ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553
ความจริงเรื่อง "ล้มเจ้า" โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 45
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
******************************************************************************
ความจริงเรื่อง "ล้มเจ้า"
ขณะนี้การประโคมข่าว “ล้มเจ้า” ดังจนผิดปกติ เครือข่ายอำมาตย์ในขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องห่วง รัวเสียราวกับวงโยธวาทิต แถมยังมีเสียงแว่วมาจาก “เวทีประชาธิปไตย” ร่วมสนุกกล่าวหาตามแห่ไปกับเขาด้วยว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้คิด “ล้มเจ้า” เหมือนมุ่งจะเอาใจใครบางคน
เวลาเหมือนจะหมุนกลับไปไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี
เสมือนเราทุกคนยังอยู่ในยุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพียงคราวนี้ใช้มาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาแทนที่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการโบราณที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนบริสุทธิ์ไปมากมายเหลือคณานับ
เวลาเหมือนจะหมุนกลับไปไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี
เสมือนเราทุกคนยังอยู่ในยุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพียงคราวนี้ใช้มาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาแทนที่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการโบราณที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนบริสุทธิ์ไปมากมายเหลือคณานับ
แถมใช้อย่างถี่ยิบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะไปหลงเชื่อคนที่คอยเสี้ยมให้เล่นงานคนนั้นคนนี้ และให้ข้อมูลผิดๆ ว่ามีอยู่ไม่กี่คน ฟันลงไปเถิด
ในที่สุดก็เกิดเป็นกระแส
ความจริงการ “ล้มเจ้า” อย่างจริงจังในประวัติศาสตร์ไทยเคยเกิดขึ้นเพียง ๒ ครั้ง นั่นคือเมื่อคราว “กบฏ ร.ศ.๑๓๐” ซึ่งล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือ “การอภิวัฒน์” ที่เริ่มต้นด้วยท่าทีเด็ดขาด แต่แล้วค่อยๆ ผ่อนท่าทีลงจนกลายเป็นการหารือร่างรัฐธรรมนูญระหว่างกัน หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเรื่อย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญถาวรกลายเป็นของพระราชทาน แทนที่จะเป็นคณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา
ท่าทีสมานฉันท์ อย่างการตั้งรัฐบาลร่วมกันโดยเอาฝ่ายอำมาตย์แท้ๆ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นตัวประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) ก็กลายเป็นเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจเก่าเขามาเอาอำนาจคืนอย่างดิบๆ ถึงขั้นเนรเทศหัวหน้าคณะราษฎร์สายพลเรือนไปต่างประเทศ ท่านที่เหลือต้องรวมกำลังกันยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งเพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่ก็ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบไม่เหลือซาก
ความจริงเมื่อวันชาติยุคหลังๆ ถูกเปลี่ยนจาก ๒๔ มิถุนายนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ชัดแล้วในเรื่องระบอบ
ทวนความจำเพื่อจะบอกว่า จากนั้นไม่มีความพยายามใดๆ อีกเลย ที่จะพรากสังคมนี้จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะปลูกฝังกันอย่างเข้มข้นเกือบทุกวันทุกเวลาแล้ว กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วย ปัจจัยใดๆ จากภายนอกจะเข้ามาโยกหรือสั่นคลอนได้เล่า
เพียงดำรงพระสถานะเดิมและใช้พระราชอำนาจอย่างสมควรแก่เหตุ สถาบันนี้จะอยู่คู่สังคมไทยโดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง
ผมถึงได้สงสัยว่าคนที่เจตนาพูดคำว่า “ล้มเจ้า” นั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่
กำลังดูแคลนศักยภาพของสถาบันจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองหรือไม่
หรือกำลังระดมฉายไฟเข้าไปยังสถาบัน ทำให้สถาบันกลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น?
ความจริงพฤติกรรมแกล้งโง่เหล่านี้ เราก็พอรู้อยู่หรอกครับ แต่ผู้ที่อยู่ในสถาบันควรทราบว่า คนที่ชิงเล่นบทจงรักภักดีโดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ให้ ได้แต่กล่าวประณามคนอื่นว่าจงรักภักดีไม่เท่าตน หรือสาดคดีหมิ่นฯ เข้าใส่ จนสุดท้ายสถาบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางสังคมแทนนั้น สุดท้ายคือผู้ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด
รวมทั้งคนที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายคนอื่นด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” อย่างสามานย์นั่นด้วย
การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหมาะสมคือการอนุวัตรไปตามโลก โดยรักษาแก่นไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ลืมตาตื่นขึ้นก็มองหาว่าใครจะเป็นเหยื่อในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ้าง
ความจริงการ “ล้มเจ้า” อย่างจริงจังในประวัติศาสตร์ไทยเคยเกิดขึ้นเพียง ๒ ครั้ง นั่นคือเมื่อคราว “กบฏ ร.ศ.๑๓๐” ซึ่งล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือ “การอภิวัฒน์” ที่เริ่มต้นด้วยท่าทีเด็ดขาด แต่แล้วค่อยๆ ผ่อนท่าทีลงจนกลายเป็นการหารือร่างรัฐธรรมนูญระหว่างกัน หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเรื่อย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญถาวรกลายเป็นของพระราชทาน แทนที่จะเป็นคณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา
ท่าทีสมานฉันท์ อย่างการตั้งรัฐบาลร่วมกันโดยเอาฝ่ายอำมาตย์แท้ๆ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นตัวประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) ก็กลายเป็นเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจเก่าเขามาเอาอำนาจคืนอย่างดิบๆ ถึงขั้นเนรเทศหัวหน้าคณะราษฎร์สายพลเรือนไปต่างประเทศ ท่านที่เหลือต้องรวมกำลังกันยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งเพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่ก็ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบไม่เหลือซาก
ความจริงเมื่อวันชาติยุคหลังๆ ถูกเปลี่ยนจาก ๒๔ มิถุนายนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ชัดแล้วในเรื่องระบอบ
ทวนความจำเพื่อจะบอกว่า จากนั้นไม่มีความพยายามใดๆ อีกเลย ที่จะพรากสังคมนี้จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะปลูกฝังกันอย่างเข้มข้นเกือบทุกวันทุกเวลาแล้ว กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วย ปัจจัยใดๆ จากภายนอกจะเข้ามาโยกหรือสั่นคลอนได้เล่า
เพียงดำรงพระสถานะเดิมและใช้พระราชอำนาจอย่างสมควรแก่เหตุ สถาบันนี้จะอยู่คู่สังคมไทยโดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง
ผมถึงได้สงสัยว่าคนที่เจตนาพูดคำว่า “ล้มเจ้า” นั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่
กำลังดูแคลนศักยภาพของสถาบันจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองหรือไม่
หรือกำลังระดมฉายไฟเข้าไปยังสถาบัน ทำให้สถาบันกลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น?
