ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

แถลงการณ์ของ "นายจักรภพ เพ็ญแข" ในเหตุไฟไหม้บ้าน


แถลงการณ์ของ นายจักรภพ เพ็ญแข ในเหตุไฟไหม้บ้านวันพุธที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓

ผมได้ทราบข่าวไฟไหม้บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผมในช่วงสายของวันอังคารที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ไฟได้ทำลายบ้านและทรัพย์สินในบ้านที่สะสมไว้ตลอดชีวิตของพวกเราเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะชั้นบนของบ้าน ถึงคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของผมจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากเหตุร้ายนี้ แต่ก็ได้รับความกระเทือนใจอย่างสูงเมื่อบ้านที่คุณพ่อคุณแม่สร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงและมีอายุถึง ๔๔ ปีแล้ว มีอันต้องถูกทำลายลง โดยเฉพาะเมื่อคุณพ่อคุณแม่ของผมสูงวัยถึง ๘๓ ปี และ ๗๓ ปีแล้วอย่างนี้ ตัวผมเองอยู่ไกลบ้าน ไม่อาจเดินทางไปร่วมทุกข์กับคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวได้ ก็รู้สึกเศร้าใจและหาทางบรรเทาความทุกข์ร้อนของท่านตามประสาที่คนลี้ภัยการเมืองจะทำได้

สาเหตุของไฟไหม้ยังคงไม่แน่ชัด อาจเป็นอุบัติเหตุหรือการวางเพลิงโดยเจตนาก็ได้ หลายท่านมีความเห็นว่าวิกฤติการเมืองที่ระอุขึ้นทุกทีในขณะนี้ อาจเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่ง ผมเองยังไม่อาจสรุปได้ และขอรอดูหลักฐานการสอบสวนตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์และอื่นๆ ก่อน แต่ขอใช้โอกาสนี้เตือนพวกเราที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้ระมัดระวังตนเอง ครอบครัว คนที่รัก และทรัพย์สินไว้ให้ดี สถานการณ์เช่นนี้เปราะบางและอาจมีผู้คิดร้ายกระทำการทำร้ายและทำลายเราด้วยวิธีการต่างๆ ได้ โปรดถือเหตุการณ์บ้านคุณพ่อคุณแม่ผมเป็นตัวอย่างและขออย่าได้ประมาทเลยแม้แต่น้อย

ผมขอขอบคุณมวลชนชาวประชาธิปไตยทุกท่านที่มีน้ำใจไมตรีต่อครอบครัวของผม เมตตากรุณาในเรื่องต่างๆ มากมายนับตั้งแต่รู้ข่าว บางท่านอุตส่าห์เดินทางมาจากต่างจังหวัดกันเป็นกลุ่ม เสนอตัวช่วยเหลือทุกอย่างแม้กระทั่งเสื้อผ้าและอาหาร ทำให้ผู้ชราทั้งสองท่านมีกำลังใจดีขึ้น

ขอขอบคุณเช่นกันต่อพี่น้องสื่อมวลชนที่เสนอข่าวนี้อย่างกว้างขวางโดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและช่วยตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องจริงอาจจะซับซ้อนกว่านั้น

ผมขอให้พวกเราชาวประชาธิปไตยทุกๆ คนมีจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง พร้อมรับมือกับความท้าทายทุกอย่างจากฝ่ายผู้มุ่งทำลายประชาธิปไตย เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราไปสู่ความตาสว่างทั้งแผ่นดินด้วยเทอญ

ด้วยความเคารพรักมวลมหาประชาชนและชาติบ้านเมืองเป็นอย่างสูง

จักรภพ เพ็ญแข

-----------------------------------------------------------------------------
Statement of Mr. Jakrapob Penkair On the Fire Incident at His Bangkok Home
Wednesday, September 29, 2010

I was kept informed, as it happened concerning the disastrous fire that consumed my parent’s home in Bangkok late morning of Tuesday, September 28, 2010. The fire completely destroyed the house and most of my all family’s life-long possessions. The entire upper floor of the structure is completely gone. Though my parents and sister were not harmed, they are greatly disheartened to realize that the house they built and lived in for over 44 years is now gone. It was quite a blow for a 83 and 73 year-old couple like my parents. Away from Thailand and unable to be with them during this time of great distress, I am deeply saddened and am trying to do my utmost in assisting them any way I can.
The exact source of the fire is not yet clear. It could have been an accident or perhaps sabotage. The ever-heating political situation may have been a contributing factor. I will not rush into any conclusion, but rather follow up on the forensic investigative procedures. Nevertheless, let me take this opportunity to warn all of us who fight for democracy to be extra careful in regards to yourself, your family, your loved ones, and your property. The overall political situation is quite fragile. We can be vulnerable to danger and risk at any turn. Please learn from this tragic incident which affect me and my parents’ home.
I would like to express my deep appreciation for the generosity expressed so overwhelmingly by the supporters of our democratic movement. Many have offered help in various ways since the news broke. Some groups took an extra effort travelling from their hometowns to support my parents and my sister, offering everything from clothes to food products, boosting the morale of two elderly persons whom are cherished in my heart.
Let me thank the media for distributing the news without prejudging this personal issue, and for an observation that there could have been something more sinister.
May I wish all of us in the democratic movement a strong and stable mind, ready to accept all kinds of challenges now and ahead, in order to lead this country to true democracy.
With respect to the will of the people and with deep love of my country,
Jakrapob Penkair

นอกกะลา-ตาสว่าง โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : นอกกะลา-ตาสว่าง
โดย : กาหลิบ

วิวัฒนาการทางสังคมเป็นสัจธรรมที่แปลกประหลาด เมื่อถึงคราวเสื่อมทรุด ชนชั้นปกครองที่เคยเหมาทรัพยากรแถมด้วยภูมิปัญญาในบ้านเมืองไปหมด เหลือเศษขยะเพียงเล็กน้อยให้มวลชนส่วนใหญ่ไปยื้อแย่งแข่งขันกันเองเหมือนหมากับชิ้นกระดูก กลับกลายเป็นกบในกะลา ความฉลาดแกมโกงกลายเป็นความโง่และอวิชชา นำพาตนเองออกจากวิกฤติไม่ได้

แต่มวลชน “ผู้โง่เขลา” กลับฉลาดหลักแหลมขึ้นด้วยฤทธิ์ของสถานการณ์ และตัดสินใจได้อย่างผู้มีปัญญาในยามคับขัน

ผู้ปกครองกลายเป็นกบในกะลา ขณะที่มวลชนเคลื่อนตัวไกลกะลาออกไปเรื่อยๆ

ผู้ปกครองตาบอดมองอะไรไม่เห็นแม้ในระยะใกล้ ขณะที่มวลชนต่างล้างตาจนตาสว่าง
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้

ใครได้ฟังบทกวีของ “เดือนวาด พิมวนา” ที่หอประชุมศรีบูรพาหรือหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์จะเข้าใจซาบซึ้งถึงความรู้สึกนั้นทันที โดยเฉพาะเมื่อเธอชี้เปรี้ยงจนเห็นสัจธรรมว่า “เขา” ประณามว่าเราร้ายเพราะเขาวางแผนร้ายมาก่อน อันเป็นอกุศลมูลอันเนื่องมาจากความอิจฉาริษยาอาฆาต สุดท้ายก็บอกด้วยเสียงเบาๆ ว่าไม่มีความรักที่จะให้กับ “เขา” อีกแล้ว

นึกถึงสำนวนบาดใจของ กฤษณา อโศกสิน ในนวนิยาย “ภมร” ว่า ผู้ชายที่เลวนั้น ผู้หญิงขอบอกว่า “ไม่รัก ไม่นับถือ อีกต่อไป”

ปวงชนชาวไทยฟังแล้วก็ตะโกนกู่ก้องกันสนั่นหวั่นไหว จนดังไปทั่วทั้งหอประชุม ทั่วไทย และทั่วโลก

เขาครอบงำกลไกการโฆษณาชวนเชื่อมานานจนเชื่อในคำลวงโลกของตนเอง คำสั่งฆ่าทั้งปวงที่อำพรางมาในรูปของพระเอกขี่ม้าขาวจึงถูกกำหนดจากความคับแคบของกะลา


มวลชนนอกกะลา-ตาสว่างเขามองเห็นได้ในทันที ปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อเมื่อวันรำลึก ๔ เดือนของการฆ่าหมู่ประชาชนกลางเมืองจึงเกิดขึ้น กว้าง ลึก และเจ็บปวดอย่างที่ใครก็ไม่นึกว่าจะเกิดเร็วถึงขนาดนี้ กลางเมืองที่ใครๆ ก็สงเคราะห์ว่าเต็มไปด้วยคนเขลา

การรวมตัวของมวลชนโดยไม่มีแกนนำ แสดงออกทางการเมืองโดยไม่มีใครเขียนบทหรือชักนำ และเกิดอุดมการณ์อันชัดเจนโดยไม่ต้อง “จัดตั้ง” อย่างเป็นทางการเหมือนก่อน นี่คือประชาธิปไตยในรูปกรีกโบราณที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

นี่ล่ะคืออิทธิพลของการรวมตัวกันหงายกะลาที่ครอบตัวเองมาชั่วชีวิต

เมื่อแรกหงายขึ้น แสงที่จัดจ้าอาจทิ่มแทงตาบ้าง ทำให้แสบตาไม่อยากลืมตารับรู้ความจริงของธรรมชาติบ้าง แต่เมื่อปรับจนเข้าที่แล้ว ก็จะปฏิเสธไม่ยอมหลับตาลงอย่างคนขลาดเขลาอีกต่อไป


ประชาธิปไตยต้องปรับตัว และกำลังปรับตัวอยู่ในเมืองไทยท่ามกลางประเพณีแห่งอำนาจเดิม
แต่เผด็จการโบราณไม่ปรับ และกำลังมุ่งหน้าสวนกระแสความเปลี่ยนแปลงด้วยแรงขับดันของอัตตาและอวิชชาอันมากล้นจนไร้ปัญญา

เวลาพิสูจน์ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว อะไรหลายอย่างจะบังเกิดขึ้นในเมืองไทยที่ไม่เคยเปลี่ยน
สิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” นั้น อยู่ที่เลิกทำบอดและลืมตามองดูโลกด้วยใจอันสว่างเท่านั้นเอง.

