ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สิทธิ์ในการฆ่าคน โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สิทธิ์ในการฆ่าคน

โดย กาหลิบ


    

ใครไม่รู้ว่าเมืองไทยเราอยู่ในระบอบเผด็จการซ่อนรูปและหลงละเมอว่าจะพัฒนาประเทศลูกเดียวโดยไม่พัฒนากลไกการเมืองเลยนั้น ถือเป็นความหลงชนิดใหม่ ใครไม่เคยได้ยินว่า ประชาธิปไตยเมืองไทยเป็นละครสลับฉากของผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ถือว่าประสาทหูพิการ และใครมองไม่เห็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างกำลังนำไปสู่ความสูญเสียในสิทธิ์การเมืองของประชาชนอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก ก็ต้องถือว่าตาบอดไม่น้อยไปกว่าเขา

    

หลักฐานชิ้นใหม่คือ ผลสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเรียกว่าเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ ที่ปัจจุบันนำโดยตัวประธานคือคุณอมรา พงศ์ศาพิชญ์

    

สิ่งที้เกิดขึ้นสองอย่างคือ หนึ่ง-การเลื่อนเผยแพร่รายงานดังกล่าวนั้นให้พ้นจากการเลือกตั้ง สอง-เนื้อความรายงานที่สรุปว่าการฆ่าหมู่ประชาชนเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ รัฐบาลเป็นฝ่ายถูก และประชาชนเป็นฝ่ายผิด

    

สองประเด็นนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้ง

    

สาระสำคัญของรายงานฉบับนี้ระบุว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นการก่อการร้ายตามความหมายของกฎหมายไทย เพราะมีกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมมูล รัฐบาลชุดนั้นจึงมีสิทธิที่จะใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมได้ รัฐบาลจึงไม่มีความผิด 

    

แต่รายงานกลับมิได้ชี้ข้อเท็จจริงว่า ประชาชนที่ถูกสังหารอย่างจงใจด้วยการใช้พลแม่นปืนจ่อยิงเป็นคนๆ ในที่โล่งแจ้งและในเวลากลางวันแสกๆ นั้น มิได้มีอาวุธใดในตัวเลย หากกองกำลังติดอาวุธมีจริง เหตุใดเหยื่อเหล่านี้จึงมิได้รับการปกป้องคุ้มครองใดๆ อาวุธเล็กน้อยที่อ้างกันว่าค้นพบในที่ชุมนุมก็เป็นอาวุธพกพาส่วนบุคคลทั้งสิ้น ตามหลักฐานอันชัดเจนในมือเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ

    

เราจึงต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อ “องค์การอิสระ” ของคุณอมราฯ ว่าเอาสิ่งใดมายืนยันความชอบธรรมของรัฐบาลชุดนั้นในการฆ่าประชาชน 

    

จะปล่อยโจรเข้าวัดทั้งที ควรตรวจสอบให้รัดกุมเพื่อรักษาพระศาสนาเสียหน่อยไม่ดีหรือ?

    

เมื่อรู้ว่าผลสอบสวนเป็นเช่นนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีมติในหมู่กันเองเลื่อนการเผยแพร่ผลการสอบสวนนั้นมาจนหลังการเลือกตั้ง ๓ ก.ค. ๒๕๕๔ 

    

ชะรอยจะกลัวว่าความแค้นของประชาชนผู้สนับสนุนขบวนประชาธิปไตยจะกระทบต่อการเลือกตั้ง เพราะเลือกตั้งเที่ยวนั้นมีทั้งพรรคเหยื่อและพรรคฆาตกรมือเปื้อนเลือดลงสนามกันพร้อมหน้าตามคติปรองดอง 

    

ถ้าเป็นอารยประเทศที่มีกรอบความคิดที่ก้าวหน้ากว่าปรองดองระหว่างพระกับโจรแล้วนำมาหารสอง การเลื่อนสาระสำคัญของสังคมเช่นนี้ย่อมชวนให้เราสอบสวนทวนพยานกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้เจ้าของประเทศได้รู้ว่าเขาเป็น “อิสระ” กันเพื่ออะไรและเพื่อใคร

    

ถามชัดๆ คือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นคณะกรรมการเพื่อสิทธิของใครกันแน่

    

สิทธิของรัฐ?

    

สิทธิของศักดินา?

    

สิทธิที่จะครองอำนาจเผด็จการ? 

    

สิทธิของระบบราชการและข้าราชการหรือคนของรัฐโดยรวม?

    

แค่สี่กลุ่มข้างบนนี้อ้างใช้สิทธิ์ ก็ไม่เหลืออะไรในกรอบมนุษยชนให้ประชาชนไปเรียกร้องส่วนแบ่งด้วยแล้ว 

    

เหมือนเรื่องงบประมาณที่เทียบกับไอศครีมแท่ง คนข้างบนเลียคนละแผล็บแล้วส่งต่อลงมาจนถึงประชาชน ประชาชนคนสุดท้ายก็ได้แต่ไม้เปล่าๆ หรือบางทีไม่เหลือไม้เลยด้วยซ้ำ 

    

อำนาจอธิปไตยก็ไม่ต่างจากนั้น

    

เราจะจดจำสาระของรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติครั้งนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาเหมาะควรเราจะได้ยกบัญชีผู้ทำลายประชาธิปไตยขึ้นสู่ศาลประชาชนในคราวเดียว.



--------------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

งูอยู่ในบ้าน โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง งูอยู่ในบ้าน

โดย กาหลิบ


แรกที่สุดขอแสดงความยินดีกับ ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ในฐานะไทยรักไทยคืนชีพ เหมือนที่เคยแสดงความยินดีกับพรรคพลังประชาชนมาแล้วครั้งหนึ่ง กว่าจะเป็นเสียงข้างมากในวันนี้ แต่ละท่านก็ได้ช่วยฝ่าฟันอุปสรรคทางเทคนิคต่างๆ มาอย่างทรหดอดทน เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อยก็เป็นกำลังใจสำหรับมวลชนผู้สละชีวิตและวิญญาณให้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมานานปี

แต่สิ่งที่ตามมาติดๆ คือคำเตือนว่าอย่าประมาท เรา ชนะในระบบเลือกตั้งเพราะประชาชนท่านมุ่งมั่นศรัทธาอย่างท่วมท้น จนผู้อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจให้เราเข้าสู่อำนาจรัฐในขั้นต้นและไม่ท้าทายอำนาจของประชาชนในขั้นตอนนี้

ผู้ที่ก่อรัฐประหารมาแล้ว สั่งฆ่านายกรัฐมนตรีเลือกตั้งมาแล้ว และสั่งฆ่าหมู่ประชาชนที่ไร้อาวุธใน เวลากลางวันแสกๆ กลางถนนของเมืองหลวงมาแล้ว เราจะหวังให้เขาสยบยอมต่อมติมหาชนง่ายๆ ได้หรือ

คำถามคือเขาจะเดินหมากในศึกชิงเมืองครั้งนี้ต่อไปอย่างไรมากกว่า

งานของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยชี้นำจึงมี ๒ ส่วน ได้แก่ การบริหารราชการแผ่นดินตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง กับการปกป้องระบอบประชาธิปไตยจากศัตรูรอบด้าน

