ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ความโดดเดี่ยวของไทย โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ความโดดเดี่ยวของไทย
โดย กาหลิบ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากคุณสุวิทย์ คุณกิตติในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ แจ้งการถอนตัวของไทยต่อที่ประชุมมรดกโลกขององค์การยูเนสโก และเดินออก กลไกของระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยไทยก็ประโคมข่าวกันใหญ่โตว่าไทยได้รับชัยชนะ สื่อกระแสหลักเอาตัวคุณสุวิทย์ฯ ขึ้นบ่าประหนึ่งเป็นวีรชนคนสำคัญ ผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกรับลูกว่าจะเตรียมพร้อมทางทหารไว้รับมือ และพันธมิตรฯ ถือโอกาสยุติการชุมนุมที่มีคนเข้าร่วมเบาบางจนผีแทบ จะหลอกอยู่แล้ว
ละครเรื่อง “ชิงคืนปราสาทพระวิหาร” เล่นมาถึงบทเร้าใจให้ฮึกเหิม ชิงโอกาสพูดก่อนที่ใครเขาจะเถียงทันว่าผู้แทนไทยสุดยอด ไม่ยอมลดราวาศอกให้ฝ่าย “ผู้รุกราน” แม้แต่นิ้วเดียว คนที่ไม่รู้เรื่องใดๆ เลยอย่างคุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ออกมาตามแห่กับเขาโดยหวังเอาคะแนนเสียงเลือกตั้ง
แต่พอฝุ่นหายตลบ สติเริ่มกลับคืนสู่ที่ตั้ง ก็รู้ทันทีว่าประเทศไทยกำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในยูเนสโกต่างหาก
ความจริงที่ปรากฎขึ้นเกือบทันทีคือ ตัวแทนของรัฐบาลไทยชุดนี้หมดความสามารถที่จะขอเลื่อนการพิจารณาเรื่องปราสาทพระวิหาร และที่ประชุมกำลังจะลงมติไปทางฝ่ายกัมพูชา ก็เกิดคำสั่งด่วนไปจากกรุงเทพฯ ในทันทีว่าให้คุณสุวิทย์ฯ ถอนตัวจากสนาม โดยหวังว่าท่าทีนั้นจะทำให้ทุกอย่างชะงักงันไป
หนังสือที่ผู้อำนวยการยูเนสโกที่มีมาถึงรัฐบาลไทยทันทีนั้น นอกจากแสดงความเศร้าใจที่รัฐบาลไทยถอนตัวจากกระบวนการสากลอย่างไม่ควรแล้ว ยังยืนยันว่า การพิจารณาเรื่องปราสาทพระวิหารมีทางออกต่างๆ อีกมากไม่ใช่ทางตันอย่างที่รัฐบาลไทยแสดงออก ซึ่งเป็นคำตำหนิกลายๆ ว่าพฤติกรรมเยี่ยงเด็กน้อยเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นเลย
คำถามในงานนี้จึงมีเพียงสองข้อ
เหตุใดจึงมีคำสั่งถอนตัวในนาทีสุดท้าย?
และใครสั่ง?
คำถามแรกนั้นตอบไม่ยาก ความจริงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงสองคนได้ออกมาแถลงข่าวชัดเจนแล้ว นั่นคือคุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทยและคุณนพดล ปัทมะ ว่าเหตุผลแท้จริงในเรื่องนี้ไม่ใช่การแสดงความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องอธิปไตยของไทยอะไรเลย แต่คือความตระหนักว่าประเทศไทยขณะนี้ไร้แนวร่วมในประชาชาติต่างๆ มากพอที่จะเดินหน้าต่อสู้ในเรื่องนี้ต่อไปต่างหาก
พูดแบบบ้านๆ คือ ขาดเพื่อน ไร้พวก
ซึ่งเกิดขึ้นเพราะแนวทางการเมืองศักดินา-ไพร่ในปัจจุบันกำลังจับประเทศไทยทั้งประเทศถอยไปสู่ความเป็นเผด็จการสุดขั้ว ถึงขนาดสงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้นได้
กรณีข้ามชาติอย่างปราสาทพระวิหารนั้น ประชาคมระหว่างประเทศเขารู้กันทั่วว่า ระบอบโบราณของไทยเป็นผู้จุด จุดด้วยความแค้นของคนชรา โดยสั่งพันธมิตรฯ ให้ทำหน้าที่เผาหัว แล้วลากกองทัพกับรัฐบาลเข้ามาพัวพันด้วยจนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนและมั่วซั่วกันไปหมดทั้งยวง เพราะฐานกฎหมายที่ใช้ในเรื่องนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากคราวที่ไทยแพ้คดีกรรมสิทธิ์เหนือองค์ปราสาทฯ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ เลย จึงไม่มีฐานใหม่ใดๆ ที่ไทยจะปลุกผีเรื่องนี้ขึ้นมาหลอกกัน
เมื่อเรื่องไม่มีมูลมาตั้งแต่ต้น ประชาคมระหว่างประเทศเขาก็เลยขาดความสนใจในเรื่องนี้และคงคิดว่าผู้นำระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยคงจะได้สติในเวลาไม่ช้านาน
กำจัดทักษิณและล้างอิทธิพลของฝ่ายประชาชนได้เมื่อไหร่คงเลิกหาเรื่อง พูดง่ายๆ
ปัญหาคือความคิดถึงคุณทักษิณฯ ก็ยังมีอยู่ แถมความมุ่งมั่นของประชาชนกลับทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนจนเห็นเค้าลางของระบอบประชาชนอยู่รำไร เกมกัมพูชาที่กะว่าจะเล่นๆ ก็เลยกลายเป็นเกมจริงขึ้นมาจนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ และตกกะไดพลอยโจนกันเป็นแถบ
ถึงคราวจะแพ้เข้าจริงๆ เลยต้องรีบถอนตัวเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ก่อน
ส่วนว่าใครสั่งนั้นก็ยึดโยงกัน เพราะ “หน้า” ที่เขาต้องการจะรักษาก็คือหน้าของคนที่สั่งนั่นเอง
งานนี้พูดได้เพียงแต่ว่า วัยทองน่าจะทำให้คนบางคนจิตสงบและซาบซึ้งในธรรม แต่กรรมเวรอันแสนหนักคงทำให้เกิดทุรนทุรายจนหาความสงบสุขมิได้นั่นแล.
------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เสียงจากคุก 12 : สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
กราบอวยพร "อ.สุรชัยฯ" จาก "จักรภพ เพ็ญแข"
กราบอวยพรอาจารย์สุรชัยฯ
(ครบรอบ ๗๐ ปี - ๒๘ มิ.ย. ๕๔)
จากจักรภพ เพ็ญแข
เจ็ดสิบ...สุรชัย แซ่ด่าน
ต่อสู้พญามารหาญกล้า
หน้าชื่นยืนหยัดศรัทธา
เพื่อประชาธิปไตยเสรี
ศรัทธามวลชนล้นหลั่ง
เกิดพลังเสริมรักศักดิ์ศรี
ดวงจิตไม่คิดชีวี
มอบพร้อมยอมพลีมวลชน
ขอท่านปลอดภัยไร้ทุกข์
ขอท่านช่วยปลุกทุกหน
ปฏิวัติจัดขบวนมวลชน
อุดมการณ์ตั้งต้น...สุรชัย.
