ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเมืองเรื่องสัตว์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : การเมืองเรื่องสัตว์
โดย : กาหลิบ

การกระทำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและเหล่าบริวาร “สวรรค์” ในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับอมตวาจาทางการเมืองที่กาหลิบเคยอ่านและซาบซึ้งใจมานานแล้ว แถมยังตรงความหมายทุกถ้อยคำอย่างน่าประหลาด

เสมือนช่วยยืนยันว่าความชั่วร้ายของระบอบปัจจุบันของไทย มันไม่ได้ต่างอะไรกับความชั่วร้ายในประวัติศาสตร์ที่เหล่าทรราชวินาศฉิบหายไปแล้วไม่รู้จักกี่ระบอบ

“Political language is designed to make lies sound truthful and murder respectable, and to give the appearance of solidity to pure wind.”

สำนวนกาหลิบถอดออกมาได้ว่า

“เขาคิดภาษาการเมืองกันขึ้นมา เพื่อทำให้การโกหกตอแหลดูเสมือนเป็นความจริง เพื่อทำให้การฆ่าคนกลายเป็นเกียรติยศน่านับถือ และเพื่อทำให้ลมลวงดูหนักแน่นมีสาระ”

ช่างตรงกับความลื่นไหลของนายอภิสิทธิ์ในขณะนี้เสียเหลือเกิน!

คนที่เขียนประโยคนี้ออกมาคือ จอร์ช ออร์เวลล์ นักเขียนชาวอังกฤษที่ตายไปตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ โน่นแล้ว แต่ผลงานคลาสสิคที่ผู้คนทั่วโลกยังตามอ่านกันอยู่ ไม่เคยขาดหายจากแผงหนังสือ เช่น “Animal Farm” “1984” เป็นต้น งานเขียนของออร์เวลล์ทุกเล่มล้วนแสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการทรราชอย่างหนักแน่นมั่นคง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ถูกเชิดขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐไทยในระยะพิกลพิการ เป็นนักพูดภาษาหลวงที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง การเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรีไทยมาแต่อ้อนแต่ออกทำให้เขาสั่งสมทักษะอย่างสูงในการนั่งบนยอดสามเหลี่ยมของไทย โดยการใช้ภาษาราชการและภาษาทางการอย่างชำนาญ สำแดงความเป็น “คนใน” จนต่างจาก “คนนอก” อย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาตลอดชีวิต

คนที่นึกถึงนายอภิสิทธิ์ จึงนึกถึงคำพูดที่สละสลวยสวยเก๋ของเขาได้เสมอ แต่กลับนึกผลงานในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ออกเอาเลย

ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ออกมาอ่าน “จดหมาย” เพื่อให้ดูประหนึ่งว่าจริงใจและปรารถนาดี ยกแนวทาง “ปรองดอง” ขึ้นมาข่มความแค้นใจของฝ่ายประชาธิปไตย และเขียนบทใหม่ให้ฝ่ายสีอื่นๆ ที่ไม่ใช่สีแดงเล่น เพราะคนหลายสีเหล่านี้กำลังเหิมเกริมอยู่ในใจว่าข้าชนะประชาชนรากหญ้าและอยากจะเข่นฆ่าเอาชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ

นายอภิสิทธิ์อาศัยวาทศิลป์ที่ใช้เคลือบคำว่า “ปรองดอง” แบ่งแยกฝ่ายประชาชนออกเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และ “ผู้ถูกชักจูงเข้าสู่ขบวนการก่อการร้าย” โดยประเหราะว่ามวลชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมเวทีผ่านฟ้าและราชประสงค์ไม่รู้ว่าตนเองกำลังช่วยเหลือให้มีการ “ก่อการร้าย”

เจตนาก็เพื่อลดปริมาณมวลชนอันมหาศาลลง

“...เพื่อทำให้การโกหกตอแหลดูเสมือนเป็นความจริง...” ณ จุดนี้ คือการปฏิเสธขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งระบบ ทำให้ดูเหมือนว่าการลุกฮือของมวลชนไม่มีจริง มีแต่แกนนำซึ่งเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไม่กี่คนที่รัฐบาลของเขาไม่ยอม “ปรองดอง” ด้วย

กดประชาชนหลายสิบล้านคนของประเทศนี้ลงเป็นมวลชนไร้สมองที่เดินเซื่องๆ ตามแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย

นี่คือคำตอแหลคำใหญ่ และเป็นคำตอแหลที่แสดงถึงความกลัวชนิดหางจุกก้นของเถ้าแก่ใหญ่เจ้าของประเทศไทยจนต้องฝากผ่านนายอภิสิทธิ์ลงมา กลัวขบวนการประชาธิปไตย กลัวที่ต้องลงมาเสมอภาคกับเพื่อนร่วมชาติ ท้ายที่สุดก็คือกลัวประชาชนเสียยิ่งกว่าอะไรดี

“...เพื่อทำให้การฆ่าคนกลายเป็นเกียรติยศน่านับถือ...”

เห็นไหมครับว่าชีวิตของพี่น้องเราที่สละชีพเพื่อประชาธิปไตยกันที่ราชประสงค์ คลองเตย บ่อนไก่ ประตูน้ำ ราชปรารภ ดินแดง ซอยรางน้ำและที่อื่นๆ อีกมากมาย กลายเป็นเหรียญตราของสัตว์บางประเภทที่เฉลิมฉลองกันเหมือนเข่นฆ่าอริราชศัตรูได้สำเร็จ

รวมถึงงานฉลองที่ ร.๑๑ ซึ่งคนสำคัญของบ้านเมืองแห่กันไปฉลองยินดีอย่างเหลือล้นนั่นด้วย
และสุดท้าย “...เพื่อทำให้ลมลวงดูหนักแน่นมีสาระ...” นั้น

ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะรัฐบาลชั่วคราวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเท่านั้น แต่เป็นคำจำกัดความของระบอบไทยในปัจจุบันทั้งระบอบ.

(พบคอลัมน์ "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" ได้ทุกวันจันทร์,พุธ,ศุกร์)


----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น