อุปมาเหมือนเราได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่สวยงามจับตา เราตื่นเต้นยินดีและช่วยกันลงแรงตกแต่งบ้านจนน่าอยู่ บางคนทาสี บางคนถูพื้น บางคนรดน้ำต้นไม้ บางคนต่อไฟ ต่างช่วยกันตามความรู้ความสามารถของตน ไม่นานบ้านนั้นก็จะพร้อมมูลและให้ความผาสุกกับผู้อยู่อาศัยได้ยิ่งขึ้น

ปัญหาคือบ้านหลังนี้มีงูพิษแอบอยู่ในซอกมุม มันเห็นคนมากมันก็หลบลึกเข้าไปในมุมมืดจนเรามองไม่เห็นตัว เพราะมันรู้ดีว่าหากออกมาเลื้อยแสดงตัวชัดเจน คนในบ้านคงรุมตีตายแน่

สิ่งที่เจ้าบ้านต้องช่วยทำคือ พร่ำเตือนและชี้ซอกมุมต่างๆ ที่งูเหล่านั้นอาจเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ เราต้องบอกคนในบ้านให้อยู่ในความรอบคอบระมัดระวังเสมอ เพราะเรายังไม่รู้ว่ามีงูกี่ตัว แต่ละตัวมีพิษสงร้ายกาจขนาดไหน

หากไม่คอยเตือนให้ต่อเนื่อง คนในบ้านอาจเพลิดเพลินเจริญใจกับบ้านใหม่ และแสวงหาความสำราญกันอย่างเต็มที่ จนพลาดท่าเสียทีถูกงูมันฉกกัดตายได้ในบ้านที่สวยงามนั้นเอง

เราเคยผ่านประสบการณ์ของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์มาแล้ว โรคเห่อชัยชนะจนลืมระวังพิษพยาบาทของศัตรูที่อยู่รายล้อมนั้น อาการสำคัญขั้นตรีทูตคือความล้มเหลวและความเสียหายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบอบประชาชนทั้งๆ ที่ประชาชน ชนะแล้วอย่างน่าภูมิใจ

ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัจจัยเก่าๆ ที่ยังไม่เปลี่ยน อาทิ

กองทัพที่ยังยืนยันในใจว่าตนเองไม่รับคำสั่งจากรัฐบาล โดยเฉพาะกองทัพบก และโดยเฉพาะกับรัฐบาลของประชาชน เพราะถือว่ารัฐบาลเป็นเพียง จ็อคกี้ที่ขี่ม้าให้กับเจ้าของคอกผู้อยู่เหนือขึ้นไปในโครงสร้างของอำนาจรัฐ ความหมายลึกลงไปอีกชั้นคือเป็นกองทัพรอรับคำสั่งจากผู้ที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้นเอง หรือจะเรียกว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็คงจะไม่ห่างจากความจริงนัก ซึ่งอาจเป็นคำสั่งให้ทำลายรัฐบาลนั้นได้ทุกเมื่อด้วย

สถาบันตุลาการที่ตัดสินคดีความตามนโยบายการเมืองของผู้มีบารมีฯ ถึงผู้พิพากษาที่เป็นไทแก่ตนเองจะมีมากและแสดงตัวชัดเจนอย่างกล้าหาญขึ้น แต่กระแสหลักของอำนาจศาลยังเป็นไปเพื่อการรักษาระบอบและสถานภาพเดิม (status quo) ของผู้มีบารมีฯ กฎหมายปัจจุบันจึงยังเดินตามหลักเดิมของกฎหมายตราสามดวงที่ชนชั้นปกครองทั้งสามส่วนรวมอำนาจกันอย่างลงตัวและตัดประชาชนออกไปเสียจากสมการนั้น

สื่อมวลชนกระแสหลักที่ยังถูกควบคุมด้วยสัญญา สัมปทาน ใบอนุญาต และผลประโยชน์ร่วมกับผู้มีอำนาจรัฐในทางอื่นๆ ถึงขั้นสะกดจิตตัวเองให้เห็นแต่ความดีงามอันล้นพ้นของฝ่ายหนึ่ง หรือหลอกตัวเองว่าอีกฝ่ายหนึ่งเลวทรามต่ำช้าจนคบไม่ได้ สุดท้ายก็เลยยืนคนละข้างกับมวลชนทั้งที่เรียกตัวเองอย่างเท่ว่าสื่อมวลชน ว่างปากขึ้นมาก็เรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคต่างๆ เสมือนตนเองมีเกียรติตามธรรมชาติอย่างสื่อสากลเขา

องค์กรที่มิใช่รัฐ หรือ NGOs สายที่ประสานประโยชน์กันอย่างลงตัวแล้วยกเอาบารมีของตนไปค้ำประกันความมั่นคงให้กับเจ้าของประเทศไทย โดยลืมประชาชนที่ตนเองเอามาอ้างทำมาหากินเสียสิ้น เราจึงได้ยินชื่อของนายแพทย์ประเวศ วะสี คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ฯลฯ เสมอๆ เมื่อมีการปรับดุลอำนาจและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ท่านผู้มีชื่อเสียงกึกก้องเหล่านี้จะยกอำนาจทางศีลธรรมจริยธรรม (moral authority) มาชี้นำรัฐบาลนั้นๆ ให้เห็นโลกอย่างที่ตัวเองเห็น และทำให้เงินทองไหลมาในทางเดียวกันนั้นด้วย ในฐานะเงินสนับสนุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้มิได้เปลี่ยนไปตามมติมหาชนเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และไม่ได้แปรผันตามการสู่อำนาจของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเลย

ใครใกล้ศูนย์อำนาจของพรรคเพื่อไทยก็โปรดเป็นรัฐบาลไปให้ดีที่สุด นำอำนาจรัฐมาแปลงให้เป็นผลประโยชน์แก่มวลชนให้มากที่สุด แต่คนที่ไกลออกมาหน่อยหรือไม่ประสงค์จะวิ่งเข้าไปใกล้ ก็โปรดอยู่ด้วยกันในรอบนอกนี้ต่อไปเถิด ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กว้างไกลและลึกซึ้งกว่านี้กำลังจะเกิด และยังต้องการทุกท่านให้มาช่วยเป็นกำลังสนับสนุนอยู่

ขอความกรุณาท่านพี่น้องสองชินว่า อย่าเอาไข่ไปใส่ในตะกร้าเดียวกันหมด ตกแตกเมื่อไหร่ขบวนประชาธิปไตยอาจจะเสียหายอย่างแก้คืนไม่ได้.

