นพังโรงละคร และเราก็รู้ด้วยว่ากลุ่มเล็กๆ ที่แอบไปเจรจาความกันมานั้น กลับมาบ้านด้วยมือเปล่าเสียยิ่งกว่าก่อนไป

เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเรื่องปูทางไว้รอเวลาทั้งสิ้น

การยกเลิกอำนาจพิเศษในสภาพการณ์เยี่ยงนี้ น่าเชื่อได้ว่าเป็นการใช้นโยบาย “ดอกไม้บานร้อยดอก” เหมือนที่ประธานเหมาฯ ของจีนเคยประกาศให้คนวิจารณ์ตัวท่านและพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ท้ายที่สุดก็จับตัวมาฆ่าและทรมานเสียจนดอกไม้ยับเยินหรือร่วงโรยไปทุกดอก

หากฝ่ายประชาธิปไตยเผลอตัวเพียงน้อยนิด คิดว่าสภาพการณ์โน้มมาทางเรามากขึ้น โอกาสที่จะตกหลุมที่เขาขุดดักและอำพรางไว้จะมีมากเหลือเกิน

โปรดพิจารณาให้ดี.

---------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง บ.ก.ลายจุด
โดย กาหลิบ

สัจธรรมข้อหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมืองของที่ใดก็ตาม คือจะเกิดผู้นำการเมืองธรรมชาติขึ้นมารองรับความเคลื่อนไหวทางการเมืองของมวลมหาประชาชนอย่างไม่ขาดสาย

ไม่มีใครตั้งตัวเป็นผู้นำอย่างยั่งยืนได้หากมวลชนไม่ร่วมด้วย และถ้าผู้นำที่มีอยู่ไม่ใช่ตัวจริงในสายตาของประชาชน ประชาชนท่านก็จะมองหาผู้นำที่ “ใช่” มาขับเคลื่อนขบวนนั้นแทนเสมอไป

คนที่รู้จักและติดตามบทบาทของ คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ไม่ว่าจะในนามจริง หรือ “บ.ก.ลายจุด” หรือ “หนูหริ่ง” จะพบว่าเขาคนนี้มีความแตกต่างไปจากคนที่เสนอตัวเป็นผู้นำการเมืองในอดีตที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะแนวทางแบบ “นำแต่ไม่นำ” จนกลายเป็นแนวคิดเรื่อง “แกนนอน” ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมทางการเมืองอย่างไทย และความไม่สนใจที่จะมีบทบาทการเมืองอย่างคนที่เขากำลังคอยเลือกตั้งอยู่

แต่กิจกรรมทั้งมวลที่เขานำแนวทางมาตลอดจนบัดนี้ รวมทั้งงานทอล์คโชว์ “วอน-นอน-คุก” ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นใจ กลับสะท้อนว่าเขามีความคิดทางการเมืองอันก้าวหน้าและหวังผลเปลี่ยนแปลงมากกว่าหลายคนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นนักการเมือง

กิจกรรมของ “บ.ก.ลายจุด” มักเป็นเรื่องที่ดูเบาบางในลีลาและการแสดงออก แต่สาระเนื้อในมีความเข้มข้นรุนแรงและห้าวหาญยิ่ง

พูดได้เลยว่า หากเอาเจตนาขึ้นเป็นมาสิ่งพิจารณาแล้ว กิจกรรมเหล่านี้คือการปฏิวัติในขั้นต้นของประชาชนนั่นเอง

นั่นคือการปฏิวัติในความคิด ความเชื่อ จารีตทางสังคม และประเพณีทางการเมืองของไทย

ความโกรธแค้นที่ “เขา” ฆ่าประชาชนอย่างป่าเถื่อนอาจจะปรากฏออกมาได้หลายรูปแบบ แต่ “บ.ก.ลายจุด” เลือกที่จะรวมมวลชนเงียบๆ และพูดเบาๆ เป็นภาษาสากลว่า “ที่นี่มีคนตาย”
ดังกัมปนาทเสียยิ่งกว่าปืนต่อสู้อากาศยาน เพราะได้ยินไปทั่วโลก

แถมเป็นการได้ยินด้วยหัวใจ ไม่ใช่หู จึงลืมไม่ลง

ปั่นจักรยานทางไกล ผูกผ้าดำ พับนกสันติภาพ ชวนมวลชนลงทะเล จัดกิจกรรมสวนทางเถื่อนของสังคมสิ้นคิด แม้จะถูกห้ามไม่ให้จัด ก็ดังกึกก้องไปไกล เป็นตัวอย่างของกิจกรรมเล็กๆ ที่สะท้อนความคิดและหัวใจที่ใหญ่โต

