ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554
รากเหง้าความคิดเรื่องปิดเทอม โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง รากเหง้าความคิดเรื่องปิดเทอม
โดย กาหลิบ
ในขณะที่คนอยากเลือกตั้งกำลังลุ้นเลือกตั้งกันตัวโก่ง เสมือนว่าไม่ได้เลือกตั้งแล้วฟ้าจะถล่มดินจะทลายนั้น ก็เริ่มเกิดสัญญาณที่ไม่น่าสบายใจนัก เช่น กรรมการการเลือกตั้งจะทำให้ตนพ้นตำแหน่งจนเหลือไม่ถึง ๓ คนหรือไม่ การลาออกจากประธาน ครป. ของนาย
แถมยังเกิดข่าวสะพัดว่า เมืองไทยอาจจะ “ปิดเทอม” ชั่วคราว ซึ่งหมายความว่า ประชาธิปไตยอาจถูกขัดจังหวะอีกครั้งด้วยกลไกบางอย่างที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย โดยหวังผลจัดระเบียบประเทศ ซึ่งขณะนี้ขัดแย้งกันจนถึงราก กลไกแบบนั้นคงไม่พ้นก่อรัฐประหาร หรือโค่นรัฐบาลด้วยอำนาจตุลาการ หรือใช้เทคนิคพิเศษและกลไกที่ใหม่กว่านั้นมาเปลี่ยนรัฐบาลหรือกำหนดตัวรัฐบาลใหม่ อย่างให้คนที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งลาออกเสียเพื่อให้เลือกตั้งไม่ได้ หรือใช้มาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มอบพระมหากษัตริย์เป็นผู้หาตัวนายกรัฐมนตรีแทนประชาชนทั้งประเทศ
เขาจะขัดขวางด้วยวิธีไหนก็ให้ผู้มีอาชีพเลือกตั้งเขาห่วงกังวลกันไป เพราะถือว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ประชาชนอย่างเราควรห่วงอะไรที่เหนือขึ้นไปกว่านั้น นั่นคืออำนาจประหลาดที่ทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศกลายเป็นโรงเรียน โดยมีผู้บริหารโรงเรียนหรือครูใหญ่ที่บงการชีวิตได้เสมอว่าเมื่อไหร่จะได้เรียนหรือเมื่อไหร่จะอด
เรื่องนี้วงสัมมนาที่นิด้าเมื่อวันก่อนเขาไม่กล้าพูดกันตรงๆ ได้แต่คร่ำครวญกันว่าโรงเรียนเมืองไทยจะได้เปิดเทอมกันต่อไปหรือจะต้องกลับไปร้องไห้ที่บ้าน
แนวคิดเรื่อง “ปิดเทอม” แสดงให้ชาวโลกและชาวไทยเห็นชัดว่า อำนาจสูงสุดในประเทศนี้มิได้เป็นของประชาชนเลย แต่อำนาจนั้นอยู่ในมือของคนอื่นที่มิใช่ประชาชน อันเป็นอำนาจขนาดกำหนดชะตากรรมของคน ๖๕ ล้านได้อย่างหน้าตาเฉย
ระบอบใดก็ตามที่ประชาชนไม่มีอำนาจสูงสุด ไม่สามารถชี้นำประเทศได้อย่างที่สหประชาชาติชอบใช้คำว่า “กำหนดใจตนเอง” นั้น ย่อมไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
หากมีกลุ่มบุคคลร่วมกันครอบครองอำนาจนั้น ก็เรียกว่าระบอบคณาธิปไตย ปกครองด้วยมือของกลุ่มบุคคลเพียงกลุ่มเดียว
หากมีคนๆ เดียวชี้นำได้จากระดับสูงสุด ถึงไม่ต้องออกแรงทำเอง สามารถใช้บ๋อยได้นั้น ก็คือระบอบเผด็จการ
ถ้าอำนาจนั้นสมบูรณ์ สั่งการได้ทุกเรื่องทุกเวลาไม่มีผิดหวัง ก็เรียกให้พิสดารขึ้นอีกว่าระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
หากคนๆ เดียวนั้นเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ ก็เป็นระบอบเผด็จการที่แตกลงไปในสายพันธุ์เดียวกัน เรียกว่าระบอบราชาธิปไตย หรือเรียกตามคติไศเลนทร์ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
เมืองไทยเข้าข่ายอะไรคงไม่ต้องสะกดออกมาเป็นคำๆ
ความคิดเรื่อง “ปิดเทอม” จึงมีความสำคัญ เพราะเป็นการสะท้อนระบอบ ทำให้รู้ทีเดียวว่าเราต่างอยู่ในระบอบอะไร เมื่อรู้แล้วและไม่คิดต่อกรหรือถ่วงอำนาจกันอย่างจริงจัง ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าแกจะเปลี่ยนใจมาช่วยเราหรือเสริมสิ่งที่เรามองว่าเป็นผลประโยชน์นั้น อาจต้องถือเป็นความไม่รับผิดชอบอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อมวลชนเสียสละกันมาแล้วขนาดนี้
ผู้ที่อยากเลือกตั้งโปรดฟังให้ดี ถ้าท่านได้เลือกตั้งสมใจก็จงสนุกสนานกันไป อย่าเอากลวิธีนั้นผันอำนาจเข้าสู่ตัวเองและพวกจนลืมวีรกรรมของมวลมหาประชาชน แต่ถ้าหากไม่ได้เลือกตั้ง ถูกบังคับให้อยู่บ้านหรือไปเที่ยวเมืองนอกอย่างสำราญเพราะ “ปิดเทอม” ท่านมีหน้าที่ต้องยอมรับในที่สาธารณะว่าเมืองไทยที่ท่านชวนคนเขาไปเลือกตั้งนั้น ไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ท่านคิด
เมื่อไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่ต้องเรียกหากลไกอย่างการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องวิเศษของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเพียงพอแล้ว การเลือกตั้งให้กับเผด็จการไม่ว่าจะไพร่หรือเจ้านั้น เท่ากับเทคอนกรีตเสริมฐานอำนาจของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่กงการอะไรของคนที่เรียกตัวเองว่านักประชาธิปไตย
สรุปแล้ว “ปิดเทอม” เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
และเมื่อต่อสู้เพื่อมิให้ “ปิดเทอม” แล้วก็ต้องต่อสู้กับอำนาจที่สั่ง “ปิดเทอม” หรือ “เปิดเทอม” นั้นด้วย ไม่อย่างนั้นก็ต้องประสบหายนะภัยจากงูหลังหักที่ “มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง”
วิกฤติการเมืองไทยนี้ไม่มีทางออกง่ายๆ หรอกครับ.
--------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554
ถึงแดงยุโรป โดย กาหลิบ
เรื่อง ถึงแดงยุโรป
โดย กาหลิบ
มีข่าวว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.