------------------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เศร้า ไฟไหม้บ้าน "พ่อ-แม่" - "จักรภพ เพ็ญแข"















ข่าวเศร้านี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงสาย ของวันอังคารที่ 28 กันยายน 2553 โดยคุณแม่ของคุณจักรภพเล่าว่า "นั่งดูทีวีอยู่ในบ้านกับคุณพ่อ ซึ่งอยู่กันแค่ 2 คน น้องสาวไปทำงาน มีเพื่อนบ้านวิ่งมาบอกว่าเห็นควันขึ้นที่ชั้นบน พ่อกับแม่พยายามจะดับไฟ แต่ก็ไม่สามารถดับได้ เพราะเพลิงได้ลุกโหมขึ้นอย่างรวดเร็ว ความตกใจหอบทีวีได้เครื่องเดียว หนีเอาตัวรอดออกมานอกบ้าน" ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่

ด้าน "คุณจักรภพฯ" ทราบข่าวด้วยความเศร้าใจ แต่ก็ต้องเข้มแข็ง บอกว่า "บ้านหลังนี้ คุณพ่อปลูกสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงมา 44 ปีแล้ว ตัวเองก็เกิดและโตที่นี่ เห็นรูปแล้วใจหาย เมื่อตั้งสติได้ก็บอกว่า พ่อกับแม่ปลอดภัย ก็สบายใจแล้ว เรื่องอื่นก็ค่อยๆ คิดแล้วมาว่ากันใหม่ เป็นห่วงความรู้สึกทางด้านจิตใจของพ่อกับแม่มากกว่า"

พวกเรามวลชนคนเสื้อแดงขอแสดงความเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

อำมาตย์ใหญ่ในกะลา โดย กาหลิบ






คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง อำมาตย์ใหญ่ในกะลา

โดย กาหลิบ

อย่านึกว่าเกมฝ่ายไทยที่ให้ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม แถลงขอไม่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อลดความตึงเครียดกับซาอุดีอาระเบียจะได้ผลนักหนา อย่างดีสถานเอกอัครราชทูตของเขาก็คงชะลอการออกแถลงการณ์ฉบับต่อๆ ไปไว้สักระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายความขัดแย้งแท้จริงก็จะผุดพ้นน้ำขึ้นมา ไม่ว่าฝ่ายไทยจะซุกไว้ใต้พรมขนาดไหนก็ตาม
คดีฆ่านักธุรกิจที่ชื่อนายอัลรูไวลี่นี้ก็จะยังไม่จบ คดีฆ่านักการทูตก็ยังเป็นปริศนาลึกลับว่าจับแพะหรือจับคน และคดีขโมยเพชรและปลอมแปลงเพชรก็ยังเป็นเรื่องที่มีคนเอาไปไว้เสียบนหิ้ง จนไม่มีใครสามารถเอากลับลงมาในกระบวนการยุติธรรมได้

แล้วมันจะจบลงอย่างไร
ต่อให้เอาพ่อของสมคิด-สมเจตน์ บุญถนอมมาแถลงข่าวขอลาออกจากความเป็นคนไทยก็ช่วยไม่ได้

ซาอุดีอาระเบียเป็นราชอาณาจักรใหญ่ที่มีอิทธิพลล้นเหลือในระดับโลก รายได้จากน้ำมันของเขา ซึ่งเป็นร้อยละ ๙๐ ของรายได้ส่งออกทั้งหมดปีที่แล้วปีเดียวปาเข้าไป ๑๑๖,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในจำนวนนี้ร้อยละ ๗๕ เป็นของรัฐ ซึ่งหมายถึงกษัตริย์และสมาชิกระดับสูงของพระราชวงศ์ ผู้เป็นส่วนบนของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ประกาศชัดไว้ในรัฐธรรมนูญ

เขาเพิ่งได้รับอนุมัติให้ซื้ออาวุธทันสมัยจากสหรัฐฯ ได้ในมูลค่ารวมถึง ๖๐,๐๐๐ ล้านเหรียญฯ ซึ่งจะผลิตและส่งมอบกันในห้วงเวลา ๕-๑๐ ปี ของเหล่านี้รวมถึงเครื่องบินรบ F-15/SA ๘๔ ลำ เครื่องบินรบชนิดอื่นอีก ๗๐ ลำ เฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ ๗๐ ลำ แบบแบล็คฮอว์ค ๗๒ ลำ แบบลิตเติลเบิร์ดอีก ๓๖ ลำ แถมด้วยระบบดาวเทียมล็อคเป้าหมายและยุทโธปกรณ์อย่างอื่นๆ อีกหลายระบบนัก

อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้สหรัฐฯ ไม่ยอมขายใคร เว้นแต่จะดอดไปจุดชนวนสงครามในบ้านของคนอื่นแล้วแอบขายอาวุธอย่างลับๆ โดยเอาคนของตัวเองไปควบคุมไม่ให้เกิดการลอกเลียนแบบ แต่วันนี้เขาขายให้กับซาอุดีอาระเบียอย่างเปิดเผย เหตุผลในเรื่องอิหร่านนั้นก็ใช่ แต่ลึกกว่านั้นคือเลือดที่ข้นกว่าน้ำระหว่างผู้มีอำนาจในกรุงวอชิงตันกับบรรดาขาใหญ่กรุงริยาด นครหลวงของซาอุดีอาระเบีย

กษัตริย์อับดุลลาห์นำเงินเหล่านี้มาลงทุนสร้างรัฐสวัสดิการให้กับประชาชน จนประชาชนไม่ต้องเหนื่อยทำงานเอง เพียงแต่ยอมตัวอยู่ใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่เข้มงวดและกฎหมายอิสลามที่ใช้เป็นจารีตนครบาล ก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตั้งแต่เกิดจนตาย อย่างที่บรูไนเองก็จดจำเอาไปทำของตัวเองที่กรุงบันดาเสรีบากะวันโดยสุลต่านบอลเกียห์

ในตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบียเป็นใหญ่ในองค์การระหว่างประเทศในแถบนั้นถึง ๓ องค์การ นั่นคือองค์การรัฐอิสลาม (Organization of Islamic Countries: OIC), สภาความร่วมมือบริเวณรอบอ่าวเปอร์เซีย (Cooperation Council for The Arab States of the Gulf: GCC) และองค์การรัฐที่ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (Organization of Petroleum Exporting Countries: OPEC) องค์การเหล่านี้ล้วนมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดินทั้งนั้น

OPEC ควบคุมราคาและปริมาณน้ำมันของโลก

OIC วางกฎระเบียบที่ใช้โดยชาติมุสลิมทั่วโลกทุกชาติ

GCC สามารถเอาสหรัฐฯ ให้เป็นทหารรับจ้างมารักษาความปลอดภัยให้ตนเองได้เมื่อถึงคราวจำเป็น

ยังไม่รวมถึงเงินทองมหาศาลที่ไหลมาทางไทย โดยเฉพาะภาคใต้ ในรูปของการสร้างมัสยิดให้เปล่าๆ รวมไปถึงเครือข่ายมหาวิทยาลัย โรงเรียน โรงพยาบาล และอื่นๆ แม้กระทั่งมอบภารกิจพร้อมเงินให้ไปสร้างครอบครัวที่ภาคอื่นๆ เช่น ภาคเหนือ เป็นต้น เพื่อขยายมวลชนที่เป็นศาสนิกเดียวกัน

แล้วอ้ายอีที่มีอำนาจในเมืองไทยดันไปขโมยของเขาอย่างโง่ๆ ฆ่าคนของเขาอย่างโหดร้ายแล้วซุกเอาไว้เป็นสิบๆ ปี มันอยู่ในกะลาขนาดไหนถึงไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้ ถึงขนาดเอาผลประโยชน์ของเมืองไทยทั้งชาติเข้าไปเสี่ยงได้ลงคอ

นี่อย่างไรเล่าคือวิสัยของชนชั้นปกครองไทย

ก็เพราะคนไทยไม่ยอมโง่หรือดักดานตามคนเหล่านี้อีกต่อไปแล้วอย่างไรเล่า มวลชนแดงถึงได้เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันอย่างน่าอัศจรรย์.

--------------------------------------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /wwwthaipeoplenews.blogspot.com


วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

นำแกน โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง นำแกน
โดย กาหลิบ

๑๙ กันยายน ๒๕๕๓

ขบวนประชาธิปไตยยกระดับสูงขึ้นทันทีที่คลื่นมหาชนคนเสื้อแดงไหลเข้าสู่พื้นที่ราชประสงค์และที่เชียงใหม่โดยไม่มี “แกนนำ” ที่ชัดเจนเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน คำพูดเท่ๆ ที่ว่าขอให้คนเสื้อแดงนำตัวเองโดยไม่ต้องรอแกน บัดนี้ได้กลายเป็นความจริงขึ้นในใจกลางราชอาณาจักรไทยแล้ว อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง

แล้วหน้าไหนมันจะยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่เปลี่ยน เมื่อแกนนำลดความสำคัญลงไปเป็น “แกนนอน” และมวลมหาประชาชนสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้ “นำแกน” แล้วในขณะนี้

เหงื่อแตกอยู่ตรงไหนเล่าท่านมหาอำมาตย์?