---------------------------------------------
ทิ้งอภิสิทธิ์ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ทิ้งอภิสิทธิ์
โดย กาหลิบ
ในที่สุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็รู้ตัวแล้วว่า การถูกทอดทิ้งให้ตายทางการเมืองแต่เพียงลำพังนั้นรู้สึกอย่างไร ที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์ฯ อาจเผลอนึกไปว่าตัวเองมีความพิเศษกว่าลูกน้องของระบอบเก่าที่แย่งกันจงรักภักดีอยู่ และจะได้รับความกรุณาอันล้นพ้นให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกอย่างน้อยก็สมัยหนึ่ง หรืออย่างเลวก็ช่วยหาบันไดก้าวลงจากหลังเสือโดยไม่ถูกเสือกัดตายให้ วันนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าไม่มีใครเขาเตรียมแผนเช่นนั้นรอเอาไว้ให้ แถมยังหลอกล่อให้ผูกตัวเองเข้ากับการฆาตกรรมประชาชนเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ และ พ.ศ.๒๕๕๓ อย่างชนิดปฏิเสธไม่ออก ด้วยการแนะนำให้ไปเหยียบธรณีเปื้อนเลือด ณ ราชประสงค์ ซึ่งได้กลายเป็นการย้ำรอยบาปของตัวเองให้แน่นขึ้นอีก
อุตส่าห์เรียนวิชาปกครองบ้านเมืองแบบอังกฤษที่เรียกว่า Modern Greats มา น่าแปลกใจที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่สามารถโยงประสบการณ์แบบเจ้าบ้านผ่านเมืองเข้ากับสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของไทยเราได้
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ใช่คนโง่ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะผู้เป็นพ่อของคุณอภิสิทธิ์ฯ ซึ่งเป็นผู้วางแผนชีวิตลูกชายให้เป็น “เจ้าคนนายคน” มาตั้งแต่ต้นก็เป็นคนฉลาดล้ำลึก แต่สุดท้าย “ผู้ดี” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นขุนนางเหล่านี้ก็ต้องพบสัจธรรมที่ตนเองอาจรู้แต่ไม่อยากยอมรับมาชั่วชีวิต
สัจธรรมนั้นคือ ในระบอบเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตยนั้น เขาถือว่ามีเจ้านายอยู่คนเดียวที่ศูนย์กลาง โดยเฉพาะในเมืองไทยขณะนี้ยิ่งเป็นเช่นนั้นมาก คนอื่นๆ ต่อให้จบอีตันหรือเป็นคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลและอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลมาแล้วก็ถือเป็นลูกน้อง หากแววดีกว่าคนอื่นๆ หน่อย ก็จะได้ตำแหน่งและได้รับบทบาทที่สูงกว่าในองค์กรคนรับใช้ใต้ถุนบ้าน เมื่อถึงเวลาเขาก็จะดีดให้พ้นจากตำแหน่งและบทบาทนั้นๆ ไปได้ทันที เวลาที่ว่านั้นก็คือ เมื่อผู้รับตำแหน่งและบทบาท นั้นๆ ถูกใช้งานชื่อเสียงเน่า หรือมีคนอื่นๆ ที่เหนือกว่าเสนอตัวเข้ามาสนองอารมณ์ผู้เป็นนาย
เวลานั้นมาถึงตัวคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ออก “หาเสียง” อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยอมตัวทำหมดทุกอย่างโดยไม่คิดว่าเหมาะสมหรือไม่กับตำแหน่งรักษานายกรัฐมนตรีที่ยังค้ำตัวอยู่ ร้ายแรงที่สุดคือรับคำชี้แนะให้ไปยืนคร่อมรอยเลือดของประชาชนผู้เป็นไพร่ในบริเวณแยกราชประสงค์ และแสดงจุดยืนที่ดูเหมือนจะสุภาพ ยินยอม แต่ฟังสาระอันแท้จริงแล้วคือการประกาศชัยชนะเหนือชีวิตและเลือดเนื้อของคน ความหวังในใจคุณอภิสิทธิ์ฯ จะเป็นอย่างไรไม่รู้ได้ แต่น่าเชื่อว่าเขาคงคิดจะ “ตะโกนบอก” เช่นกันว่า เขาทำทุกอย่างตามคำสั่งจนเกิดความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงขึ้นแล้ว และเรียกร้องเจ้านายโปรดช่วยด้วย
คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่รู้หรือว่า เขา “ส่ง” คุณไปยืนแสดงความอหังการที่แยกราชประสงค์นั้น ก็เพื่อย้ำภาพฆาตกรผู้สั่งฆ่าประชาชนตัวจริงให้มันตราตรึงอยู่กับตัวคุณ เขาทำเช่นนั้นเพื่อแยกตัวเขาออกจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ร้ายแรงกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ และส่งคุณไปตายแทนในทางการเมือง คุณอ่านไม่ออกเชียวหรือ?
สิ่งที่ถ่ายทอดมาทั้งหลายนี้ ไม่ใช่ยุทธวิธีใหม่หรือเป็นความปราดเปร่ืองทางการเมืองของ “เขา” แต่อย่างใดเลย “เขา” ทำอย่างนี้มารอบแล้วรอบเล่าและกับคนที่มาก่อนคุณอภิสิทธิ์ฯ เป็นจำนวนมาก
เขาคุ้นชินกับการเอาคนที่เขา “เลือก” มาชูและทำลายทิ้ง เหมือนคว้าอ้อยควั่นเข้าปากเพื่อให้ได้น้ำอ้อยอันหอมหวาน เสร็จแล้วก็คายชานทิ้งอย่างไร้ค่า
คุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ได้ “อ่าน” ประวัติศาสตร์มนุษย์ที่อังกฤษมาแล้ว ไม่เคยได้ยินชื่อของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ บุญชนะ อัตถากร พูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ เกษม จาติกวณิช กฤษณ์ สีวะรา ธานินทร์ กรัยวิเชียร สมัคร สุนทรเวช ฯลฯ เหล่านี้บ้างเลยหรือ
คุณไม่ใช่อ้อยควั่นชิ้นแรกในปากของคนๆ นี้ แต่คุณยังเผลอคิดว่าตัวเองคือชิ้นที่หอมหวานที่สุด จน “เขา” คงจะไม่คายทิ้งเหมือนชานอ้อยอื่นๆ ที่แล้วมา คุณจึงต้องประสบชะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่นี้
อ้อยอีกชิ้นหนึ่งที่เรียงตัวเข้ามาคอยให้ “เขา” หยิบเข้าปากและเชื่อว่าตัวเองหอมหวานยิ่งไปกว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ยังเกิดขึ้นอีก ชื่อของอ้อยควั่นชิ้นนี้คือ กรณ์ จาติกวณิช ซึ่งอาจกลายเป็นเวรกรรมเรียงลำดับกันไป
ลำดับความมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกห่วงใยอะไรกับคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณกรณ์ฯ ซึ่งเป็นพวกล้มบนฟูกได้ตลอดชีวิต ไม่ลำบากเดือดร้อนเหมือนชนชั้นที่ต่ำกว่าคุณ คือชนชั้นประชาชนแน่ แต่อยากใช้ตัวอย่างนี้ชี้ถึงความเป็นจริงของประเทศไทยที่ชอบแสร้งหลอกทั่วโลกเขาว่าเราเป็นประชาธิปไตยที่พิเศษสุด
แต่ที่สุดแล้วเผด็จการก็คือเผด็จการ
และคนที่อยู่ในฐานะต่ำสุดของระบอบเผด็จการ ก็คือขี้ข้าเผด็จการที่นึกว่าตนเองวิเศษกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ นั่นแล.