ขนาดท่านยังไม่คล้อยหลัง ก็เกิดแบ่งแยกแนวทางออกเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดินและแดงสยามกันขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างก็มีโต้โผของตัวเอง และถกเถียงลึกลงไปถึงขั้นว่า เอาทักษิณหรือไม่เอาทักษิณไปโน่น
เรื่องนี้จึงควรค่าที่จะนำมาพูดกันตรงนี้ เพื่อการระงับเหตุที่ไม่ควรเกิดในขบวน
เข้าใจว่า “นโยบายต้อนเข้าคอก” จะถูกรับปฏิบัติกันมาก ทั้งภายในประเทศไทยและในโลกโดยรวม ใครที่รับงานมาก็โอ้โลมปฏิโลมให้ “แกนนำ” และ “ผู้นำ” ซึ่งเป็นตัวละครอันหลากหลายของฝ่ายประชาธิปไตยได้กลับเข้าสู่ “ระบบเลือกตั้ง/ระบบพรรค” หรือไม่ก็กลับสู่เวทีประท้วงของคนเสื้อแดงที่เรียกกันว่า นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
ใครที่ไม่ยอมเข้าก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกคอกไป พวกนอกคอกนี้ก็จะถูกกล่าวร้ายต่างๆ นานาเพื่อทำลายเกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือ เสมือนลงโทษทางการเมืองเลยว่าถ้าไม่ใช่พรรคพวกของข้าเอ็งก็คือศัตรู
เหมือนเมื่อเร็วๆ นี้ก็ปล่อยข่าวกันว่า ผู้ที่มีแนวคิดแดงสยามคนหนึ่งไปขอเงินคุณทักษิณฯ ๑๐๐ ล้านบาทแต่ถูกปฏิเสธ จึงโกรธเคืองและหันไปสนับสนุนแนวทางแดงสยามเพื่อต่อต้าน นปช.ฯ ที่คุณทักษิณฯ โอบอุ้มอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นเรื่องบิดเบือนทั้งจำนวนและวัตถุประสงค์ ยังไม่ต้องพูดถึงการนำข่าวมาเปิดเผยในที่สาธารณะ ทั้งที่เจ้าตัวกับคุณทักษิณฯ พูดกันแบบสองต่อสอง โดยไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่ด้วยเลย
เหล่านี้เป็นตัวอย่างของความหน้ามืดทางการเมืองถึงขั้นคิดทำลายกัน
แต่ถึงเรื่องที่น่ารังเกียจพรรค์นี้จะทำให้ความเชื่อถือไว้วางใจกันลดลง แต่ก็ไม่ควรให้ลุกลามจนกลายเป็นศัตรูคู่แข่ง หรือถึงขั้นคิดแยกขบวนการ ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องหนักแน่นและเป็นผู้ใหญ่ โดยเอาประโยชน์ของมวลชนขึ้นก่อนประโยชน์ตน
ภาคพื้นยุโรปก็เป็นที่สถิตอันสำคัญของขบวนการประชาธิปไตยในขั้นสากลเช่นกัน เราจึงควรทำความเข้าใจกันในระดับปรัชญาและหลักการในการทำงาน
นปช.แดงทั้งแผ่นดินในวันนี้ชูยุทธศาสตร์เพื่อความปรองดองและต้องการจะเลือกตั้ง ถึงขนาดรักษาการประธานฯ คือคุณธิดาฯ ออกมาพูดว่า ในขบวนเสื้อแดงทั้งหมดมีคนที่คิด “ล้มเจ้า” เพียง ๑ เปอร์เซ็นต์ คุณ
แดงสยามต้องการการปฏิวัติประชาธิปไตย ที่ต้องแสดงออกโดยการลดอำนาจของสถาบันในรัฐไทยทุกๆ สถาบัน ให้ต่ำกว่าหรือเท่าเทียมกับอำนาจของประชาชน
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องชูหลักการเช่นนั้น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต้องเพิ่มอำนาจประชาชนและลดอำนาจของศักดินา-อำมาตย์เช่นนั้น และกลไกปกป้องระบอบประชาธิปไตยมิให้ฝ่ายตรงข้ามทำลายล้างได้ก็ต้องถูกสร้างขึ้น
อ่านสรุปย่อสองย่อหน้านี้แล้ว สาธุชนจะรู้ทีเดียวว่าแนว นปช.ฯ กับแนวแดงสยามเป็นการต่อสู้คู่กันไปได้ เพียงต้องยอมรับว่าเป็นคนละขั้นตอน เริ่มกันที่แนว นปช.ฯ เสียก่อน แล้วจากนั้นภาวะวิสัยจะยกขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปเอง โดยไม่ต้องบีบคั้นเหมือนยาสีฟันที่ใกล้หมดหลอด
พี่น้องมวลชนในภาคพื้นยุโรปและอื่นใดก็ตาม กรุณาทราบเถอะครับว่า ท่านไม่ต้องเลือก ท่านนำเอาแนวความคิดทั้งหมดไปพิจารณาใคร่ครวญให้แยบคาย แล้วเลือกสนับสนุนแต่ละแนวทางในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง
อัตตาของบุคคลเป็นเรื่องที่หักห้ามกันยาก มีผู้ที่อยากเป็นหัวหน้า ผู้นำ และโต้โผอยู่มาก ซึ่งบางท่านก็ทำด้วยความคิดเสียสละและอุทิศตน ขอให้ท่านที่มีโอกาสเหล่านี้ช่วยลดความสับสนในใจของผู้สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย อย่าให้เขาเจ็บหัวใจ และอย่าให้เขาต้องทดท้อหมดกำลังใจ
ข่าวลือต่างๆ มีอยู่มากเสมอ ก็ต้องสดับตรับฟัง ถามโดยตรงได้ก็ควรถาม เพื่อมิให้เรากลายเป็นเหยื่อของขบวนการทำลายใครให้บาปกรรมไปเปล่าๆ
เราเอาตาสองข้างของเรามองไปข้างหน้า ดีกว่าเอามาใช้มองด้านข้างอย่างหวาดระแวง
ศัตรูตัวจริงมีอยู่ครับ จะมาแบ่งแดงแท้แดงเทียมให้พวกเขาหัวเราะเยาะเราทำไม.
