ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใกล้บ้า โดย จักรภพ เพ็ญแข


โดย : จักรภพ เพ็ญแข

ที่มา : คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 25

ชั่วเวลาไม่กี่วันที่นายกรัฐมนตรีผู้ถูกรัฐประหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เยือนกัมพูชาอย่างสง่าผ่าเผยสมศักดิ์ศรีหัวหน้ารัฐบาลไทย เราได้เห็นการดิ้นพราดๆ ของอำมาตย์เมืองไทยอย่างไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็น และเห็นเข้าแล้วก็อดอายแทนมิได้

ทั่วโลกได้เห็นไปพร้อมกันด้วยว่าผู้ใหญ่อย่างคุณทักษิณและสมเด็จฮุนเซ็น กับเด็กน้อยอย่างคุณอภิสิทธิ์นั้นมีความแตกต่างจนเหมือนอยู่กันคนละโลกกันอย่างไร เห็นแล้วก็นึกถึงคนใหญ่ที่ใช้งานคุณอภิสิทธิ์อีกต่อหนึ่ง ว่าช่างเป็นคนแก่ที่ด้อยวุฒิภาวะเสียนี่กระไรที่สั่งงานอย่างนี้และใช้คนระดับนี้ทำงาน

ถึงจะเป็นข่าวมากมาย แต่ควรลำดับความน่าอายครั้งสำคัญนี้ไว้ให้เป็นระเบียบสักหน่อย คนไทยรุ่นหน้าจะได้รู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอของอำมาตย์พันธุ์โบราณและช่วยจับกันขังไว้ให้แน่นหนาในกรงเหล็กเพื่อมิให้สร้างความเสียหายแก่ประเทศได้อีก

นี่คือหลักฐานที่แสดงถึงความหมกมุ่นในตัวเองของอำมาตย์ไทยจนไม่รู้ว่าโลกเขาคิดอย่างไร จนกล้าก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตย กล้าใช้ตุลาการภิวัตน์มาทำลายความยุติธรรม กล้าใช้องค์กรอิสระมาหลอกสังคมว่าเป็นกลาง กล้าปลุกม็อบเสื้อเหลืองขึ้นมาท้าทายกฎหมายต่างๆ จนถึงขั้นเข้ายึดท่าอากาศยานนานาชาติ และกล้าคิดกล้าเชื่อว่าระบอบที่สร้างไว้เพื่อรับใช้ชนชั้นของตนจะอยู่ไปได้จนชั่วฟ้าดินสลาย

ขอลำดับความอย่างสั้นๆ ดังนี้ครับ

๑. ม็อบเหลืองจุดประเด็นปราสาทพระวิหารขึ้นเพื่อโค่นล้มทำลายรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งในข้อหาขายชาติ ทั้งๆ ที่ชาติเสียประโยชน์ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๕ ภายใต้รัฐบาลอำมาตย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และรัฐบาลอำมาตย์ทุกชุดหลังจากนั้นก็ไม่เคยกอบกู้กรรมสิทธิ์ของไทยได้อีกเลย ทั้งๆ ที่อ้างความรักชาติรักแผ่นดินเป็นบ้าเป็นหลัง แถมยังสร้างความขัดแย้งกับกัมพูชาแทบจะทุกยุคที่ฝ่ายอำมาตย์ได้เป็นรัฐบาล

๒. องค์กรอิสระอย่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกระโดดรับลูก ทำให้ข้อกล่าวหาของม็อบเหลืองดูมีน้ำหนักขึ้นมา

๓. พรรคพลังประชาชนของฝ่ายประชาธิปไตยก็อ่อนข้อต่อการโหมกระพือเรื่องขายชาติ ถึงขั้นที่ปล่อยให้ คุณนพดล ปัทมะ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่มีความผิด แสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของการใช้ลัทธิคลั่งชาติทำลายศัตรูทางการเมือง ที่เกิดผลทางใจแม้ในฝ่ายเราเอง

๔. ทหารระดับสูงหลายนายวางแผน “หาเรื่อง” กัมพูชาด้วยการวางกับระเบิดตามแนวชายแดนและส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษในชุดดำเข้าไปไล่ล่าประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหา จนถึงขั้นฆ่าและเผากันกลางป่า เพื่อยั่วยุกัมพูชา

๕. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับของโจรคือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณในทำนองไม่พอใจต่อกัมพูชาอย่างอ้อมๆ สร้างบรรยากาศที่เหมือนเปิดแก๊สรมไว้เต็มห้องตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง

๖. นายกษิต ภิรมย์ ผู้ก้าวล่วงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้ามาเพิ่มความขัดแย้งเพราะเป็นโควต้าพันธมิตรฯ และเมื่อเดินทางเยือนกัมพูชา ก็พบกับ สม รังษี ผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้นำกัมพูชาอย่างเสียมารยาท หลังจากนั้นก็ใช้ภาษาสงครามกับผู้นำกัมพูชามาโดยตลอด

