ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำต่อคำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร : เกร็ดชีวิต ตอนที่ 3


โดย : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา : รายการทอล์ค อะราวด์ เดอะ เวิลด์ # 24
เรียบเรียงจากการออกอากาศ วันอังคารที่ 9 ก.พ. 53 โดย Nangfa
***************************************************************************
เกร็ดชีวิต : ตอนที่ 3

คราวที่แล้วผมบอกจะเล่าว่า ผมจากเป็นคนที่มีหนี้สินแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นคนมีสตางค์ทำได้ยังไง มีขั้นตอนยังไง ตรงนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญ อยากให้พี่น้องที่สนใจ ที่มีหุ้นอยู่ในตลาดบ้าง หรืออยากเอาหุ้นเข้าตลาดในอนาคตบ้าง ลองฟังดูเผื่อจะใช้ได้

ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ต้องรู้ก่อนว่าการเข้าตลาดคืออะไร การเข้าตลาดฯ ก็คือการเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปขออนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือต้องมีอดีต เราทำมาหากินอะไรมา ทำอะไรมาบ้าง ปัจจุบันมีอะไรเหลืออยู่ และอนาคตจะทำอะไรต่อ แล้วก็เอาตัวเลขมาบอกว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำกำไรในอนาคตอย่างไร ราคาหุ้นก็ดี มูลค่าของบริษัทก็ดี ก็คือการตีราคาปัจจุบันกับอนาคตเพื่อเอามาให้คนซื้อหุ้นและร่วมลงทุน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตให้ดี

อดีตก็คือ ในกลุ่มบริษัทเรามีประวัติศาสตร์มาอย่างไร สร้างมันมายังไง เราทำธุรกิจอะไรมาบ้าง เช่น อดีตของกลุ่มชินฯ ที่ผมเอาเข้าตลาดนั้น ก็คือทำคอมพิวเตอร์ ทำเดต้าคอมมูนิเคชั่น หรือทำสื่อสารข้อมูล ทำด้านของวิทยุติดตามตัว ทำเคเบิ้ลทีวี แล้วก็ทำโทรศัพท์มือถือ

อนาคตคืออะไร อนาคตก็คือจะขยายโทรศัพท์มือถือออกไปอย่างไร จะยิงดาวเทียมอย่างไร

ผมยื่นเข้าตลาดฯ ปี 2533 ก็ขอเล่าอดีตนิดหนึ่งว่า ก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือ ก่อนหน้านั้นเซลลูล่าโฟนยังไม่เกิด แต่มีการใช้โทรศัพท์แบบไร้สายภายในบ้าน ตอนหลังมีคนคิดว่าถ้าใช้วิทยุที่มีกำลังสูงๆ หน่อย โดยพ่วงกับโทรศัพท์บ้านก็สามารถออกไปไกลขึ้น ผมก็ไปฮ่องกง (ช่วงนั้นยังรับราชการตำรวจ) ไปซื้อโทรศัพท์ไร้สายที่พ่วงเบอร์บ้าน แต่มีตัวลูกที่สามารถเอาออกไปไกลๆ ได้ โดยตั้งสถานีวิทยุที่มีกำลังส่งสูงขึ้นและตั้งเสาให้สูงขึ้น ผมก็เอาติดรถไปเพราะผมสามารถที่จะใช้โทรศัพท์ได้ พูดได้ รับสายได้ โดยอยู่ไกลจากบ้าน ก็เอาไปทดลองดู

ทดลองเสร็จผมก็หิ้วไปเจอเพื่อนผมคนหนึ่ง ชื่อ ประภัตร โพธสุธน ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รู้จักกันเมื่อ 2548 ตอนนั้นเป็นเลขาฯ ของคุณทินกร พันธุ์กระวี รัฐมนตรีช่วยคลัง ส่วนผมช่วยราชการอยู่กับคุณปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ตอนนั้น ก็เลยรู้จักคุณประภัตร เพราะว่าอายุเท่ากัน แกเรียนหนังสือจบนอกมา ผมก็จบนอกมา มาเจอกันก็คุยกัน แกก็อยู่พรรคชาติไทย อาผมสุรพันธุ์ ชินวัตร ก็อยู่พรรคชาติไทย

ผมหิ้วโทรศัพท์ไร้สายไปบอกว่า “ประภัตรฯ” อนาคตข้างหน้าโทรศัพท์อย่างนี้จะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าเอ็งบ้า เอ็งถือเครื่องไม้เครื่องมืออย่างนี้บ้า จะเป็นไปได้ยังไง โทรศัพท์อะไรจะหิ้วไปได้ทั่วโลก ผมบอกว่าตอนนี้เราแค่หิ้วออกมาไกลบ้านได้แล้ว อีกหน่อยจะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าไม่เชื่อ