---------------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เลือกตั้ง ๓ ก.ค. ในฐานะเส้นแบ่ง โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เร่ือง เลือกตั้ง ๓ ก.ค. ในฐานะเส้นแบ่ง 

โดย กาหลิบ


    

แม้ในหมู่คนที่ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ จะทำให้เราเป็นประชาธิปไตยสูงขึ้น ก็ยังมีแลเห็นความสำคัญของกิจกรรมการเมืองในครั้งนี้อยู่มาก ซึ่งอาจต่างทัศนะกับคนที่เชื่อมั่นศรัทธาใน “การปรองดอง” และ “การคืนอำนาจให้กับประชาชน” 

    

ในขณะที่ผู้เชื่อมั่นศรัทธาอาจคิดว่า โครงสร้างทางการเมืองไทยและระบบโบราณของไทยมิได้เลวร้ายขนาดที่เราเชื่อ แต่เป็นตัวบุคคลที่ยังมีความดีงามในใจพอที่จะยอมรับการรอมชอมแบบไทย และสุดท้ายคงจะจบลงอย่างชื่นมื่นเหมือนหนังไทยยุคเก่า คนที่มองสังคมไทยอย่างวิเคราะห์มานานและเลือกเส้นทางปฏิวัติกลับฉวยเอาการเลือกตั้งครั้งนี้มาเป็นเครื่องมือสื่อสารทางสังคมในแนวทางของตน เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้จะช่วยบอกอะไรมากกว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

    

การเลือกตั้งครั้งนี้บอกอะไรเราได้บ้้าง?

    

ประการแรก การเลือกตั้งครั้งนี้จะบอกเราว่าระบอบโบราณของไทยยังขับเคลื่อนเครือข่ายของเขาเพื่อต่อต้านระบอบประชาชนอยู่แค่ไหน เราไม่ได้มองเฉพาะหน่วยงานเล็กๆ อย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เป็นอิสระจากประชาชนแต่ไม่เป็นอิสระจากมือที่มองไม่เห็น แต่เราพูดถึงเครือข่ายที่มีกลไกครอบงำในระดับชาติและแม้กระทั่งข้ามชาติ ได้แก่ กองทัพแห่งชาติ (เน้นที่กองทัพบก) สถาบันตุลาการ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ทุกๆ หน่วยรวมกระทั่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย องค์กรสื่อสารมวลชนภาครัฐ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น 

    

เรารู้ดีว่าหน่วยงานเหล่านี้มีภารกิจหลัก ๒ ประการ คือเสริมสร้างอำนาจ และช่วยรักษาอำนาจเหนือรัฐของระบอบดั้งเดิมที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย ที่มาของหน่วยงานและตัวบุคคลก็ชี้ชัดว่ามิได้ยึดโยงกับประชาชนโดยตรงเลย เมื่อประชาชนลุกขึ้นสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค จึงไม่อาจพึ่งหวังหน่วยงานและตัวบุคคลเหล่านี้ได้ กองทัพจึงสาดกระสุนใส่ประชาชน ศาลจึงส่งคนเข้าคุก องค์กรอิสระจึงดีดดิ้นอธิบายความที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามกับประชาชน ฯลฯ

    

การเลือกตั้ง ๓ ก.ค. ๒๕๕๔ จะบอกถึงวงจรอุบาทว์อย่างนี้หรือจะเริ่มแสดงความยอมรับในสิทธิตามธรรมชาติของประชาชน นี่คือสิ่งที่เราต้องจับตาและเรียนรู้

    

ประการที่สอง เราใช้การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งผู้คนในขบวนประชาธิปไตยออกได้อย่างชัดเจน แนวการแบ่งคร่าวๆ ก็คือระดับความเป็นประชาธิปไตยและยุทธวิธีที่ใช้ในการบรรลุถึงเป้าหมายนั้น

    

ได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่า ขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดงปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนคือ


    ๑. แดงเลือกตั้ง

    ๒. แดงยุติธรรม

    ๓. แดงปฏิวิติ


แดงเลือกตั้งนั้นหวังไว้สูงว่า การเลือกตั้งจะแก้ไขปัญหาทางตันทางการเมืองได้ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ผู้สนับสนุนแนวทางนี้เชื่อว่าความฉ้อฉลในระดับระบอบไม่มีจริง มีแต่คนชั่วไม่กี่คนที่แฝงตัวอยู่ ประชาชนเอาชนะได้ด้วยการแสดงพลังผ่านกระบวนการเลือกตั้ง 

    

แดงกลุ่มนี้ไม่อยากตอบคำถามหรือไม่อยากคิดถึงบทเรียนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ ที่เราได้อำนาจกลับคืนมาด้วยการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน จนได้รัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย แต่ก็ถูกโค่นล้มทำลายอย่างสิ้นเชิงด้วยกลไกพันธมิตรฯ องค์กรอิสระ และศาล เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็ตอบลำบากว่าทำไมเลือกตั้งเที่ยวนี้จึงจะต่างจากปีนั้น ฝ่ายประชาชนไม่ได้มีอำนาจต่อรองใดๆ มากขึ้นระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๔ แถมเรายังถูกฆ่าตายและถูกทำลายขบวนการอย่างโจ่งแจ้งขึ้น ถึงจำนวนประชาชนเสื้อแดงจะล้นหลามอย่างน่าประทับใจไม่เสื่อมคลาย แต่เขาก็ฆ่าเราทั้งๆ ที่มีมวลชนอันมหาศาลเช่นนั้นมาแล้วมิใช่หรือ?

    

หากการเลือกตั้งล้มเหลวลง แดงกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกจะกลายเป็นแดงอนุรักษ์นิยม ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่และถอดใจไม่อยากต่อสู้ยกระดับอีก แต่ส่วนที่สองจะฮึดสู้ และกลับมายอมรับว่าเราต้องวางยุทธศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนที่สูงกว่าแค่ร่วมเลือกตั้งในระบอบของเขา

    

แดงยุติธรรมคือแดงที่ใฝ่หาความยุติธรรมและความเป็นธรรม เชื่อว่าเมืองไทยมีปัญหาในระดับระบอบและโครงสร้าง แต่อาจยังไม่พร้อมต่อการต่อสู้ในแนวปฏิวัติ

    

แดงปฏิวัติคงไม่ต้องอธิบายความให้มาก กลุ่มนี้เชื่อมั่นว่า เมืองไทยถึงคราวเปลี่ยนแปลงในขั้นพื้นฐานแล้ว มิฉะนั้นจะแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริงไม่ได้ นโยบายระดับเครื่องสำอางที่โปะลงไปบนหน้าตาของสังคมแทนที่จะทำศัลยกรรมเปลี่ยนรูปโฉม จะไม่ได้ผลอย่างยั่งยืน และประชาชนแท้จริงก็จะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ในระยะกลางและระยะยาว

    

การเลือกตั้งครั้งนี้จะบอกเราได้ว่า แดงไหนคือใครและมีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใดบ้าง บางทีการศึกษาที่เจาะลึกเข้าไปในสมองได้ ก็คือความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ต้องสั่งสอนกันไปชั่วลูกชั่วหลานก็มี

    

วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ที่จะนำมาซึ่งเหตุการณ์ปลีกย่อยอีกมากมายหลายอย่าง จึงเป็นเส้นแบ่งของสังคมไทยโดยแท้.