สถานการณ์ขณะนี้นำเมืองไทยเข้าสู่ภาวะใหม่ ประชาชนเป็นผู้ตื่น ผู้ตระหนัก และเป็นผู้เรียกหาสิ่งที่ “เขา” แอบลักเอาไปเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่การตื่น ตระหนัก และเรียกหากำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ ตามวิวัฒนาการทางสังคม อันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เทวดาองค์ไหนก็ไม่อาจห้ามได้ การเลื่อนไหลไปตามกระบวนการนี้ บางทีก็รู้สึกกันว่าช้า ไม่ทันใจ เพราะกลัวว่าเผด็จการเจ้าเก่าจะหวนกลับมาครองบัลลังก์ได้อย่างเต็มภาคภูมิอีก

เห็นภาพในวันรำลึกถึงการสูญเสียสิทธิทางการเมืองนั้นแล้ว บอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัว สิ่งที่เกิดในขณะนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่จะไม่ย้อนหลังกลับ ความพยายามให้ย้อนยุคหรือย้อนกลับดำรงอยู่เสมอก็จริง แต่ฝ่าย “เขา” จะต้องทุ่มทุนสร้างอย่างเปลืองเลือดเปลืองเนื้อ และกินทุนตัวเองไม่รู้จักเท่าไหร่จึงจะได้ตามนั้น จนต้องมานั่งชั่งใจว่าทำแล้วคุ้มหรือไม่

ครับ ประชาชนท่านแสดงตัวเองชัดเจนจนฝ่ายเผด็จการโบราณเริ่มฉุกคิดว่า การย้อนเวลากลับไปสู่ยุคแห่งความสุขสมของตนเอง ด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือทุกคนในทุกตารางนิ้วของประเทศ เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย

แต่ฝ่ายประชาชนโปรดอย่าลืมว่านั่นคือการคิดแบบมีเหตุผล (rational thinking) แปลว่าแม้แต่ผู้ร้ายที่เลวที่สุด ก็ยังคำนวณผลได้เสียก่อนตัดสินใจกระทำการใดๆ

แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามเราเขาไม่ใช่คนปกติ อัตตาสูงเยี่ยมเทียมฟ้า คิดว่าตนเองเป็นมาตรฐานแห่งความดีที่ใครๆ ต้องมาวัดว่าต่ำลงไปจากตนเท่าไหร่ ก็ต้องสงเคราะห์ว่าเป็นคนบ้า และมีความคิดฟุ้งกระจายไร้เหตุผล เอาตัวตนเข้าวัดประเมินทุกอย่าง วัดด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันแปรปรวน อย่างนี้ก็เรียกว่าคิดโดยไม่มีเหตุผล (irrational thinking) ผู้ที่เป็นประชาชนก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกทำร้าย


อีกมิติหนึ่งที่น่าชมคือ การวางตัวของผู้ที่เรียกตนเองว่าแกนนอน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข หรือท่านอื่นๆ ล้วนแต่เรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้และไม่พยายามแสดงตนเองว่าเป็นผู้ “ควบคุม” มวลชนเลยแม้แต่น้อย หากแสดงบทบาทในฐานะนักกิจกรรมที่มวลชนท่านเลือกได้ว่าอยากร่วมงานด้วยหรือไม่ ไม่มีถ้อยคำสำนวนชนิดบีบบังคับ หรือแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายแท้ฝ่ายเทียมซึ่งเป็นจุดอ่อนของขบวนการในห้วงเวลาที่ผ่านมา เราก็หวังกันว่า “แกนนำ” เดิมจะเรียนรู้ในสิ่งเดียวกันนี้เพื่อสร้างขบวนการที่ใหญ่โตขึ้นในระยะต่อไป

วิธีการของ “บ.ก.ลายจุด” และคุณสมยศฯ ทั้งในกิจกรรมและการแสดงออก คือการเคลื่อนขบวนประชาธิปไตยด้วยวิถีทางประชาธิปไตย ไม่เดินเครื่องยนต์ประชาธิปไตยด้วยเนื้อในที่เป็นเผด็จการ ถ้ารักษาไว้ได้โดยตลอดจะทำให้ขบวนประชาธิปไตยใสสะอาดทั้งภายนอกและภายใน

โดยเฉพาะเมื่อคุณสมบัติฯ ให้สัมภาษณ์ว่ากิจกรรมฝ่ายท่านใช้ต้นทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพสูงก็ยิ่งช่วยให้พ้นจากข้อครหาและมลทินในเรื่องเงินทองและผลประโยชน์ส่วนตัว มาตรฐานนี้จะดึงดูดมวลชนบริสุทธิ์ได้อีกมาก และเชื่อว่าเป็นมวลชนที่จะร่วม “เดินไกล” เพราะไม่มีข้อขัดข้องในใจใดๆ อีกแล้ว

การชุมนุมเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๓ จึงเป็นงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยประชาธิปไตยไทยที่เรียนรู้กันมาถึง ๔ ปีเต็มๆ คนที่ไปร่วมในวันนั้นเป็นบัณฑิตทั้งนั้น แถมยังไม่มีอาจารย์โดยตำแหน่ง คนที่ไปร่วมงานนั้นรู้ว่าพวกเราประชาชนจะต้องเรียนรู้จากกันและกันเอง ผลัดกันเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันตามสถานการณ์
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ที่กำลังจะออกมาสู้ชีวิตจริงครับ.

---------------------------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรับขบวน โดย กาหลิบ

คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?  เรื่อง : ปรับขบวน  โดย : กาหลิบ 

                ขณะนี้พวกเราส่วนใหญ่ในฝ่ายประชาธิปไตยกำลังอึดอัดใจและเป็นทุกข์ บางท่านถึงกับเจ็บปวดกับบรรดาข่าวทั้งหลายทั้งที่ลือและเป็นความจริงเกี่ยวข้องกับเรื่อง “เจรจา” และ “ปรองดอง” จนไม่รู้จะสลัดความรู้สึกทุรนทุรายนี้อย่างไร ภาพความตายของวีรชนการเมืองทุกยุค จนถึงวันรุมฆ่ากลางเมืองที่ราชประสงค์ ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด ในใจเริ่มถามคำถามว่า มวลชนที่ลุกขึ้นสู้แล้วนั้น มีราคาขนาดไหนในหัวใจขององค์กรนำและแกนนำ หรือเพราะไม่มีศรัทธานั้นเลย จึงไปตั้งโต๊ะเจรจากันในวันนี้?

                นี่คือคำถามที่ชอบธรรมและต้องตอบให้ชัด

                การต่อสู้ทางการเมืองของสยามประเทศ เริ่มต้นมาตั้งแต่คราว ร.ศ. ๑๓๐ ที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยสิ้นเชิง แต่แผนแตกและถูกลงโทษกันอย่างถ้วนหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๖ ต่อมาคณะราษฎร์ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน และประกาศเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจจริงและมีพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ แต่ก็แพ้พ่ายต่อเขาอย่างยับเยินในเวลาต่อมา อำนาจรัฐถูกดูดกลับไปเป็นของกลุ่มอำนาจเดิม สถาบันฝ่ายประชาธิปไตยถูกทำลายลงอย่างราบคาบและเป็นระบบ ทำลายอยู่หลายปี และด้วยรัฐประหารที่ทำกันหลายครั้ง ไม่ว่าจะสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง รัฐบาลเลือกตั้ง จนขาดความเชื่อมโยงกับปวงชนชาวไทยไปจนหมด รัฐบาลพรรคไทยรักไทยระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ฟื้นคืนมาได้ใหม่และถูกทำลายใหม่ด้วยเครือข่ายอำนาจเก่าที่มีประสิทธิภาพและความครบถ้วนกว่าเดิมในแง่วิชามาร

                ในขบวนประชาธิปไตยที่เล่ามาโดยย่อนี้ สถาบันประชาชนที่ปรากฏขึ้นมาในรูปของมวลชนผู้รักและหวงแหนประชาธิปไตย ก็พัฒนาขึ้นโดยลำดับเช่นกัน จากความไม่เกี่ยวข้องเลยในกรณี ร.ศ.๑๓๐ และการเปลี่ยนแปลงการปกครองแห่ง พ.ศ.๒๔๗๕ มามีส่วนร่วมอย่างเกรียงไกรในคราว ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ๖ตุลาคม ๒๕๑๙ และพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ และเกี่ยวข้องโดยตรงทั้งทางกว้างและลึก ตั้งแต่การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันและกลายเป็นโฉมหน้าใหม่ของการเมืองไทยที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน

                ความตายที่ราชประสงค์ไม่ได้เกิดจากการปะทะหรือความรุนแรงที่สาดใส่ไปมาระหว่างสองฝ่าย แต่เกิดจากความยืนหยัดไม่ยอมถอยของมวลชนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเครื่องมือต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองอย่างเพียงพอ โศกนาฏกรรมครั้งนี้แสดงอยู่ในตัวเองว่า ฐานะการมีส่วนร่วมของประชาชนยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดฝันและจะมองข้ามมิได้ การดำเนินการทางการเมืองใดๆ จากเส้นแบ่งนั้น ก็ทำมิได้เช่นกัน หากไม่ปรึกษาหารือกับประชาชนเสียก่อน

                จะทำสงครามก็ต้องปรึกษา จะผวากอดขาก็ต้องหารือ

                เหตุผลประการเดียวคือมวลชนประชาธิปไตยมีตัวตนจริงในปัจจุบัน มิใช่เพียงตัวเลขให้ราชการมารีดนาทาเร้นหรือฝ่ายเลือกตั้งเอามาเป็นฐานเสียงให้เหยียบขึ้นไปสู่อำนาจราชศักดิ์เท่านั้น

                แต่ถ้าหากไม่คิดหารือกัน และเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่รู้เลยว่ากำลังถอยหลัง มวลชนก็ย่อมนำเอาเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาเป็นข้อมูลใหม่และประเมินขบวนประชาธิปไตยได้ ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นในผู้นำเดิมและแกนนำเดิม

                ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรนำทางการเมืองกับมวลชนวันนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางอย่างเดียวเท่านั้น ใครนำแนวทางที่มวลชนส่วนใหญ่เลื่อมใสว่าถูกต้อง บารมีทางการเมืองก็จะเกิดกับผู้นั้นไปเรื่อย จนถึงวันที่เกิดคิดกำเริบเสิบสาน และหยุดฟังเสียงมวลชนขึ้นมาเมื่อใด อำนาจและบารมีเหล่านั้นก็จะหมดลงโดยพลันเหมือนปิดก๊อกน้ำ