สาเหตุที่ผมพูดอย่างนั้น เพราะว่าผมไปงานนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องโทรคมนาคมบ่อยๆ เพื่อไปเรียนรู้ ผมไม่ได้จบเอ็นจีเนีย ตอนหลังโทรศัพท์มือถือเริ่มต้นที่การสื่อสาร ตอนนั้นเป็นโมโตโรร่ารุ่นกระดูกหมา อันใหญ่ๆ สูงเป็นคืบ สีเทาๆ องค์การโทรศัพท์ใช้อีริคสัน เป็นอนาล็อกทั้งคู่ อีริกสันอันใหญ่เบ้อเร่อ หนักเป็นกิโล มี 2 ระบบแข่งกัน พอดีช่วงนั้น สมัย พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เป็นนายกฯ เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและต้องเป็นลูกหนี้ IMF รอบแรก ดร.โกร่ง (วีระพงษ์ รามางกูร) เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกฯ เปรม

IMF สั่งว่าห้ามประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐวิสาหกิจทั้งหลายลงทุน ต้องหยุดการลงทุน หยุดเป็นหนี้ ฉะนั้นการลงทุนต้องให้เอกชนลง รัฐห้ามลงแล้ว เพราะรัฐเป็นหนี้สาธารณะสูง ช่วงนั้นจึงมีการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาขยายการลงทุนแทนภาครัฐ แต่กฎหมายขณะนั้นก็ยังเป็นกฎหมายล้าหลังอยู่ ก็เลยใช้ระบบที่เรียกว่า BTO (Built Transfer Operate) หมายความว่าให้เอกชนมาลงทุนแล้วยกทรัพย์สมบัติให้กับรัฐ แล้วได้รับสิทธิในการไปทำมาหากินกับเครื่องมือนั้น เป็นระยะเวลาเท่าไร แล้วแบ่งรายได้ให้กับรัฐ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น

ผมก็ไปขออนุญาตทำโทรศัพท์มือถือ ตอนนั้นก็เสนอเข้าไปแข่งกับอีกบริษัทหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นอีริคสัน ผมเสนอไป 2 ออฟชั่นว่าจะใช้อะไรดี ในที่สุดก็ตัดสินใจใช้โนเกีย MNT900 สมัยก่อนโน้น เป็นรุ่นอนาล็อก ตอนนั้นเสนอไปผมรู้แล้วว่า GSM กำลังจะมา เลยเสนอไปว่าขอทำ MNT ปัจจุบัน แล้วอีกภายใน 5 ปีจะทำ GSM และเสนอให้ผลตอบแทนรัฐสูงมากเมื่อเปรียบกับรายได้ที่รัฐทำและที่มีรายได้อยู่ แต่ปรากฏว่าวันนี้ที่สูงมากกว่านั้นก็ถือว่าวันนี้ไม่สูง เพราะเนื่องจากเหตุการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเปลี่ยนไป การพัฒนาการของเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ก็เลยทำให้เซลลูล่าเติบโตเร็วกว่าที่ทุกคนคิด ผมว่าผมคิดล่วงหน้าเยอะแล้วยังคิดไม่ทัน เลยเป็นที่มาว่าผมได้สิทธิในการลงทุนทำเซลลูล่าและมือถือ

ผมเป็นรุ่นแรกที่บุกเบิกโนเกีย ตอนนั้นโนเกียถือว่ายังทำกระดาษ ทำโทรทัศน์ ทำปืนล่าสัตว์ และทำเครื่องมือสื่อสาร ทำสวิทชิ่ง แต่ว่ายังทำไม่มากเท่าไร ผมก็ไปดูงานกับเขา ตอนนั้นเขายังเล็กอยู่ ยังขยายตัวไม่ออก ถือว่าเป็นลูกค้ารุ่นแรกๆ ร่วมกับอิตาลีที่ใช้ของโนเกีย ก็เลยบุกเบิกร่วมกันจนเติบโต ผมกลายเป็นลูกค้า MNT900 รายใหญ่ๆ เท่าอิตาลี ก็เลยทำให้โนเกียกับกลุ่มชินฯ เชื่อมโยงกันมานาน

ที่เล่าให้ฟังยืดยาวเพราะต้องการชี้ว่าต้องศึกษาสิ่งที่เราจะทำ เมื่อเรารู้ว่าวิวัฒนาการมาถึงไหนแล้วจะไปยังไง เราจะได้ดักล่วงหน้า โดยเฉพาะเรื่อเทคโนโลยีการลงทุนสำคัญ ลงทุนแล้วเรานึกว่าจะใช้ได้นาน แต่เทคโนโลยีล้าสมัยเร็วก็ทำให้ขาดทุนง่าย ต้องระวัง การค้าขายเทคโนโลยีท่านต้องทันสมัย