---------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สุขสันต์วันชาติ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สุขสันต์วันชาติ
โดย กาหลิบ
วันนี้เป็นวันชาติไทย เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบที่อำนาจสูงสุดอยู่ในมือคนๆ เดียวมาสู่ระบอบประชาชนบนหลักการของสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
ถึงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจจะดำเนินมาตลอดเวลาเกือบ ๘๐ ปีจนถึงขนาดประกาศเปลี่ยนวันชาติไทยจาก ๒๔ มิถุนายน เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกชัดว่าอะไรต่อสู้อยู่กับอะไรมาตั้งแต่ต้น ความหมายทางประวัติศาสตร์ของการอภิวัฒน์สยามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำให้เสื่อมลงไปได้
ส่วนการปฏิวัติสยามในครั้งนั้นถือได้ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว และส่งผลดีเลวอย่างไรมาสู่การเมืองไทยปัจจุบันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วิญญูชนและนักวิชาการผู้เที่ยงธรรมจะต้องศึกษาและย้อนไปอธิบายความกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกิดวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย
นักประชาธิปไตยทุกคนควรถือเอาวันนี้เป็นวันชาติไทย ใครจะเฉลิมฉลองอย่างไรเป็นสิทธิแต่ละท่านที่จะพิจารณา แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะถือเอาวันนี้เป็นสัญลักษณ์รวมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตอย่างเป็นทางการ
บางท่านอาจจะหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย บางท่านอาจจะร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันหลากหลาย และบางท่านอาจให้ความอนุเคราะห์ต่อนักสู้เพื่อมวลชนในวิถีทางต่างๆ ตามแต่กำลัง
ผลการ “ปรองดอง” จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่ทราบ “ระบอบไทย” จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่รู้ แต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาควรมีฐานะเพียงเท่านั้นใช่ไหม อุตส่าห์สร้างและฝังหัวด้วยคำขวัญกันมานานหลายสิบปีว่าบ้านเมืองนี้ตั้งอยู่บน “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” แล้วเหตุใดต้องเอาสัญลักษณ์สองในสามคือ “ชาติ” และ “กษัตริย์” ไปรวมกันในวันเดียว ในขณะที่“ศาสน์” มีวันวิสาขบูชาที่กำหนดเอาไว้ให้เป็นวันประธานของตนเองต่างหากแล้วด้วย
การเฉลิมพระเกียรติของกษัตริย์กระทำได้เสมอสำหรับคนที่มีฉันทาคติ และสามารถกระทำตรงต่อบุคคลผู้เป็นเป้าหมายได้ แต่ถ้านำไปผูกกับวันชาติและแสร้งลืมส่วนที่เป็นชาติเอาดื้อๆ เพราะไม่มีใครพูดถึง ก็จะดูราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีสถาบันชาติ หรือทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าชาตินั้นเล็กกว่าบุคคล
๒๔ มิถุนายน มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นวันชาติไทยทุกประการด้วยเหตุผลอันชัดเจน
ประการที่หนึ่ง การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของชาติเกิดขึ้นในวันนี้ ความเป็นชาติเกิดจากผู้นำและประชาชนรวมตัวกัน และในระบอบประชาธิปไตยนั้นผู้นำก็มาจากประชาชน ไม่ได้เกิดจากเหล็กไหลหรือกระบอกไม้ไผ่ เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ตกลงกันว่าประชาชนจะอยู่อย่างไรกับกษัตริย์ วันนั้นก็เป็นวันสถาปนาชาติไทยขึ้นมาอีกครั้ง
ประการที่สอง การแยกชาติออกจากบุคคลเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ชาติ” ให้เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน รัฐที่เริ่มจากการปฏิวัติต่อสู้และรักษาความก้าวหน้าต่อมาจนเป็นรัฐประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย อิสราเอล ฯลฯ ล้วนประสบความสำเร็จด้วยการแยกความเป็นชาติออกจากลัทธิบูชาบุคคลทั้งสิ้น
จอร์ช วอชิงตันปฏิวัติแยกตัวจากอังกฤษจนประสบความสำเร็จแล้วก็ลดตัวลงเล็กกว่าชาติ อยู่ในฐานะที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ของโลกใหม่ได้ แต่ก็ไม่ทำ
มหาตมะคานธีถึงจะมีฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพเจ้า แต่เขาก็แยกออกมารำลึกคนละส่วนกับความเป็นชาติของอินเดีย
เดวิด เบ็นกูเรียนคือบิดาผู้สร้างชาติอิสราเอลและเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก สุดท้ายก็ก้าวลงจากอำนาจไปทำสวนทำฟาร์มจนวาระสุดท้าย โดยไม่ต้องกลายเป็นเทพเจ้าของชาวยิว
เหล่านี้เป็นตัวอย่างของผู้นำที่เห็นแก่ชาติ
ประการสุดท้าย มหาชนชาวไทยได้ต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อมาแล้วชัดเจนหลายครั้งหลายคราวว่าเขาต้องการมีส่วนรวมในฐานะพลเมืองของชาติ ไม่ใช่เพียงผู้อาศัยหรือประชาชนชั้นฝุ่นเมือง เขาจึงอยู่ในฐานะที่กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่ารัฐนี้เป็นของเขาโดยแท้
๒๔ มิถุนายนจึงสมควรหวนกลับมาเป็นวันชาติ ใครที่ถือตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยควรป่าวประกาศและแสดงออกร่วมกันอย่างกว้างขวางว่าวันนี้เป็นวันชาติของประชาชนชาวไทย
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.