ไม่ใช่ของ “บ.ก.ลายจุด” คนเดียว แต่ของมวลชนที่เข้าร่วมด้วยตัวและหัวใจทั้งหมด

เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ อันเป็นวันครบรอบสี่ปีของการยึดอำนาจจากประชาชน ได้ข่าวว่าผู้นำในวันนั้นคือ “บ.ก.ลายจุด” ยังตกใจที่มวลชนส่วนใหญ่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านมือที่มองไม่เห็นอย่างตรงไปตรงมาและไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมถึงขนาดนั้นจนถึงกับปรารภเบาๆ ว่าแทบจะขอกลับบ้านก่อนด้วยซ้ำ

ประเด็นคือหายตกใจแล้ว “บ.ก.ลายจุด” ก็ไม่หนี แถมเคลื่อนขบวนประชาธิปไตยด้วยกิจกรรมนานาชนิดที่คนตกใจหรือตื่นกลัวไม่มีทางทำได้หรือไม่ยอมทำ

การวางตัวเป็นส่วนหนึ่งของมวลชน ไม่ทำตนเหนือกว่าอย่างศักดินา รวมถึงการพัฒนาตนเองร่วมไปด้วยกับมวลชน เพียงแต่บวกด้วยความกล้าหาญในการนำ ท่ามกลางอันตรายทุกรูปแบบ คือตัวอย่างอันโดดเด่นของคนอย่าง “บ.ก.ลายจุด”

พูดอย่างนี้เพราะรู้มาว่า เป้าหมายปลายทางของเขาในสมัยก่อนไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้ แต่ผลจากการคลุกคลีกับมวลชน และสถานการณ์ที่ยกระดับขึ้นตลอดเวลา ทำให้เขาลอยขึ้นมาพร้อมกับมวลชนนั้นเอง จนมาวันนี้เขากับมวลชนเคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ในทางความคิดและทัศนะ

การจัดกิจกรรมต่างๆ ก็เหมือนกัน หลังงานทอล์คโชว์แล้วเขาก็ประกาศตัวเลขรายได้เพื่อให้ทุกคนรู้และบอกต่อไปว่าจะนำเงินนั้นไปทำประโยชน์อย่างไรต่อไป

ความโปร่งใสอย่างนี้น่ามองและน่าจะเป็นบทเรียนกับนักสู้ประเภททำมาหารับประทานไปด้วยพร้อมกัน

มวลชนเขาอาจบูชาความห้าวหาญของคุณ แต่ลึกๆ เขาหวังให้คุณซื่อสัตย์ต่อเขาในทุกๆ ทางด้วย ไม่อย่างนั้นคุณจะนำบ้านเมืองต่อไปได้อย่างไร

“ลายจุด” ของ บ.ก. คนนี้จึงไม่ใช่รอยด่างพร้อยในเส้นทางทางการเมือง

แต่คือ “ดาว” ที่มวลชนร่วมประดับให้กับเขามากดวงขึ้นทุกวัน.

-------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จดหมายตบหน้า โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง จดหมายตบหน้า
โดย กาหลิบ

ข้อความง่ายๆ ไม่กี่บรรทัดในจดหมายของสุภาพสตรีชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง กำลังสร้างกระแสต่อต้านรัฐไทยอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในประเทศอิตาลี ใครที่อ่านข้อความเหล่านี้แล้วจะรู้ทันทีว่า คนที่เปิดไฟเขียวให้ประชาชนถูกฆ่าอย่างทารุณเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีความวิปริตผิดเพี้ยนและมืดบอดในจิตใจจนไม่รู้แล้วว่าสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างไร

ถ้อยคำอันสุภาพแต่ด่าได้อย่างเนียนที่สุดนี้ จะชำแรกเข้าไปในจิตใจอำมหิตและโสมมของเขาทั้งสองคนและโคตรตระกูลได้บ้างหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่คนไทยที่ได้อ่านทุกคนต่างมีความรู้สึกร่วมและอับอายแทนอย่างประมาณมิได้