หลังจากนั้นภาครัฐก็จะให้เอกชนลงทุนเรื่อยๆ เพราะเนื่องจาก IMF บังคับว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจำได้ไหมครับว่า ปี 32 หรือ 33 คือตอนช่วงที่ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ปฏิวัติคุณชาติชาย เสร็จแล้วก็ตั้งคุณอานันท์ฯ มาเป็นนายกฯ แล้วก็มีกรณีทำโทรศัพท์บ้าน 3 ล้านเลขหมาย ทีแรกซีพีก็จะเอาทั้ง 3 ล้าน ตอนหลังคุณอานันท์ฯ จับแยกเป็น 2 ล้าน กับ 1 ล้าน 2 ล้านเป็นกรุงเทพฯ ก็ให้ซีพีไป อีก 1 ล้านก็มีให้กลุ่มล็อกซ์เล่ย์กับดร.อดิศัยฯ ไป ก็เป็นเพราะว่าตอนช่วงนั้น IMF มีเงื่อนไขว่าต้องให้เอกชนลงทุน

ส่วนผมเองก็ไม่ได้เข้าประกวดราคา 2 ล้านเลขหมายในกรุงเทพฯ เพราะยังไม่พร้อม พอ 1 ล้านเลขหมายต่างจังหวัดก็เข้าประกวดราคากับเขาด้วย แล้วแพ้เพราะเสนอให้เขาไป 33% หรือ 31.3% แถวๆ นี้ เพราะมองว่าถ้ามากกว่านี้เจ๊งแน่นอน ปรากฏว่าอีกทีมที่ชนะเสนอเข้าใจว่า 40 กว่า% แล้วก็มีปัญหาจริงๆ ไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนรัฐได้ตามที่เสนอ

ผมเป็นคนที่ไม่ชอบ Yes ก่อนแล้ว No ทีหลัง สู้ No ก่อนแล้วมา Yes ที่หลังดีกว่า นั่นคือหลัก จึงประกวดราคาตรงนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ผมประกวดราคาแล้วจะชนะตลอด

เอาล่ะ ในเมื่อผมเตรียมอดีตและปัจจุบันไว้แล้ว อนาคตผมก็วาดไว้ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร ผมก็มองเรื่องดาวเทียม มองเรื่องการขยายเคเบิ้ลทีวี เรื่องเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนไป นั่นคือสิ่งที่เรามอง แต่ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่เกิด ไม่มีใครเห็นว่าอินเทอร์เน็ตจะเกิด มองอย่างเดียวว่าอนาคตข้างหน้าโทรศัพท์เบอร์เดียวที่เรามีอยู่สามารถถือไปไหนก็ได้ทั่วโลก และใช้เบอร์นั้นเบอร์เดียวตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เห็นในขณะนั้น แล้วตอนนั้นนาโนเทคโนโลยีก็ยังไม่เกิด ยังอยู่ในแล็ป เราไม่สามารถเดาได้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเล็กลงได้ขนาดนี้ แต่เราก็บอกอนาคตไปได้ระดับหนึ่ง สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่า ถ้าลงทุนกันอย่างนี้จะเอาตังค์ที่ไหน เซลลูล่าลงทุนกันทีเป็นหมื่นล้าน แต่วันแรกที่เราทำกันอยู่ลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยล้าน ยังไม่กล้าลงมาก ยังไม่รู้จะเกิดหรือเปล่า ก็ลงสถานีไม่กี่แห่ง ไม่กล้าลงเยอะ เพราะตังค์ไม่มี เราต้องคิดว่าถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะเอาตังค์ที่ไหนมาลงทุนเป็นหมื่นๆ ล้าน

ในวันนั้นผมยังไม่มีตังค์ ยังมีหนี้อยู่ ก็ได้ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจเอาหุ้นเข้าตลาดฯ เพราะมีนักบัญชีคนหนึ่งมาแนะนำว่าทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักสากล แล้วก็ให้บริษัทตรวจบัญชีระดับสากลมาตรวจ คนจะได้เชื่อถือ แล้วเราก็มาดูว่าจะตัดอะไรออกเอาอะไรเข้า เพื่อให้รูปบริษัททั้งหมดมีธุรกิจที่น่าสนใจ และมีความชัดเจน ว่าบริษัทนี้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนะ

ช่วงนั้นบังเอิญว่าเศรษฐีในไทยยังตามเรื่องเทคโนโลยีไม่ทัน เราเลยได้เปรียบ ถ้าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายตามเทคโนโลยีทัน คนที่ยังไม่มีตังค์อย่างผมก็เกิดไม่ได้หรอกครับ โดนเขาบี้ตายเลย เพราะระบบทุนนิยมเขาเอาทุนทุบกันเลย แต่ทุนอย่างเดียวไม่พอ ผมก็เลยรอดมา ผมหลุดมาจากตรงนั้นแล้ว ได้ลายเส้นแล้ว ทีนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย เลยตัดสินใจเข้าตลาดฯ