--------------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความโดดเดี่ยวของไทย โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ความโดดเดี่ยวของไทย

โดย กาหลิบ

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากคุณสุวิทย์ คุณกิตติในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ แจ้งการถอนตัวของไทยต่อที่ประชุมมรดกโลกขององค์การยูเนสโก และเดินออก กลไกของระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยไทยก็ประโคมข่าวกันใหญ่โตว่าไทยได้รับชัยชนะ สื่อกระแสหลักเอาตัวคุณสุวิทย์ฯ ขึ้นบ่าประหนึ่งเป็นวีรชนคนสำคัญ ผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกรับลูกว่าจะเตรียมพร้อมทางทหารไว้รับมือ และพันธมิตรฯ ถือโอกาสยุติการชุมนุมที่มีคนเข้าร่วมเบาบางจนผีแทบ จะหลอกอยู่แล้ว

ละครเรื่อง ชิงคืนปราสาทพระวิหารเล่นมาถึงบทเร้าใจให้ฮึกเหิม ชิงโอกาสพูดก่อนที่ใครเขาจะเถียงทันว่าผู้แทนไทยสุดยอด ไม่ยอมลดราวาศอกให้ฝ่าย ผู้รุกรานแม้แต่นิ้วเดียว คนที่ไม่รู้เรื่องใดๆ เลยอย่างคุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ออกมาตามแห่กับเขาโดยหวังเอาคะแนนเสียงเลือกตั้ง

แต่พอฝุ่นหายตลบ สติเริ่มกลับคืนสู่ที่ตั้ง ก็รู้ทันทีว่าประเทศไทยกำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในยูเนสโกต่างหาก

ความจริงที่ปรากฎขึ้นเกือบทันทีคือ ตัวแทนของรัฐบาลไทยชุดนี้หมดความสามารถที่จะขอเลื่อนการพิจารณาเรื่องปราสาทพระวิหาร และที่ประชุมกำลังจะลงมติไปทางฝ่ายกัมพูชา ก็เกิดคำสั่งด่วนไปจากกรุงเทพฯ ในทันทีว่าให้คุณสุวิทย์ฯ ถอนตัวจากสนาม โดยหวังว่าท่าทีนั้นจะทำให้ทุกอย่างชะงักงันไป

หนังสือที่ผู้อำนวยการยูเนสโกที่มีมาถึงรัฐบาลไทยทันทีนั้น นอกจากแสดงความเศร้าใจที่รัฐบาลไทยถอนตัวจากกระบวนการสากลอย่างไม่ควรแล้ว ยังยืนยันว่า การพิจารณาเรื่องปราสาทพระวิหารมีทางออกต่างๆ อีกมากไม่ใช่ทางตันอย่างที่รัฐบาลไทยแสดงออก ซึ่งเป็นคำตำหนิกลายๆ ว่าพฤติกรรมเยี่ยงเด็กน้อยเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นเลย

คำถามในงานนี้จึงมีเพียงสองข้อ

เหตุใดจึงมีคำสั่งถอนตัวในนาทีสุดท้าย?

และใครสั่ง?

คำถามแรกนั้นตอบไม่ยาก ความจริงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงสองคนได้ออกมาแถลงข่าวชัดเจนแล้ว นั่นคือคุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทยและคุณนพดล ปัทมะ ว่าเหตุผลแท้จริงในเรื่องนี้ไม่ใช่การแสดงความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องอธิปไตยของไทยอะไรเลย แต่คือความตระหนักว่าประเทศไทยขณะนี้ไร้แนวร่วมในประชาชาติต่างๆ มากพอที่จะเดินหน้าต่อสู้ในเรื่องนี้ต่อไปต่างหาก

พูดแบบบ้านๆ คือ ขาดเพื่อน ไร้พวก

ซึ่งเกิดขึ้นเพราะแนวทางการเมืองศักดินา-ไพร่ในปัจจุบันกำลังจับประเทศไทยทั้งประเทศถอยไปสู่ความเป็นเผด็จการสุดขั้ว ถึงขนาดสงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้นได้

กรณีข้ามชาติอย่างปราสาทพระวิหารนั้น ประชาคมระหว่างประเทศเขารู้กันทั่วว่า ระบอบโบราณของไทยเป็นผู้จุด จุดด้วยความแค้นของคนชรา โดยสั่งพันธมิตรฯ ให้ทำหน้าที่เผาหัว แล้วลากกองทัพกับรัฐบาลเข้ามาพัวพันด้วยจนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนและมั่วซั่วกันไปหมดทั้งยวง เพราะฐานกฎหมายที่ใช้ในเรื่องนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากคราวที่ไทยแพ้คดีกรรมสิทธิ์เหนือองค์ปราสาทฯ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ เลย จึงไม่มีฐานใหม่ใดๆ ที่ไทยจะปลุกผีเรื่องนี้ขึ้นมาหลอกกัน

เมื่อเรื่องไม่มีมูลมาตั้งแต่ต้น ประชาคมระหว่างประเทศเขาก็เลยขาดความสนใจในเรื่องนี้และคงคิดว่าผู้นำระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยคงจะได้สติในเวลาไม่ช้านาน

กำจัดทักษิณและล้างอิทธิพลของฝ่ายประชาชนได้เมื่อไหร่คงเลิกหาเรื่อง พูดง่ายๆ

ปัญหาคือความคิดถึงคุณทักษิณฯ ก็ยังมีอยู่ แถมความมุ่งมั่นของประชาชนกลับทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนจนเห็นเค้าลางของระบอบประชาชนอยู่รำไร เกมกัมพูชาที่กะว่าจะเล่นๆ ก็เลยกลายเป็นเกมจริงขึ้นมาจนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ และตกกะไดพลอยโจนกันเป็นแถบ

ถึงคราวจะแพ้เข้าจริงๆ เลยต้องรีบถอนตัวเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ก่อน

ส่วนว่าใครสั่งนั้นก็ยึดโยงกัน เพราะ หน้าที่เขาต้องการจะรักษาก็คือหน้าของคนที่สั่งนั่นเอง

งานนี้พูดได้เพียงแต่ว่า วัยทองน่าจะทำให้คนบางคนจิตสงบและซาบซึ้งในธรรม แต่กรรมเวรอันแสนหนักคงทำให้เกิดทุรนทุรายจนหาความสงบสุขมิได้นั่นแล.

------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เสียงจากคุก 12 : สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์


เสียงจากคุก 12

รายงานข่าวด่วนของ อ.สุรชัย แซ่ด่าน

สุรชัย ประกาศอดอาหารประท้วงกลางคุก


วันนี้ เวลา 11.20 น. อ.สุรชัย แซ่ด่าน หรือ ด่านวัฒนานุสรณ์ ประกาศจะอดอาหารประท้วงกรมราชฑัณฑ์ เนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน เวลาเย็นทางเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ยึดอาหารของ อ.สุรชัย ซึ่งเป็นผู้ป่วยและคนชราทำให้ไม่ได้รับประทานอาหารตามที่แพทย์สั่ง

เรือนจำพิเศษกลางกรุงเทพมหานคร อ.สุรชัย ในชุดผู้ต้องขังสีฟ้า พบปะพูดคุยกับผู้เข้าเยี่ยมจำนวนเกือบร้อยคนที่ห้องเยี่ยมผู้ต้องขังห้อง 9 และ อ.สุรชัยกล่าวกับผู้เยี่ยมและนักข่าวว่า “เมื่อวันศุกร์ตอนเย็นเจ้าหน้าที่เรือนจำชื่อนายสุภาพ แสงนิล ยึดอาหารนักโทษ ซึ่งเป็นของผมและผมต้องนำไปกินในห้องผู้ต้องขังทำให้เย็นนั้นผมไม่ได้กินข้าว” อ.สุรชัยยังกล่าวต่ออีกว่า “การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะตนเองไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบของเรือนจำแต่อย่างใดทั้งสิ้น กรมราชฑัณฑ์ต้องออกมารับผิดชอบ การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ถือว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบและเป็นการกลั่นแกล้งผู้ต้องขัง เพียงแค่การเป็นเสื้อแดง”