----------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554
นายกรัฐมนตรีสามแบบ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง นายกรัฐมนตรีสามแบบ
โดย กาหลิบ
ระยะนี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องฮิต มีคนร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมาก โดยเฉพาะในฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี
หายใจเข้าออกเป็นเลือกตั้ง เลือกตั้ง และเลือกตั้ง แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะได้ใครมาผลักดันนโยบายที่ตัวนำเสนอต่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศ จึงคุยกันมากหน่อยในช่วงนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย
แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในห้วงเวลาสำคัญอย่างนี้ ต้องระดมความคิดเห็นกันมากกว่าพลพรรคเพื่อไทย ผู้ดำรงนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้จะมีความหมายทางการเมืองเสียยิ่งกว่าภาระในการบริหารชาติ แต่อาจจะต้อง “รวมชาติ” และ/หรือ “สร้างชาติ” ขึ้นมาใหม่จากเถ้าถ่าน
ประสบการณ์ในฐานะหัวหน้าขี้ข้านั้นไม่เพียงพอต่อคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หัวหน้าไพร่นั้นไม่แน่
ขณะนี้เรากำลังมองตัวแบบ ๓ แบบของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ตัวแบบที่หนึ่งเรียกว่า “นายกรัฐมนตรีของระบอบศักดินา-อำมาตย์”
ตัวแบบที่สองเรียกว่า “นายกรัฐมนตรีถ่วงดุลอำนาจภายในระบอบ”
ตัวแบบที่สามเรียกว่า “นายกรัฐมนตรีแห่งระบอบประชาชน”
ตัวแบบแรกนั้นเป็นของหาง่าย คนชนิดที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีแบบนี้มีมาก ดูจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ได้ คนที่จะมาสายนี้ต้องยอมรับอย่างราบคาบเสียก่อนว่า เมืองไทยจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นก็ต้องทำทุกอย่างที่ตัวทำได้เพื่อสานต่อแนวคิดโบร่ำโบราณในสังคมไทย ถึงจะเป็นโทษต่อประชาชนส่วนใหญ่ก็เอา ถึงเวลาเลือกตั้งก็ต้องเล่นอย่างคนเล่นเกม มีอุดมการณ์และจุดยืนไม่ได้เพราะจะขัดต่อการทำงานแบบรับคำสั่ง เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการรอรับสัญญาณจากเบื้องบนเหมือนสุนัขรอชิ้นกระดูก แล้วเอาเวลาที่เหลือน้อยนิดที่เถลือกไถลหลบหลีกจากปัญหา ใช้ความกะล่อนเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่แก้ปัญหาเพราะขาดปัญญา หรือมีปัญญาแต่ไม่กล้าแก้เพราะเกรงจะไม่ถูกใจเบื้องบน
นายกรัฐมนตรีแบบนี้ไม่อาจเปลี่ยนประเทศไทยได้ และจะจมน้ำไปพร้อมกับเจ้านายของตน ขณะที่พวกเดียวกันจะมองไม่เห็นหายนะและกระหายใคร่จะมา “เสวยสุข”อย่างเขาบ้าง ประชาชนไทยที่ทุกข์ยากจากการกระทำของรัฐจะไม่ได้รับประโยชน์โภชน์ผลใดๆ จากนายกรัฐมนตรีอย่างนี้
ตัวแบบที่สองหายากขึ้นมาอีกขั้น เพราะใจต้องยอมรับว่าประชาชนเริ่มมีอินทรีย์แก่กล้าพร้อมจะเป็นเจ้าของประเทศไทยได้เองแล้ว คนๆ นี้ต้องเปิดตาและรับรู้ความเป็นจริงผ่านสถานการณ์การเมืองในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาว่าระบอบประชาชนได้ก่อกำเนิดขึ้นมาและแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย ขณะที่ในใจก็ยอมรับว่าอำนาจเดิมของประเทศยังเป็นของ “เขา” การใช้อำนาจก็จะเริ่มคานและถ่วงดุลให้เกิดรูปแบบที่อยู่ร่วมกันได้ทั้ง “เจ้านาย” และ “ไพร่” โดยหวังว่าสมดุลจะค้ำจุนมิให้เมืองไทยต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจนตัวเสียประโยชน์
ปัญหาของนายกรัฐมนตรีแบบนี้คือ จะควานหาทางอยู่ร่วมกันจนหมดเวลา อาจหมดเวลาเพราะประชาชนทนไม่ไหว หรือหมดเวลาเพราะเจ้าของประเทศเขาเฉดหัวออกจากบ้านก่อนก็ได้
นายกรัฐมนตรีชนิดนี้จะบอกว่าเอาการเมืองเก็บไว้ทีหลัง เอาเศรษฐกิจและปากท้องของชาวบ้านขึ้นก่อน แนวนี้ฟังดูดีและสมเหตุสมผล แต่สุดท้ายก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้เพราะอำนาจมืดจะไม่ยอมให้อยู่ ทุกเปอร์เซ็นต์ของอำนาจและผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับเพิ่มแปลว่า เจ้าของประเทศไทยและบริษัทบริวารเขาจะต้องเสียประโยชน์
ตัวแบบสุดท้ายหายากที่สุด แต่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประเทศชาติจำเป็นต้องมี นายกรัฐมนตรีอย่างนี้จะเสริมกำลังอำนาจของประชาชนให้แกร่งกล้า ไม่ลดทอนอำนาจของประชาชนด้วยความเบาปัญญาหรือความไร้เดียงสาของตน ไม่เห็นแก่เศษเนื้อข้างเขียง จนไม่เห็นประโยชน์ใหญ่ และพร้อมจะเดิมพันทุกอย่างด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและชีวิตทั้งชีวิต
งานสำคัญสูงสุดของนายกรัฐมนตรีอย่างนี้คือ การสร้างระบอบประชาชน ซึ่งเป็นหน่ออ่อนของระบอบประชาธิปไตยในท้ายที่สุด
คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีจะมีเก้าข้อสิบข้อก็ไม่มีปัญหา ขอให้รู้จักคำว่าอุดมการณ์มวลชนและรู้สำนึกในบุญคุณของประชาชนเป็นใช้ได้
โปรดพิจารณาวิสัยสันดานและเลือกกันเอาเอง.