๗. แกนนำเสื้อแดงบางส่วนหลวมตัวโจมตีกัมพูชาเรื่องพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรไปกับเขาด้วย นัยว่าอยากโหนกระแสชาตินิยม โดยลืมมองยุทธศาสตร์ระยะยาวของฝ่ายประชาธิปไตย จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับกัมพูชาในช่วงเวลาหนึ่ง

๘. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสีหโมนีแห่งกัมพูชาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลแห่งชาติกัมพูชาและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกัมพูชา

๙. รัฐบาลไทยเรียกเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญกลับประเทศ จนกัมพูชาต้องตอบโต้ในมาตรการเดียวกัน ถือว่าสองประเทศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการ

๑๐. รัฐบาลกัมพูชาเชิญ ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาทำหน้าที่ที่ปรึกษาเศรษฐกิจฯ ด้วยการบรรยายให้ความรู้แก่ทีมเศรษฐกิจกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (บุคคลเดียวกัน) รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ (ทั้งทีม) ปลัดกระทรวงฯ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักธุรกิจระดับนำรวมแล้วกว่าสามร้อยคน และเชิญเยือนกัมพูชาอย่างยิ่งใหญ่ จัดบ้านพักกลางกรุงพนมเปญซึ่งเคยเป็นที่พำนักของสมเด็จเจียซิม (ประธานวุฒิสภาและหนึ่งในสามสมเด็จ) ให้อยู่อย่างถาวร

๑๑. ตำรวจกัมพูชาบุกเข้าจับกุมเจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการการจราจรทางอากาศกัมพูชา (CATS) ซึ่งเป็นคนไทย ๑ คน สืบทราบว่าเป็นผู้ขโมยข้อมูลลับเกี่ยวกับการเดินทางของ ดร.ทักษิณฯ และสมเด็จฮุนเซ็น และแอบส่งให้กับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ รัฐบาลกัมพูชาจึงสั่งเนรเทศเลขานุการเอกฯ ซึ่งเป็นผู้รับข้อมูลนั้นออกจากประเทศภายใน ๔๘ ชั่วโมง

๑๒. ระหว่างขโมยส่งข้อมูลลับเรื่องการบินนั้นเอง ก็ได้นำเครื่องบินเอฟ ๑๖ จำนวน ๓ ลำมาจอดรอไว้ใกล้พรมแดนไทย-กัมพูชา ทุกคนที่รู้จักเครื่องบินรบชนิดนี้ จะเข้าใจทันทีว่าเจตนาจะเป็นอะไรอื่นมิได้นอกจากการใช้บินขึ้นไปโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายบางอย่าง ข้อมูลลับในเรื่องการบินของคุณทักษิณและสมเด็จฮุนเซ็นจึงกลายเป็นหัวใจของแผนวินาศกรรมขนาดใหญ่

เมื่อลำดับความให้ชัดเจน ไม่วกวน และต่อเนื่องกันแล้ว เราจะพบความจริงที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

นั่นคืออำมาตย์ไทยมีความอำมหิตโหดร้ายจนอาจเกินขีดที่จะประนีประนอมกัน

ความจริงกรณีกัมพูชาไม่มีอะไรซับซ้อนเลย รัฐบาลเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งเขาเห็นคุณค่าของคนไทยคนหนึ่งและแต่งตั้งคนไทยคนนั้นให้เป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยงานเขา แต่ฝ่ายอำมาตย์ไทยกลับเห็นว่าเป็นการท้าทายหรือลูบคมอะไรก็ไม่ทราบได้ จึงโต้ตอบด้วยพฤติกรรมและภาษาที่ยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างกัน

กฎหนึ่งในความขัดแย้งระหว่างชาติเรียกว่า การโต้ตอบอย่างได้สัดส่วน หรือ proportional response

แปลว่าแต่ละชาติต้องคำนวณปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอน ไม่มากและไม่น้อยจนเกินควรแต่เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงการโต้ตอบที่เกินความสมควรไปหลายช่วงตัว เพราะถึงขั้นวางแผนฆ่าหรือเตรียมลอบสังหารผู้นำไทยและผู้นำต่างประเทศกันแล้ว ถ้าอีกฝ่ายจะโต้ตอบกลับมาบ้างก็คงต้องถึงขั้นบู๊ล้างผลาญกัน

หายนะก็จะบังเกิดขึ้นอย่างไม่ควร

หรืออำมาตย์ไทยอยู่ในสภาพที่สายเกินแก้จนไม่มีทางอื่นใดที่จะสื่อสารกันรู้เรื่องอีกแล้ว นอกจากจะมุ่งโจมตีที่อำนาจของเขาโดยตรง?

ถึงขนาดนี้แล้วอย่ามัวแต่ร้องเพลงกันอยู่เลยครับ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น