อ.สุรชัย ยังกล่าวต่ออีกว่า “ตนเองเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน และเป็นคนชรา จำเป็นต้องกินอาหารมากกว่าปกติ แต่นายสุภาพ แสงนิล เจ้าหน้าที่เรือนจำกลับยึดอาหารดังกล่าว นายสุภาพเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชเช่นเดียวกับตน แต่ไม่ชอบเสื้อแดง จึงกระทำดังกล่าว”

อ.สุรชัยประกาศว่า “ถ้าหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนจะอดอาหารประท้วงต่อการกระทำดังกล่าวของกรมราชฑัณฑ์”

รายงานจากเรือนจำพิเศษกลางกรุงเทพมหานคร
เวลา 11.20 น.
27 มิย. 54

--------------------------------------------------------
ที่มา : www.redsiam.tv/webboard/index.php?topic=334.0

กราบอวยพร "อ.สุรชัยฯ" จาก "จักรภพ เพ็ญแข"



กราบอวยพรอาจารย์สุรชัยฯ

(ครบรอบ ๗๐ ปี - ๒๘ มิ.ย. ๕๔)

จากจักรภพ เพ็ญแข


เจ็ดสิบ...สุรชัย แซ่ด่าน

ต่อสู้พญามารหาญกล้า

หน้าชื่นยืนหยัดศรัทธา

เพื่อประชาธิปไตยเสรี


ศรัทธามวลชนล้นหลั่ง

เกิดพลังเสริมรักศักดิ์ศรี

ดวงจิตไม่คิดชีวี

มอบพร้อมยอมพลีมวลชน


ขอท่านปลอดภัยไร้ทุกข์

ขอท่านช่วยปลุกทุกหน

ปฏิวัติจัดขบวนมวลชน

อุดมการณ์ตั้งต้น...สุรชัย.

---------------------------------------------

ทิ้งอภิสิทธิ์ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ทิ้งอภิสิทธิ์

โดย กาหลิบ


    

ในที่สุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็รู้ตัวแล้วว่า การถูกทอดทิ้งให้ตายทางการเมืองแต่เพียงลำพังนั้นรู้สึกอย่างไร ที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์ฯ อาจเผลอนึกไปว่าตัวเองมีความพิเศษกว่าลูกน้องของระบอบเก่าที่แย่งกันจงรักภักดีอยู่ และจะได้รับความกรุณาอันล้นพ้นให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกอย่างน้อยก็สมัยหนึ่ง หรืออย่างเลวก็ช่วยหาบันไดก้าวลงจากหลังเสือโดยไม่ถูกเสือกัดตายให้ วันนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าไม่มีใครเขาเตรียมแผนเช่นนั้นรอเอาไว้ให้ แถมยังหลอกล่อให้ผูกตัวเองเข้ากับการฆาตกรรมประชาชนเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ และ พ.ศ.๒๕๕๓ อย่างชนิดปฏิเสธไม่ออก ด้วยการแนะนำให้ไปเหยียบธรณีเปื้อนเลือด ณ ราชประสงค์ ซึ่งได้กลายเป็นการย้ำรอยบาปของตัวเองให้แน่นขึ้นอีก

    

อุตส่าห์เรียนวิชาปกครองบ้านเมืองแบบอังกฤษที่เรียกว่า Modern Greats มา น่าแปลกใจที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่สามารถโยงประสบการณ์แบบเจ้าบ้านผ่านเมืองเข้ากับสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของไทยเราได้ 

    

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ใช่คนโง่ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะผู้เป็นพ่อของคุณอภิสิทธิ์ฯ ซึ่งเป็นผู้วางแผนชีวิตลูกชายให้เป็น “เจ้าคนนายคน” มาตั้งแต่ต้นก็เป็นคนฉลาดล้ำลึก แต่สุดท้าย “ผู้ดี” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นขุนนางเหล่านี้ก็ต้องพบสัจธรรมที่ตนเองอาจรู้แต่ไม่อยากยอมรับมาชั่วชีวิต

    

สัจธรรมนั้นคือ ในระบอบเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตยนั้น เขาถือว่ามีเจ้านายอยู่คนเดียวที่ศูนย์กลาง โดยเฉพาะในเมืองไทยขณะนี้ยิ่งเป็นเช่นนั้นมาก คนอื่นๆ ต่อให้จบอีตันหรือเป็นคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลและอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลมาแล้วก็ถือเป็นลูกน้อง หากแววดีกว่าคนอื่นๆ หน่อย ก็จะได้ตำแหน่งและได้รับบทบาทที่สูงกว่าในองค์กรคนรับใช้ใต้ถุนบ้าน เมื่อถึงเวลาเขาก็จะดีดให้พ้นจากตำแหน่งและบทบาทนั้นๆ ไปได้ทันที เวลาที่ว่านั้นก็คือ เมื่อผู้รับตำแหน่งและบทบาท นั้นๆ ถูกใช้งานชื่อเสียงเน่า หรือมีคนอื่นๆ ที่เหนือกว่าเสนอตัวเข้ามาสนองอารมณ์ผู้เป็นนาย 

    

เวลานั้นมาถึงตัวคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแล้ว

    

ไม่น่าแปลกใจที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ออก “หาเสียง” อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยอมตัวทำหมดทุกอย่างโดยไม่คิดว่าเหมาะสมหรือไม่กับตำแหน่งรักษานายกรัฐมนตรีที่ยังค้ำตัวอยู่ ร้ายแรงที่สุดคือรับคำชี้แนะให้ไปยืนคร่อมรอยเลือดของประชาชนผู้เป็นไพร่ในบริเวณแยกราชประสงค์ และแสดงจุดยืนที่ดูเหมือนจะสุภาพ ยินยอม แต่ฟังสาระอันแท้จริงแล้วคือการประกาศชัยชนะเหนือชีวิตและเลือดเนื้อของคน ความหวังในใจคุณอภิสิทธิ์ฯ จะเป็นอย่างไรไม่รู้ได้ แต่น่าเชื่อว่าเขาคงคิดจะ “ตะโกนบอก” เช่นกันว่า เขาทำทุกอย่างตามคำสั่งจนเกิดความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงขึ้นแล้ว และเรียกร้องเจ้านายโปรดช่วยด้วย

    

คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่รู้หรือว่า เขา “ส่ง” คุณไปยืนแสดงความอหังการที่แยกราชประสงค์นั้น ก็เพื่อย้ำภาพฆาตกรผู้สั่งฆ่าประชาชนตัวจริงให้มันตราตรึงอยู่กับตัวคุณ เขาทำเช่นนั้นเพื่อแยกตัวเขาออกจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ร้ายแรงกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ และส่งคุณไปตายแทนในทางการเมือง คุณอ่านไม่ออกเชียวหรือ?