-------------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554
ข่าวดี! หนังสือรวมบทความตาสว่าง เรื่อง "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" เล่ม ๓ คลอดแล้ว
แจ้งข่าวดี! หนังสือรวมบทความตาสว่าง เรื่อง "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" เล่ม ๓ ของผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า "กาหลิบ" ออกสู่สายตาพวกเรา นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วค่ะ
“เมืองไทยหรือเมืองใคร?” เป็นหนังสือรวบรวมบทความการเมืองยุคประชาธิปไตย ภายใต้ระบอบเผด็จการศักดินา-อำมาตยาธิปไตย
หลังจากที่เราได้รวบรวมเล่ม ๑ และ เล่ม ๒ ให้พี่ๆ เพื่อนๆ ได้อ่านกันไปแล้ว ก็มีเสียงสะท้อนกลับมาว่าอยากจะอ่านต่ออีก เมื่อไหร่จะมีเล่มใหม่ ทำให้ “ผู้เขียน” และทีมผู้จัดทำชื่นอกชื่นใจไปตามๆ กัน
เล่มที่ ๓ นี้ปก "สีส้ม" สดใส สวยงาม สะท้อนเหตุการณ์ระหว่าง ๖ ธ.ค.๒๕๕๓ – ๗ มี.ค.๒๕๕๔
วางจำหน่ายที่ห้างอิมพีเรียล เวิล์ด ลาดพร้าว (บิ๊กซี) :
ชั้น ๕ : ร้าน "The Red Shop" ของคนเสื้อแดง และ ร้านกาแฟ หน้าลิฟต์ "Red Living Room"
ชั้น ๖ มี ๒ ร้านเช่นกัน : ร้าน "โรจน์-นุ้ย" และ ร้าน "เจ๊อ้อย" หน้าบันไดเลื่อน
ราคาเล่มละ ๑๐๐.- (มาซื้อเอง)
ส่งตรงถึงบ้าน ขอเพิ่มค่าส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนเล่มละ ๓๐.-
สั่งซื้อโทร. ๐๘๔-๔๕๖ ๖๗๙๔-๕
สั่งทางอีเมลล์ : tpnews2009@gmail.com
(สำหรับท่านใดที่ยังไม่ได้อ่าน เล่ม ๑ และ เล่ม ๒ ยังสามารถสั่งซื้อได้ค่ะ)
เนื้อหาสาระในเล่ม ๓ มีดังนี้ :
๑. จดหมายตบหน้า
๒. บ.ก.ลายจุด
๓. ยกเลิกฉุกเฉิน
๔. ซ่อมเลือกตั้ง...ไม่ใช่เลือกตั้งซ่อม
๕. อย่าหยุดแค่อภิสิทธิ์
๖. เริ่มยกระดับ
๗. ไทยรั่ว
๘. ให้เวลา-อย่าเซ็ง
๙. เครื่องมือเผด็จการ
๑๐. โอกาสรัฐประหาร
๑๑. นางมารร้ายกับคุณชายพระเอก
๑๒. ฟาวล์
๑๓. เขมรรู้ทัน
๑๔. ทัศนะใคร
๑๕. แดงดอกไม้
๑๖. ลัทธินำตน
๑๗. ส่งคนไปตาย
๑๘. สินค้าปลอม (ตอนที่ ๑)
๑๙. สินค้าปลอม (ตอนที่ ๒)
๒๐. สินค้าปลอม (ตอนที่ ๓-จบ)
๒๑. เสพติด
๒๒. ฮุนเซ็นดับไฟ
๒๓. กษัตริย์ชิงออสการ์
๒๔. ประชาธิปไตยไฟลามทุ่ง
๒๕. กาหลิบชิ้นที่ ๑๐๐
๒๖. รัฐประหารหรือไม่?
๒๗. อียิปต์-ตัวอย่างลบ?
๒๘. ชายแดนยุ่งเพราะกรุงเทพฯ
๒๙. สิบวันอันตราย
๓๐. มูบารัคลาออก
๓๑. เหตุประหลาดในคดี ดา ตอร์ปิโด
๓๒. ใครได้ใครเสีย
๓๓. แดงถกเถียง
๓๔. ขอโทษที่ไม่ยินดี
๓๕. ความมั่นคงของแดงสยาม
๓๖. การดำรงอยู่ของสองแนวทาง
๓๗. สิทธิที่จะไม่ถูกฆ่า
-------------------------------------------------------------------------
“จากลานโพธิ์สู่ภูพาน จากภูพานสู่ลานโพธิ์” (รำลึก ๓๕ ปี ๖ ตุลา) โดย จักรภพ เพ็ญแข
งาน “จากลานโพธิ์สู่ภูพาน จากภูพานสู่ลานโพธิ์” (รำลึก ๓๕ ปี ๖ ตุลา)
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ณ หอประชุมเล็ก ม.ธรรมศาสตร์
โดย นาย
เหมือนจะเอ่ยถึงอดีตดั่งกรีดแผล
เหมือนเหลือบแลหลังไปไกลสุดกู่
เหมือนน้ำตาบริสุทธิ์หยุดพรั่งพรู
เหมือนรู้ตามความรู้ในตำรา
เล่าลำนำตำนาน “กาลครั้งหนึ่ง...”
เสมือนเพียงเสียงรำพึงจากภูผา
แท้ที่จริงเหตุการณ์เนิ่นนานมา
เชื่อมเวลารับกันดั่งวันวาน
๖ ตุลาสามสิบห้าประชาศก
แต่ตะวันไม่ตกยังแดงฉาน
ทั้งชีวิต เลือดเนื้อ อุดมการณ์
ต่อสะพานสู่วันนี้เป็นทีเดียว
เขาสังหารผลาญไทยในวันก่อน
เขาก็ซ่อนมือไว้ว่าไม่เกี่ยว
เอาร่างขึ้นแขวนคอกันกรูเกรียว
เขาก็เลี้ยวลดไปมิใช่ตน
เขากระชับพื้นที่ถึงทีฆ่า
แล้ววางท่าดั่งเทพผู้ให้ฝน
ส่งสัญญาณเลือดเดือดให้เชือดคน
แล้ววางตนเหนือฟ้าสุราลัย
๖ ตุลาเลือดเย็นเห็นประจักษ์
สามสิบห้าปียักษ์หายไปไหน
ก็ยังครอบค้ำฟ้าวิญญาไทย
ไม่มีเปลี่ยนไม่มีไปไม่วัฒนา
ซึ้งหรือยังเล่าท่านผู้สั่นสู้
แปลงความรู้ได้แล้วมาแถวหน้า
เลือดของพี่นานกี่ปีถูกบีฑา
เลือดของน้องไหลมาก็ต่อกัน
ดวงวิญญาณของพี่พลีระบอบ
น้องก็นอบตอบรับขยับขั้น
พี่แผ้วถางทางไว้แต่ไพรวัลย์
น้องก็ดั้นด้นถางทางสู่เมือง
๖ ตุลาแท้ที่จริงคือวันนี้
รวมขวบปีสีแดงสู้แรงเหลือง
สีอื่นด้วยช่วยกันเป็นฟันเฟือง
ด้วยขัดเคืองคับแค้นต่อแผ่นดิน
ตาสว่างกลางใจไทยทั้งหมด
ก็ปรากฏรอยแยกในแผ่นหิน
เมื่อรูปทองหายหักในนครินทร์
ก็สุดสิ้นจัญไรแห่งไทยเดิม
ประกาศก้องเกียรติภูมิประชาชาติ
ให้มวลชนสู่อำนาจเป็นแรงเสริม
เพรียกหยาดเลือดหยดน้ำตาวิญญาเดิม
ช่วยต่อเติมรัฐชาติอำนาจชน.
