ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สองแนวรบ โดย กาหลิบ



คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : สองแนวรบ
โดย : กาหลิบ

เคยอ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ได้อำนาจใหม่ๆ ก็ไม่เคยนึกว่าจะได้พบเจออะไรอย่างนั้นอีกในพุทธศักราชใหม่ โดยเฉพาะความจริงอันเจ็บปวดว่าขบวนประชาธิปไตยทุกสมัยล้วนมีศัตรูสองแนวรบทั้งนั้น

ฝ่ายเผด็จการอำนาจโบราณแนวหนึ่ง

เหลือบในขบวนประชาธิปไตยนั้นเองอีกแนวหนึ่ง

ผลกระทบต่อขบวนการรุนแรงพอๆ กัน

เมื่อ ดร.ปรีดีฯ เอาชนะฝ่ายเผด็จการโบราณได้ยกหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ผู้มีอำนาจเก่าเขาก็วางแผนเอาคืนอย่างแยบยล เขาจึงร่วมกับ “คนกลาง” อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดา หรือ ประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) และอาศัยความขัดแย้งอันเนื่องมาจากเค้าโครงเศรษฐกิจฯ ประกาศปิดสภาผู้แทนราษฎรโดยสิ้นเชิงหลังจากปฏิวัติประชาธิปไตยสำเร็จเพียงไม่ถึงหนึ่งปี

แล้วออกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์มาเป็นเครื่องมือใหม่ปลดรัฐมนตรีสาย ดร.ปรีดีฯ ถึง ๔ คน ตัว ดร.ปรีดีฯ ถูกบังคับให้เดินทางไปอยู่ฝรั่งเศสเป็นเวลานาน

ความสำเร็จของเจ้าและขุนนางครั้งนั้น มิได้เกิดขึ้นเพราะความชำนาญเกมการเมืองของฝ่ายตนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้รับความร่วมมือใกล้ชิดจากคนข้างในของคณะราษฎรเองที่หัวคิดก้าวหน้าสู้ ดร.ปรีดีฯ ไม่ได้ เลยตั้งตัวเป็นเหลือบซ่อนในขบวนประชาธิปไตย และคอยบ่อนทำลายใครก็ตามที่คิดเปลี่ยนแปลงประเทศให้สมเจตนาปฏิวัติ

สายพันธุ์อนุรักษ์ในคณะราษฎรเหล่านี้ ประกอบด้วยคนอย่าง พระยาทรงสุรเดช พระประศาสน์พิทยายุทธ พระยาฤทธิ์อัคเนย์ เป็นต้น

กว่าจะกลับสู่ฐานคิดเดิมของการปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ ก็ต้องให้พระยาพหลพลพยุหเสนาออกแรงยึดอำนาจด้วยกำลังทหารอีกครั้ง กวาดล้างซากเดนศักดินาเหล่านั้นจนกระเด็นไปคนละทางสองทาง ทั้งฝ่ายเจ้า ฝ่ายขุนนาง และฝ่ายที่เป็นขุนนางหัวใจเจ้า

ไม่นานก็คิดเห่อเหิมกลับมายึดอำนาจกันอีก จนต้องปราบปรามอย่างเสียเลือดเสียเนื้อที่หลักสี่และหินลับ ความฝันที่จะกดหัวไพร่ให้เป็นทาสต่อไปดังเดิมก็สลายไปชั่วคราว กลายเป็นกบฏบวรเดชขึ้นมาแทนที่

บทเรียนทางประวัติศาสตร์สอนเราว่า ฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตยมักแอบคบหาสมาคมและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับคนในฝ่ายประชาธิปไตยที่จิตใจไม่มั่นคงและแนวทางกวัดแกว่งเสมอ

เหมือนคนที่แอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้านเขาจนคุ้นชิน หางก็แกว่งอยู่เป็นนิจสิน

ขบวนประชาธิปไตยขณะนี้ก็มีคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะ “คืนดี” กับฝ่ายที่เขาฆ่าประชาชนกลางเมืองถึงขนาดให้ทำอะไรก็ยอมทำ แถมพกด้วยพวกที่แสร้งเป็นฝ่ายประชาธิปไตยแต่คอยกราบเท้าผู้คนที่ประชาชนเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา พอได้จังหวะเหมาะคนๆ เดียวกันก็วิ่งกลับไปหาบุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตยแล้วไปโอ้โลมปฏิโลมให้เขางอนง้อขอคืนดีกับเทวดา

สายพันธุ์ที่ถูกปราบเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕-๗๖ ยังคงเหลือแพร่พันธุ์ต่อมาอีกมากในประเทศไทยให้เห็นได้จนทุกวันนี้

ขบวนประชาธิปไตยมักมีจิตใจสูงไม่คิดทำร้ายล่วงเกินสิทธิมนุษยชนของใคร แต่คราวนี้จำเป็นต้องรู้เจ็บรู้จำกันบ้าง โดยกำหนดไว้ในใจให้ชัดว่าเหลือบในขบวนการประชาธิปไตยประเภทนี้คือเป้าหมายของเราไม่น้อยไปกว่าตัวอำมาตย์ชาติขุนนางเอง

ถ้าไม่ช่วยกันจำ พอฝ่ายประชาธิปไตยชนะ เหลือบเหล่านี้ก็จะตอแหลขอกลับมาได้ดีในฝั่งนี้อีก ตามวิสัยเก่าที่ขูดไม่ออก ประชาชนก็จะถูกหลอกกันต่อไป

ฝ่ายประชาธิปไตยแพ้คนหน้าด้านมาหลายรอบแล้วครับ

เว้นสักครั้งเถิด.

--------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น