    

สิ่งที่ถ่ายทอดมาทั้งหลายนี้ ไม่ใช่ยุทธวิธีใหม่หรือเป็นความปราดเปร่ืองทางการเมืองของ “เขา” แต่อย่างใดเลย “เขา” ทำอย่างนี้มารอบแล้วรอบเล่าและกับคนที่มาก่อนคุณอภิสิทธิ์ฯ เป็นจำนวนมาก

    

เขาคุ้นชินกับการเอาคนที่เขา “เลือก” มาชูและทำลายทิ้ง เหมือนคว้าอ้อยควั่นเข้าปากเพื่อให้ได้น้ำอ้อยอันหอมหวาน เสร็จแล้วก็คายชานทิ้งอย่างไร้ค่า

    

คุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ได้ “อ่าน” ประวัติศาสตร์มนุษย์ที่อังกฤษมาแล้ว ไม่เคยได้ยินชื่อของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ บุญชนะ อัตถากร พูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ เกษม จาติกวณิช กฤษณ์ สีวะรา ธานินทร์ กรัยวิเชียร สมัคร สุนทรเวช ฯลฯ เหล่านี้บ้างเลยหรือ

    

คุณไม่ใช่อ้อยควั่นชิ้นแรกในปากของคนๆ นี้ แต่คุณยังเผลอคิดว่าตัวเองคือชิ้นที่หอมหวานที่สุด จน “เขา” คงจะไม่คายทิ้งเหมือนชานอ้อยอื่นๆ ที่แล้วมา คุณจึงต้องประสบชะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่นี้

    

อ้อยอีกชิ้นหนึ่งที่เรียงตัวเข้ามาคอยให้ “เขา” หยิบเข้าปากและเชื่อว่าตัวเองหอมหวานยิ่งไปกว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ยังเกิดขึ้นอีก ชื่อของอ้อยควั่นชิ้นนี้คือ กรณ์ จาติกวณิช ซึ่งอาจกลายเป็นเวรกรรมเรียงลำดับกันไป

    

ลำดับความมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกห่วงใยอะไรกับคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณกรณ์ฯ ซึ่งเป็นพวกล้มบนฟูกได้ตลอดชีวิต ไม่ลำบากเดือดร้อนเหมือนชนชั้นที่ต่ำกว่าคุณ คือชนชั้นประชาชนแน่ แต่อยากใช้ตัวอย่างนี้ชี้ถึงความเป็นจริงของประเทศไทยที่ชอบแสร้งหลอกทั่วโลกเขาว่าเราเป็นประชาธิปไตยที่พิเศษสุด 

    

แต่ที่สุดแล้วเผด็จการก็คือเผด็จการ

    

และคนที่อยู่ในฐานะต่ำสุดของระบอบเผด็จการ ก็คือขี้ข้าเผด็จการที่นึกว่าตนเองวิเศษกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ นั่นแล.


---------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

     

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สุขสันต์วันชาติ โดย กาหลิบ






คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สุขสันต์วันชาติ

โดย กาหลิบ


วันนี้เป็นวันชาติไทย เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบที่อำนาจสูงสุดอยู่ในมือคนๆ เดียวมาสู่ระบอบประชาชนบนหลักการของสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค

ถึงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจจะดำเนินมาตลอดเวลาเกือบ ๘๐ ปีจนถึงขนาดประกาศเปลี่ยนวันชาติไทยจาก ๒๔ มิถุนายน เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกชัดว่าอะไรต่อสู้อยู่กับอะไรมาตั้งแต่ต้น ความหมายทางประวัติศาสตร์ของการอภิวัฒน์สยามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำให้เสื่อมลงไปได้

ส่วนการปฏิวัติสยามในครั้งนั้นถือได้ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว และส่งผลดีเลวอย่างไรมาสู่การเมืองไทยปัจจุบันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วิญญูชนและนักวิชาการผู้เที่ยงธรรมจะต้องศึกษาและย้อนไปอธิบายความกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกิดวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย

นักประชาธิปไตยทุกคนควรถือเอาวันนี้เป็นวันชาติไทย ใครจะเฉลิมฉลองอย่างไรเป็นสิทธิแต่ละท่านที่จะพิจารณา แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะถือเอาวันนี้เป็นสัญลักษณ์รวมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตอย่างเป็นทางการ

บางท่านอาจจะหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย บางท่านอาจจะร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันหลากหลาย และบางท่านอาจให้ความอนุเคราะห์ต่อนักสู้เพื่อมวลชนในวิถีทางต่างๆ ตามแต่กำลัง

ผลการ ปรองดองจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่ทราบ ระบอบไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่รู้ แต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาควรมีฐานะเพียงเท่านั้นใช่ไหม อุตส่าห์สร้างและฝังหัวด้วยคำขวัญกันมานานหลายสิบปีว่าบ้านเมืองนี้ตั้งอยู่บน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์แล้วเหตุใดต้องเอาสัญลักษณ์สองในสามคือ ชาติและ กษัตริย์ไปรวมกันในวันเดียว ในขณะที่ศาสน์มีวันวิสาขบูชาที่กำหนดเอาไว้ให้เป็นวันประธานของตนเองต่างหากแล้วด้วย

การเฉลิมพระเกียรติของกษัตริย์กระทำได้เสมอสำหรับคนที่มีฉันทาคติ และสามารถกระทำตรงต่อบุคคลผู้เป็นเป้าหมายได้ แต่ถ้านำไปผูกกับวันชาติและแสร้งลืมส่วนที่เป็นชาติเอาดื้อๆ เพราะไม่มีใครพูดถึง ก็จะดูราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีสถาบันชาติ หรือทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าชาตินั้นเล็กกว่าบุคคล

๒๔ มิถุนายน มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นวันชาติไทยทุกประการด้วยเหตุผลอันชัดเจน

ประการที่หนึ่ง การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของชาติเกิดขึ้นในวันนี้ ความเป็นชาติเกิดจากผู้นำและประชาชนรวมตัวกัน และในระบอบประชาธิปไตยนั้นผู้นำก็มาจากประชาชน ไม่ได้เกิดจากเหล็กไหลหรือกระบอกไม้ไผ่ เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ตกลงกันว่าประชาชนจะอยู่อย่างไรกับกษัตริย์ วันนั้นก็เป็นวันสถาปนาชาติไทยขึ้นมาอีกครั้ง

ประการที่สอง การแยกชาติออกจากบุคคลเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง ชาติให้เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน รัฐที่เริ่มจากการปฏิวัติต่อสู้และรักษาความก้าวหน้าต่อมาจนเป็นรัฐประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย อิสราเอล ฯลฯ ล้วนประสบความสำเร็จด้วยการแยกความเป็นชาติออกจากลัทธิบูชาบุคคลทั้งสิ้น

จอร์ช วอชิงตันปฏิวัติแยกตัวจากอังกฤษจนประสบความสำเร็จแล้วก็ลดตัวลงเล็กกว่าชาติ อยู่ในฐานะที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ของโลกใหม่ได้ แต่ก็ไม่ทำ

มหาตมะคานธีถึงจะมีฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพเจ้า แต่เขาก็แยกออกมารำลึกคนละส่วนกับความเป็นชาติของอินเดีย

เดวิด เบ็นกูเรียนคือบิดาผู้สร้างชาติอิสราเอลและเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก สุดท้ายก็ก้าวลงจากอำนาจไปทำสวนทำฟาร์มจนวาระสุดท้าย โดยไม่ต้องกลายเป็นเทพเจ้าของชาวยิว

เหล่านี้เป็นตัวอย่างของผู้นำที่เห็นแก่ชาติ

ประการสุดท้าย มหาชนชาวไทยได้ต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อมาแล้วชัดเจนหลายครั้งหลายคราวว่าเขาต้องการมีส่วนรวมในฐานะพลเมืองของชาติ ไม่ใช่เพียงผู้อาศัยหรือประชาชนชั้นฝุ่นเมือง เขาจึงอยู่ในฐานะที่กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่ารัฐนี้เป็นของเขาโดยแท้

๒๔ มิถุนายนจึงสมควรหวนกลับมาเป็นวันชาติ ใครที่ถือตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยควรป่าวประกาศและแสดงออกร่วมกันอย่างกว้างขวางว่าวันนี้เป็นวันชาติของประชาชนชาวไทย

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.