สุภาพสตรีท่านนี้คือ นางสาวอลิซาเบ็ตต้า โพเล็งกี้ ผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของ นายฟาบิโอ โพเล็งกี้ นักข่าวอิตาเลียนผู้ถูกยิงตายกลางถนนในวันล้อมฆ่าประชาชนเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓เหตุที่เธอลุกขึ้นมาเขียนจดหมายประวัติศาสตร์ฉบับนี้ ก็เพราะเธอและครอบครัวได้รับบัตรเชิญตราครุฑจาก นายสมศักดิ์ สุริยวงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโรม ประเทศอิตาลี ให้ไปร่วมถวายพระพรในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา

ครอบครัวโพเล็งกี้ทั้งครอบครัวขอให้อลิซาเบ็ตต้าเป็นตัวแทนเขียนจดหมายปฏิเสธคำเชิญนี้ในทันทีในช่วงแรกของจดหมาย หากพูดอย่างไทยๆ เธออธิบายความรู้สึกของเธอและครอบครัวต่อคำเชื้อเชิญในครั้งนี้ว่า เธอรู้สึก “สะอึก”

เธอเขียนขยายความว่าทางการไทยจะให้เธอและครอบครัวมีความ “ปลื้มปิติ” (“joy”) กับงานที่จัดฉลองในครั้งนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสมาชิกผู้เป็นที่รักของเธอและครอบครัวถูกยิงตายอย่างเหี้ยมโหดในขณะทำหน้าที่สื่อมวลชนระหว่างประเทศตามจรรยาบรรณ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เธอชี้ด้วยว่าจนบัดนี้แล้ว ทางการไทยยังไม่ได้ให้คำตอบหรือความกระจ่างกับเธอและครอบครัวแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟาบิโอ โดยเฉพาะประเด็นที่บาดใจที่สุดคือใครฆ่าเขา?

ก่อนหน้านี้ อลิซาเบ็ตต้าเดินทางมายังเมืองไทยเพื่อเร่งรัดหาคำตอบ และได้นำหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะรูปภาพมามอบให้กับทางการไทย แต่แล้วทุกอย่างก็หายเข้ากลีบเมฆ “เสมือนว่าพี่ชายได้หายตัวไปในอากาศ” (“....disappeared into thin air...”)

เธอจึงเขียนต่อไปว่า คำเชิญเธอและครอบครัวไปร่วมงานฉลองในครั้งนี้ นอกจากจะแสดงความไร้มารยาทและความเย็นชาต่อชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งแล้ว ยังทำให้เธอหมดความมั่นใจว่าผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมพี่ชายของเธอเยี่ยงการกระทำของสัตว์ป่านั้นจะมีคำตอบใดๆ รออยู่ที่ปลายอุโมงค์

แต่ประเด็นที่สาธุชนทั้งหลายควรต้องอับอายกันเป็นพิเศษ คือครอบครัวโพเล็งกี้กล่าวประณามทางการไทยที่ได้เสนอจ่ายเงินชดเชยการตายของนายฟาบิโอฯ

เธอกล่าวว่า เงินจำนวนนี้คือความพยายามในการ “ปิดปาก” ครอบครัวของเธอและพยายามจะพรากเกียรติยศฟาบิโอไปจากตัวเขา ครอบครัวโพเล็งกี้จึงขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิงกับพฤติกรรมที่ไร้ความเป็นมนุษย์นี้

จดหมายระบุต่อไปอีกว่าการปฏิบัติเยี่ยงนี้ต่อฟาบิโอทำให้ครอบครัวของเธอและชาวอิตาเลียนทั่วประเทศเชื่อว่า การเสียชีวิตของประชาชนชาวไทยผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนร้อยๆ นั้นคงปิดฉากลงโดยปราศจากคำตอบที่แท้จริงอีกเช่นกัน

จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นง่ายๆ และยาวเพียงหนึ่งหน้ากระดาษ แต่เสมือนจิกเข้าไปในหน้าหนาๆ ของเผด็จการโบราณของไทยที่มีความสุขอยู่ท่ามกลางเลือดและน้ำตาของผู้บริสุทธิ์ จนทะลุเข้าไปได้

จดหมายฉบับนี้จะได้รับการถ่ายทอดต่อกันไปอย่างไม่สุดสาย เพื่อให้โลกเห็นว่าคนไทยที่ใจดีมีเมตตาธรรมกันถ้วนทั่วนั้น ถูกปกครองด้วยคนใจชั่วที่หลบอยู่หลังรูปทองอย่างไร

และจดหมายฉบับนี้ก็จะเป็นนาฬิกาปลุกอีกเรือนหนึ่งที่จะทำให้ชาวไทยในภวังค์ได้ลืมตาตื่นขึ้นมายอมรับความจริงอันเจ็บปวดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า...