------------------------------------------------------
ลานโพธิ์ ภูพาน และผ่านฟ้า โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ลานโพธิ์ ภูพาน และผ่านฟ้า
โดย กาหลิบ
ตลอดบ่ายจนถึงดึกของวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ มีผู้จัดงานที่ทรงคุณค่าและมีความหมายมากงานหนึ่งที่หอประชุมเล็กมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเรียกชื่องานนั้นว่า “จากลานโพธิ์สู่ภูพาน จากภูพานสู่ลานโพธิ์” และมีสร้อยท้ายว่า “๓๕ ปี ๖ ตุลา” ผู้ที่ไปร่วมงานเล่าว่า คนเต็มหอประชุม และไม่ยอมลุกหนีไปไหนแม้เวลาจะล่วงเลยไปมาก
แนวรบทางวัฒนธรรมสำคัญและมีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าด้านอื่นๆ เพราะตอบสนองยุทธศาสตร์การเมืองได้มาก และอาจมากกว่าด้านอื่นๆ แต่จุดเด่นของงานอยู่ที่ความเชื่อมโยงของลานโพธิ์และภูพาน ซึ่งนอกจากเชื่อมโยงกันด้วยสถานการณ์จริงในห้วงเวลานั้น และด้วยประวัติศาสตร์ที่จดจำจารึกกันมาแล้ว ยังเชื่อมกับปัจจุบันด้วยสำนึกในการต่อสู้กับศัตรูเดิมที่ยังมีอำนาจราชศักดิ์อย่างสมบูรณ์
จึงขออนุญาตเติมคำว่า ผ่านฟ้า ลงไปอีกคำ
วลี ลานโพธิ์ ภูพาน ผ่านฟ้า นอกจากคล้องกันในเชิงกลอนแล้วยังหวังว่าจะทำให้คล้องใจกันอีกโสตหนึ่ง
เพราะผ่านฟ้ารวมประวัติศาสตร์ของการต่อสู้แห่ง พ.ศ.๒๕๓๕ และหลัง พ.ศ.๒๕๔๙ จนถึงบัดนี้เอาไว้เสร็จสรรพ ส่วน ราชประสงค์ ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ทั้งในการบดขยี้กำลังทหารเรือฝ่ายประชาธิปไตยเมื่อกาลก่อน และการบดขยี้ประชาชนในปัจจุบันสมัย น่าจะถือเป็นพัฒนาการจากผ่านฟ้าได้
หากจะนำ ราชประสงค์ มาต่อด้วยก็จะไม่คล้องในเชิงคำ เพราะ ผ่านฟ้า ไม่คล้องกับคำว่า ราชประสงค์
เว้นแต่จะแปรเสียหน่อยให้เป็น ลานโพธิ์ ภูพาน ผ่านฟ้า ราชาประสงค์ ซึ่งก็อาจสร้างปัญหาใหม่ให้กับผู้จัดงานได้
เรื่องถ้อยคำก็สำคัญและยังพูดต่อไปได้อีกมาก แต่ขอเอาไว้ข้างๆ ก่อน
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนบทหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากการประหัตประหาร ณ ลานโพธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้ผู้รักเสรีจำนวนมากต้องหลบหนีเข้าป่าไปร่วมต่อสู้กับขบวนการฝ่ายซ้ายที่มีเป้าหมายโค่นล้มศักดินา ท้ายที่สุด ก็วิวัฒนาการต่อมาเป็นการต่อสู้ในเมือง ทั้งที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ แต่จาก ราชประสงค์ จะเข้าป่าใดต่อไป คงไม่ต้องพูดกันตรงนี้ให้มากความ
รู้แต่ว่า ป่าในปัจจุบันสมัย อาจหมายถึงรัฐซ้อนรัฐกันอยู่แถวนี้เอง หรืออาจหมายถึงงานใต้ดินและงานที่ใช้เทคโนโลยีกับโนว์ฮาวมาประกอบส่วนขึ้นเป็นขบวนใหม่ที่อาจหวังชัยชนะได้มากกว่าเก่า
การส่งไม้มีความสำคัญมากในขบวนต่อสู้ โดยเฉพาะในขบวนต่อสู้ของประชาชนกับระบอบอันเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องมือแห่งอำนาจ รวมทั้งเครื่องมือในการประหัตประหารที่หลากหลาย
ขณะนี้สมาชิกกลุ่มนวพล ชนวน และลูกเสือชาวบ้าน ผู้ตกเป็นเครื่องมือช่วยและร่วมฆ่าคนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นจำนวนมาก ได้หวนกลับมาเป็นคนเสื้อแดง และเข้าร่วมต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง บางคนไม่แสดงตัวเพราะความละอายและเกรงกลัวต่อแรงต่อต้านของพรรคพวกในปัจจุบัน แต่ก็เป็นที่รับรู้เพราะฐานข้อมูลที่สมบูรณ์แบบขึ้น
นอกจากฝ่ายประชาธิปไตยในลานโพธิ์ที่ “เดินทาง” สู่ภูพาน และหวนกลับมาสานต่อภารกิจของตนในเมือง เชื่อมโยงกับน้องใหม่ที่เติบโตขึ้นมาจากกองขี้เถ้าของพฤษภาทมิฬและการต่อสู้หลังปี พ.ศ.๒๕๔๙ แล้ว ฝ่ายขวาเดิมที่บัดนี้รู้ตัวว่าก้าวพลาดในชีวิตไปอย่างฉกรรจ์ ก็กำลังย้อนเข้าสู่ขบวนต่อสู้ในฝ่ายประชาชนเช่นกัน
หากก้าวข้ามความเคืองแค้นส่วนตัวได้ คงอิ่มเอิบใจที่ได้รู้ว่าบัดนี้กงล้อประวัติศาสตร์ได้เคลื่อนเข้าสู่สมดุลใหม่ที่ พ.ศ.๒๕๑๙ ไม่มี
ทั้งหมดนี้มิได้เกิดขึ้นด้วยกลไกทางการเมืองเท่านั้น แต่ความจริงทางเศรษฐกิจและความลุ่มลึกทางวัฒนธรรมเป็นพลังผลักดันอย่างสำคัญ
ได้โปรดสานต่อและสานทอกันต่อไปเถิด.