                นาทีนี้จึงเป็นความระทึกใจของขบวนประชาธิปไตยว่า ใครจะออกหัวหรือออกก้อย แต่สำหรับคนที่ต่อสู้มาอย่างทุ่มเท จริงจัง และสละทุกอย่างมานานถึงสี่ปีหรือกว่านั้น กลับเป็นนาทีที่หายใจไม่สะดวก และกลัวอยู่ลึกๆ ในใจว่าเขาจะทำให้เราผิดหวัง

                สำหรับท่านที่เป็นทองของแท้ และกำลังไม่สบายใจอย่างนี้ ขอบอกท่านด้วยความเคารพว่า ขณะนี้คือนาทีที่มีคุณค่าอย่างสูงต่อขบวนประชาธิปไตยในระยะยาว

                “การเจรจาปรองดอง” เที่ยวนี้ จะช่วยให้ท่านแจ่มแจ้งในหัวใจว่า ใครใช่และใครไม่ใช่สำหรับการเดินทางไกลของพวกเราชาวประชาธิปไตย เพื่อให้ขบวนใหญ่ใสสะอาดปราศจากมลทิน และเป็นระดับที่ยกสูงขึ้นสำหรับการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในภาพรวมจนกว่าจะชนะ

                นี่คือการปรับขบวนประชาธิปไตยอีกครั้งเท่านั้นเอง.

 -----------------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ป้ายใหม่เอี่ยม หน้าสนามกีฬาจังหวัดราชบุรี


"คุณพรทิพย์ ปักษานนท์" แกนนำเสื้อแดง จังหวัดเพชรบุรี และกลุ่มเสื้อแดงตะวันตก ส่งข่าวมายังพวกเรา ว่า หลังจากที่มีข่าวพวกเราชาวเสื้อแดงนัดหมายรวมตัวกันทำกิจกรรม "ปูเสื่อกินข้าว เล่าเรื่องให้ฟัง" ในตอนเย็นวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ย. ก็ได้มีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นที่สนามกีฬาจังหวัดราชบุรี

เหตุการณ์ที่ว่านี้ก็คือ เมื่อบ่ายวานนี้ (16 ก.ย.) ผู้อำนวยการการกีฬาแห่งประเทศไทยราชบุรี ได้นำป้ายขนาดใหญ่มาติดตรงทางเข้า ข้อความ "ห้ามใช้กิจกรรมเพื่อหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยเด็ดขาด" ดังปรากฏตามภาพ

แต่ทางกลุ่มผู้จัด ก็ยังยืนยันที่จะใช้สิทธิพลเมือง ในการนัดหมายออกกำลังกาย นั่งพูดคุย และทานอาหารเย็นร่วมกันตามกำหนดการเดิม... จึงขอรายงานข่าวมาให้ทราบ

หมายเหตุ ขณะรายงานข่าว "คุณพรทิพย์ฯ" บอกว่าได้ยินเสียงตะโกนดังๆ มาจากกลุ่มผู้จัดว่า "กูไม่กลัวมึง...หุย..ฮา"

-------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

สี่ปีได้กี่ก้าว โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สี่ปีได้กี่ก้าว?

โดย กาหลิบ


เขาประมาณกันไว้ว่าต้องสิบปีขึ้นไปกว่าจะถือว่าอะไรเป็นประวัติศาสตร์ได้ เหตุการณ์บางอย่างเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้มีส่วนร่วมอย่างรุนแรง จนคิดว่าสำคัญและเป็นประวัติศาสตร์ไปหมดในขณะที่เกิด จนเวลาผ่านไปนานพอจึงเกิดระลึกรู้ได้ว่า อะไรสำคัญมากน้อย อะไรอยู่นานพอที่จะช่วยกำกับสติของเราไปชั่วชีวิต (อันสั้น) ได้ และอะไรจะเลือนหายไป

แต่สี่ปีหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ น่าจะเริ่มนับหนึ่งในความเป็นประวัติศาสตร์ได้ เวลาเพียงสี่ปีย่อมไม่ใช่สิบปี แต่ความครบวงจรครั้งแล้วครั้งเล่าของเหตุการณ์การเมืองในเมืองไทย ทำให้เราย่นย่อประวัติศาสตร์ที่ควรต้องยาวนานกว่านั้นมาพิจารณากันในเวลาอันสั้นได้ 

เราเห็นการรัฐประหารโค่นล้มทำลายระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง และการก่อรูปใหม่ของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลที่เกิดจากสภานั้นถึงสองรัฐบาล ก่อนจะเห็นประชาธิปไตยถูกบิดเจตนารมณ์ไปอีกครั้งในรัฐบาลที่สามของสภาเดียวกัน

เราได้เห็นการกำเนิดของมวลชนธรรมชาติ ผสมผสานกับกิจกรรมของนักการเมืองและนักเลือกตั้งในระดับที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน จนกลายเป็นต้นทุนใหม่ของระบอบประชาชน และเราก็ได้เห็นการล้อมฆ่าประชาชนเหล่านั้นอย่างเลือดเย็นและไม่แสดงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ 

เราได้เห็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มที่เห็นว่าระบอบประชาชนเกิดขึ้นแล้วจริงและพร้อมทำงานใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกับมวลชนเหล่านั้น กับกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าเมืองไทยจะสามารถพัฒนาการเมืองไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และพร้อมกระโดดกลับไปร่วมเตียงกับมหาอำมาตย์และบริษัทบริวารที่ประชาชนลุกขึ้นสู้และถูกเขาฆ่าตายไปเป็นร้อยๆ เพื่อความอยู่รอดและความรุ่งเรืองของตน

นี่คือตัวอย่างของความครบวงจรและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยในเวลาอันสั้นจากรัฐประหารครั้งที่ ๑๐ ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย 

แล้วเราเดินสู่ถนนสายประชาธิปไตยได้เพิ่มอีกกี่ก้าวในสี่ปีนี้?

๑. การกำเนิดขึ้นของระบอบประชาชน/มวลชนที่ไม่ต้องคอยรับน้ำเลี้ยงและวิ่งหาพ่อแม่ทางการเมืองจากหน้าไหน

๒. การเปิดเผยปัญหาของระบอบการเมืองไทยจนถึงที่สุดและมีความกล้าหาญในการแสดงออกเพิ่มขึ้นทุกวันโดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลและบารมีใดๆ เหมือนก่อน

๓. การคัดกรองนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในใจประชาชน โดยแบ่งออกเป็นพวกที่สู้ถึงที่สุดและไม่ถึงที่สุด (บางคนใช้คำว่า “บางซื่อ/หัวลำโพง”)

๔. มวลชนผู้มีความรู้และทักษะต่างระดับถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพในขบวนประชาธิปไตย

๕. ความสนใจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองแผ่กว้างและลงลึกในสังคมไทย โดยไม่แบ่งชนบทและเมือง ไม่แบ่งอายุ เพศ ภูมิหลังของชีวิต ศาสนา และแม้กระทั่งระดับการศึกษา อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในสังคมของเรา

ก้าวเดินเหล่านี้เดิมเป็นเพียงฝันของบรรพบุรุษประชาธิปไตยอย่างคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ รศ. ๑๓๐ และคณะราษฎร์ใน พ.ศ.๒๔๗๕ แต่บัดนี้กำลังเกิดขึ้นและเข้มแข็งขึ้นด้วยสถานการณ์ จนแทบจะบอกไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป 

แน่นอนว่ายังอีกหลายก้าวนักกว่าจะถึงหลักชัยอันสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าก้าวเดินเหล่านั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง เพราะเส้นทางสว่างขึ้นจากก้าวที่เราเดินร่วมกันมาแล้ว และจุดคบมาเรื่อยๆ ตามรายทาง 

ความใส่ใจและมีส่วนร่วมของประชาชนต้องกลายเป็นความมั่นใจและกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นสู้

นักการเมือง/นักเลือกตั้งที่ไม่ยอมพัฒนา เอาประโยชน์เฉพาะหน้าของตนและเครือข่ายเป็นหลักจนเสียระบอบประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องออกไปจากการเมือง

ต้องประกาศศัตรูตัวจริงของระบอบประชาธิปไตยไทยอย่างไม่คลุมเครือ อธิบายทักษะทางการเมืองและวิถีอำนาจของเขาจนเป็นที่แจ่มแจ้งโดยทั่วกันเพื่อเป็นฐานการต่อสู้ของฝ่ายประชาชน

และอื่นๆ อีกมาก

รัฐประหารเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ คือความมืดมิดของบ้านเมืองจริง แต่เป็นเพียงการดับเทียนดวงเล็กๆ ที่ทำให้มืดลงชั่วคราว ก่อนที่ประชาชนจะช่วยกันหล่อเทียนพรรษาขึ้นทั่วประเทศและจุดจนสว่างไสวเท่านั้น.

---------------------------------------------------------------------------------

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com


วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เตรียมเผด็จการ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : เตรียมเผด็จการ
โดย : กาหลิบ

ได้เกิดเหตุระหว่างประเทศอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับรัฐบาลไทย แต่เป็นเหตุเงียบๆ ที่ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไทยเอาเลย แต่นี่แหละคือหลักฐานชิ้นล่าสุดที่ชี้ว่า นโยบายต่างประเทศ และผลประโยชน์ของไทยในระดับโลก กำลังถูกควบคุมและบีบคั้นราวกับตกเป็นตัวประกันจากสถานการณ์ทางการเมืองเฉพาะหน้าและประชาชนส่วนใหญ่จะตกเป็นผู้เสียหายในระยะยาว

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อองค์กรระหว่างประเทศสององค์กร คือ สมาพันธ์ระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (FIDH) ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส และคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม (VCHR) เตรียมนำเสนอรายงานเรื่อง “จากวาทกรรมสู่การกระทำ: สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม” และตั้งใจจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนล่วงหน้าในวันจันทร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่ามีจดหมายร่อนตรงมาจากกระทรวงการต่างประเทศไทยหนึ่งฉบับ ลงนามโดยนายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ ตรงไปยังสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) ห้ามมิให้จัดงานแถลงข่าวนั้น โดยความตอนหนึ่งว่า

“... เป็นจุดยืนอันยาวนานของเราที่จะไม่ยอมให้องค์กรหรือบุคคลใดมาปฏิบัติกิจกรรมที่ส่งผลทางลบต่อประเทศอื่นๆ เราหวังว่า FCCT จะเคารพต่อจุดยืนนี้และไม่ยอมให้จัดงานนี้ในสถานที่ของท่าน...”