เขาไม่ใช่คนดี.

-------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คอยธันวา โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง คอยธันวา
โดย กาหลิบ

เดือนธันวาคมถูกกำหนดให้เป็นเดือนพิเศษ คล้ายกับครั้งหนึ่งเคยมอบให้กับวันที่ ๒๔ มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่คณะราษฎรเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ เปลี่ยนแปลงการปกครองไทยโดยยกเลิกระบอบให้อำนาจสูงสุดกับพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวหรือสมบูรณาญาสิทธิราช

การกำหนดใหม่ก็เป็นการเมืองอย่างหนึ่ง เพื่อให้รู้ชัดว่าอำนาจเปลี่ยนจากมือของคณะที่ทำการใหญ่เพื่อประชาชนมาสู่มือของใครและมีผลประโยชน์ส่วนตนอย่างไร

หลายปีมาแล้วที่คนสำคัญในประเทศไทยต้องรอคอยเดือนธันวาคม เพราะเชื่อว่าเดือนธันวาคมเป็นคำตอบของปริศนาหลายอย่างที่ไม่มีคำตอบในภาวะปกติ จนดูจะกลายเป็นประเพณีรอคอยเดือนธันวาคมไปแล้ว

ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน

หลายคนกำลังรอคอยเดือนธันวาคมกันอย่างใจจดจ่อ

บางคนใช้โอกาสนี้โฆษณาตัวเองในฐานะนักจัดงานเฉลิมฉลอง โดยหวังเอางานเฉลิมฉลองนั้นซักฟอกตัวเองจากสิ่งโสโครกที่ซึมอยู่ในเนื้อในตัวจนแยกไม่ออกจากร่างกายและจิตใจ

บางคนอยากรู้ว่าตัวเองจะเป็นนายกรัฐมนตรีไปได้อีกสักกี่น้ำก่อนที่เขาจะทวงเก้าอี้คืนไปให้ข้าทาสบริวารคนใหม่ๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมืองจากตำแหน่งนั้นเลย

บางคนรอสัญญาณว่าจะให้ใช้อำนาจเถื่อนของกองทัพในการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อไหร่ ไม่ต่างอะไรจากแนวความคิดของฆาตกรต่อเนื่อง (serial killers) จากคนที่คิดอะไรเชิงบวกไม่เป็น

บางคนวิ่งเข้าวิ่งออกเสนอตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีแทนทั้งที่แก่จวนจะเข้าโลง เสนอบริการในฐานะที่เป็น “ซีไอเอเมืองไทย” เพื่อให้คนใหญ่เขายอมรับว่าฐานะคลอนแคลนยอบแยบ และต้องการซาตานตัวจริงอย่างตนมาช่วยต่ออายุให้

และบางคนก็หวังแล้วหวังอีกว่าในเดือนนี้จะเกิดการส่งสัญญาณ “ที่บ้านให้อภัยแล้ว กลับบ้านด่วน” เพื่อตนเองจะได้หยุดรบและเก็บของกลับบ้าน ขบวนประชาธิปไตยจะต้องเดินต่อไปท่ามกลางความมืดอย่างไรก็เรื่องของขบวน

เดือนธันวาคมของไทยจึงเหมือนป้ายรถเมล์ที่มีคนมารอรถอยู่มากหลาย แต่ละคนมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันหมด และมารวมกันอยู่ที่ป้ายเดือนธันวาคมนี่เอง

ดูเหมือนจะมีคนเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ได้สนใจรอรถที่ป้ายนี้อีกต่อไป เขาเข้าใจดีแล้วว่ารถหมดระยะแล้วและคงไม่จอดรับใครอีก คนกลุ่มนี้เคยมาจับจองที่นั่งที่ยืนในป้ายรถเมล์แห่งนี้กันมากด้วยความหวังอันสูงส่ง แต่ประสบการณ์ที่หนาวเย็นถึงกระดูกในการรอคอยทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เขาเรียกกันว่าความหวังลมๆ แล้งๆ จนปัจจุบันนี้เลิกมาและมองคนที่ยังมาด้วยสายตาเวทนาว่ายังไม่ตื่น

คนกลุ่มนี้คือปวงชนชาวไทยหรือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้