----------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
เข้าคอก-นอกคอก โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เข้าคอก-นอกคอก
โดย กาหลิบ
สำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อว่า ชนชั้นนำของทุกสีเขามีข้อตกลงลับอะไรกันภายใต้คำว่า “ปรองดอง” ขอให้สังเกตผลลัพธ์ในกระบวนการ “ยุติธรรม” ในขณะนี้แล้วก็จะเห็นเอง
ชายหนุ่มผู้เคยทำหน้าที่บรรณาธิการควบคุมเว็บไซต์ (Webmaster) นปช. ยูเอสเอ และต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บวกคดีที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ ถูกศาลตัดสินจำคุก ๑๓ ปีเมื่อไม่กี่วันมานี้ “หนุ่ม” อีกคนหนึ่งในแถบท่าน้ำเมืองนนท์ก็ถูกดำเนินคดีที่หนักหน่วงขึ้นเพราะปัญหาเอกสารที่นำมาแจกจ่าย คุณ
ในขณะที่เริ่มทยอยปล่อยตัวคนที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดทางการเมืองในห้วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่มิใช่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ในเรื่องสถาบันกษัตริย์ โดยใช้ถ้อยคำทางกฎหมายที่แตกต่างกัน เช่น ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ประกัน เป็นต้น แม้แต่คนที่รู้กันทั่วว่ากุมความลับในงานปฏิบัติการที่ผ่านมาเป็นอันมากก็ยังได้รับการปล่อยตัว
ดูแค่ขอบๆ อย่างนี้ยังเห็นได้ชัดว่า เขาขีดเส้นกันแล้ว เส้นนั้นแบ่งฝ่ายประชาธิปไตยออกเป็น ๒ กลุ่มคือ กลุ่มที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และกลุ่มที่ไม่เกี่ยว
กลุ่มที่ไม่เกี่ยวนั้น พูดตามสำนวนในคำประกาศคนหายได้ว่า “ทางบ้านให้อภัยแล้ว กลับบ้านได้”
เรียกได้อีกอย่างเป็นพวกยอมเข้าคอก
แต่อีกกลุ่มเขาไม่พูดด้วย เขาโฆษณาชวนเชื่อทำลายชื่อเสียงเกียรติประวัติและเอาตัวมาลงโทษสถานเดียว เวลาที่เหลือก็เอาไว้ไล่ล่า โดยมีบางคนในกลุ่มแรกช่วยเหลือชี้เป้าอยู่ด้วย
กลุ่มนี้เป็นพวกนอกคอก
ในระบบการเมืองแบบควบคุม แม้ในฝ่ายประชาธิปไตยเองนั้น มีธรรมชาติของเผด็จการปนอยู่ด้วยเสมอ เมื่อเขาต้องการให้ทุกคนสยบยอมและเข้าสู่ความ “ปรองดอง” ทุกคนในสังกัดก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าขาดวินัยและเป็นตัวปัญหา แม้กับคนที่ต่อสู้ร่วมกันมาแท้ๆ ก็ยังถูกตีตราเช่นนั้นได้ ทั้งหมดนี้สะท้อนความไม่เข้าใจว่ากระบวนการการเมืองแตกต่างจากองค์กรธุรกิจ องค์ประกอบหลายอย่างอยู่นอกเหนือไปจากหน่วยควบคุม แต่สามารถเป็นแนวร่วมในบางภารกิจและในบางระดับของการต่อสู้ได้ หากคิดกวาดต้อนเข้าไปเป็นก้อนเดียวกันโดยใช้เชียร์ลีดเดอร์แค่กลุ่มเดียวก็คงจะลำบาก
ของพรรค์นี้ไม่มีอะไรใหม่ การรณรงค์เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มักต้องเดินแยกกันในจุดหนึ่งเสมอ เพราะเราเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ต่างกัน บางคนเห็นว่าการใช้วิธีการอะไรก็ได้ แบบที่หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคลเคยใช้คำว่า “เหี้ยห่าและสารพัดสัตว์” เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ล้วนถูกต้อง แต่บางคนกำหนดใจไว้ว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ถูกต้องนั้น วิธีการที่เดินไปต้องถูกต้องด้วย
อุดมการณ์เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะเป็นเรื่องในหัวคิดและภาวะจิตของแต่ละคน หากใครนำมาตีแผ่อย่างเป็นสาธารณะและโน้มน้าวให้ผู้อื่นยอมรับได้โดยบริสุทธิ์ใจ คนนั้นก็เป็นผู้นำการเมืองได้ ความรู้สึกขัดแย้งกันอย่างที่ดำรงอยู่นี้จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา อย่าไปคิดว่าใครเขาเสี้ยม ใครเล่ามันจะเสี้ยมได้หากเรามีความมั่นคงกันทั้งขบวนต่อสู้
ในขบวนที่ยังมีคนเชื่อกันมากใน “ระบบ” ยังไม่ไปไกลถึงระดับ “ระบอบ” ยืนกรานว่า ระบบเล็กๆ ภายใต้ระบอบใหญ่ๆ ยังสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใหญ่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจกันยาก เราจะสาละวนกับกิจกรรมในระบบเล็กๆ ของเรา บางคนรู้ว่ากำลังพายเรืออยู่ในอ่าง แต่เมื่อเขาเป็นเจ้าของเรือและได้เงินค่าโดยสารไปพลาง เขาก็ทำเงียบเฉยไม่เตือนสติใครๆ ปล่อยให้มันนั่งวนอยู่ในอ่างนั้นจนหมดสภาพไปเอง ขบวนประชาธิปไตยที่ถูกทำให้แพ้มาแล้วในหลายยุคสมัยก็ด้วยเล่ห์กลอย่างนี้
“ระบอบ” ที่เสมือนบ่อใหญ่หรือแม่น้ำใหญ่ เขาก็สนับสนุนเจ้าของเรือเล็กๆ ให้พาคนวนอยู่ในอ่างไปชั่วกาล ตราบใดที่คนเหล่านี้ไม่ลุกขึ้นโหวกเหวกโวยวายว่าวนอยู่ที่เก่า และไม่แสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะฝ่าวงล้อมออกไปสู่อิสรภาพนอกบ่อ “ระบอบ” เขาก็จะมั่นคงปลอดภัยในอำนาจ
อย่าได้แปลกใจที่ “ระบบ” ชวนเราพายเรืออยู่ในอ่างทั้งๆ ใจเขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อย่าแปลกใจที่ “ระบบ” สั่งต้อนวัวเข้าคอกกันชุลมุน เหมือนเข้าไม่ทันแล้วโลกมันจะดับสลายไปต่อหน้า
“ระบอบ” เขาบังคับลงมาแล้วว่าพวกเอ็งต้องเข้า “ระบบ” กันให้หมด
ปัญหาคือหากใช้วิธีซีพีกันทั้งชาติอย่างนี้ เราก็คงครบวงจรไปเป็นไก่ย่างในตู้แล้วรอให้ “ระบอบ” เข้ามาแทะกินจนเหลือแต่กระดูกในไม่ช้า.