ความจริงพฤติกรรมแกล้งโง่เหล่านี้ เราก็พอรู้อยู่หรอกครับ แต่ผู้ที่อยู่ในสถาบันควรทราบว่า คนที่ชิงเล่นบทจงรักภักดีโดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ให้ ได้แต่กล่าวประณามคนอื่นว่าจงรักภักดีไม่เท่าตน หรือสาดคดีหมิ่นฯ เข้าใส่ จนสุดท้ายสถาบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางสังคมแทนนั้น สุดท้ายคือผู้ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด
รวมทั้งคนที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายคนอื่นด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” อย่างสามานย์นั่นด้วย
การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหมาะสมคือการอนุวัตรไปตามโลก โดยรักษาแก่นไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ลืมตาตื่นขึ้นก็มองหาว่าใครจะเป็นเหยื่อในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ้าง
ความจริงก็คือ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสถาบัน โดยไม่ได้มุ่งหมายจะโค่นล้มหรือทำอันตรายใดๆ เพราะสามปีที่ผ่านมานี้มีการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อการเมืองจนสังคมสับสน หากเปิดโอกาสให้ถามและตอบอย่างวิญญูชน แทนที่จะอ้างกฎหมายหมิ่นฯ มาฟาดฟันกันอย่างที่เป็นอยู่ ว่าเราจะประคองสถาบันให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างไร ผมเชื่อว่าจะเป็นคุณกับประเทศชาติมากกว่า
สั่งให้หยุดพฤติกรรมผลักฝ่ายเดียวกันให้เป็นศัตรูเถิดครับ
มองให้เห็นว่าคนที่จะ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ก็คือคนที่อวดอ้างความ “รักเจ้า” จนเกินกว่าเหตุและสร้างผลลัพธ์ในทางกลับกันเถิดครับ
เลิกสนุกสนานกับบทบาท “ผู้เล่น” กลับขึ้นไปเป็น “กรรมการผู้ทรงเกียรติ” ดังเดิมเถิดครับ
ใช้ตัวแทนวัฒนธรรมใหม่อย่างคุณทักษิณให้เป็น เพื่อบริหารบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ทั้งภูมิปัญญาเดิมและภูมิปัญญาใหม่ผสมผสานกัน อย่าคิดกำจัดเพียงเพราะคุมโมหะจริตไม่อยู่เลยครับ
ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม
และทำในสิ่งที่ควรทำ
ผมขอตราไว้ตรงนี้ว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ช่วยอะไรสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย ความเข้าใจถูกหรือผิดต่อสถาบัน กระทำได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่ด้วยลมปากของใคร แต่ด้วยสิ่งที่คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกเขามองเห็นอยู่จริง
ถ้าตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว อย่าได้หวั่นกลัวสิ่งใด เว้นแต่เงาของตนเอง
เพราะในบ้านนี้เมืองนี้ ผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์เองเท่านั้น.
---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
สั่งให้หยุดพฤติกรรมผลักฝ่ายเดียวกันให้เป็นศัตรูเถิดครับ
มองให้เห็นว่าคนที่จะ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ก็คือคนที่อวดอ้างความ “รักเจ้า” จนเกินกว่าเหตุและสร้างผลลัพธ์ในทางกลับกันเถิดครับ
เลิกสนุกสนานกับบทบาท “ผู้เล่น” กลับขึ้นไปเป็น “กรรมการผู้ทรงเกียรติ” ดังเดิมเถิดครับ
ใช้ตัวแทนวัฒนธรรมใหม่อย่างคุณทักษิณให้เป็น เพื่อบริหารบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ทั้งภูมิปัญญาเดิมและภูมิปัญญาใหม่ผสมผสานกัน อย่าคิดกำจัดเพียงเพราะคุมโมหะจริตไม่อยู่เลยครับ
ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม
และทำในสิ่งที่ควรทำ
ผมขอตราไว้ตรงนี้ว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ช่วยอะไรสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย ความเข้าใจถูกหรือผิดต่อสถาบัน กระทำได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่ด้วยลมปากของใคร แต่ด้วยสิ่งที่คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกเขามองเห็นอยู่จริง
ถ้าตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว อย่าได้หวั่นกลัวสิ่งใด เว้นแต่เงาของตนเอง
เพราะในบ้านนี้เมืองนี้ ผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์เองเท่านั้น.
---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น