คงไม่มีทางจะวัดผลใดๆ ในทางวิทยาศาสตร์ได้ อย่างน้อยก็ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผย เพราะขู่กันไว้จนกระดิกความคิดยังทำไม่ได้ แต่ประมวลจากความรู้สึกแล้วพูดได้ว่า คนส่วนใหญ่เขารู้สึกเช่นนั้นแล้วในบัดนี้

หลังจากที่เขาได้รอคอย ผิดหวัง ถูกปล้น ถูกปล้นซ้ำ ถูกด่าถูกประณาม และถูกยิงหัว ชนิดครบวงจร
เขาเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เขาก็รู้เจ็บรู้จำ

คนเหล่านี้เขาไม่ได้รอป้ายรถเมล์เดือนธันวาคมอีกแล้ว

แต่เมื่อไหร่ที่รถเกรดดินแล่นมา เขาคงจะเดินตรงมาจากบ้านและขอขึ้นด้วยทันที.

------------------------------------------------------------------------
สนับสนุนเจ้าของบทความและทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พรรคของระบอบ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง พรรคของระบอบ
โดย กาหลิบ

กรณีศาลรัฐธรรมนูญนำเทคนิคกฎหมายมาอ้างเพื่อไม่ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตย เพราะช่วยยืนยันวิกฤติการเมืองไทยว่าลึกซึ้งขนาดไหน โดยเฉพาะในระดับระบอบ (regime)

ใครที่วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์แค่ระดับพรรคจะได้รู้เสียทีว่ากำลังยืนท้าวสะเอวด่ากับแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่กับเจ้าของตลาด

ถ้าหวังผลเปลี่ยนแปลงกันอย่างจริงจังแล้ว ต้องถือว่าเสียน้ำลายเปล่า แถมยังทำให้มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยต้องทนทุกข์ทรมานในประเทศเยี่ยงนี้กันต่อไปอย่างไม่เห็นแสงสว่าง

ลุกขึ้นมารับความจริงดีกว่าครับ

พรรคประชาธิปัตย์ที่รอดพ้นจากการถูกยุบในคราวนี้ ได้รับความช่วยเหลือตั้งแต่ระดับทำคดีให้หลวม มีช่องโหว่ช่องว่างมาก เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในยามคับขัน จากประธานและคณะกรรมการการเลือกตั้ง และได้รับความช่วยเหลือจากศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นภัยการเมืองด้วยวิธีรับลูกจาก กกต. ซึ่งก็ออกมาตามนั้นทั้งหมด

ฝ่ายประชาธิปไตยบางคนเคยคิดฝันเฟื่องว่าเดี๋ยวนี้เจ้าของประเทศเขาไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์แล้ว จะเปลี่ยนคนขับรถเสียทีก็คงจะถูกยุบแน่ คราวนี้เมื่อได้เห็นการวางงานและรับลูกกันเป็นกระบวนเช่นนี้แล้ว ก็หวังว่าจะทำให้ปรับเปลี่ยนทัศนะกันบ้าง

ศัตรูของระบอบประชาชนที่ไล่ฆ่าและทำลายพวกเรามาตลอดนั้น เขาไม่ได้เล่นเกมระหว่างพรรคหรือระหว่างบุคคลอย่างที่ท่านคิด ไม่ใช่ว่าเราเลือกเอาพลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ หรือพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์มานำพรรคเพื่อไทยแล้ว เขาจะไม่คว้าคนใต้ถุนบ้านอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมาเป็นหุ่นกระบอกฝ่ายเขาอีกต่อไป

ถ้าจำสำนวน “เลือดข้นกว่าน้ำ” ได้ และอ่านประวัติศาสตร์ไทยย้อนหลังบ้าง ก็จะเข้าใจ

พรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นมาได้จากเหตุใหญ่ ๒ ประการคือ การรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ เพื่อขจัดอำนาจและอิทธิพลของ ดร.ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎรผู้ปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ อย่างเบ็ดเสร็จ จนได้คนอย่างนายควง อภัยวงศ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ อีกเหตุหนึ่งคือ เมื่อถูกฝ่ายทหารยึดอำนาจเราคืน ก็คิดว่าต้องสร้างฐานการเมืองของฝ่ายพลเรือนขึ้นมาคานอำนาจกันบ้าง