จดหมายลงวันที่ ๙ กันยายนฉบับนี้ ต่อมาถูกตอบโต้โดยผู้บริหาร FCCT ว่า ถ้ากระทรวงการต่างประเทศไทยต้องการจะห้ามกิจกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชนขององค์กรทั้งสอง ซึ่งเพียงมาเช่าที่ของ FCCT ในการจัดเท่านั้น ก็ให้แจ้งเขาเองโดยตรง อย่ามาใช้ FCCT เป็นคนส่งสาร

FCCT เปิดเผยด้วยว่า นอกจากไม่ให้จัดแถลงข่าวที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว กระทรวงการต่างประเทศไทยยังประกาศงดออกวีซ่าให้กับวิทยากรและผู้ร่วมงานทุกคนที่จะเดินทางมาร่วมงานนี้ด้วย ขณะนี้เป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก ยกเว้นในเมืองไทยที่ปิดข่าวกันชุลมุน

งานนี้จะได้จัดหรือไม่ได้จัดคงไม่สำคัญเท่ากับภาพลักษณ์ของไทยหลังจากงานนี้ไป

การแทรกแซงสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศคราวนี้เป็นพฤติกรรมต่อเนื่องจากการโจมตีสิทธิในการนำเสนอข่าวสารข้อมูลของสื่อมวลชนสากล ซึ่งทำมาหลายครั้ง จนถึงขั้นแจ้งความจับกุม FCCT ทั้งคณะบริหารในข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้กลไกการรัฐประหารทั้งสิ้น ตั้งแต่รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์จนถึงยุคที่เชิดอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมาแทน ภาพจึงปรากฏชัดว่าระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ มิได้มีอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้

แล้วก็อย่ามาอ้างว่าทำเพื่อเวียดนามผู้เป็นเพื่อนบ้าน เพราะไม่มีหลักฐานว่าทางการของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องร้องขออะไรในเรื่องนี้เลย เวียดนามเขากำลังฟื้นฟูความสัมพันธ์กับหลายชาติตะวันตกที่ชูเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะขวางลำให้มันเสียบรรยากาศ น่าเชื่อว่างานนี้รัฐบาลไทยชงเองดื่มเองมากกว่า

เป็นการวางหลักการล่วงหน้าเตรียมไทยให้เป็นรัฐเผด็จการสมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำแบบคนขลาดคือสร้างภาพให้คนทั่วโลกเขานึกว่าทำเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตน เพียงแต่ว่าทั่วโลกที่ว่านั้นเขาไม่ได้กินแกลบ เขาก็รู้ชัดแจ้ง

การเมืองภายในที่ส่งผลต่อนโยบายระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เคยสรุปไว้ในทฤษฎีที่เรียกว่า Linkage Politics ขณะนี้เห็นตัวอย่างชัดในประเทศไทย และเป็นแผนที่ตัวอย่างว่ารัฐหนึ่งๆ ที่หมกมุ่นกับความอยู่รอดของชนชั้นนำผู้ถือครองอำนาจสูงสุดของรัฐนั้น ถึงเวลาเขาก็ขุดหลุมฝังตัวเองได้จนมิด โดยไม่รู้เลยว่ากำลังฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ และไร้เกียรติยศ

ในข้อ ๒ ของพินัยกรรมของ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ท่านประกาศไม่รับเกียรติยศใดๆ ที่ผู้ที่อยู่ในฐานะของท่านพึงจะได้รับ เราก็ซาบซึ้งในเกียรติยศอันสูงของท่านผู้หญิงกันมาแล้วทั่วกัน เราคิดว่าท่านเขียนไว้เช่นนั้น เพราะท่านไม่อยากแสดงความใยดีใดๆ กับครอบครัวคนชั่วที่ครอบงำเมืองมาตั้งแต่ช่วงที่ท่านอาจารย์ปรีดียังมุ่งหน้าอภิวัฒน์อยู่

แต่เมื่อดูพฤติกรรมของชนชั้นนำไทยในวันนี้ เราเข้าใจลึกซึ้งอีกขั้นหนึ่งว่าท่านประกาศไว้เช่นนั้นเพราะท่านรู้ว่าชนชั้นนำเหล่านี้ไม่สามารถมอบเกียรติยศให้กับใครได้

เพราะไม่มีเกียรติกันทั้งตระกูลของตัวเองและลูกน้อง.

--------------------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

สฤษดิ์น้อย-สฤษดิ์ใหญ่...ใครกำกับ? โดย กาหลิบ



คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง : สฤษดิ์น้อย-สฤษดิ์ใหญ่...ใครกำกับ?

โดย : กาหลิบ

เหตุการณ์ที่ตำรวจบุกยึดแท่นพิมพ์และประกาศปิดหนังสือรายปักษ์ “เรดพาวเวอร์” ทำให้เกิดปมปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะความลึกของระบอบเผด็จการในปัจจุบัน ว่าได้นำเมืองไทยดำดิ่งลงไปลึกแค่ไหนในขุมนรก 

ใครคนหนึ่งเขียนข้อความสั้นๆ มาอธิบายเรื่องนี้ได้แสบทรวงนัก เปรียบเทียบรัฐบาลปัจจุบันเป็น “สฤษดิ์น้อย” อนุสนธิจากเจ้าพ่อเผด็จการใหญ่ที่ตายจากไปนานแล้วคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 

มีใจความในตอนหนึ่งว่า

“.....นับตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัตน์ คุกคามเสรีภาพสื่อมวลชนด้วยการยึดแท่นพิมพ์เป็นครั้งสุดท้ายในประเทศไทย อันเป็นยุคก่อนที่"สฤษดิ์น้อย"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมาเกิด นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องจารึกว่ามีเหตุการณ์ยึดแท่นพิมพ์อีกแล้ว โดยที่สมาคมต่างๆ เกี่ยวกับสื่อมวลชนยังพากันนิ่งเฉย

เหตุการณ์ยึดแท่นพิมพ์หนสุดท้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารยึดอำนาจจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม แล้วได้ออกคำสั่งให้จับกุมนักหนังสือพิมพ์หลายคน จากหลายฉบับ ตำรวจอ้างคำสั่ง คณะปฏิวัติ มีคำสั่งให้ปิดหนังสือพิมพ์หลายฉบับอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุให้ยึดและปิดแท่นพิมพ์ เพื่อห้ามทำการพิมพ์ จนกว่าจะมีคำสั่งอนุญาตเป็นอย่างอื่น จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนำครั่งประทับบนแท่นพิมพ์ พร้อมใช้โซ่ล่ามแท่นอย่างแน่นหนา นับเป็นการยุติการดำเนินงานของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ 

จากนั้นไม่มีเหตุการณ์ยึดแท่นพิมพ์อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นยุคเผด็จการ ๓ ทรราช ถนอม-ประภาส-ณรงค์ หรือยุคปฏิรูปแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๑๙ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบัน ๕๐ ปีเศษ ก็มาเกิดเหตุการณ์นี้อีกครั้งในวันนี้ (๙ ก.ย.)

  วันนี้ เมื่อเวลา ๑๓.๐๐ น. พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรีเข้าตรวจค้นบริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เลขที่ ๒๘๒/๔ หมู่ที่ ๒ ซอยงามวงศ์วาน ๒๗ ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ โดยมี นางวัชนีกร ศรีสวัสดิ์ อายุ ๔๓ ปี ผู้ดูแลนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้น จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสาร เรดพาวเวอร์และเอกสารที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง และได้มีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง ๑๑ เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ได้และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือบางส่วน และแจ้งว่า บริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมายผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องและตำรวจจำนวนมาก ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าตรวจค้นและยึดเศษกระดาษนิตยสารเรดพาวเวอร์ ที่พิมพ์เสียไปจำนวนมาก พร้อมทั้งประวัติพนักงานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก พร้อมทั้งนำพนักงานที่ดูแลไปสอบสวน และยังสั่งให้เลิกรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ นิตยสารเรดพาวเวอร์ มี นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เป็นเจ้าของ 


นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการใช้สื่อเลี้ยงน้ำเชื้อเหล่าเสื้อแดง ทั้ง วอยซ์นิวส์ สปริงนิวส์ และเอเชียอัพเดท ที่มีการปลุกระดมให้เตรียมต่อสู้ ซึ่ง นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแลด้านสื่อ ควรจะเข้าไปจัดการอย่างเข้มงวด เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้ว อีกทั้ง ศอฉ.ก็ควรจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีอยู่อย่างเต็มที่ จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานอย่างหนัก....”