ผมไปจ้างที่ปรึกษาการเงิน คือ ภัทรกับธนชาติมาช่วยกันดู มาทำความสะอาดบัญชีให้ผม ตอนนั้นทุนจดทะเบียนผมมี 20 ล้านบาท 20 ล้านจริงๆ ก็ไม่มีตังค์ใส่ไป มีตังค์จ่ายค่าธรรมเนียม 50,000 บาท ก็ติดหนี้ไว้ ทำบัญชีกรรมการยืมๆๆ ตลอด ทีนี้จะเอาหุ้นเข้าตลาดฯ เยอะแยะทำไง ผมเริ่มคิดต้องเข้าตลาดฯ เมื่อที่ปรึกษาการเงินมาบอกว่าต้องเพิ่มทุน เพราะทุนแค่นี้ไม่พอ ต้องเพิ่มประมาณ 2,000 ล้าน ผมบอกตายแล้วจะเอาที่ไหนมา ที่ปรึกษาบอกไม่เป็นไรเพราะเขามั่นใจว่าหุ้นบริษัทนี้ขายได้แน่ เขาก็เลยทำให้เงินกู้ชั่วคราวสั้นๆ แล้วเดี๋ยวก็คืนให้เขา เลยให้ครอบครัวผมไปกู้เงิน แล้วเอาใบหุ้นที่เพิ่มทุนไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายเงินเพิ่มทุน

สมมติว่ากู้ 2,000 ล้านบาทก็จ่ายเพิ่มทุนไป แล้วใบหุ้นที่เพิ่มทุนเขาก็เอาไปถือไว้ พอหุ้นเข้าตลาดฯ ก็ขายบางส่วนออกเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ ปรากฏว่าหุ้นสิบบาทตอนนั้นเราขายได้ น่าจะขึ้นไป 300-400 บาท ได้กำไรหลายเท่า ก็เพิ่มทุนไปส่วนหนึ่ง เขาเรียกว่า PP (Private Pressmen) หมายความว่าหุ้นเพิ่มทุนตัวนี้ขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม ก็คือเจ้าของ แล้วหุ้นอีกส่วนหนึ่งเพิ่มทุนได้เงินเท่าไหร่ใส่กลับเข้าไปในบริษัท เขาเรียก IPO ทำ 2 จังหวะ คือความที่เรามีของดี ระบบทุนนิยมเป็นเรื่องธรรมดาว่าของต้องดี ถ้าของไม่ดีไม่มีใครให้กู้ ก็ต้องตกแต่งให้ดี ไม่ดีก็ทำให้ดี ทำให้สะอาด ให้เกลี้ยง แล้วให้ที่ปรึกษาการเงินดู พอเขาดูเสร็จ...ดีนี่ ผมก็เลยไปกู้เงินจากอีกที่หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครือแบงก์กรุงเทพของดร.ชัยยุทธ์ฯ ให้ผมกู้เงินมาชั่วคราวเพื่อมาเพิ่มทุน เสร็จก็ไปเพิ่มทุน IPO อีกทีหนึ่ง เงินก็เข้าบริษัทเยอะ บริษัทมีตังค์แล้ว ทีนี้ก็จ่ายหนี้ได้ ลงทุนได้ ขยายการลงทุนได้

พอหุ้นเข้าตลาดมันก็ขึ้นหลายเท่า หุ้นที่เราเพิ่มทุนก็เพิ่มราคาพาร์ เราก็แบ่งหุ้นจำนวนหนึ่งไปขาย พอขายได้ก็เอาเงินไปใช้หนี้ ก็โล่ง ผมเหลือเงินประมาน 100-200 ล้านบาทจากไม่มีตังค์ พอเหลือจากนั้นเราก็นึกว่า ดีใจ มีเงินแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เราขยายธุรกิจ พอเซลลูล่าขยายก็ต้องเพิ่มการลงทุน ลูกค้าเพิ่มก็เพิ่มการลงทุน เงินบริษัทไม่พอก็ต้องเพิ่มทุนอีก พอหุ้นขึ้นเราก็เพิ่มทุนๆๆ เราเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม ตัวเองเราก็ต้องตาม เงินที่มีอยู่ก็ไปตามเพื่อให้สัดส่วนไม่หาย เงินก็หมดอีก เคยมี 100 แรกเมื่อปี 33 ดีใจ พอปลายปี 33 หมดอีกแล้ว เพราะไปเพิ่มทุนหมด พอปี 34 มีนักลงทุนต่างชาติคนหนึ่ง เป็นคนที่ลงทุนหลายประเทศ เขาพาผมไปรู้จักกับเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือนายคาร์ลอส ซาริม ไปพบกันที่นิวยอร์ก ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ

นายคนนี้ก็ตัดสินใจมาซื้อหุ้นบริษัทผม 5% ถ้าจำไม่ผิดผมขายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ตกลงกันทางโทรศัพท์ ผมกำลังแคะหูอยู่ โทรศัพท์มา ผมก็บอกว่าขอแคะหูเสร็จก่อน พอเสร็จก็ลุกขึ้นมาคุย เขาขอซื้อ 10% ผมไม่ขาย เพราะภาษาการลงทุนเขาบอกว่าต้องให้กำลังพอดี ให้น้อยมันก็ไม่ใส่ใจหุ้นเรา ให้มากเกินไปมันก็ไม่ใส่ใจหุ้นเรา ซื้อไปเก็บ สมมุติเขาต้องการ 10 เราให้ 5 ที่เหลือให้เขาไปไล่ซื้อในตลาดเอา ทำให้หุ้นเราดีขึ้น ผมก็เลยขายไป ได้เงิน 5,000 ล้านบาท

ปี 34 เป็นปีที่ผมมีเงินหลายพันล้านเป็นครั้งแรก หุ้นครอบครัวผมก็จะลดลงมาเรื่อยจากเข้าตลาดใหม่ๆ 80% จนเหลือ 50% นั่นคือสิ่งที่เราขายหุ้นเอาค่ากำไรเข้ามาก็เก็บเงินสดไว้บ้าง แล้วก็ยังเหลือหุ้นไว้ส่วนใหญ่เพื่อยังควบคุมบริษัทได้ ไม่ทำให้บริษัทถูกเขาเอาไป บางคนอยากได้ตังค์มากไปขายจนเหลือนิดเดียว พอคนอื่นซื้อจนหุ้นเกินกว่าเรา แน่นอนเขาก็ยึดบริษัทเราไปได้ ถ้าเรากลัวเขายึดก็ต้องเก็บให้เกินครึ่งหนึ่ง ให้คนอื่นเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่กลัวเขายึดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ครอบครัวผมก็ขายหุ้น drop ลงไปเรื่อยๆ จนเหลือ 50% ก็เก็บได้ทั้งเงินสดและมีทั้งหุ้นเหลือ

ตอนนั้นปี 35-36 ก็ขายหุ้นเพิ่ม ผมก็มีเงินสดประมาณเป็นหมื่นล้านแล้ว ถึงปี 37 มาเข้าการเมือง ตอนนั้นอายุ 42 เริ่มเห็นแสงสว่างตอนอายุ 40 เมื่อเอาหุ้นเข้าตลาดฯ แต่ยังไม่มีตังค์ อายุ 41 เริ่มได้ตังค์ปลายๆ ปีแล้ว มีเงิน 100 ล้านในชีวิตครั้งแรก

ผมไปเรียนปริญญาเอกกลับมาปี 2522 ใช้เวลา 11 ปี หาเงินได้ร้อยล้านครั้งแรก หลังจากนั้นมีมากก็เพราะว่าเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วในวันนั้นฝรั่งเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเยอะ ครอบครัวผมเงินทั้งหมดส่วนใหญ่ได้จากต่างประเทศทั้งนั้นครับ หุ้นครอบครัวผมเป็นหุ้นที่ต่างประเทศชอบซื้อ กองทุนต่างประเทศทั้งนั้น แม้กระทั่งล่าสุดที่ขายให้เทมาเส็กก็เป็นเงินของต่างประเทศเอาเข้ามาให้ ไม่ได้เป็นการเอาเงินไทยมาเลย

ก็เล่าสู่กันฟังว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ต้องชิงไหวชิงพริบและทำให้ต่างประเทศเชื่อถือ ถึงจะดึงเงินเขามาได้ ดวงผมบังเอิญเป็นดวงที่ทำมาหากินต่างประเทศดี ถูกกับเรื่องของการต่างประเทศ เข้าใจว่าอังคารและมฤตยูอยู่ที่เมถุนด้วยกัน เขาว่าอย่างนั้น

เมื่อเดือนเมษายนปี 35 ตอนนั้นเราต้องการจะเพิ่มทุนบริษัท และต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักทั่วโลก ก็ไปทำโรดโชว์ ผมเดินทางไปบอสตัน นิวยอร์ก และกลับมาลอนดอน ตอนนั้นคุณหญิงก็พาลูกๆ ยังเล็กๆ กันอยู่ไปเจอที่ลอนดอน เพราะหลังโรดโชว์จบก็จะมาตกลงกันว่าจะขายหุ้นในราคาเท่าไร และขายกี่หุ้น วันที่ 25 เมษายน 35 ใกล้พฤษภาทมิฬด้วย ที่ปรึกษาการเงินก็อึกอักๆ บอกว่าหุ้นที่ตั้งใจจะขายขอรับประกันแค่ครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่าถ้าครึ่งเดียวผมเสียชื่อนะ เหมือนกับว่าไม่น่าเชื่อถือ เอาอย่างนี้ดีกว่า จะขายหรือไม่ขายก็ไม่เป็นไร เอาให้ชัด คืนนี้คุณมาบอกผมแล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะได้เดินทาง