คำถามคือคานอำนาจไปทำไมและเพื่อใคร ในเมื่ออี๋อ๋อสอพลอกับฝ่ายทหารประเดี๋ยวเดียวก็ได้เกาะหางเขาเข้ามาเป็นใหญ่แล้ว จะไปเล่มเกมอันตรายและยากลำบากอย่างนั้นทำไม

คำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นเอง

พรรคประชาธิปัตย์มิได้กำเนิดขึ้นมาเพื่อร่วมสร้างระบอบประชาชนดั่งเจตนาและอุดมการณ์ของ ดร.ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎรเลยแม้แต่น้อยนิด แต่ถูกสร้างขึ้นมารองรับระบอบโบราณของไทยที่กำลังกลัวว่าทหารจะมีอำนาจมากเกินไปและสามารถจะโค่นล้มตัวได้เหมือนที่เกิดกับตุรกีและอียิปต์ในขณะนั้น

ผู้มีอาวุโสทางการเมืองเล็กน้อยจะจำได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์เคยมีสัญลักษณ์ว่าเป็นนักต่อสู้กับเผด็จการทหาร จนได้รับความนิยมจากประชาชนว่าเป็นพรรคเก่งพรรคกล้าและเป็นแกนหลักของฝ่ายประชาธิปไตย แต่ความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์กระโดดเข้าสู้กับทหารก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากนายเหนือหัวของตน เมื่อนายเหนือหัวนั้นรู้สึกว่าฝ่ายทหารไม่ได้เชื่อฟังตนเหมือนหมาที่คอยรับกระดูกและเศษอาหารที่โยนให้เท่านั้น

ครับ สุดท้ายก็คืออีกตัวหนึ่งในฝูงเดียวกันนั่นเอง

นายจะใช้ให้กัดกันก็ได้ รักใครชอบพอจนถึงขั้นผสมพันธุ์กันก็ได้ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อรับใช้ปวงชนชาวไทยเหมือนที่หลายคนเคยเข้าใจผิด

วันนี้ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็ดีแล้ว แสดงว่าเจ้าของหมาเขายังรักษาชื่อเสียงเขาได้อยู่ เพียงเขาไม่รู้เท่านั้นว่าอะไรกำลังรอคอยเขาอยู่ในวันหน้า


เขาอาจจะมีหมาเยอะ แต่มวลชนคือ “เสือ”.

-----------------------------------------------------------------------
สนับสนุนเจ้าของบทความและทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ศาลใคร? โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ศาลใคร?

โดย กาหลิบ


ใครแปลกใจในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่ายังมีความลุ่มหลงกับระบอบโบราณของไทยว่าจะให้ความยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคมนี้ได้ 

การไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยอาศัยประเด็นปลีกย่อยที่เป็นเทคนิคกฎหมาย และเป็นตัวช่วยอย่างสำคัญต่อการก่อตัวขึ้นของระบอบประชาชน หากยุบพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก จะมีผู้ใหญ่ที่อ้างตัวเป็นแดงบางคนเข้ามาเชียร์ทันทีว่า เห็นไหม ระบอบปัจจุบันยังใช้การได้ เราจะไปเคลื่อนไหวถึงขั้นระบอบและโครงสร้างกันไปทำไม

บุญเหลือเกินที่ความโง่บางชนิดถูกย่อยสลายได้ด้วยความจริงแบบเร่งด่วนทันใจ 

ต้องขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญในแง่นี้เป็นอย่างยิ่ง

ใครติดตามวิธีพิจารณาวินิจฉัยกรณีร้องเรียนให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด จะเห็นได้พร้อมกันว่าระบอบเผด็จการโบราณเขามีความชำนาญและความรอบคอบในการสร้างเครื่องมือแห่งอำนาจเป็นอันมาก 

เครื่องมือเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ขอให้ไปเปิดฟังคำแถลงปิดคดีด้วยวาจาของ นายชวน หลีกภัย ผู้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสียอีกรอบ คราวนี้ฟังช้าๆ และจดประเด็นเอาไว้เหมือนเล็คเชอร์ด้วย เราจะได้ความรู้มากมายว่าฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนเขาซุ่มซ่อนเครื่องมือเหล่านั้นไว้ตรงไหนและอย่างไรบ้างในระบบกฎหมายของระบอบเขา