อ่านแล้วก็เห็นภาพชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยวันนี้


๑. ภาวะเผด็จการเมืองไทยได้ถอยหลังจากความเป็นเผด็จการแนบเนียนเพื่อให้ดำรงอยู่กับโลกที่เรียกหาประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ มาสู่ภาวะเผด็จการสุดโต่งและอวดอำนาจนั้นอย่างเปิดเผย เพราะเกรงว่าคนในเครือข่ายจะไม่รู้ว่าตนมีอำนาจสูงสุดและควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ 


๒. ระบบราชการไทย ทั้งทหาร ตำรวจ มหาดไทย ไม่มีความแตกต่างกันในความเป็นขี้ข้ารองรับอำนาจของจอมเผด็จการใหญ่ ล้วนเป็นเครื่องมือของ “ระบอบ” เดียวกันทั้งสิ้น


๓. ใช้อำนาจล้วงลึกไปถึงกิจการโรงพิมพ์ ซึ่งเป็นธุรกิจเอกชน ที่ผู้บริหารนิตยสาร “เรดพาวเวอร์” มิได้เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใดๆ ทั้งสิ้น สวนทางกับหลักเศรษฐเสรี ที่ไทยไปรับหลักการของโลกมาถือไว้นานแล้ว


๔. นายบุญยอด สุขถิ่นไทย อดีตสื่อมวลชน คือผู้เรียกร้องให้ใช้ความเผด็จการกับสื่อเอง เป็นสิ่งยืนยันอีกครั้งว่าในระบอบเผด็จการนั้น สมุนเผด็จการล้วนเป็นสัตว์ฝูงเดียวกัน โดยไม่มีความแตกต่างใดๆ เลย 


๕. บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตายไปเสียนานแล้ว ไม่ได้อยู่เสี้ยมสอนความรู้ด้านเผด็จการให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เมื่ออภิสิทธิ์ฯ กลายเป็น “สฤษดิ์น้อย” ขึ้นมาได้ ก็แปลว่า ผู้เชิดหุ่นกระบอกเผด็จการไทยและคอยฝึกสอนอย่างใกล้ชิด ยังคงเป็นคนเดียวกับเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑ นั่นเอง


ละครเรื่องนี้มันอยู่ที่ผู้กำกับครับ!


--------------------------------------------------------------------------

ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /wwwthaipeoplenews.blogspot.com


 

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

สมัครภาคสอง โดย กาหลิบ



คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : สมัครภาคสอง
โดย : กาหลิบ

สื่อลงข่าวกันครึกโครมว่า หลังการลาออกของหัวหน้าเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ผู้จะมาสวมตำแหน่งแทนซึ่งอาจเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปก็ได้ คืออดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือ พลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ
ใครกดปุ่มมาอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ผู้คนก็ออกจะเชื่อข่าวนี้กันมาก เพราะมาพร้อมกับการอำลาเก้าอี้ที่รักษาการมายาวนานของอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยอย่างนายยงยุทธฯ และเกิดขึ้นพร้อมกระแสโหมกระหน่ำอย่างหนักเกี่ยวกับการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ราวกับว่าจะได้เลือกตั้งกันในเร็ววันนี้ จนคนจำนวนไม่น้อยก็พลอยเชื่อว่าฝ่ายเราจะได้อำนาจรัฐกลับคืนมาในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย

เมามันไปตามๆ กัน

ชื่อของพลตำรวจเอกโกวิทฯ ทำให้เกิดความคิดแตกออกไปหลายทาง ในแง่ความเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์มาเป็นตั้งๆ ก็คงจับมาถ่ายเต็มยศโชว์ชาวบ้านได้โดยไม่น้อยหน้าใคร

แต่ในแง่ส่งเสริมประชาธิปไตยต้องพิจารณากันให้ดีและรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าดีกว่าตัวแทนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฝ่ายตรงข้ามอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชวน หลีกภัย หรือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งได้ลาออกจากระบอบประชาชนไปรับราชการก้าวหน้าอยู่ในระบอบเผด็จการโบราณเสียแล้ว

ความเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ต้องชัดเจนว่าสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยในทุกมิติ เพราะวันนี้มวลชนคาดหวังสูงและมีความรู้อย่างยิ่งเกี่ยวกับคนเด่นๆ ในวงการเมือง รู้แม้กระทั่งว่าใครมีวิสัยสันดานอย่างไร

การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาสี่ปีเป็นมหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ของระบอบประชาชน ที่สอบผ่านมาด้วยหยาดเหงื่อ เลือด และน้ำตา จะไม่เกิดตาสว่างบ้างให้มันรู้ไป ขนาดคนที่เคยตาบอดมาตลอดชีวิตบางคนยังตาสว่างขึ้นมาแล้วในวันนี้

ถึงพลตำรวจเอกโกวิทฯ จะเป็นคนในระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพคนเดียวที่ไม่ปรากฏตัวในที่เฝ้าฯ เมื่อใกล้วันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่เขายึดอำนาจจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามา จนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ต้องยกโทรศัพท์ไปยื่นคำขาดบางประการ หลังจากผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยกันที่นั่นกล่าวชัดว่าต้องคอยโกวิท สุดท้ายโกวิทก็ต้องมาจริงๆ โดยเป็นขบวนใหญ่มาจากสามพราน ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นตัวแทนของระบอบประชาชนได้ในทันที

เรื่องที่ไม่ปรากฏตัวในเวทีการต่อสู้นั้นยกไว้ เพราะคนเราสู้ได้หลายทาง ยอมรับตำแหน่งในสมัยที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลรอบสองท่ามกลางคมหอกคมดาบก็ต้องถือว่าหัวใจใหญ่เอาการอยู่

แถมยังเอ่ยวลีอมตะทิ้งไว้ในวงการเสียด้วยว่า “พันธมิตรฯ เขาเป็น “ม็อบมีเส้น”
เรียกว่าเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนกับเขาด้วยคนหนึ่ง

ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวพลตำรวจเอกโกวิทฯ ซึ่งพออาศัย แต่อยู่ที่ตัวพลตำรวจเอกโกวิทฯ สะท้อนความต้องการอะไรของพรรคเพื่อไทยออกมา

สะท้อนว่าฝ่ายประชาชนพร้อมสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง

สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมจะให้การเลือกตั้งเป็นกุญแจไขไปสู่การปฏิรูปหรือปฏิวัติสังคมไทย

หรือสะท้อนว่าต้องการจะเอาใจใครเท่านั้น?

ถ้าหนักไปทางประโยคหลัง โปรดอย่าลืมบทเรียนสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชาชนเอาไว้ให้ดีด้วย คราวนั้นก็นึกอย่างเดียวกันไม่ใช่หรือว่าจะเอา “ของโปรด” มาเป็นนายกรัฐมนตรีให้ ความขัดแย้งใดๆ จะได้เบาบางลงหรืออาจจะหมดไปเลย

แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นปมขัดแย้งขนาดใหญ่ชนิดไม่น่าเชื่อ พังทลายเป็นแถบๆ จนกระทั่งบัดนี้ เพราะไม่อาจทำหน้าที่กาวใจเชื่อมคนที่โกรธกันให้กลับมาญาติดีกันได้ มิหนำซ้ำยังพาให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีระยะใกล้กับนายกรัฐมนตรีระยะไกล มีปัญหาตามมาด้วย กลายเป็นวิกฤติใหม่ที่คาดไม่ถึงในขณะนั้น

ได้ข่าวมาเหมือนกันนะครับว่า ท่านใหม่ท่านก็มีสไตล์ของท่านเองอยู่ ไม่ชอบใจใครท่านไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมอยู่เหมือนกัน จึงควรคุยกันเสียให้ดี

จะได้ไม่พลาดบ่อยครับ.

-------------------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาษาซาอุ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ภาษาซาอุ
โดย : กาหลิบ

ความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นกรณีประวัติศาสตร์ที่มีความแปลกประหลาดมากที่สุดกรณีหนึ่ง เพราะเกิดขึ้นจากคดีขโมยเพชร การดำเนินคดีที่ยอกย้อน ยักยอก และยืดเยื้อยาวนาน การสังหารนักการทูตอย่างโหดร้ายทารุณ มาตรการโต้ตอบทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รุนแรง ฯลฯ ที่ไม่อาจแก้ไขได้จนบัดนี้

ล่าสุดนี้ รัฐบาลปัจจุบันของไทยยังเพิ่มความขัดแย้งขึ้นอีก เมื่อเออออกับมติแต่งตั้ง พลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภาค ๕ ผู้ต้องหาร่วมกับพวกทั้งห้าในการคดีการหายตัวของ นายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓ ให้เป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนใหม่

คดีที่กำลังระเบิดใส่หน้าท่านว่าที่คนนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่าหลักฐานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรวบรวมมานั้นเพียงพอและมีคำสั่งฟ้องแล้ว

แม้แต่ศาลก็นัดสืบพยานกันในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ นี้แล้วด้วย

แต่มาบัดนี้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจ ก็ออกมาพูดอย่างชัดเจนเป็นสาธารณะว่าคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยฯ พบว่าพลตำรวจโทสมคิดฯ ไม่มีความผิดและจะเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นคือให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งที่มาตรา ๙๕ ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ บอกไว้ชัดเจนเป็นภาษาไทยว่าหลักปฏิบัติต่อตำรวจผู้เป็นจำเลยในคดีอาญาหรือคดีที่มีความผิดร้ายแรงนั้นจะต้องทำอย่างไร

ไม่ได้บอกให้ช่วยกันล้างความผิดและรีบเลื่อนตำแหน่งเป็นบำเหน็จรางวัลให้แน่

สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียจึงออกแถลงการณ์ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า “...รู้สึกแปลกใจต่อความขัดแย้งระหว่างความหมายที่ชัดเจนใน พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ กับการปฏิบัติของคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ...” และ “...ความทุ่มเทของทั้งสองประเทศในการสะสางคดีที่คงค้างในปัจจุบันเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศโดยตรงเกรงว่าจะประสบความล้มเหลว...”

หลังจากออกฉบับแรกไปเมื่อ ๓ กันยายน ๒๕๕๓ อีกสามวันต่อมาในวันที่ ๖ ก็ออกอีกหนึ่งฉบับด้วยน้ำเสียงและเนื้อหาที่ “แรง” กว่าเดิม

สถานเอกอัครราชทูตฯ รู้สึก “...กังขาว่าการแต่งตั้ง พลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม ไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมายไทย แต่ยังขัดขวางโอกาสที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมด้วย...”