-----------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณภาพประกอบจาก มติชน, Voice News
-----------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
อุดมการณ์ราษฎร์ประสงค์ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง อุดมการณ์ราษฎร์ประสงค์
โดย กาหลิบ
หลังการฆาตกรรมประชาชนในบริเวณแยกราชประสงค์เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จนประชาชนได้เปลี่ยนชื่อสถานที่นั้นในใจจาก “ราชประสงค์” มาเป็น “ราษฎร์ประสงค์” ไปแล้ว ฐานะของสถานที่นั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีก ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของราษฎร์ประสงค์เกิดขึ้นมากลางเมือง จะมีคนไทยอีกหลายรุ่นหลายสมัยควานหาความหมายและความลึกซึ้งของราษฎร์ประสงค์ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับถนนราชดำเนินและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาก่อน
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจเล่นเกมการเมืองกับเรื่องนี้และในบริเวณนี้ โดยไปตั้งเวทีปราศรัยทางการเมืองและอ้างว่าจะเผย “ความจริง” เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ สิ่งแรกที่เกิดขึ้น โดยยังไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก็คือปลุกเร้าความโกรธแค้นชิงชังให้กับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องร่วมอุดมการณ์ของผู้สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ณ ราษฎร์ประสงค์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓ สักขีพยานทุกท่านรู้ความจริงอยู่เต็มอกเพราะเขาเผชิญภัยมาด้วยตนเอง เขาไม่ต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการนองเลือดครั้งนั้นมาสรุปเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขารู้และประจักษ์แจ้งอยู่ในใจ
การกระทำเช่นนั้นย่อมสร้างความรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม ดูถูก และกดหัวประชาชนหนักขึ้นไปอีก
ประชาธิปัตย์ทำเพราะต้องการยั่วยุให้เกิดปะทะกลางเมือง หรือเพราะได้ “เตรียมเหตุการณ์” เพิ่มสีสันเอาไว้แล้วอย่างไรเราคงไม่รู้ได้ ฝ่ายประชาธิปไตยเองก็คงมีสติมากพอที่จะไม่ติดเบ็ดล่อตื้นๆ สิ่งที่หลายคนกลัวเกรงก็คงจะไม่เกิดขึ้นจากฝ่ายเสื้อแดง แต่น่าจะเป็นการจัดการของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า
ประเด็นคือ เพียงประกาศว่าจะไปตีความประวัติศาสตร์หมาดๆ ของราษฎร์ประสงค์เสียใหม่ โดยไม่มีความสำนึกใดๆ ในอาชญากรรมที่ได้เกิดขึ้นต่อประชาชนบริสุทธิ์เลยนั้น ก็เท่ากับประกาศสงครามทางความคิดกับประชาชนแล้ว
ประชาธิปัตย์จะรู้หรือไม่รู้ รู้แล้วจะสนใจหรือไม่ คงไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่คนที่อยู่เหนือพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นไปรู้หรือไม่ว่าตัวกำลังเล่นกับอะไร
ธรรมดาหมีที่จำศีลอยู่ในถ้ำจะอยู่เงียบๆ โดยไม่รบกวนรังควาญใคร แต่มีพลังมหาศาลถ้าต้องใช้
หลายสิบปีมานี้ “เขา” ก็บริหารป่าได้ดี สร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้หมีรู้สึกว่าจำศีลอยู่ต่อไปได้ ไม่ต้องทับเส้นกับสัตว์โลกประเภทอื่นๆ จนต้องประลองกำลังกัน แต่กรรมชั่วที่ได้สั่งสมไว้หลายสิบปีกลับทำให้ตามืดสนิท และเริ่มทำอะไรที่ทำให้หมีไม่อาจจำศีลอยู่ต่อไปได้ จนต้องเดินงุ่นง่านออกมา
เขาก็สั่งยิงหมี ทำร้ายหมี จนหมีต้องแสดงพลังอำนาจออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
การบริหารป่าของ “เขา” ที่รวมถึงการสั่งนายพรานให้ยิงหรือให้หยุดยิง จัดหาอาวุธให้กับพรานที่เป็นพรรคพวกของเขาอย่างพอเพียง และสร้างหลุมขวากเอาไว้ประหัตประหารกัน ล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดในห้วงเวลาที่ผ่านมา
“เขา” จึงหยุดความรุนแรงไม่ได้ และต้องแอบสั่งการเงียบๆ อยู่ท่ามกลางพรานชั่วทั้งหลายที่เข้ามาสอพลอตอแหลว่าจะปราบหมีได้ด้วยวิธีการต่างๆ จนทำให้ป่าทั้งป่าลุกฮือขึ้น
แล้วก็ไม่ส่งสัญญาณให้รักษาสถานภาพเดิม (status quo) ไว้ ปล่อยให้ลูกหาบที่เป็นพรานระดับต่ำออกมาอวดศักดาซ้ำเติมความรู้สึกของฝ่ายที่ถูกรังแกทำร้าย
ถ้าท่าทีอย่างนี้เรียกว่าปรองดอง สัตว์นรกในขุมที่ลึกที่สุดก็เป็นตัวแทนของอำนาจเก่ามาร่วมแห่ปรองดองกับเขาได้
อุดมการณ์ราษฎร์ประสงค์ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ มนุษย์ผู้เป็นประชาชนที่เท่าเทียมกัน มนุษย์ผู้เป็นประชาชนที่เคารพในสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น และมนุษย์ที่เรียกหาความยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคม การสูญเสียชีวิต อวัยวะ และจิตใจจะได้มาซึ่งความงามของสังคมมนุษย์ที่เราเรียกกันว่าประชาธิปไตย
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ “ราษฎร์” ประสงค์
จึงต้องขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่เอา “เกม” มาเล่นกลางเมือง และเอา “ระบอบ” ทั้งระบอบมาเป็นเดิมพันเพียงเพราะราชประสงค์.
--------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ตอบคำถามสื่อนอก โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ตอบคำถามสื่อนอก
โดย กาหลิบ
ได้อ่านบทสัมภาษณ์หมาดๆ ของตัวแทนสำนักข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลก กับแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยไทยที่กำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศเพราะคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งกำลังกว้างขวางอยู่ในเว็บต่างๆ ขณะนี้ ก็รู้สึกว่าน่าจะบันทึกเป็นภาษาไทยไว้สักหน่อย เพื่อไม่ให้หลุดลอยตามลมไป
สาระส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ช่วยอธิบายถึงวิกฤติการณ์ทางการเมืองของไทยได้ชัดดี
บางส่วนของบทสัมภาษณ์นั้นมีดังนี้:
“๑. พลเอกประยุทธ์ (จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก) พยายามจะสื่อสารอะไรในการแถลงข่าวแนะให้ประชาชนเลือก “คนดี” และเหตุใดเขาจึงเลือกช่วงเวลานี้ออกมาพูด?
คำตอบ: เขาต้องการแผ่อิทธิพลของตัวเขาเองและกองทัพเข้าสู่การเลือกตั้งที่เขากลัวว่าจะคุมไม่อยู่หากพรรคเพื่อไทยชนะ การแนะให้เลือก “คนดี” เป็นอุบายเก่าแก่ของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไทยเพื่อสื่อสารว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งล้วนแล้วแต่เลวทรามและไว้วางใจมิได้ สิ่งที่เขาและคนที่คิดอย่างเขาต้องการจริงๆ คือรัฐบาลพิเศษที่ถูกส่งลงมาปกครองประเทศแทนรัฐบาลที่ประชาชนตั้ง นี่ล่ะคือแนวคิดแบบศักดินา-อำมาตย์โดยแท้ เขาเลือกเวลานี้ออกมาพูดเพราะไม่มีเวลาอื่นอีกแล้ว การเลือกตั้งเคลื่อนใกล้เข้ามา การดำเนินการสกัดกั้นใดๆ ในเวลานี้ รวมถึงการรัฐประหาร ก็ไม่สามารถกระทำโดยไม่เกิดผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อฝ่ายเขา
๒. พลเอกประยุทธ์ฯ สั่งแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำเสื้อแดงอื่นๆ จากกิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน (๒๕๕๔) และมีรายงานข่าวว่ากองทัพอยู่เบื้องหลังคดี ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรณีดังกล่าวนี้บอกอะไรบ้างเกี่ยวกับวิธีการของกองทัพ และมีความหมายอย่างไรต่อการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปกฎหมายนี้?