---------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
ผิดที่สื่อหรือสาระ โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ผิดที่สื่อหรือสาระ
โดย กาหลิบ
การเข้าล้อมตรวจค้นและจับกุมแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยไปส่งให้ตำรวจ ซึ่งเป็นฝีมือของการ์ด นปช. แดงทั้งแผ่นดินและเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตั้งสติและพิจารณาอย่างรอบคอบ ขณะนี้แนวร่วมและเครือข่ายของฝ่ายประชาธิปไตยหลายกลุ่ม รู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก เพราะรู้สึกไปว่าสาระในแนวทางหลักของ นปช.ฯ กับแนวทางของตนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คำถามว่าจะร่วมมือกันได้อย่างไรในอนาคตจึงเกิดขึ้น
ดีที่ผู้ถูกจับกุม (โดยการ์ด นปช.ฯ ไม่ใช่โดยตำรวจ) คนหนึ่งเขียนบันทึกเผยแพร่ในเรื่องนี้ไว้โดยละเอียด เล่าให้ฟังหมดว่าเตรียมเอกสารอะไรและอย่างไร ประสานกับหัวหน้าการ์ด นปช.ฯ ในลักษณะไหน และถูกตลบหลังโดยการ์ด ๗ คนใช้กำลังเข้าตรวจค้นและยึดทรัพย์สินของตนอย่างไร
เอกสารที่เตรียมจ่ายแจกจำนวน ๑,๕๐๐ ชุดนี้ มีสาระเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ที่เป็นประเด็นหลักในปัจจุบัน เมื่อถึงพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ที่ขนเอกสารไปก็เตรียมแจก การ์ด นปช.ฯ คนหนึ่งเข้ามาห้ามปรามและเกิดถกเถียงกัน จึงเกิดการนำตัวไป “ขออนุญาต” จากหัวหน้าการ์ด นปช.ฯ ซึ่งก็ได้รับ “อนุญาต” ทีมผู้แจกเอกสารจึงเดินออกมาเพื่อทำภารกิจของตนเองต่อ ปรากฏว่า เดินได้ไม่นานก็ถูกล้อมกรอบโดยการ์ด นปช.ฯ จำนวน ๗ คน กระเป๋าและถุงเอกสารถูกค้น เอกสารถูกยึด และนักกิจกรรมมาตรา ๑๑๒ กลุ่มนี้ก็ถูกบังคับจับตัวไปพบตำรวจแถวร้านอาหารเมธาวลัยเพื่อให้จับกุมตัว แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่จับ เพราะไม่เป็นความผิด
หากเราสรุปจะเรื่องนี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐโดยตรงไม่เห็นความผิดในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรา ๑๑๒ แต่ นปช. แดงทั้งแผ่นดินกลับเห็น และแสดงพฤติกรรมหนักหนากว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราคงจะเกิดโกรธเคืองกันเป็นการใหญ่ อย่างที่ผู้คนจำนวนมากกำลังรู้สึกอยู่ แต่ตัวผู้ถูกกระทำเองเขียนบันทึกยืนยันว่าใน นปช.ฯ มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการจ่ายแจกเอกสาร และไม่รู้ว่าสุดท้ายการใช้อำนาจกดขี่ราวกับคนของรัฐและระบอบเก่าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดได้อย่างไร
ด้วยหัวใจที่เป็นธรรม เราก็ควรสงเคราะห์เรื่องนี้ว่าเป็นไปได้ทั้งสองทางคือ สาระในแนวทางของ นปช.ฯ และแนวปฏิวัติไม่ตรงกัน หรือไม่ก็มีปัญหาการสื่อสารระหว่างคนใน นปช.ฯ ด้วยกันจนคนอื่นๆ ต้องลำบากเดือดร้อนไปด้วย แต่เราคงไม่มานั่งวิสัชนากันตรงนี้ว่าทางไหนถูกต้อง
เรากลับขอใช้โอกาสนี้เตือนเพื่อร่วมอุดมการณ์อีกครั้งว่า อย่าดูถูกดูแคลนการยกระดับความคิดและจิตใจของมวลชนเป็นอันขาด ภาวะตาสว่างและแนวทางปฏิวัติจะมากหรือน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากหลักฐานในสนามจริงบอกเราว่าผู้สนับสนุนสายนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่มั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็น “นโยบาย” กำจัดกวาดล้างกันและกันอย่างจงใจ หรือเป็นการ “เอาใจ” ผู้มีอำนาจไทยที่คอยมองอยู่ หรือ “ช่วยรักษาข้อตกลงระหว่างกันเพื่ออิสรภาพชั่วคราว” และแม้จะเป็นการสื่อสารที่ขาดตกพร่องภายในขบวนการก็ตาม สุดท้ายก็จะเกิดผลอย่างเดียวกันคือความร้าวฉาน
เรื่องนี้ผู้นำองค์กรทั้งที่คอยสั่งจากต่างประเทศและกลุ่มยืนรอเวลาพูดของตัวเองอยู่แถวๆ เวทีจะต้องร่วมกันรับผิดชอบโดยไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นได้อีก
มวลชนที่ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่มาเพราะการจัดการของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ความดีข้อนี้คงไม่มีใครมาหักล้างได้ ยิ่งแกนนำ “ดารา” กลับมาขึ้นเวทีกันเป็นปึกเป็นปั้น ก็ยิ่งเสริมสีสันอันเร้าใจให้เวทีชนิดที่ค่ายไหนๆ ก็ไม่อาจทาบรัศมีได้ ขอให้แกนนำ นปช.ฯ มีความมั่นใจในตัวเองและไม่ต้องสั่งใครไปทำอะไรเช่นนี้อีก
อย่าให้ความเกรงใจระบอบเก่าล้นทะลักออกมามากนัก เพราะเพียงไปรับหลักการ “ปรองดอง” จากมือของเขา เขาก็มีความสุขพอประมาณแล้ว ไม่ต้องไล่ราวีมวลชนของตนเองเป็นพัลวัน อย่างไรเสียคุณก็ไม่ได้คะแนนรักใคร่เพิ่มเติมจากคนประเภทนี้ เอาเวลาไปห่วงตัวเองเถอะว่า จะถูกตลบหลังจาก “เขา” วันไหนและอย่างไร
มวลชนประชาธิปไตยส่วนใหญ่เขาไม่เลือกว่าเป็น นปช.ฯ แดงสยาม หรือแนวทางใด เขาสดับตรับฟังทุกด้านและเขาก็ใช้ความคิดของตัวเอง ถึงเวลานาทีอันเหมาะสมเขาจึงจะสำแดงท่าทีชัดเจนออกมา และวันนั้นคือวันที่บ้านเมืองจะเปลี่ยน
ทำเวทีประชาธิปไตยให้กลายเป็นสมัชชาความรู้และทัศนะทางการเมืองให้เต็มสูบ
หยุดสกัดกั้นการแสวงหาแนวคิดและความรู้ของมวลชน
แล้วเราจะเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อเวลามาถึง.
