ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

มองเตสกิเออ...ฝังรากรัฐธรรมนูญ โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : มองเตสกิเออ...ฝังรากรัฐธรรมนูญ
ที่มา : คอลัมน์ กว่าจะเป็นประชาธิปไตย นสพ.ข่าวมุสลิม พับลิกโพสต์
โดย : จักรภพ เพ็ญแข

*****************************************************************************

มองเตสกิเออ...ฝังรากรัฐธรรมนูญ

ดูไปแล้ว ความยุ่งยากของการเมืองไทยปัจจุบันมีรากเหง้าเดียวกับปัญหาของยุโรปในศตวรรษที่ ๑๗ ข้ามเกี่ยวกับศตวรรษที่ ๑๘ นั่นคือรัฐบาลควรมาจากอะไรและควรมีอำนาจขนาดไหนในการบริหารบ้านเมือง เราได้เห็นการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามา ได้เห็นรัฐบาลนั้นถูกประณามโจมตีโดยกลไกของรัฐว่า คดโกง ไม่รักชาติ และไม่จงรักภักดีต่อกษัตริย์ ได้เห็นการแผลงฤทธิ์ของศูนย์การปกครองไทยที่ไม่แสดงตัวอย่างเปิดเผย แต่ใช้อำนาจผ่านรัฐบาลตัวแทน (proxy government) ในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยและสถาปนาระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยในทางปฏิบัติขึ้น

และเราต่างก็ได้เห็นความก้าวหน้าของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่ไม่ยอมรับต่ออำนาจโบร่ำโบราณนั้น เพียงยังไม่ชัดเจนนักว่าจะเอาชนะอำนาจรวมศูนย์และเหลือล้นดังกล่าวได้อย่างไร

มองเตสกิเออ เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสที่ยังปรากฏชื่ออยู่เสมอในการถกเถียงเรื่องนี้ ผมจะขอเล่าเรื่องของเขาโดยสังเขป รวมทั้งแนวความคิดในหลายร้อยปีที่แล้วแต่ยังสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่กับเราในปัจจุบัน อย่าลืมว่าคนอย่างเขานี่แหละที่ทำให้เรื่องนามธรรมอย่างหลักรัฐศาสตร์ ทั้งปรัชญาและการวิพากษ์สังคม กลายเป็นการปฏิวัติที่เป็นรูปธรรมขึ้นในฝรั่งเศส อ่านแล้วอาจจะเกิดความคิดเกี่ยวกับปัญหาของเราขึ้นบ้างก็ได้

เขาเกิดมาในชื่อ ชาร์ลส์-หลุยส์ เดอ เซกอนดาท ชีวิตอำมาตย์ของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เกิดจนถึงเข้าโรงเรียนและแต่งงาน อายุเพียง ๒๗ ปีบุญหล่นทับอีก ได้รับมรดกและสืบตำแหน่งจากลุงที่ถึงแก่กรรม กลายเป็นท่านบารอน เดอ มองเตสกิเออไปในบัดดล แถมตำแหน่งสืบตระกูลจากลุงในสภาท้องถิ่นในเมืองบอร์โดห์อีกด้วย ชีวิตมองเตสกิเออจึงไม่มีอะไรต้องกระเสือกกระสนในทางเศรษฐกิจ แต่ทางการเมืองแล้วเขาเริ่มพัวพันตัวเองเข้าไปเรื่อยๆ เขาเขียนบันทึกในภายหลังว่า เหตุการณ์ ๒ อย่างที่กระทบใจมองเตสกิเออและเป็นที่มาสู่ปรัชญาการเมืองของเขาคือ การปฏิวัติล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในอังกฤษภายหลัง “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ พ.ศ.๒๒๓๑” ที่มาก่อนยุคสมัยเขา และการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์หลุยส์ที่ ๑๔ กับการสืบราชสันตติวงศ์ใน พ.ศ.๒๒๕๘ โดยหลุยส์ที่ ๑๕ ที่มีพระชนมายุเพียง ๕ พรรษา ในงานเขียนช่วงหลังๆ มองเตสกิเออเอ่ยถึงเรื่องทั้งสองนี้บ่อยครั้งมาก ส่วนใหญ่ในเชิงเปรียบเทียบว่า อังกฤษก้าวหน้าไปถึงขั้นที่กษัตริย์กับประชาชนแบ่งอำนาจกันแล้ว แต่ฝรั่งเศสยังวนเวียนอยู่กับชนชั้นกษัตริย์ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดจนเอาเด็กอนุบาลขึ้นมาครองแผ่นดินได้

