ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

ส่งคนไปตาย โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ส่งคนไปตาย
โดย กาหลิบ

นอกจากจะรับคำสั่งเบื้องบน (แต่ใจต่ำช้า) มาฆ่ามวลชนเสื้อแดงที่ชุมนุมโดยสงบและสันติเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อย่างเลือดเย็นแล้ว ชาวประชาธิปไตยควรรู้ด้วยว่ารัฐบาลหุ่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังเปื้อนเลือดชนิดชุ่มโชกอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้

แม้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย แต่เขาก็คือเพื่อนมนุษย์ที่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย

เมื่อวันคริสต์มาส พ.ศ.๒๕๕๓ หรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ รัฐบาลปิศาจของไทยได้บีบบังคับให้ผู้อพยพชาวเมียนมาร์จำนวน ๑๖๖ คนให้เดินทางระหกระเหินกลับเข้าสู่ดินแดนเมียนมาร์ในขณะที่การสู้รบอันรุนแรงระหว่างกองทัพเมียนมาร์และชนกลุ่มน้อยกำลังดำเนินอยู่ โดยไม่มีทั้งเสบียงและอาวุธใดๆ ที่จะใช้ป้องกันตัวเองในยามคับขัน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยแถลงข่าวฉอเลาะกับโลกว่าไทยไม่มีนโยบายบังคับขับไสผู้อพยพออกจากประเทศใดๆ เพราะไทยเคารพในกรอบนโยบายมนุษยธรรมสากลอย่างยิ่ง

เพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมทุกข์เหล่านี้คือชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลเมียนมาร์ไม่ต้องการ เมื่อบุกเข้าปะทะกับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยครั้งใดและไม่ว่ากับกลุ่มใด ทหารเมียนมาร์ก็จะถือโอกาสผลักดันชาวบ้านกลุ่มน้อยที่มิใช่ทหารออกจากพื้นที่ด้วยเสมอ หากไม่ไปหรืออิดออด ก็มักจะถูกกระสุนตะกั่วกลิ้งอยู่ที่เก่า

นโยบายรัฐบาลศักดินา-อำมาตยาธิปไตยที่ใช้กำลังผลักดันคนเหล่านี้กลับ โดยที่สถานการณ์ก็มิได้ดีขึ้นเลยเช่นนี้ จึงเท่ากับส่งเขาไปตาย ไม่ต่างอะไรจากคำสั่งประหารชีวิตคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น

ยิ่งในจำนวน ๑๖๖ คนปรากฏว่า ๑๒๐ คนเป็นผู้หญิงและเด็ก ก็ยิ่งทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้นว่า จิตใจไทยที่ประกอบด้วยความเมตตาและกรุณาเป็นพื้น ซึ่งเราเคยภาคภูมิใจกันนัก มันได้หายสาบสูญไปกับความโหดร้ายของเจ้าของประเทศผู้เข่นฆ่าประชาชนของตัวเองแล้วหรือ?

การจงใจส่งคนเหล่านี้กลับไปสู่ชะตากรรมและความตายในวันคริสต์มาส ทำให้เห็นเจตนาที่ดำมืดยิ่งไปกว่านั้นอีก เขารู้ว่าวันคริสมาสต์มาสของแต่ละปีนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวของรัฐบาลตะวันตกและสื่อมวลชนทั่วโลก โอกาสจะโด่งดังเป็นข่าวมีน้อย เขาเลือกเอาวันนั้นเป็นวันประกอบกรรมชั่วครั้งใหญ่เพราะเขารู้ดีว่าอาชญากรรมเยี่ยงนี้จะต้องทำอย่างเงียบเชียบและลับตาคนที่สุด

นายเบ็นจามิน ซาแวคกี้ ผู้ติดตามข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมืองไทยมานานปี เขียนชี้ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมด้วยว่ารัฐบาลไทยชุดนี้มีพฤติกรรมเช่นนี้มาตลอด เมื่อวันคริสต์มาสของปี พ.ศ.๒๕๕๒ ก็ได้ผลักดันชาวม้งลาวเป็นจำนวนถึง ๔,๕๐๐ คนกลับประเทศ ซึ่งแน่ใจได้ว่าคนเหล่านี้ถ้าไม่ถูกฆ่าก็ถูกจับ โดยที่ในจำนวนนี้ยังเป็นผู้อพยพขึ้นทะเบียนเตรียมไปประเทศที่ ๓ แล้วถึง ๑๕๘ คน

แปลว่านโยบายกระทำทารุณต่อเพื่อนบ้านรอบไทยได้กลายเป็นเรื่องถาวรและกระทำอย่างต่อเนื่องมาแล้วทุกปีและมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไป

องค์กรระหว่างประเทศทั้งในกรอบสหประชาชาติและที่มิใช่รัฐจะออกมาประณามหยามเหยียดอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เขาจะต้องดำเนินการในวันหน้า

แต่ข้อคิดสำคัญต่อคนไทยโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้คือ เรากำลังอยู่กับระบอบการปกครองชนิดไหน?

คนไทยไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไม่ว่าเป็นเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย หรือเวียดนาม การไปมาหาสู่และคบค้าก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องกว้างขวาง แต่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากลับบอกเราว่า ผู้ปกครองไทยกลับเลือกที่จะมองโลกแตกต่างจากคนไทยและเห็นเพื่อนบ้านเป็นศัตรูคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา จนถึงขนาดกดดันให้ส่งผู้บริสุทธิ์ที่เขามาขอพึ่งพาอาศัยกลับไปสู่ความตายได้


ระบอบไทยปัจจุบันจึงมิใช่มนุษย์ แต่เป็นระบอบยักษ์ระบอบมารที่กินเลือดคนเป็นภักษาหาร
การยิงศีรษะและหน้าอกของพี่น้องชาวไทยกลางราชประสงค์และภายในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามจึงเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ของเขาคนนี้เท่านั้น

ซึ่งมิใช่ครั้งแรกและยังมิใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน.

---------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น