-----------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณภาพประกอบจาก มติชน, Voice News

-----------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิดีโอลิ้งค์ "จักรภพ เพ็ญแข" หน้าเรือนจำฯ-22-06-54


อุดมการณ์ราษฎร์ประสงค์ โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง อุดมการณ์ราษฎร์ประสงค์

โดย กาหลิบ

หลังการฆาตกรรมประชาชนในบริเวณแยกราชประสงค์เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จนประชาชนได้เปลี่ยนชื่อสถานที่นั้นในใจจาก ราชประสงค์มาเป็น ราษฎร์ประสงค์ไปแล้ว ฐานะของสถานที่นั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีก ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของราษฎร์ประสงค์เกิดขึ้นมากลางเมือง จะมีคนไทยอีกหลายรุ่นหลายสมัยควานหาความหมายและความลึกซึ้งของราษฎร์ประสงค์ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับถนนราชดำเนินและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาก่อน

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจเล่นเกมการเมืองกับเรื่องนี้และในบริเวณนี้ โดยไปตั้งเวทีปราศรัยทางการเมืองและอ้างว่าจะเผย ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ สิ่งแรกที่เกิดขึ้น โดยยังไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก็คือปลุกเร้าความโกรธแค้นชิงชังให้กับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องร่วมอุดมการณ์ของผู้สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ณ ราษฎร์ประสงค์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓ สักขีพยานทุกท่านรู้ความจริงอยู่เต็มอกเพราะเขาเผชิญภัยมาด้วยตนเอง เขาไม่ต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการนองเลือดครั้งนั้นมาสรุปเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขารู้และประจักษ์แจ้งอยู่ในใจ

การกระทำเช่นนั้นย่อมสร้างความรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม ดูถูก และกดหัวประชาชนหนักขึ้นไปอีก

ประชาธิปัตย์ทำเพราะต้องการยั่วยุให้เกิดปะทะกลางเมือง หรือเพราะได้ เตรียมเหตุการณ์เพิ่มสีสันเอาไว้แล้วอย่างไรเราคงไม่รู้ได้ ฝ่ายประชาธิปไตยเองก็คงมีสติมากพอที่จะไม่ติดเบ็ดล่อตื้นๆ สิ่งที่หลายคนกลัวเกรงก็คงจะไม่เกิดขึ้นจากฝ่ายเสื้อแดง แต่น่าจะเป็นการจัดการของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า

ประเด็นคือ เพียงประกาศว่าจะไปตีความประวัติศาสตร์หมาดๆ ของราษฎร์ประสงค์เสียใหม่ โดยไม่มีความสำนึกใดๆ ในอาชญากรรมที่ได้เกิดขึ้นต่อประชาชนบริสุทธิ์เลยนั้น ก็เท่ากับประกาศสงครามทางความคิดกับประชาชนแล้ว

ประชาธิปัตย์จะรู้หรือไม่รู้ รู้แล้วจะสนใจหรือไม่ คงไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่คนที่อยู่เหนือพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นไปรู้หรือไม่ว่าตัวกำลังเล่นกับอะไร

ธรรมดาหมีที่จำศีลอยู่ในถ้ำจะอยู่เงียบๆ โดยไม่รบกวนรังควาญใคร แต่มีพลังมหาศาลถ้าต้องใช้

หลายสิบปีมานี้ เขาก็บริหารป่าได้ดี สร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้หมีรู้สึกว่าจำศีลอยู่ต่อไปได้ ไม่ต้องทับเส้นกับสัตว์โลกประเภทอื่นๆ จนต้องประลองกำลังกัน แต่กรรมชั่วที่ได้สั่งสมไว้หลายสิบปีกลับทำให้ตามืดสนิท และเริ่มทำอะไรที่ทำให้หมีไม่อาจจำศีลอยู่ต่อไปได้ จนต้องเดินงุ่นง่านออกมา

เขาก็สั่งยิงหมี ทำร้ายหมี จนหมีต้องแสดงพลังอำนาจออกมาให้เป็นที่ประจักษ์

การบริหารป่าของ เขาที่รวมถึงการสั่งนายพรานให้ยิงหรือให้หยุดยิง จัดหาอาวุธให้กับพรานที่เป็นพรรคพวกของเขาอย่างพอเพียง และสร้างหลุมขวากเอาไว้ประหัตประหารกัน ล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดในห้วงเวลาที่ผ่านมา

เขาจึงหยุดความรุนแรงไม่ได้ และต้องแอบสั่งการเงียบๆ อยู่ท่ามกลางพรานชั่วทั้งหลายที่เข้ามาสอพลอตอแหลว่าจะปราบหมีได้ด้วยวิธีการต่างๆ จนทำให้ป่าทั้งป่าลุกฮือขึ้น

แล้วก็ไม่ส่งสัญญาณให้รักษาสถานภาพเดิม (status quo) ไว้ ปล่อยให้ลูกหาบที่เป็นพรานระดับต่ำออกมาอวดศักดาซ้ำเติมความรู้สึกของฝ่ายที่ถูกรังแกทำร้าย

ถ้าท่าทีอย่างนี้เรียกว่าปรองดอง สัตว์นรกในขุมที่ลึกที่สุดก็เป็นตัวแทนของอำนาจเก่ามาร่วมแห่ปรองดองกับเขาได้

อุดมการณ์ราษฎร์ประสงค์ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ มนุษย์ผู้เป็นประชาชนที่เท่าเทียมกัน มนุษย์ผู้เป็นประชาชนที่เคารพในสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น และมนุษย์ที่เรียกหาความยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคม การสูญเสียชีวิต อวัยวะ และจิตใจจะได้มาซึ่งความงามของสังคมมนุษย์ที่เราเรียกกันว่าประชาธิปไตย

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ ราษฎร์ประสงค์

จึงต้องขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่เอา เกมมาเล่นกลางเมือง และเอา ระบอบทั้งระบอบมาเป็นเดิมพันเพียงเพราะราชประสงค์.