คำตอบ: ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและสะดวกของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ไทยมาตั้งแต่อดีต รวมทั้งกองทัพ กรณีนี้จึงไม่ได้ทำให้เราเข้าใจกองทัพมากขึ้น แต่ทำให้เราอ่านใจของข้างบนได้ ทำให้รู้ว่าข้างบนกำลังคิดและรู้สึกอย่างไรกับการใช้กฎหมายนี้และผู้ที่นำมาใช้ มันชวนให้เราคิดวิเคราะห์ว่าการแถลงของประยุทธ์ฯ อย่างมีจังหวะเวลาและเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองอย่างมากนั้นน่าจะได้รับการสนับสนุนและสัญญาณอันชัดเจน สำหรับผมแล้วนี่คือเวลาที่ข้างบนควรแสดงจุดยืนของตนให้ชัดเจน การหลบอยู่หลังคำพูดว่า “อยู่เหนือการเมือง” นั้น ย่อมไม่ได้ผลอีกแล้ว ประชาชนปัจจุบันเข้าใจอะไรต่างๆ ดีกว่าเดิมมากนัก
๓. ในกรณีใดบ้างที่กองทัพจะก่อการรัฐประหารอีก มีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ช่วงเวลานี้ และโอกาสของพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ถูกข้อกฎหมายจนต้องถูกยุบมีมากแค่ไหน?
คำตอบ: การรัฐประหารเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝ่ายศักดินา-อำมาตย์รู้สึกว่าตนเองควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ หรือเกิดผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันกษัตริย์โดยตรง ในด้านกายภาพการก่อรัฐประหารเป็นไปได้เสมอ ปัญหาอยู่ที่ผลกระทบด้านลบที่ติดตามมา พวกเขาจะรักษาอำนาจที่ได้รับจากการรัฐประหารกันอย่างไรในยุคนี้สมัยนี้? เขาจะฟื้นความเชื่อมั่นในประเทศ (ไทย) อย่างไรในยุคแสวงหาประชาธิปไตยและการค้าเสรียิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้? พูดสั้นๆ คือคนในระบอบศักดินาอำมาตย์จะเป็นฝ่ายที่สูญเสียมากหากเกิดรัฐประหารขึ้นจริงๆ โดยส่วนตัวผมคิดว่าพวกเขาจะรัฐประหารก็ต่อเมื่อหมดทางเลือกอื่นๆ แล้ว หากคุณถามว่าอะไรบ้างที่จุดชนวนรัฐประหารได้ ผมก็คงนึกตัวอย่างได้บ้าง ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจอันล้นพ้นของระบอบเก่า ความเคลื่อนไหวที่จะปลดผู้บัญชาการทหารบก การกลับไทยของคุณทักษิณ ชินวัตร การจับอาวุธขึ้นสู้ของ “ฝ่ายตรงข้าม” และสุดท้ายซึ่งไม่ใช่ว่าสำคัญสุดท้าย นั่นคือเรื่องสุขภาพของกษัตริย์
คำสั่งจากศาลเพื่อยุบพรรคเพื่อไทยมีความเป็นไปได้เสมอ ผมไม่ต้องขยายความใดๆ ในเรื่องนี้เลย เว้นแต่จะยืนยันว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยทั้งโครงสร้าง เราเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลที่มันถึงขั้นผ่าตัดไม่ได้หรอก
๔. ตกลงกองทัพมีเดิมพันอะไรในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากเกิดการสกัดกั้นประชาธิปไตย (รัฐประหาร, คำสั่งศาล) ขึ้นจริงๆ?
คำตอบ: ผมเชื่อว่า มวลชนจะเคลื่อนลงใต้ดินมากขึ้นหากเกิดการรัฐประหารหรือฝ่ายประชาชนรู้สึกว่าถูกโกงหรือเอาเปรียบอย่างหนัก ผมยังไม่เห็นภาพสังคมไทยเคลื่อนตัวอย่างมวลชนในตูนิเซีย อียิปต์ และเยเมนในเวลานี้ เขาเหล่านั้นเล็งเป้าไปที่ผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างมั่นเหมาะ ไม่ได้มัวต่อกรกับคนระดับล่าง แล้วมวลชนไทยเราเล็งเป้าที่ถูกต้องแล้วหรือ? ผมยังไม่เชื่อเช่นนั้น การรณรงค์โดยขาดเป้าเล็งที่ชัดเจนและขาดกลยุทธ์ที่สัมพันธ์ต่อเนื่อง มวลชนจะไม่สามารถแสดงโกรธแค้นต่อศูนย์กลางของปัญหาการเมืองทุกปัญหาได้ พร้อมกันนั้นผมเชื่อว่าขบวนการใต้ดินใหม่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีการนำที่ดีขึ้น ความเปลี่ยนแปลงของไทยอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ดูคล้ายสยบยอม แต่จะยืนยง.
------------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สองวงศ์ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สองวงศ์
โดย กาหลิบ
เวลางวดใกล้เข้ามา สมาชิกของสองวงศ์แห่งกองทัพไทยก็ขยับกระสับกระส่ายไปตามๆ กัน ใครฉลาดก็วางแผนล่วงหน้า ใครโง่ก็ขยายขี้เท่อออกมาในช่วงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นอาการของความไม่มั่นใจว่าบ้านเมืองจะผันแปรไปอย่างไรเมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนสี
คำว่าสองวงศ์นั้น ก็มาจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ดูเหมือนจะเรียกกันว่าวงศ์เทวัญและทหารเสือฯ
ความขัดแย้งกับกัมพูชาที่แสดงออกอย่างเปิดเผย ความขัดแย้งลึกๆ กับเมียนมาร์และลาว ภาพการปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนแบบไม่ติดเบรก เหล่านี้เป็นตัวอย่างของความหวั่นไหวที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในกองทัพไทย โดยเฉพาะในกองทัพบก เพราะคนที่หนักแน่นมั่นคงเขาจะไม่ออกอาการมือสั่นงันงก
เรื่องนี้น่าวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น?
กองทัพไทยจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด เราไม่อาจดูย้อนไปที่บรรพบุรุษผู้รักษาชาติบ้านเมืองแต่กาลก่อนเท่านั้นได้ เราต้องตัดตอนประวัติศาสตร์ร่วมสมัยจนถึงในปัจจุบันมาพิจารณาด้วย เมื่อทำเช่นนั้นแล้วจะพบข้อเท็จจริงว่า กองทัพไทยมิได้ทำการรบพุ่งตามความรู้ความสามารถมานานนับสิบปีแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อเกิดเหตุปะทะกับเพื่อนบ้านทั้งกับลาวและเมียนมาร์ ก็สิ้นสุดยุติลงด้วยการแทรกแซงช่วยเหลือทางการเมืองในระดับสูง
เรื่องที่ได้รับชัยชนะทางทหารมาภาคภูมิใจกันนั้น แทบจะจำกันไม่ได้แล้วว่า ครั้งล่าสุดคือเมื่อใด จะสอนหนังสือปลุกใจเด็กต้องย้อนกลับไปถึงสมัยอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์โน่น
พูดกันตรงๆ คือทหารไทยไม่ได้ทำหน้าที่รบเพื่อชาติมานานหลายสิบปีแล้ว อย่างมากก็เป็นการลาดตระเวนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงและเข้าร่วมซ้อมรบกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรฝ่ายขวาของตน
กองทัพไทยจึงใช้เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้กับเรื่องของการเมือง ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ ผู้นำกองทัพบกส่วนมากเข้ามาร่วม “เล่น” การเมืองกับเขาทั้งที่เขาไม่ได้เชิญ แต่ปากแข็งอยู่เสมอว่ากองทัพไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเมืองและมีเอาไว้เพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งเป็นแนวคิดการเมืองที่พูดเหมือนเจาะปากกันมาพูดตั้งแต่ช่วงต่อต้านคอมมิวนิสต์และในช่วงหลังเข้าร่วมฆาตกรรมประชาชนเมื่อ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพื้นที่ใกล้เคียง
ผู้บัญชาการทหารบกยุคต่างๆ เข้ามาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบ้าง ก่อรัฐประหารบ้าง ก่อกบฏบ้าง อย่างต่ำก็ส่งตัวเองและพรรคพวกเข้าไปนั่งในวุฒิสภาในบางยุค หรือให้สัมภาษณ์โชว์ว่าตนเองมีอำนาจชี้นำการเมืองในระดับชาติได้ ในขณะที่เสวยสุขกับผลประโยชน์โภชย์ผลต่างๆ เช่น ส่วนแบ่งในงบประมาณหลวงและงบประมาณลับ เป็นต้น
ผลจากปรากฏการณ์นี้ ทำให้เกิดเส้นแบ่งทหารของกองทัพบกออกเป็นสองขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นทหารแท้ๆ รับราชการด้วยความจงรักภักดีต่อประเทศชาติและประชาชน อีกขั้วหนึ่งเป็นนักฉวยโอกาสอย่างนักการเมืองระดับต่ำและเกาะขาคนนั้นคนนี้ขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่มีความสามารถ บางคนถูกถ่มถุยอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำไปเพราะคนในกองทัพส่วนใหญ่เขาไม่เคารพนับถือ
เขากระซิบกันต่อๆ มาว่า กลุ่มทหารเสือฯ ได้แสดงพฤติกรรมที่ไม่ต่างอะไรเลยจาก “พรรคทหารเสือฯ” ในกองทัพที่มีเกียรติ เพราะเล่นการเมืองอย่างหนัก ตามงานเลี้ยงระดับสูงและในวงสนทนายามค่ำคืนของผู้ที่มีวิสัยนอนกลางวันและตื่นกลางคืน เพื่อเชียร์ตัวเองและพวกกันเป็นบ้าเป็นหลัง มีโอกาสก็ดึงขึ้นสู่ตำแหน่งตามกันไป เพื่อคอยระวังหลังให้แก่กัน พร้อมกันนั้นก็ใช้เท้าถีบทหารอีกสายหนึ่งที่ไม่ชำนาญการเชลียร์และการประจบสอพลอให้เขาหมดสิ้นอนาคต ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองสายพันธุ์เก่าที่เอาระบบเล่นพรรคเล่นพวกมาบูชาจนเหนือกว่าทุกสิ่ง
ทหารแท้ๆ ในกองทัพเขาซึ้งใจดีว่า ผู้บัญชาการทหารบกแต่ละนาย หรือแม้แต่นายพลระดับสูงที่มีอำนาจในกองทัพช่วงหลังๆ นั้น มีเกียรติยศไม่เท่ากัน เบื้องหลังการเข้าสู่ตำแหน่งของหลายคนน่านำมาเผยแพร่นินทาและเย้ยหยัน เพียงแต่เขาพูดดังๆ ไม่ได้เพราะวินัยและเกรงอำนาจในมือคนชั่วเท่านั้น
ปัญหาคือทั้งสองวงศ์กำลังนั่งเกวียนเล่มเดียวกันมาจนถึงปากเหว
ถ้าปล่อยควายตัวเดิมลากไปไกลกว่านี้ก็คงร่างแหลกกันทั้งสองวงศ์ แต่ถ้าขัดขืนโวยวายตรงๆ ควายก็คงจะขวิดเอา
เขาจึงสร้างเกวียนเล่มใหม่เขาไว้เงียบๆ เผื่อว่าใกล้พ้นปากเหวเมื่อไหร่ จะได้ผ่องถ่ายส่วนดีๆ ของกองทัพมาไว้ในพาหนะใหม่ได้ทันการณ์ เพื่อป้องกันประเทศชาติบ้านเมืองตามอุดมการณ์เดิม
มีใครรายงานท่านผู้บัญชาการฯ ให้ได้ทราบและสำเหนียกหรือยังก็ไม่รู้.
---------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก:http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
หุ่นเชิดหุ่น โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง หุ่นเชิดหุ่น
โดย กาหลิบ
การเมืองไทยเวลานี้ หากยืนมองอยู่ใกล้เกินไป เราจะเห็นภาพใหญ่ได้ยาก เราจะนึกว่าเพ่ือไทยปะทะประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เราจะเผลอคิดว่าการเลือกตั้งจะตัดสินว่าอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ (คือประชาชน) นั้นใครจะแน่กว่ากัน เราจึงรู้สึกยินดียินร้ายไปกับกิจกรรมการเมืองในครั้งนี้จนบางทีก็มากเกิน
ความจริงงานนี้เป็นหุ่นเจอกับหุ่น และไม่ใช่หุ่นอดีตนายกรัฐมนตรีปะทะตัวแทนของฝ่ายอำนาจเก่าเสียด้วย
งานนี้เริ่มออกลายเป็นการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้นทุกวัน เพราะมีผลประโยชน์ที่ขัดกันของชาติต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง หุ่นปะทะหุ่นในชั่วโมงนี้ จึงเป็นหุ่นของประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเร้นลับกับความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสัมพันธ์กับความขัดแย้งในระดับรัฐชาติของไทยอย่างกลมกลืน
พูดให้ชัดคือไทยไม่ได้สร้างความขัดแย้งกับกัมพูชารอบนี้เพราะสนุกที่จะมีเรื่อง หรืออัตตาใหญ่โต แต่งานนี้เป็นการกระทำตาม “สั่ง” ของอำนาจที่เหนือกว่าประเทศไทย ผู้มีอำนาจในไทยบางคนถูก “สั่ง” ให้เตรียมเปิดสงครามนั้นโดยคำสั่งที่ตกลงมาเป็นทอดๆ
นายพลระดับบัญชาการรบของไทยหลายคนยังไม่รู้เลยว่าความขัดแย้งในครั้งนี้เกิดจากอะไร มีเป้าหมายอันแท้จริงอย่างไร และจะไปจบลงตรงไหน
รู้แต่ว่าคำสั่งคือ เตรียมทำสงครามไว้ตลอดเวลา และเข้าทำการรบ (engagement) เป็นระยะๆ ประเภทสามสี่เดือนหรือหกเดือนครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวทางที่ “ลงมา” ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๐ โน่นแล้ว
การเมืองระหว่างประเทศที่มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น มีจุดยืนอยู่เพียง ๓ อย่างเสมอมา:
๑. รักษาระเบียบของโลกแบบที่ตนเองได้รับประโยชน์
๒. ฉกฉวยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบใช้อำนาจบาตรใหญ่
๓. การครอบงำทางวัฒนธรรม ความคิด และความเชื่อ
ในแถบเอเชียตะวันนอกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์ ผลประโยชน์ทางการเมืองและความมั่นคงของมหาอำนาจมีไม่มากนักในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับยุคสมัยแห่งทฤษฎีโดมิโนและสงครามเย็น แต่ความสำคัญทดแทนกลับเป็นผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาว เรากำลังพูดถึงแหล่งพลังงานและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของรัฐสมัยใหม่และเพื่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ยิ่งขึ้น
