ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ตอนที่ 26 นักการเมืองในอนาคต


ซีรีส์ยุทธการตอแหลแห่งชาติ : ก่อนรัฐประหาร
ตอนที่ 26 : นักการเมืองในอนาคต
โดย : กาหลิบ
พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2550 (หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน)

***************************************************************************
นักการเมืองฝ่ายสร้างสรรค์จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไปตามสัดส่วนของการด่า และนักการเมืองอีกประเภทหนึ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้น

***************************************************************************

นักการเมืองในอนาคต

เมื่อตอนเด็กๆ จะมีผู้ใหญ่ที่มองการณ์ไกลทั้งหลายมากระซิบข้างหูบ่อยๆ ว่า อย่ารังเกียจการเมือง ถึงใครเขาจะพูดว่าการเมืองทำให้คนไม่สะอาด ชีวิตเป็นจลาจล ก็ขอให้นึกถึงประเทศชาติไว้เป็นสำคัญ

และแถมท้ายทุกครั้งว่าคนดีมีความสามารถต้องใส่ใจการเมืองและอยากทำงานการเมือง เพื่ออนาคตของส่วนรวม

นึกถึงพระราชดำรัสที่ว่าด้วยคนดีกับคนไม่ดีในบ้านเมือง โปรดฯ ให้แยกคนไม่ดีออกไปเสีย เพื่อไม่ให้มีโอกาสเกี่ยวข้องการบริหารบ้านเมืองได้ ก็ยิ่งเห็นจริงว่าต้องเข้ามาทำงานการเมือง

เพราะอุดมการณ์ไทยก็เวียนวนอยู่รอบสถาบันหลักทั้งสาม จะให้ไปเชื่อคนอื่นได้อย่างไร

แต่สถานการณ์ทางการเมืองที่เขม็งเกลียวอย่างนี้ ทำให้คนที่ถูกเรียกว่านักการเมืองออกจะสะท้อนใจอยู่ไม่น้อยว่าช่วยชาติทั้งทีต้องเสียสละขนาดนี้เชียวหรือ

พอแบ่งข้างแบ่งฝ่ายกันอย่างหนักหน่วง ก็บรรเลงเพลงผ่านสื่อหลากหลายประเภทกันอย่างครื้นเครง จริงไม่จริงใส่ไว้ก่อน

ใช้ศิลปะที่ภูมิใจกันนักหนาว่าด่าคนเล่นโดยไม่ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ ที่คอลัมนิสต์หลายคนเอามาอวดโม้กันนักหนาว่าแก่อย่างมีหลักการ เอาไว้อวดนักข่าวรุ่นน้องเล่นว่าข้าเหนือกว่า

ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เหนือกว่ามีแต่เพียงความกะล่อนเท่านั้นเอง

ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลก็สวนกันทุกเม็ดทุกหยดโดยไม่ต้องห่วงความควรไม่ควร เพราะแรงกดดันมีมากเหลือกำลัง ถ้าไม่โต้ตอบเสียเลยเขาก็จะดูหมิ่นได้ว่าไม่ใช่นักการเมืองแท้

เสียงประณามกันและกันจึงดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลาและดูจะไม่สิ้นสุด

บรรยากาศแบบนี้คนที่รักจะทำงานการเมืองอย่างเดียว โดยไม่สนใจสร้างอิทธิพลหรือแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ สำหรับตนเอง จะเริ่มรู้สึกเหมือนมะเร็งกินตัว

ความภาคภูมิจะถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย ช้าๆ แต่ทว่าอันตรายอยู่มาก วันหนึ่งก็จะถอนตัวออกไปอย่างคนหัวใจสลาย บางคนถึงกับซมซานออกไปทีเดียว

ผมกำลังกลัวครับว่า บรรยากาศก่นด่าทางการเมือง ซึ่งลามจากตัวของเขาไปถึงญาติพี่น้องและครอบครัว
อะไรดีๆ ที่เคยทำมาถูกจับมาผ่าออกและชำแหละเล่นจนยับเยิน จะทำให้วงการเมืองเหลือเพียงสองประเภทเอาไว้เป็นตัวเลือกในการบริหารชาติ

พวกที่หนึ่งคือเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์อย่างเดียว ก็จะหน้าด้านอยู่ได้ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม เพราะยุทธวิธีที่สำคัญคืออย่าให้ถูกจับได้เท่านั้น

พวกที่สองคือคนที่ทำมาหากินอย่างอื่นไม่เป็น นอกจากทำตัวเป็นคนเขี้ยวยาว ด้านอยู่ในการเมืองจนมีตำแหน่งแห่งหนด้วยการยกตนข่มท่านบ้าง ฉกฉวยโอกาสเอาเฉยๆ บ้าง ไม่มีทางเลือกมากนักในชีวิต
คิดถึงว่าบ้านเมืองอาจจะเหลือแค่คนสองประเภทนี้แล้วก็ใจหาย

เพราะคนที่มีสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเกียรติภูมิตามธรรมชาติ จะไม่ค่อยหน้าด้าน แค่เขาให้เกียรติไม่พอหรือให้ไม่ทันใจตัวเองก็ไขก๊อกไปแล้ว

หรือคนเก่งๆ ที่มีทางเลือกในชีวิตมากกว่าหนึ่งทาง ก็จะไม่นั่งให้ใครสับโขกว่าเป็นคนเลวที่สุดในโลก แต่จะออกไปทำงานที่ได้รับความขอบคุณมากกว่า

ด่ากันไปเถิดครับ แล้วจะได้เห็นจริงๆ ว่านักการเมืองฝ่ายสร้างสรรค์จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไปตามสัดส่วนของการด่า และนักการเมืองอีกประเภทหนึ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้น

บรรยากาศที่ไม่ให้เกียรติกัน จะทำให้ผลประโยชน์และภาวะสิ้นคิดจนตรอกกลายเป็นเหตุผลของการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง เพราะหาเหตุผลดีๆ ไม่ได้ว่าจะเข้ามาทำไม

ถึงวันนั้นอย่าแปลกใจก็แล้วกันว่าใครทำให้เป็นเช่นนั้น.
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น