คิดเสร็จเขาก็กลับมาบอกว่าเขาวิตกเรื่องการเมืองในประเทศไทย ผมก็บอกว่าอย่าวิตกเลย ประเทศไทยการเมืองเปลี่ยนบ่อยเหมือนเปลี่ยนฤดู อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองนัก เขาบอกว่าวิตก ขอซื้อครึ่งเดียวได้ไหม? ผมก็บอกว่างั้นอย่าซื้อเลย ผมไม่ขายล่ะ ขอบคุณนะ ผมจะไปเที่ยวแล้ว เพราะเมียกับลูกมารอแล้ว จากนั้นก็พาลูกเมียไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แล้วก็ไม่ขายเลย วันนั้นถ้าขายล็อตนั้นจะได้ 3,000 ล้าน ไม่ขาย ผมก็กลับมาเมืองไทย จนไม่กี่วันเกิดพฤษภาทมิฬ หุ้นร่วงพรวด ผมก็เฉยๆ พอหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คุณอานันท์ฯ กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบหนึ่ง หุ้นวิ่งขึ้นใหม่ ที่ว่าขายได้ 3,000 ล้านวันนั้น ถ้าขายเองครั้งใหม่นี้ได้ถึง 5,000 ล้านบาท เพราะความที่เราเป็นคนซึ่งยึดหลักว่าถ้าคุณซื้อไปครึ่งเดียวผมเสียชื่อ ไม่งั้นคุณก็อย่าซื้อเลยดีกว่า แทนที่จะได้เงิน 3,000 เลยได้ 5,000 ล้าน

สิ่งที่เล่าให้ฟังวันนี้คือท่านต้องยึดหลัก ต้องรอบรู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว การเมืองไม่ชั่วคราวเสียแล้ว เอาเป็นเอาตาย 3-4 ปีแล้วยังไม่จบ นักลงทุนต่างประเทศหนีหมดแล้ว นานๆ โฉบมาทีเพราะอะไร เพราะเราเอง วันนี้เรากำลังไม่เข้าใจโลกอย่างแรง เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 แต่ความคิดของเราเป็นแบบศตวรรษที่ 20 จริงๆ ไม่เข้าใจว่าโลกไปถึงไหน ไม่เข้าใจการแข่งขัน ขณะเดียวกันผมนั่งอยู่ดูไบ ผมนั่งมองว่าต่างประเทศเขาไปยังไง ไปถึงไหนแล้ว เราอ่านยุทธศาสตร์เขาหมด ขณะเดียวกันหันไปมองอาเซียนวันนี้ อาเซียนทั้งอาเซียนไม่มีอะไรเลย เพราะไทยคือศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของอาเซียน แล้วไทยลากอาเซียนลงเพราะมัวแต่ขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง โดยที่ไม่ให้กลไกที่เคยสร้างมาเป็นสิบๆ ปีทำงานของมันเอง แล้วยังไม่พอยังไปบิดเบือนกลไก ไปใช้ผู้คนซึ่งเป็นแก็งค์ คบกันเป็นกลุ่มๆ หาประโยชน์ตรงนั้นตรงนี้ สุดท้ายทั้งประเทศเจอปัญหา แล้วถึงวันนี้ก็ยังไม่คิดแก้อีก นี่คือสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของประเทศไทยครับ

ที่นี่ดูไบ ในเรื่องภูมิศาสตร์เขาเป็นศูนย์กลาง เขาเอาความเป็นศูนย์กลางของเขาปั๊มเงิน สร้างสนามบินเป็นศูนย์กลางการบิน สร้างท่าเรือเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือ แล้วก็สร้างเศรษฐกิจล้อมรอบ

ของเราวันนี้ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เราเป็นศูนย์กลาง เราควรจะเป็นศูนย์กลางการบินแต่ปรากฏโดนประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ขโมยไป เพราะไม่มียุทธศาสตร์ มีแต่ยุทธศาสตร์ฟาดฟันกันเอง นี่คือสิ่งที่เราไม่แก้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ นะครับ

กลับมาพูดกันต่อ ผมต้องการจะเน้นให้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งหลายได้เห็นว่าแล้วทำยังไงจะให้หุ้นตัวเองดี สำคัญที่สุด การซื้อขายหุ้นคนไทยยังเป็นส่วนน้อยที่จะลงทุนในตลาดหุ้น แต่สถาบันก็ดี ต่างชาติก็ดีจะลงทุนหุ้นเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นท่านจะต้องมีความสัมพันธ์กับนักลงทุน มีการโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศบ่อยๆ จะต้องยินดีต้อนรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาคุยเรื่องบริษัทของท่าน ตอนผมเอาหุ้นเข้าตลาดฯ ใหม่ๆ นั่งพูดแบบนี้ทุกวัน วันละ 2 รอบ 3 รอบ พูดซ้ำแบบแทบจะเปิดเทปเลยครับ รู้เลยว่านี่จะถามอะไรบ้าง มันเหมือนกันหมด เราต้องอดทน พูดไปเท่าไรก็ทำให้บริษัทเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้คนสนใจและซื้อหุ้น ต้องคุยให้เขารู้ว่าหุ้นเรามีอนาคต และที่สำคัญท่านต้องอย่าใช้เงินผิดประเภท เรื่องนี้น่ากลัวมาก

ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมจึงไม่ใช้เงินผิดประเภท เพราะผมถูกสอน ตอนที่หุ้นยังไม่เข้าตลาดมีเงินครั้งแรก แค่หมุนเงินได้เท่านั้นเอง ดีใจครับ ไปซื้อที่ดิน เสร็จปั๊บถึงเวลาเศรษฐกิจแย่อยากขายไม่มีใครซื้อเลยครับ สุดท้ายก็ขายไม่ได้ เงินก็คาอยู่ พอธุรกิจมีปัญหาจะเอาเงินมาใส่ก็ไม่ได้ ธุรกิจก็มีปัญหาไปด้วย เอาไปเข้าแบงก์ๆ ก็ไม่รับ

เพื่อนผมคนหนึ่งก็มาเตือนว่าอย่าทำนะ คนเอเชียชอบทำ เงินไหนอยู่ที่นั่นอย่าใช้เงินมั่ว ผมก็ท่องคาถาไว้เลย ขนาดว่ามีตังค์บ้างแล้วยังไม่ยอมซื้ออสังหาริมทรัพย์เลย เพราะบริษัทเราทำธุรกิจเกี่ยวกับโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์อย่าไปทำ เอาเงินส่วนตัวของครอบครัวไปซื้อแทน การซื้อตึกชินฯ ที่พหลโยธินก็ตกกระไดพลอยโจนเหมือนกัน อาจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์ ถือว่ามีพระคุณกับผม เป็นผู้จัดการแบงก์ทหารไทยตอนนั้น ก็เป็นประธานบ้านฉาง ของคุณไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์ศานต์นั่นแหละ ไปสร้างตึกไว้ที่ปากซอยสายลม ก็ซื้อเป็นที่ตั้งของชินฯ ทาวเวอร์ 1 ทุกวันนี้ สร้างไปได้ 7 ชั้นไม่มีตังค์ทำต่อก็มาขายโครงการให้ผม ผมก็เลยรับมาต่อและสร้างให้ครบ 30 ชั้นตามที่วางผังไว้ แต่ต้องมาปรับปรุงใหม่ เพราะเดิมเขาต้องการทำเป็นคอนโดฯ แต่ผมต้องการทำเป็นออฟฟิศ สุดท้ายก็ต้องมาลงทุนสร้างตึกตรงนี้ 700 กว่าล้านโดยไม่ใช้เงินบริษัทเลย ใช้เงินของครอบครัวและให้ครอบครัวเป็นเจ้าของ ให้บริษัทเช่าเพื่อจะแยกแยะชัดเจนว่าบริษัททำธุรกิจอะไร เพื่อนักลงทุนเขาจะไม่สับสน ราคาเช่าก็ต้องเป็นราคาปกติ จะถูกไปหรือแพงไปก็ไม่ได้ แต่อาจถูกกว่าตลาดเล็กน้อยเพื่อให้เห็นว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย ก็สร้างชินฯ 1 เสร็จ

พอเสร็จ ปรากฏว่าชินฯ ทาวเวอร์ 2 ก็สร้างเสร็จเหมือนกัน จะขายแต่ไม่ได้ขาย เพราะตอนนั้นคนเป็นเจ้าของคือพี่ชายของรัฐมนตรียุติธรรมปัจจุบัน คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พี่ตุ๋ยแวะมาหาผมหลายครั้ง มาขายตึกให้ผม ก็ซื้อตึกนี้ไว้ เป็นการลงทุนครั้งที่ 2 ของครอบครัว เมื่อมีเงินมากขึ้นแล้วจึงไปสร้างตึกชินฯ ทาวเวอร์ 3 ซื้อที่มาจากเพื่อนที่มีปัญหากับธนาคาร คุณประภัตร โพธสุธน ก็เป็นเรื่องครอบครัวลงทุนหมด กลุ่มชินฯ ไม่ได้ลงทุนเลย แล้วก็ให้กลุ่มชินฯ เช่าบ้าง บริษัทในเครือบ้าง ให้คนอื่นเช่าบ้าง ที่สุดก็กลายเป็นเอสซีแอสเซ็ท มาเข้าตลาดฯ