และ “...ซาอุดีอาระเบียคาดหวังจะได้เห็นความโปร่งใส ยุติธรรม และการไม่แทรกแซงคดีนี้...”

ตามภาษาและท่าทีทางการทูต แถลงการณ์ฉบับแรกและฉบับที่สองซึ่งห่างกันเพียงสามวัน และเนื้อความในฉบับหลังที่ชี้ถึงพฤติกรรม “ขัดขวาง” กระบวนการยุติธรรมของทางการไทย และดักคอว่าอาจจะมีการ “แทรกแซงคดี” นั้น คือการแสดงออกที่ชัดเจนโดยไม่ต้องตีความว่าซาอุดีอาระเบียเข้าใจซาบซึ้งทีเดียวว่าเกิดอะไรขึ้นในห้วงเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้

และหนักใจขนาดไหนที่จะคบค้าสมาคมกับไทยต่อไป

คิดแบบใจเขาใจเราดูบ้าง ถ้าคนของเราถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือคนเลวของประเทศอื่น แล้วพบว่ารัฐบาลของประเทศนั้นๆ ปกป้องคนเลวและแต่งตั้งคนเลวคนนั้นให้ดำรงตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้น ทั้งที่เราประท้วงต่อต้านอย่างชัดแจ้งมาโดยตลอด เราจะรู้สึกอย่างไร จะอยากคบกับประเทศนั้นต่อไปหรือไม่

นี่ล่ะครับคือความเห็นแก่ตัว ใจดำ และโลกแคบของผู้มีอำนาจในเมืองไทยปัจจุบัน ไม่สนใจใครอีกแล้วในโลกนี้ นอกจากตัวเองและผลประโยชน์โดยตรงของตน ขนาดคนชั่วที่ตัวเองใช้ไปฆ่าฟันและทำลายล้างศัตรูทางการเมืองอย่างผิดกฎหมายก็ส่งเสริมได้อย่างหน้าด้านๆ

ไม่ต้องเอา กอ.รมน. มาเตรียมการปิดประเทศอย่างพม่าหรอกครับ เดี๋ยวนี้แค่หาคนที่เขาอยากคบไทยก็ยากแล้ว.

-----------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ทางรอดวันนี้สีแดง (๒) โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ทางรอดวันนี้สีแดง (๒)
โดย : กาหลิบ

ตอนต่อในวันนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเป็น ส.ส. และอยากจะเป็นอีกทุกครั้งที่มีเลือกตั้ง หลังจากที่เขาคนนี้ได้อ่านบทความเรื่อง “ทางรอดวันนี้สีแดง” เมื่อสัปดาห์ก่อน
เขาพูดว่า “ผมอ่านที่คุณเขียนแล้วอยากบอกว่า มวลชนเสื้อแดงมีประโยชน์แน่ เพราะสุดท้ายก็จะช่วยหย่อนบัตรลงคะแนนให้พวกเรา ทำให้เราชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาลได้ แต่ระยะหน้าสิ่วหน้าขวานอย่าให้แสดงออกชัดเจนนักเลย เพราะที่ผ่านมาขบวนการเสื้อแดงก็อื้อฉาว จะทำให้เรามีศัตรูมาก”

ผมมองตาเขานิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง พยายามจะอ่านว่าสติปัญญาตื้นเขิน อุปนิสัยมักง่าย หรือความคิดของเขามีอันตรายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น สุดท้ายก็ต้องพูดกับเขาในสิ่งที่จะเขียนต่อไปจากนี้ และพูดโดยไม่ห่วงว่าจะเสียเพื่อนหรือไม่ ความคิดเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในหัวของคนๆ นี้คนเดียว ถ้าไม่ระงับยับยั้งกันไว้เสียแต่บัดนี้ ก็จะกลายเป็นพิษร้ายทำลายประชาธิปไตยได้

คุณรู้ตัวหรือไม่-ผมว่า-วันนี้พรรคของคุณเป็นฝ่ายพึ่งพาอาศัยมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่มีคนในชุดแดงเป็นสัญลักษณ์​ไม่ใช่มวลชนเขาพึ่งคุณ และไม่ได้มานั่งรอให้คุณใช้เขาเครื่องมือเอาชนะเลือกตั้งเท่านั้น เพียงแต่ว่ามวลชนยังขาดการจัดองค์กร ไม่มีทั้งองค์กรนำและแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจน จึงทำให้มวลชนต้องรวมตัวกันตามมีตามเกิด โดยยึดเอาแนวทางของแกนนำนั้นๆ เป็นหลัก หากแกนนำดีและมีประสิทธิภาพก็รวมตัวกันได้นาน ถ้าแกนนำล้าหลัง วางอำนาจ และขี้โกง ก็จะเกิดวิวาทบาดหมางกันจนกลุ่มสลายไป เช่นที่เกิดมาจนนับกลุ่มไม่ถ้วน

ปัญหาในวันนี้อยู่ที่คนแบบคุณไม่มีปัญญาจัดตั้งองค์การนำและเป็นแกนนำที่มีจิตใจสูงพอสำหรับมวลชนที่เขาจริงจังและจริงใจต่างหากเล่า คุณถึงได้ถูกจำกัดอยู่แค่เกมเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโลกทั้งโลกที่คุณรู้จัก ในขณะที่มวลชนตัวจริงเขากว้างขวางลึกซึ้งกว่าโลกแคบๆ นั้นมาก

เขาย้อนถามว่าแล้วจะให้ทำอะไร

สูงสุดของงานมวลชนในวันนี้คือการจัดตั้งทางความคิด ไม่ใช่การหาเสียงหรือจัดสร้างเครือข่ายหัวคะแนน ซึ่งเป็นงานรองที่ทำในภายหลังได้เสมอ

ความคิดที่ว่านี้คือ อนาคตของระบอบการเมืองการปกครองและโครงสร้างใหญ่ของเมืองไทย ที่มวลชนเสื้อแดงส่วนใหญ่เรียนรู้จากประสบการณ์ทางการเมืองเรื่อยมาตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปไตยที่ได้ผล มาจนถึงเหตุการณ์ชิงอำนาจไปจากมือของประชาชนจนกระทั่งบัดนี้ หากไปถามด้วยศัพท์แสงสูงๆ แบบนักวิชาการ คงจะพูดไม่ถูกกันนัก แต่ถ้าถามความต้องการที่มันเป็นเนื้อในของภาษาเหล่านั้น เขาตอบได้ฉาดฉานกันทุกคน

คุณต้องขอร้องให้มวลชนชวนกันเข้าร่วมในกิจกรรมทางปัญญาเหล่านี้กันมากๆ ถ่ายทอดทัศนะที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสมอภาค เสรีภาพ ความเคารพในกฎหมาย ความยุติธรรมที่บกพร่องอย่างหนัก สุดท้ายจึงชวนกันมาสู่กระบวนการเลือกตั้งภายใต้แรงกดดันทางสังคมเพื่อไม่ให้คดโกงในขั้นตอนดำเนินการและป้องกันการบิดพลิ้วเจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิ์

ไม่ใช่ขึ้นต้นก็เลือกตั้งกันเป็นบ้าเป็นหลัง ชนิดแทบจะฉุดมือกันไป แถมยังฉุนโกรธคนที่ตักเตือน ทั้งที่คุณก็ยืนยันไม่ได้ว่าเราจะได้รับการปฏิบัติอย่างอารยะสมตามหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ เมื่อ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ที่โดนโกงเจตนารมณ์ก็ยังไม่มีหน้าไหนวิเคราะห์ได้ว่าเหตุใดคราวนี้จะไม่เกิดการหักดิบเช่นนั้นอีก

สรุปแล้วคือ พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องทำตัวให้สมกับความเป็นเวทีสะท้อนทางการเมือง

ไม่ใช่สโมสรต่อรองผลประโยชน์หรือเฉือนคมกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญทางการเมือง

เดินเข้าพรรคก็อย่าให้มวลชนรู้สึกเหมือนเข้าธนาคาร ไม่มีบรรยากาศของความอบอุ่นและการแลกเปลี่ยนทางความคิดเลยแม้แต่น้อย

จัดกันแบบนั้นฮวงจุ้ยอีกห้าร้อยตำราก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้

ผมลงท้ายกับเขาไว้ว่า ถ้าเราจัดตั้งเสื้อแดงอย่างจริงจัง เราจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้เสมอ.

---------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

"อย่าลืมสุรเกียรติ์" โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : อย่าลืมสุรเกียรติ์
โดย : กาหลิบ

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๓ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาคดีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทย์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ว่า หมิ่นประมาทตนในรายการโทรทัศน์ของสถานี ASTV เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ ผลคือศาลเห็นว่าผิดตามฟ้องจริง และสั่งจำคุกจำเลยคนละ ๖ เดือน ปรับคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท แต่สุดท้ายให้รอลงอาญา ๒ ปี เนื่องจากไม่เคยถูกจำคุก และเห็นว่าเป็นการกระทำความผิด “เนื่องจากความเคารพรักต่อสถาบันกษัตริย์”

เรื่องนี้จะเสียดแทงใจใครว่าความยุติธรรมไทยมันช่างมีเงื่อนไขที่แสลงต่อหลักสากลโลก หรือจะลิงโลดดีใจแบบคนคิดตื้นๆ ว่ากระบวนการไทยให้ความยุติธรรมได้จริงก็ช่างเถิด สิ่งที่อยากเตือนดังๆ คือ อย่าลืมว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับอีกคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ทั้งนายสนธิ นางสโรชา หรืออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่เป็นเหตุแห่งคดีความ คนที่ว่านี้คือ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณฯ นั่นเอง

ใจความของคดีนี้คือ คำกล่าวที่นายสนธิและนางสโรชาอ้างว่าเป็นของนายสุรเกียรติ์ และเป็นที่อ้างกันอย่างกว้างขวางต่อไปอีกว่า อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวคำพูดที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับบุคคลในสถาบันระดับสูงของไทยให้ตนฟัง ตนฟังแล้วก็ตัดสินใจถอนตัวจากรัฐบาลนั้นด้วยความไม่พอใจ

ประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งแวดล้อมการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ อยู่นี้ ความจริงแล้วก็ยังมืดมนสิ้นดี เพราะผู้อยู่เบื้องหลังการทำลายประชาธิปไตยในครั้งนั้น ก็ยังครองอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในปัจจุบัน เขายังมีอำนาจล้นพ้นในการปกปิดอำพรางความจริงในสังคมไทย คดีความที่ศาลอาญาชี้ว่าผิดจนต้องจำคุกกันถึงสองปีนี้ จึงเป็นกุญแจอีกดอกที่อาจช่วยไขให้สาธารณชนได้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยกันแน่ และไอ้โม่งใหญ่ที่เป็นเงาดำทาบทับสรรพสิ่งทุกอย่างที่เป็นของปวงชนชาวไทยนั้น มันคือผู้ใด

คำถามคือนายสนธิและนางสโรชารู้ได้อย่างไรว่าอดีตนายกรัฐมนตรีพูดอะไรกับนายสุรเกียรติ์ ซึ่งเป็นการพูดในที่ลับอันเป็นรโหฐาน และหากมาจากคำบอกเล่าของนายสุรเกียรติ์เอง เพราะเหตุใดนายสุรเกียรติ์จึงไม่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย?