----------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554
สันติภาพและสันติวิธี โดย กาหลิบ
เรื่อง สันติภาพและสันติวิธี
โดย กาหลิบ
ใน การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยที่แล้วมา มีวลีหนึ่งที่นำมาใช้กันอย่างเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และเป็นเหตุหนึ่งของความสูญเสียมหาศาลต่อชีวิตเลือดเนื้อของมวลชน บทใหม่ของการต่อสู้เพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยจำเป็นต้องนำความไม่เดียงสา นี้มาปรับใหม่ มิฉะนั้นเราจะนำมวลชนไปสู่ความตายจากปลายกระบอกปืนของศักดินา-อำมาตย์ ไทยอย่างง่ายๆ อีก
วลีนั้นคือ “สันติวิธี” หรือบางครั้งใช้เป็นวลียาวว่า “สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ”
ตลอดมาเราถูกพร่ำนำพร่ำสอนด้วยวลีสองสามอย่างนี้ จนถึงวันที่ถูกฆ่า ถูกทำลาย และถูกปราบปรามอย่างเป็นระบบ มีคนตายนับร้อยคนจากน้ำมือของรัฏฐาธิปัตย์ไทย ก็ยังได้ยินใครบางคนนอนพูดพร้อมหายใจรวยรินว่า “สันติวิธี” และ “สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ” ก่อนจะขาดใจตาย
เราคงไม่วิพากษ์กันด้วยตรรกะตื้นๆ เช่น “คนโง่เท่านั้นที่จะยอมให้คนเลวเข้ามาทำร้ายจนเราต้องบาดเจ็บล้มตาย” “เราเป็นคนเราย่อมต้องลุกขึ้นสู้บ้าง” เป็นต้น แล้วอ้างเหตุประเภทนี้ไปจับอาวุธเพื่อใช้ความรุนแรงอย่างจงใจเจตนา แต่เราควรช่วยกันมองให้ลึกลงไปกว่านั้นเพื่อหามติร่วม การต่อสู้ในตอนต่อไปจึงจะมีคุณค่าและไม่ผิดพลาดซ้ำเดิม
ผู้ที่ชอบใช้วลี “สันติวิธี” จะเพราะความชื่นชมในตัวอย่างของ มหาตมะ คานธี จากแอฟริกาใต้และอินเดีย หรือ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง กับการเรียกร้องสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกา หรืออื่นใดก็ตาม เขาอาจลืมอธิบายให้มวลชนฟังว่า เป้าหมายในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทุกรูปแบบของมวลมนุษยชาตินั้นคือ สันติภาพ (peace)
สันติภาพเป็นเป้าหมายของขบวนการ
สันติภาพเป็นยุทธศาสตร์ของการต่อสู้
สันติภาพคือสิ่งที่คนไทยเกือบเจ็ดสิบล้านคนเรียกร้องต้องการ
เพราะสันติภาพหมายถึง ๑) ความปรารถนาดีต่อกัน ๒) ความยุติธรรม
ส่วน “สันติวิธี” เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายนั้น เช่นเดียวกับ สงครามและการต่อสู้หลากหลายรูปแบบ ก็เป็นวิธีการอื่นๆ ในการบรรลุเป้าหมายคือ สันติภาพ ได้เช่นเดียวกัน
สงครามใดๆ ในโลกที่สร้างความเสียหายในชีวิต จิตใจ และทรัพย์สินของมนุษย์อย่างมหาศาล ล้วนถือเป็นด้านมืดของมนุษย์เราที่เราต่างต้องการจะหลีกเลี่ยงรอดพ้น แต่เกือบทุกสงครามที่รบพุ่งกัน มนุษย์จะอ้างว่าตนทำสงครามในนามของสันติภาพทั้งสิ้น ไม่มีใครเลยจะอ้างว่าตนทำเพราะตอบสนองตัณหาส่วนตัวหรือระงับความวิปลาสแห่งจิตใจตน
ในช่วงเวลาอันสั้นแห่งมนุษยชาติ สงครามจึงตีคู่มากับสันติภาพในฐานะที่เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดสันติภาพในบั้นปลาย
ในขบวนต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดงและเสื้อขาว ใครที่กระหายจะใช้ “สันติวิธี” อย่างที่เขาตะโกนขออาสาสมัครทีละ ๒๐-๓๐ คน เอาไปสวมชุดขาวแล้วไปนั่ง ยืน นอน เดิน เป็นฉนวนระหว่างคนสองกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากันนั้น ก็ให้ทำไป ได้ผลหรือไม่ได้ วิญญูชนเขาต่างก็รู้เช่นเห็นชาติกันอยู่แล้ว แต่การบังคับให้ผู้คนทั้งขบวนเดินตามวิธีการของตัวเองคือ “สันติวิธี” ซึ่งเสนอตามอัตวิสัยเพียงหนทางเดียว โดย “ห้าม” วิธีการอื่นๆ โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกตีตราว่าเป็น “แดงเทียม” นั้น เป็นพฤติกรรมที่ “ผู้นำ” และ “แกนนำ” ต้องรู้ตัวเสียทีว่าไม่มีสิทธิ์
เป้าหมายของพวกเราคือ สันติภาพ แต่วิธีการของมวลชนควรจะมีหลากหลาย บางคนใช้ “สันติวิธี” ตามความเชื่อและความคุ้นชิน บางคนประกาศสิทธิในการป้องกันตัว หากถูกโจมตีด้วยสไนเปอร์ เอ็ม ๑๖ อาก้า เอ็ม ๗๙ หรืออื่นๆ และบางคนก็อาจใช้การสื่อสารจัดตั้งเพื่อความตาสว่าง ล้วนแต่เป็นวิธีการที่มุ่งสันติภาพที่ปลายทางทั้งสิ้น
เราจึงเสนอว่า มวลชนประชาธิปไตยทุกคน ไม่ว่าเป็นแกนนำที่โด่งดังหรือประชาชนนิรนาม ล้วนต้องมีสิทธิอันสมบูรณ์ในการป้องกันตนเอง ต้องมีสิทธิที่จะไม่ถูกฆ่า ทั้งนี้ก็ด้วยการเตรียมพร้อม ซึ่งไม่ได้แปลว่าต้องไปรุกรานใครก่อน
ระวังเขาจะพูดว่า การห้ามมิให้ป้องกันตัว เป็นความโหดร้ายอย่างหนึ่งของผู้ที่มั่นใจว่าเกิดอะไรเปรี้ยงปร้างขึ้นประชาชนจะตายก่อนตัวเอง จึงยังท่องบ่นคำว่า “สันติวิธี” กันอยู่ได้
การเข้าทยอยมอบตัวและได้รับการประกันตัวอย่างราบรื่น การถูกปล่อยตัวชั่วคราวทั้งที่ถูกกล่าวหาด้วยความผิดอันรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตกันนั้น ฟังเผินๆ ก็ดูปรองดองน่ารักดี แต่เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับการ “อุ้ม” ผู้ปฏิบัติการคนหนึ่งในห้างสรรพสินค้าเสื้อแดงเพียงเมื่อสิบกว่าวันมานี้ บรรยากาศรวมก็มิใช่ สันติภาพ อย่างที่คุณอยากจะให้เชื่อ ไม่มีทั้งความปรารถนาดีต่อกัน ไร้ทั้งความยุติธรรมต่อมนุษย์ด้วยกัน มันก็คือภาวะสงครามแท้ๆ เพียงมนุษย์บางคนยังเป็นเหยื่อสงคราม แต่บางคนเขายกระดับตัวเองเป็นพ่อค้าสงครามที่เสวยสุขอย่างสำราญไปแล้วเท่านั้นเอง
การไล่ล่าที่จะเข้มข้นรุนแรงหลังจากการ “ต้อนเข้าคอก” จะเป็นหลักฐานที่หนักแน่นขึ้นในเรื่องนี้
หยุดยึดแขนขามวลชนผู้มีจิตใจต่อสู้ และจงคืนสิทธิในการป้องกันตัวเองให้กับเขาโดยพลัน
ทั้งนี้เพื่อสันติภาพในบั้นปลาย.
---------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ. 10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com /บล็อก : http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/