--------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตอบคำถามสื่อนอก โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง ตอบคำถามสื่อนอก

โดย กาหลิบ

ได้อ่านบทสัมภาษณ์หมาดๆ ของตัวแทนสำนักข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลก กับแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยไทยที่กำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศเพราะคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งกำลังกว้างขวางอยู่ในเว็บต่างๆ ขณะนี้ ก็รู้สึกว่าน่าจะบันทึกเป็นภาษาไทยไว้สักหน่อย เพื่อไม่ให้หลุดลอยตามลมไป

สาระส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ช่วยอธิบายถึงวิกฤติการณ์ทางการเมืองของไทยได้ชัดดี

บางส่วนของบทสัมภาษณ์นั้นมีดังนี้:

๑. พลเอกประยุทธ์ (จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก) พยายามจะสื่อสารอะไรในการแถลงข่าวแนะให้ประชาชนเลือก คนดีและเหตุใดเขาจึงเลือกช่วงเวลานี้ออกมาพูด?

คำตอบ: เขาต้องการแผ่อิทธิพลของตัวเขาเองและกองทัพเข้าสู่การเลือกตั้งที่เขากลัวว่าจะคุมไม่อยู่หากพรรคเพื่อไทยชนะ การแนะให้เลือก คนดีเป็นอุบายเก่าแก่ของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไทยเพื่อสื่อสารว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งล้วนแล้วแต่เลวทรามและไว้วางใจมิได้ สิ่งที่เขาและคนที่คิดอย่างเขาต้องการจริงๆ คือรัฐบาลพิเศษที่ถูกส่งลงมาปกครองประเทศแทนรัฐบาลที่ประชาชนตั้ง นี่ล่ะคือแนวคิดแบบศักดินา-อำมาตย์โดยแท้ เขาเลือกเวลานี้ออกมาพูดเพราะไม่มีเวลาอื่นอีกแล้ว การเลือกตั้งเคลื่อนใกล้เข้ามา การดำเนินการสกัดกั้นใดๆ ในเวลานี้ รวมถึงการรัฐประหาร ก็ไม่สามารถกระทำโดยไม่เกิดผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อฝ่ายเขา

๒. พลเอกประยุทธ์ฯ สั่งแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำเสื้อแดงอื่นๆ จากกิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน (๒๕๕๔) และมีรายงานข่าวว่ากองทัพอยู่เบื้องหลังคดี ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรณีดังกล่าวนี้บอกอะไรบ้างเกี่ยวกับวิธีการของกองทัพ และมีความหมายอย่างไรต่อการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปกฎหมายนี้?

คำตอบ: ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและสะดวกของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ไทยมาตั้งแต่อดีต รวมทั้งกองทัพ กรณีนี้จึงไม่ได้ทำให้เราเข้าใจกองทัพมากขึ้น แต่ทำให้เราอ่านใจของข้างบนได้ ทำให้รู้ว่าข้างบนกำลังคิดและรู้สึกอย่างไรกับการใช้กฎหมายนี้และผู้ที่นำมาใช้ มันชวนให้เราคิดวิเคราะห์ว่าการแถลงของประยุทธ์ฯ อย่างมีจังหวะเวลาและเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองอย่างมากนั้นน่าจะได้รับการสนับสนุนและสัญญาณอันชัดเจน สำหรับผมแล้วนี่คือเวลาที่ข้างบนควรแสดงจุดยืนของตนให้ชัดเจน การหลบอยู่หลังคำพูดว่า อยู่เหนือการเมืองนั้น ย่อมไม่ได้ผลอีกแล้ว ประชาชนปัจจุบันเข้าใจอะไรต่างๆ ดีกว่าเดิมมากนัก

๓. ในกรณีใดบ้างที่กองทัพจะก่อการรัฐประหารอีก มีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ช่วงเวลานี้ และโอกาสของพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ถูกข้อกฎหมายจนต้องถูกยุบมีมากแค่ไหน?

คำตอบ: การรัฐประหารเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝ่ายศักดินา-อำมาตย์รู้สึกว่าตนเองควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ หรือเกิดผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันกษัตริย์โดยตรง ในด้านกายภาพการก่อรัฐประหารเป็นไปได้เสมอ ปัญหาอยู่ที่ผลกระทบด้านลบที่ติดตามมา พวกเขาจะรักษาอำนาจที่ได้รับจากการรัฐประหารกันอย่างไรในยุคนี้สมัยนี้? เขาจะฟื้นความเชื่อมั่นในประเทศ (ไทย) อย่างไรในยุคแสวงหาประชาธิปไตยและการค้าเสรียิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้? พูดสั้นๆ คือคนในระบอบศักดินาอำมาตย์จะเป็นฝ่ายที่สูญเสียมากหากเกิดรัฐประหารขึ้นจริงๆ โดยส่วนตัวผมคิดว่าพวกเขาจะรัฐประหารก็ต่อเมื่อหมดทางเลือกอื่นๆ แล้ว หากคุณถามว่าอะไรบ้างที่จุดชนวนรัฐประหารได้ ผมก็คงนึกตัวอย่างได้บ้าง ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจอันล้นพ้นของระบอบเก่า ความเคลื่อนไหวที่จะปลดผู้บัญชาการทหารบก การกลับไทยของคุณทักษิณ ชินวัตร การจับอาวุธขึ้นสู้ของ ฝ่ายตรงข้ามและสุดท้ายซึ่งไม่ใช่ว่าสำคัญสุดท้าย นั่นคือเรื่องสุขภาพของกษัตริย์

คำสั่งจากศาลเพื่อยุบพรรคเพื่อไทยมีความเป็นไปได้เสมอ ผมไม่ต้องขยายความใดๆ ในเรื่องนี้เลย เว้นแต่จะยืนยันว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยทั้งโครงสร้าง เราเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลที่มันถึงขั้นผ่าตัดไม่ได้หรอก

๔. ตกลงกองทัพมีเดิมพันอะไรในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากเกิดการสกัดกั้นประชาธิปไตย (รัฐประหาร, คำสั่งศาล) ขึ้นจริงๆ?

คำตอบ: ผมเชื่อว่า มวลชนจะเคลื่อนลงใต้ดินมากขึ้นหากเกิดการรัฐประหารหรือฝ่ายประชาชนรู้สึกว่าถูกโกงหรือเอาเปรียบอย่างหนัก ผมยังไม่เห็นภาพสังคมไทยเคลื่อนตัวอย่างมวลชนในตูนิเซีย อียิปต์ และเยเมนในเวลานี้ เขาเหล่านั้นเล็งเป้าไปที่ผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างมั่นเหมาะ ไม่ได้มัวต่อกรกับคนระดับล่าง แล้วมวลชนไทยเราเล็งเป้าที่ถูกต้องแล้วหรือ? ผมยังไม่เชื่อเช่นนั้น การรณรงค์โดยขาดเป้าเล็งที่ชัดเจนและขาดกลยุทธ์ที่สัมพันธ์ต่อเนื่อง มวลชนจะไม่สามารถแสดงโกรธแค้นต่อศูนย์กลางของปัญหาการเมืองทุกปัญหาได้ พร้อมกันนั้นผมเชื่อว่าขบวนการใต้ดินใหม่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีการนำที่ดีขึ้น ความเปลี่ยนแปลงของไทยอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ดูคล้ายสยบยอม แต่จะยืนยง.

------------------------------------------------------------------------------

ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/