ถ้านายสุรเกียรติ์ไม่ได้บอกเล่า หรือเรื่องนี้ไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เป็นเพียงการยกเมฆของนายสนธิและนางสโรชา ก็ต้องถามต่อว่าเหตุใดนายสุรเกียรติ์จึงไม่ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีและฟ้องร้องนายสนธิและนางสโรชาที่ทำให้ตนเองต้องเสียชื่อเสียงหรือทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดเล่า?

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงตรรกะว่า อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่ใช่คนไร้ปัญญาหรือควบคุมตนเองไม่ได้จะไปพูดอย่างนั้นต่อคนอย่างนายสุรเกียรติ์ได้อย่างไร ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า นายสุรเกียรติ์ผู้นี้คือสามีของท่านผู้หญิงสุธาวัลย์ เสถียรไทย พระราชขนิษฐาแท้ๆ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ?

วิเคราะห์จากภาพรวมแล้ว จึงต้องสงเคราะห์ว่าคดีนี้ช่วยฉายไฟกลับไปหานายสุรเกียรติ์อีกครั้งหลังจากพยายามทำตัวเงียบเพื่อให้สังคมลืมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีไปเสียให้สิ้น

คำถามเชิงประวัติศาสตร์คือนายสุรเกียรติ์มีบทบาทอย่างไรในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ โดยเฉพาะต่อการให้ข้อมูลกับอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ได้รับข้อมูลนั้นแล้วก็ตัดสินใจไม่ขึ้นกล่าวปราศรัยในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ทั้งๆ ที่เลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้นยืนยันให้สิทธิ์

สละโอกาสจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไปอย่างน่าเสียดายและน่าเสียใจเป็นที่สุด

ทำไมนายสุรเกียรติ์ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงไปอยู่ในห้องพักของอดีตนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหารและดูเหมือนจะมีบทบาทอย่างสูงในการตัดสินใจยามคับขันนั้น?

นายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และแม้กระทั่งนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและผู้ใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ที่ใดและมีบทบาทอย่างไรในเวลานั้น?

เรากำลังพูดเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้วก็จริงอยู่ แต่ประโยชน์ของประวัติศาสตร์คือทำให้เราเข้าใจได้ชัดและซาบซึ้งขึ้นว่าเหตุใดปัจจุบันจึงเป็นเช่นนี้ ใครทำให้ประเทศชาติและประชาชนต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้?

ความเลวร้ายเบื้องหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เริ่มจากแหล่งใดและด้วยวิธีการใด ย่อมมีความหมายมากต่อการวิเคราะห์ปัจจุบันและพยากรณ์อนาคตของเมืองไทย

ตั้งต้นจากคดีสนธิ-สโรชา-สุรเกียรติ์นี่ไปก็ได้ครับ.
------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

ทางรอดวันนี้สีแดง โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ทางรอดวันนี้สีแดง
โดย : กาหลิบ

มีข่าวเข้าหูมาเรื่อยๆ ว่า สมาชิกและแม่ยกของพรรคเพื่อไทยบางส่วน ซึ่งหวังว่าจะเป็นส่วนน้อย เชื่อว่าคนเสื้อแดงคือปัญหาทางการเมืองของฝ่ายตน จึงมีความพยายามอย่างเงียบๆ ที่จะแยกคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยออกจากกัน โดยหวังว่าวิธีนี้จะส่งเสริมชัยชนะในการเลือกตั้งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

หลังฉากน่ะก็ดูแลสนับสนุน แต่หน้าฉากจะทำมึนตึงหรือเย็นชาเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน

ฟังเผินๆ ก็อยากบอกว่าช่างฉลาดล้ำลึก แต่วิเคราะห์เข้าจริงๆ แล้วมันอ่อนด้อย ล้าหลัง และน่าเวทนาจนไม่รู้จะแกล้งชมอย่างไร

ประเด็นใหญ่มีแค่ ๒ ประเด็นเท่านั้น

หนึ่ง-พรรคเพื่อไทยในวันนี้มีแต่คนเสื้อแดงเป็นพวกและพร้อมจะเป็นฐานขึ้นสู่อำนาจให้ คนอื่นๆ เขาพร้อมจะผสมพันธุ์กับเหลือง ชมพู และหลากสีเพื่อความอยู่รอดของเขามานานแล้ว

สอง-มหาอำมาตย์ใหญ่และโคตรเหง้าศักราชของเขาบวกด้วยเหล่าขี้ข้าม้าครอกทั้งฝูง เขาขึ้นใจเสียแล้วว่าคนเสื้อแดงคือฝ่ายประชาธิปไตยและเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เกมดัดจริตที่ว่าด้วยแยกกันเดิน-รวมกันตีนั้น จะเอาไปเล่นลิงหลอกเจ้าที่ไหน?

แค่สองประเด็นนี้ก็ควรตั้งสติได้แล้วนะครับว่า พรรคเพื่อไทยควรมีนโยบายการเมืองอย่างไรต่อมวลชนคนเสื้อแดง

ผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยต้องลงไปหยุดกระแสงี่เง่านี้และสวมกอดมวลชนคนเสื้อแดงอย่างไม่ต้องลังเลสะทกสะท้านใดๆ เลย

ประกาศเป็นนโยบายของพรรคหรืออย่างน้อยให้เป็นมติกรรมการบริหารไปเลยว่า มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยคือมวลชนของเรา และสั่งให้ผู้สมัคร ส.ส. ในอนาคตออกไปสนับสนุนอย่างเปิดเผย

อย่ามาพูดท่านั้นท่านี้ว่า เป็น ส.ส. ก็ต้องเล่นในสภา จะไปเล่นนอกสภาไม่ได้

ยางหัวยังไม่ตกกันอีกหรือว่าเขาใช้ความดิบเถื่อนยึดได้ทั้งสภา ทั้งทรัพย์สินชั่วชีวิตของคุณและครอบครัว แถมยังฆ่าคุณได้หน้าตาเฉยอีกด้วย จะยังไม่สำนึกในความจริงแล้วกราบขอร้องให้มวลชนปกป้องเราจากภัยรัฐประหารและอื่นๆ เพื่อเราจะได้อยู่รอดไปทำงานรับใช้มวลชนอีกต่อหนึ่งอีกหรือ?

อย่ามาอ้างว่ามวลชนที่เป็นกลางเขาไม่ชอบความวุ่นวายในบ้านเมือง เขาอยากให้สงบและเลือกตั้ง ใครคิดอย่างนี้หัดออกไปฟังเสียงให้ไกลจากสำนักงานเลือกตั้งหรือกลุ่มก๊วนของตัวเองอีกสักหน่อยเถอะ จะได้รู้ว่ามวลชนคนเดินดินตัวจริงเสียงจริงเขารอคอยให้เมืองไทยเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินกันขนาดไหน

สมัยที่มีเวทีสนามหลวง ทำเนียบรัฐบาล ผ่านฟ้า และราชประสงค์ เราเตือนกันด้วยความหวังดีว่า ระวังแกนนำจะล้าหลังกว่ามวลชน

ตอนนี้ต้องเอามาขยายว่า กรุณาระวังว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ท่านสมาชิกพรรค และท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย จะล้าหลังกว่ามวลชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง

ใครทำตัวห่างเหินกับเสื้อแดงในวันนี้ ก็เท่ากับยอมรับสภาพเดิมของผู้มีอำนาจเก่า นั่นคือยอมรับในนโยบายทำลายประชาธิปไตยและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยของเขา

ใครกระโดดเข้าสวมกอดคนเสื้อแดงวันนี้ เท่ากับอ่านกระแสออกวิเคราะห์สถานการณ์ทัน และพูดโดยไม่ต้องพูดเลยว่าพร้อมจะยืนเคียงข้างมวลชนและสู้อย่างถึงที่สุด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากให้มันเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเลยแม้แต่คำเดียว

ใครจะเล่นเกมดัดจริตและรอให้เขายุบพรรคเป็นครั้งที่สามก็รอไปเถอะครับ แต่ควรรู้ว่าน้ำอดน้ำทนของมวลชนท่านก็มีขีดจำกัด และเขาฉลาดพอที่จะไม่เกาะอะไรที่มันลอยตามน้ำมา เพราะนอกจากเหม็นมือแล้วยังยึดเป็นหลักอะไรไม่ได้เอาเลย

มวลชนเขาจะเอาประชาธิปไตยอย่างเดียว ระบบใต้ตีนใครเขาไม่เอา

และทางรอดในวันนี้มีแต่สีแดงเท่านั้น.

------------------------------------------------------------------------------