อย่าลืมว่าฝ่ายโบราณเขาไม่ได้ครอบงำบ้านเมืองนี้อย่างบังเอิญแบบบุญหล่นทับ เขาได้อำนาจอันล้นพ้นมาด้วยการฆ่า การทำลาย การปล้นชิง และการวางอาวุธทางการเมืองเอาไว้ในระบบย่อยที่รวมกันแล้วกลายเป็นระบบใหญ่ที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ระบอบ 

ประชาชนหน้าไหนหาญกล้ามาแย่งชิง คนๆ นั้นจะรู้รสทันทีว่ารูปลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อสรรเสริญกันอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนยิ่งกว่าเกาหลีเหนือนั้น แท้ที่จริงแล้วคืองูพิษตัวร้ายที่คอยฉกกัดทำลายสรรพสิ่งทั้งหลายรอบตัว แม้แต่พวกเดียวกันเองหากไม่ถูกใจ 

ซีกประชาธิปไตยโดยเฉพาะส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องถือว่าเดินงานถูกต้องมาตลอดในคดีพรรคประชาธิปัตย์ การให้ข้อมูลที่เหมาะสมแก่สังคมทั้งในรูปคดี และความชอบธรรมของผู้ตัดสิน ถือว่าใช้การได้และควรนำไปสู่การตัดสินที่เที่ยงธรรมกว่านี้ แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยก็ต้องหันหน้าเข้าหากันและร่วมตัดสินใจให้ชัดว่า ควรจะมองปัญหาการเมืองแบบสมานแผลนิดหน่อยก็จะหาย หรืองานนี้จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่กันเสียที

มวลชนผู้ก้าวหน้านั้นเขามีคำตอบชัดเจนแล้ว เขาเพียงหันมาถามอีกครั้งว่าพรรคเพื่อไทยจะถือเอาเหตุนี้ปรับเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่และเดินเคียงคู่กันไป หรือจะละทิ้งมวลชนไปสู่เพื่อเอาตัวรอดง่ายๆ ด้วยการขายตัวและหัวใจต่อไป

ความจริงไม่ควรเสียเวลาพิจารณามาตั้งแต่ต้นว่าประชาธิปัตย์ถูกยุบหรือไม่จะมีประโยชน์ใดๆ ต่อฝ่ายประชาชน เพราะอำนาจในการยุบพรรคการเมืองไม่ควรอยู่ในมือของใครทั้งนั้น

สังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าตาสว่างเขาไม่มียุบพรรคกันหรอกครับ เขาใช้วิธีลงโทษบุคคลผู้สร้างความเสียหายหรือทำความผิดทางกฎหมายของพรรคนั้นๆ แทน 

พรรคการเมืองทุกพรรคเป็นสมบัติของประชาชน เทวดาหน้าไหนไม่ควรมีสิทธิ์สั่งยุบทั้งนั้น หากเรายืนอยู่บนหลักการว่าพรรคการเมืองมีสิทธิ์ถูกยุบได้ และเชียร์ให้อำนาจนอกระบบนั้นเบื่อหน่ายคิดยุบพรรคที่เราชิงชัง สุดท้ายก็เท่ากับเราสนับสนุนระบอบการเมืองแปลกประหลาดที่อนุญาตให้อำนาจนอกระบบเอ้ือมมือเข้ามายุ่งกับสถาบันการเมืองของประชาชนได้ต่อไป

สองประเด็นนี้ทับซ้อนกัน ต้องพิจารณาให้ดี

ในขั้นต้นนั้นอาจนำกรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาฉีกหน้ากากของระบอบการปกครองไทยในปัจจุบันได้ แต่ในขั้นที่ลึกลงไปแล้ว เราไม่ควรเชียร์อำนาจนอกระบบที่แอบเข้ามายุบพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองสีอะไร และต้องเชิดหน้าให้สูงกว่าทาส โดยยืนยันในศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเราเอง 

พรรคการเมืองใดที่เราไม่ชอบก็อย่าเลือก อย่าเข้าเป็นสมาชิก และงดสนับสนุนในทุกทาง แต่อย่าเรียกร้องหรือหวังผลให้เกิดการยุบพรรคของเขา

ในระบอบประชาธิปไตยนั้น พรรคของเขาก็คือพรรคของเรา แต่เราจะเลือกใครสู่อำนาจเมื่อใดคือสิทธิทางการเมืองของเรา

อำนาจศาลของเขาสิครับ ไม่ใช่่อำนาจของเราอย่างแน่นอน

นั่นล่ะครับคือประเด็นต่อสู้.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยอีนิวส์ 

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com