เมื่อผลสำรวจเกิดชี้ชัดว่า ในอ่าวไทยและบริเวณใกล้เคียงอาจมีน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และแร่ธาตุหลายชนิดในปริมาณที่คุ้มทุน ถึงขนาดดึงน้ำมันขึ้นมาดูเล่นเป็นประเดิมได้ถึง ๙ ล้านบาร์เรล เมื่อราวๆ พ.ศ. ๒๕๕๒ เกมการเมืองระหว่างประเทศก็เปลี่ยนทันที
หลังเงียบสนิทมานานเกือบครึ่งศตวรรษ เพราะแพ้มติศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศในสิทธิเหนือปราสาทและเขาพระวิหาร รัฐบาลไทยไม่ว่าจะชุดไหนต่างก็เงียบเสียงและไร้นโยบายในเรื่องนี้จนเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นโลกหรืออยากจะลืมมันให้สนิทเท่านั้น
แต่แล้วจู่ๆ กลุ่มที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รับงานมาจากไหนก็ไม่รู้แน่ ก็ออกมาโหมเรื่องนี้แบบคนเชียร์แขกค้าประเวณี จนกระทั่งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับลูกไปเล่นในสภาผู้แทนราษฎรและต้องแบกเอาไว้บนบ่าเมื่อตัวเองกระทำการฉ้อฉลจนได้เป็นรัฐบาล
ความหมายที่แท้จริงคือคนใหญ่กว่าไทยเขาเลือกกดปุ่มให้เล่นเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว คนที่คอยรับงานมาประสานอย่างใกล้ชิดก็คือเจ้านายของคุณประพันธ์ คูณมี ซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ที่ออกมาจี้ไชในเรื่องนี้ เขาคือนาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริที่ได้พูดถึงไปในคราวก่อน
แรงกดดันไม่ได้มาที่ตัวคุณประสงค์ฯ ผู้เป็นเพียงเสมียนหน้าหอ แต่ตรงลิ่วไปยังหุ่นเชิดตัวใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรไทยที่ผู้มีอำนาจเหนือประเทศเขาเลือกเป็นหุ่นเชิดของเขามานานนับทศวรรษ
แผนการทหารจึงถูกวาง และการหาเรื่องกัมพูชาจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๐
ปราสาทพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ดินแดนข้อพิพาท ๔.๖ ตารางกิโลเมตร จงชิดซ้ายไป
น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และอื่นๆ ในอ่าวไทยเขาเร่งเครื่องขึ้นมาแล้ว!
-------------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก:http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554
อย่ามองข้ามคนเชียร์แขก โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง อย่ามองข้ามคนเชียร ์แขก
โดย กาหลิบ
จะประณามว่า ASTV ซึ่งเป็นขี้ข้าของระบอบเก่าที่กำลังล่มสลายเป็นกระบอกเสียงที่ไม่มีคุณค่าเสียทีเดียว ก็คงว่าไม่ได้ เพราะล่าสุดช่วยทำประโยชน์ให้กับกระบวนการจัดตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยโดยไม่ได้ตั้งใจ จากปากตั้งต้นของคุณสนธิ ลิ้มทองกูล และปากติดตามของคุณประพันธ์ คูณมี ซึ่งนัดกันมาเป็นดาบหนึ่งดาบสองหรืออย่างไรก็ไม่รู้ได้
เรื่องที่จะเล่าเสริมต่อไปนี้ซับซ้อนเล็กน้อย จึงจะทำให้เกิดความสับสนน้อยที่สุด เพื่อให้เราต่างก็เข้าใจในการเล่นเกม (game plan) ของฝ่ายเขาและแลเห็นภาพเดียวกัน
กรณีที่ว่านี้คือเรื่องของน้ำมันในอ่าวไทย ซึ่งควรเป็นสมบัติร่วมกันของชาติที่มีน่านน้ำคาบเกี่ยวกันคือไทยและกัมพูชา
เกมนี้เป็นสิ่งที่เหนือกว่าสติปัญญาของคนใน ASTV มาก เว้นแต่คนอย่างคุณสนธิฯ ซึ่งเชื่อว่ามีความเข้าใจลึกซึ้งกว่าใครๆ แต่เมื่อเข้าใจแล้วจะใช้สัมมาทิฎฐิหรือมิจฉาทิฎฐิเข้ามาจับ ก็เป็นเรื่องบุญกรรมของคุณสนธิฯ
คุณประพันธ์ คูณมีนั้นทุกคนรู้ดีว่าเป็นร่างทรงของคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งถึงจะร่วงโรยไปตามวัยแล้วแต่ยังรักษามิจฉาทิฎฐิของตัวเองได้อย่างเข้มข้น เหมือนกับนายใหญ่ที่สุดของเขา คนที่ว่านี้คือ นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้หวังโหนกระแสเกลียดทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรืออย่างต่ำขอมีอิทธิพลชี้นำในทางนโยบายของชาติ
ทั้งสองคนเพิ่งพูดถึงเรื่องของน้ำมันในอ่าวไทยและพูดอย่างชัดเจนว่านั่นล่ะคือหัวใจของเรื่อง
ไม่ใช่ปราสาทพระวิหาร
ไม่ใช่วัดแก้วสิกขาสวาระ
ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ๔.๖ ตารางกิโลเมตร
พูดง่ายๆ ว่าไทยมีเรื่องกับเขมรรอบนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่งัดมาทะเลาะกันในข่าวเลย แต่เป็นการชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องของทรัพยากรน้ำมันในอ่าวไทยและบริเวณใกล้เคียง
แถมคนที่ทะเลาะกันในฉากหลังก็ไม่ใช่ไทยกับเขมรอีกด้วย
พื้นที่ในทะเลที่เชื่อกันว่ามีน้ำมันอยู่มากนั้น เขาแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น ๙ พื้นที่ หรือจะเรียกว่า ๙ หลุมเหมือนสนามกอล์ฟก็ได้ ขณะนี้ความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชาภายใต้สมเด็จฮุนเซ็น ทำให้เขามีความนิ่งพอจะจัดแบ่งผลประโยชน์อันมหาศาลนี้ได้ลงตัวและรวดเร็ว ในขณะที่คนไทยขัดแย้งกันจนแทบจะเกิดสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบอยู่แล้ว จึงเหมือนถูกกันออกนอกวงไปโดยปริยาย
ปัญหาคือไทยมิได้ถูกกันออกนอกวงจนลำบากเดือดร้อนเพียงคนเดียว แต่กระทบกระเทือนถึง “ลูกพี่” ของชนชั้นนำไทยที่คอยเอื้อประโยชน์ให้แก่กันและกันมานานนักหนานั่นด้วย
ก่อนที่ทรัพยากรจะถูกเฉือนและแบ่งกันจนหมดก้อน เกมเลื่อยขาเก้าอี้เกมใหม่จึงต้องเกิด และต้องกระทำอย่างรวดเร็วก่อนจะชวดฉลูขาลเถาะ
ไม่น่าแปลกใจที่เขาสั่งทันทีว่าไทยต้อง “หาเรื่อง” กับกัมพูชา
คนที่เปิดเกมนี้ก็คือ นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริและสนธิ ลิ้มทองกูล เพราะความขัดแย้งทุกประเด็นระหว่างไทยและกัมพูชา มาจากลมปากของกลุ่มที่เคยเรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งสิ้น
ขณะเปิดเกมก็เขกหัวทุกคนที่เป็นขี้ข้ากลุ่มเดียวกัน จากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ถึงกองทัพบกของประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ารักชาติน้อยกว่าตนทั้งนั้น ความหมายอันแท้จริงคือข้าพเจ้านี่แหละที่จะช่วยกู้ผลประโยชน์ที่สูญเสียไปของลูกพี่ (ต่างชาติ) ได้ดีกว่าคนอื่น
สนธิและประสงค์เขารู้ลึกซึ้งว่า นายใหญ่ (ต่างชาติ) และนายใหญ่ (แห่งชาติ) เขาร่วมประโยชน์กันแนบแน่นถึงสัดส่วนกันอย่างไร เขาจึงคำนวณแล้วว่าเล่นเรื่องนี้และช่วยยกระดับไปเรื่อยๆ คือวิธีที่พวกเขาจะได้คะแนนสูงสุดจากนายใหญ่ทั้งสองระดับ
เป้าหมายของเรื่องนี้คือการล้มกระดานผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทย โดยสร้างเรื่องเพิ่มเติมให้เกี่ยวพันกับการเมืองไทยโดยเฉพาะตัวอดีตนายกรัฐมนตรีคือคุณทักษิณฯ
ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยถอดชนวนช้าเกินไป จะเกิดวิกฤติใหม่ในไม่ช้า
สงครามทางทะเลที่มีชาติใหญ่หนุนหลังอยู่ทั้งสองฝ่ายอาจเกิดขึ้นได้.