เป็นลักษณะค่อยๆ สร้างทีละส่วนๆ แต่เราจะต้องแยกแยะให้ออก อย่าพัน อย่ามั่ว ระหว่างช่วงที่ชินฯ เข้าตลาดฯ ไปแล้ว เอไอเอสแข็งแรง ผมก็เอาเข้าตลาดฯ IBC โตขึ้นก็เอาเข้าตลาดฯ ชินแซตฯ โตขึ้นก็เอาเข้าตลาดฯ ทุกตัวแยกตัวเองเข้าตลาดหมด เพราะวันหน้าวันหลังการลงทุนที่ขยายทุนมากๆ โดยเฉพาะที่ต้องใช้ทุนเยอะๆ เราจะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวลงไปเยอะเกินไป ถ้าเราไม่ควักเปอร์เซ็นของหุ้นก็จะเจือจางลงไป แต่ถ้าเราเติมไปเงินสดที่มีอยู่ก็หมด ผมจึงต้องเอาบริษัททุกตัวที่มีศักยภาพการโตของมันเองไปแยกเข้าตลาดฯ เวลาเพิ่มทุนเราสามารถเพิ่มแบบ IPO คือขายให้กับบุคคลทั่วไปเพื่อให้เงินมาเข้าบริษัท และบริษัทก็เอาเงินไปลงทุน หุ้นบริษัทก็จะโตขึ้น

ท่านทั้งหลายครับ นี่คือสิ่งที่ต้องรู้เท่าทันระบบทุนนิยม วันนี้เราเกลียดมันไม่ชอบมันก็ไม่ได้ ต้องอยู่กับมัน เพราะโลกเป็นโลกทุนนิยม ไม่จำเป็นต้องชอบหรือไม่ชอบ แต่วันนี้เป็นการแข่งขันด้วยทุน ต้องมีทุน ถ้าไม่มีทุนเขาไม่นิยม ทุนไม่มีก็หาให้มี

ฉันใดฉันนั้นครับ ประเทศไทยวันนี้ถ้าเราภูมิใจว่าทำนาส่งออกข้าวได้ที่หนึ่งของโลก เรามีสิทธิภูมิใจ แต่ถ้ามองกลับไปอีกทีว่าทำไมต้องให้คนจนทำนาตลอดชีวิต เราลดจำนวนชาวนาได้ไหม เหลือเป็นชาวนาที่มีเครื่องจักรกล แล้วลูกหลานชาวนาเป็นอย่างอื่นได้มั้ย เป็นวิศวกร เป็นหมอ เป็นทนายความ เป็นเถ้าแก่ได้ไหม ทำไมต้องบอกว่าปู่เอ็ง พ่อเอ็งเป็นชาวนา เอ็งก็ต้องเป็นชาวนา ลูกเอ็งก็ต้องเป็นชาวนา แล้วภูมิใจว่าส่งออกข้าวเป็นที่หนึ่งของโลก เราควรย้อนกลับมาดูว่าควรภูมิใจหรือไม่ เรามีทางเลือกอื่นไหม มีครับ ถ้าเราเข้าใจหา

อย่างที่เล่า ที่ดูไบเขาเอาต่างชาติมาเป็นลูกน้องคนท้องถิ่น แต่ของเราเอาต่างชาติมาเป็นนาย เราเป็นลูกน้อง เป็นเถ้าแก่อยู่ดีๆ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกไปเป็นลูกจ้างฝรั่ง ภูมิใจมาก ลูกผมได้ทำงานกับฝรั่ง ทำไมไม่ให้เขาเป็นเถ้าแก่ นี่คือจุดอ่อนของเราที่มองโลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ทัน และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ คนที่มีอำนาจแฝงสั่งการได้ ทำให้ระบบเพี้ยนได้ มีความคิดเป็นศตวรรษที่ 20 หมด ถึงได้ยุ่งจนถึงทุกวันนี้

ในปี 37 ผมได้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนั้นเข้าพรรคพลังธรรม คุณจำลอง ศรีเมือง เกรงว่าเวลาจะไม่พอ เรื่องคุณจำลองยาว แล้วก็มีเรื่องคุณบรรหาร ศิลปอาชาและวิกฤตเศรษฐกิจ ผมจะเล่าให้หมดเลย ผมจะเอาเรื่องต่างๆ ในอดีตมาเล่าให้ฟังให้ชัด จะได้รู้เส้นสนกลในที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นอย่างไรบ้าง จนมาถึงความวุ่นวายทางการเมืองปัจจุบัน

เพราะฉะนั้น ผมจะขอเล่าเป็นตอนละๆ ครึ่งชั่วโมง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ที่พีเพิลชาแนลและทักษิณไลฟ์ จะเล่าชีวิตจริง ละครหลังข่าว แต่เป็นชีวิตจริงของผมที่เป็นนักธุรกิจมาก้าวสู่การเมือง จนมาถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นวันนี้ จะขอเล่าอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมาทุกเรื่อง

ครับ วันนี้ใช้เวลาเกินมานิดหน่อย ขอบคุณที่ติดตามรับชม พรุ่งนี้จะเล่าถึงตัวละครแต่ละคน ใครที่เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตผม ไม่ต้องกลัวครับ ผมตรงไปตรงมา ไม่ใส่สี วันนี้ขอบคุณครับ.

----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น