-------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก:http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554
โจรเจรจา โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง โจรเจรจา
โดย กาหลิบ
เพียงแสดงท่าทีว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะเปิด “เจรจา” กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกว่า จะร่วมมือกันอย่างไรหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ก็ทำให้ผู้สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยขยับตัวด้วยความอึดอัดขัดใจกันทั่วประเทศและทั่วโลก
แม้ว่ามวลชนสายเลือดไทยจะไม่เคยถูกปลูกฝังให้อาฆาตมาดร้ายใครชนิดให้อภัยกันมิได้ แต่เขาก็รู้เจ็บรู้จำ และพร้อมเดินลุยไฟต่อไปจนกว่าบ้านเมืองนี้จะเป็นธรรมและยุติธรรม ความรู้สึกเช่นนี้มิได้ชี้ว่าคนไทยมีปัญหา แต่กลับแสดงหลักฐานของอุดมการณ์ใหม่ว่าจิตใจได้หลุดพ้นจากความเป็นทาสทางสังคม
ความดักดานเดิมๆ ที่ยอมให้เขาหลอกให้โง่ จน เจ็บ เริ่มหลุดออกไปจากระบบความคิดที่ล้าหลังและเดินสู่แนวคิดก้าวหน้าอย่างมั่นคง
ความคิดพึ่งตนเองและยอมรับในความเสมอภาคของมนุษย์เริ่มงอกงามขึ้น
แน่นอนว่า ทาสที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสมานานหรือทาสในเรือนเบี้ย ก็ยังมีตัวตนอยู่อีกมากในสังคมไทย ทาสเหล่านี้ยังหลงละเมออยู่ว่า มูลนายของตัวคือความมั่นคงของชีวิต ใครมาชวนให้ลุกขึ้นประกาศความเป็นไทและความเป็นมนุษย์จากมูลนายก็จะไม่เห็นด้วยและแสดงอาการขัดขืนไม่ยอมลุกขึ้นมาเป็นคนที่สมบูรณ์ เหตุก็เพราะกลัวเสียผลประโยชน์จากเศษอาหารที่มูลนายโยนลงมาให้เหมือนที่สุนัขได้รับนั่นเอง
ทาสเหล่านี้กระทำตัวเป็นปฏิกิริยาต่อขบวนประชาธิปไตยที่ต้องการปลดปล่อยทาส ถ้าไม่ออกมาสกัดขัดขวางเองโดยตรงก็จะไปยุให้ฝ่ายศัตรูออกมาขจัดกวาดล้างให้การปฏิวัติแต่ละครั้งจึงต้องกำจัดคนเหล่านี้ไปไม่น้อยกว่าฝ่ายที่ตั้งตัวเป็นศัตรูโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเจ็บปวดนัก
ความตาย การบาดเจ็บทุพพลภาพ และบาดแผลทางใจของคนไทยเป็นล้านๆ เกิดจากกำลังจากกองทัพบกและเครือข่าย โดยคำสั่งโดยตรงจาก พลเอกประยุทธ์ฯ และในความรับผิดชอบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างน้อยสามครั้งในห้วงเวลา ๒ ปี ตั้งแต่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ จนถึง ๑๐ เมษายนและ ๑๙ พฤษภาคมแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓ นี่เป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้
วันนี้มูลนายเขาสั่งลงมาให้ “ปรองดอง” กัน โดยอ้างว่าหากฝ่ายประชาชนยังคงมุ่งมั่นกับการหาตัวฆาตกรผู้กระทำความผิด ผู้นำขบวนประชาธิปไตยยังหนุนให้มวลชนแสดงความต้องการอันแท้จริงตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยต่อไป บ้านเมืองก็จะไม่มีทางออก
คนที่มีสมองและสภาพจิตใจอย่างทาสก็อาจจะพยักหน้ารับว่าจริง เราต้องปรองดองกัน
แต่คนที่ต้องการเลิกทาสในตนจะเกิดคำถามกับตัวเองทันทีว่า เหตุใดเราต้องปรองดองกับผู้ที่มีเจตนาทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ต้น และการปรองดองที่จะทำให้ร่วมเตียงเคียงหมอนกับอาชญากรได้ต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่เราควรปรารถนากระนั้นหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่า บ้านเมืองถึงทางตันเพราะความชั่วร้ายของระบอบที่ดำรงอยู่ มันกลายเป็นขยะก้อนใหญ่ที่อุดทางออกของบ้านเมืองเอาไว้จนหมดสิ้น ความชั่วร้ายจึงเอ่อท้นขึ้นมาจนมองเห็นและได้กลิ่นเหม็นเน่ากันไปทั่ว
หน้าที่ของขบวนประชาธิปไตยคือทะลวงท่อหรือดูดขยะนั้นไปทิ้งเสียที่อื่น ไม่ใช่ขมีขมันเข้าช่วยเขาเหมือนช่างซ่อมท่อที่ต้องการเอาใจเจ้าของบ้าน
แนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ก่อให้เกิดผลปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก
อยากเลือกตั้งก็เลือกไปให้ดีไม่มีปัญหา โดยหวังให้กระบวนการเลือกตั้งนั้นเองพิสูจน์ความเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการของบ้านเมืองจนเป็นที่ประจักษ์ ก็ยังนับว่ามีประโยชน์ แต่ท่าทีระหว่างนั้นต้องเป็นผู้ดีประชาธิปไตยทุกกระเบียดนิ้ว
อย่าลดตัวเป็นจิ้งหรีดให้เขาปั่นหัว
อย่าลดราคาในนโยบายเพื่อประชาธิปไตยทุกชนิด
และอย่าสังสรรค์วิสาสะกับโจรเป็นอันขาด
ข้อสรุปง่ายๆ คือ จงเป็นผู้นำไทย เลิกนิสัยผู้นำทาส.
------------------------------------------------------------------------------
ช่วยสนับสนุน SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail :tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com//