ความจริงงานเขียนช่วงนั้นก็สะท้อนปรัชญาที่ตกผลึกในภายหลังออกมาบ้างแล้ว มองเตสกิเออสมมติตัวเองเป็นชาวเปอร์เซียน (ปัจจุบันคือชาวอิหร่าน) ที่มาทัศนาจรในฝรั่งเศส เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวแล้วก็เขียนจดหมายหลายฉบับกลับไปเล่าให้ทางบ้านฟัง “จดหมายเปอร์เซียน” ชุดนี้ดังตั้งแต่การตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ.๒๒๖๔ เพราะพรรณนาสภาพความวิปริตผิดเพี้ยนของสังคมภายใต้หลุยส์ที่ ๑๕ ซึ่งเป็นพฤติกรรมทุเรศทุรังของสมาชิกพระราชวงศ์และเหล่าขุนนางของระบอบอำมาตย์ฝรั่งเศสทั้งมวลได้อย่างสละสลวยและก่ออารมณ์ร่วมทางสังคม เขาเขียนเล่าถึงความเหลวแหลกทางชนชั้นที่ศาลทุกระดับช่วยปกป้องให้ ในขณะที่จับตัวประชาชนผู้ไม่มีอำนาจต่อรองไปเข้าคุกด้วยเหตุไม่สมควรต่างๆ

หรือความหรูหราฟู่ฟ่าในพระราชวังหลวงขณะที่ราษฎรอดอยากยากจน คนอ่าน “จดหมายเปอร์เซียน” ในยุคนั้นต่างสะใจและอาจลืมไปเลยว่าคนเขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ที่ว่าด้วย แต่สายตาอันตรายจริงๆ ย่อมส่งมาจากเหล่า “ชายหญิงผู้สูงศักดิ์” ผู้มองเขาว่าเป็นกบฏต่อชนชั้นและดูแคลนว่าใฝ่ต่ำ งานนิพนธ์ที่สร้างชื่อให้มองเตสกิเอออีกชิ้นหนึ่งคือชิ้นต่อมา นั่นคือ “Considerations on the Causes of the Grandeur and Decadence of the Romans” หรือ “ข้อพิจารณาเกี่ยวกับสาเหตุแห่งความยิ่งใหญ่และช่วงทศวรรษของชาวโรมัน” ตีพิมพ์อย่างแพร่หลายเมื่อ พ.ศ.๒๒๗๗ แต่เมื่อเรามองย้อนเวลาในประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่างานทั้งสองเพียงชิ้นอุ่นเครื่องรอเวลาสำหรับงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้มองเตสกิเออเป็นอมตะ

งานชิ้นนี้วางรากฐานสำหรับหลักกฎหมายทั้งมวลโดยเฉพาะในการปกครองรัฐโดยใช้กฎหมายหรือหลักนิติธรรมที่มักเริ่มต้นจากลัทธิรัฐธรรมนูญ (constitutionalism) มองเตสกิเออเรียกงานเขียนของเขาว่า “The Spirit of the Laws” หรือ “วิญญาณ (จิตสำนึก) แห่งกฎหมาย” แต่ไม่กล้าใส่ชื่อจริงของผู้เขียน ตีพิมพ์ออกมาอย่างนิรนามใน พ.ศ.๒๒๙๑ ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจก็คือเล่มนี้เขียนแล้วงานเข้าทันที ผู้มีอำนาจในยุคนั้นกระโดดออกมางับและพยายามฉีกทิ้ง ผู้ที่ต่อต้านหนักหน่วงที่สุดคือผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิค ออกมาประกาศเลยว่าเป็นหนังสือต้องห้าม รวมกับเล่มอื่นๆ ที่เขาเขียนและคนอื่นเขียนใน “ดรรชนีหนังสือต้องห้าม “ หรือ “Index of Prohibited Books” แต่ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนไปทั่วแล้วในยุโรปขณะนั้น โดยไปดังที่อังกฤษมากที่สุด

“รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อมิให้มนุษย์คนใดต้องกลัวมนุษย์ด้วยกันอีกต่อไป” นี่คือหนึ่งในวาจาอมตะของมองเตสกิเออ อ่านประโยคนี้ในวันนี้หลายคนคงรู้สึกธรรมดา (เว้นแต่ในคนไทยที่ถูกครอบความคิดอย่างโบร่ำโบราณไม่ยอมให้ตามโลกได้) แต่ในยุคนั้นเป็นความกล้าหาญยิ่ง รัฐบาลตามแนวทางเดิมเป็นรัฐบาลของผู้มีอำนาจกว่าราษฎร ตั้งรัฐบาลก็เพื่อมาปกครองราษฎรอย่างครอบงำด้วยหอกดาบและอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนข้อกฎหมายเข้าข้างตน ไม่ได้ตั้งมาช่วยเหลือราษฎรเลย แต่งานของมองเตสกิเออชี้ว่ารัฐบาลต้องเป็นของประชาชน ประชาชนช่วยกันตั้งและรับรอง เพื่อใช้อำนาจรัฐในการช่วยเหลือดูแลราษฎรธรรมดาให้มีความผาสุกตามอัตภาพ เพราะมองเตสกิเออ แนวความคิดของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงเริ่มต้นมาตั้งแต่บัดนั้น

คนไทยหลายคนที่เคยปรารภว่า เหตุใดรัฐบาลเลือกตั้งในช่วง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ที่มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีผลงานมาก ชัดเจน และกระทบกับพี่น้องประชาชนในทางบวกมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในอดีต จะได้รับคำตอบจากประโยคนี้ของมองเตสกิเออ รัฐบาลชุดนั้นสร้างโดยคนไทยธรรมดา ไม่ใช่ผู้มีอำนาจเดิมของไทย ไม่ใช่ตัวแทนหรือร่างทรงของระบอบอำมาตยาธิปไตย มาสู่อำนาจก็เพื่อราษฎรธรรมดา ไม่ใช่เพื่อราษฎรพิเศษหรืออภิสิทธิ์ชน ประชาชนไม่ต้องกลัวรัฐบาลแบบนี้ ตรงกันข้าม ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ผลงานและเร่งเร้าให้ทำงานตรงกับความต้องการของตนได้เสมอโดยผ่านระบบตัวแทนและการเลือกตั้ง รัฐบาลไทยที่ “มนุษย์คนใดต้องกลัวมนุษย์ด้วยกัน” จึงค่อยๆ ถูกลบไปจากความทรงจำ ประชาธิปไตยไทยเริ่มเข้าลู่ เตรียมจะพุ่งโชนต่อไป หากถูกทำลายลงเสียก่อนใน พ.ศ.๒๕๔๙ โดยการรัฐประหาร หลังจากนั้น “รัฐบาลที่มนุษย์ต้องกลัวมนุษย์ด้วยกัน” ก็หวนกลับมา พร้อมคดีความที่ไม่ได้เห็นมากนักในสมัยประชาธิปไตย อย่างคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นจำนวนมากมาย ตลอดจนคดีทาง “ความมั่นคง” อีกนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดมาให้ “มนุษย์ต้องกลัวมนุษย์ด้วยกัน” ทั้งสิ้น

มองเตสกิเออจึงมีอิทธิพลอย่างสูงในการปฏิวัติเพื่ออิสรภาพของสหรัฐอเมริกา หรือเป็นหลักให้กับการประกาศเอกราชของประเทศนั้นนั่นเอง คณะบุคคลที่ถูกเรียกในภายหลังว่า “บิดาผู้สร้างชาติ” หรือ “Founding Fathers” ของสหรัฐฯ​ล้วนได้อ่านและนำความคิดของมองเตสกิเออไปใช้ทั้งนั้น คนที่นำไปประยุกต์โดยตรงที่สุดคนหนึ่งคือ เจมส์ เมดิสัน ซึ่งมีบทบาทในการยกร่างรัฐธรรมนูญและต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ด้วย เมดิสันมิได้หยิบมาอย่างผิวเผิน แต่นำเอาหลักการดังกล่าวมาใช้เป็นพื้นฐานในหลักการปกครองแบบ “ตรวจสอบและถ่วงดุล” ระหว่างผู้มีอำนาจ จนเกิดเป็นการขีดเส้นอย่างชัดเจนที่สุดระหว่างฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) ฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรสส์)​และฝ่ายตุลาการ (ศาลสูงสุด) และได้ผลในการส่งเสริมประชาธิปไตยพร้อมสกัดกั้นเผด็จการมาจนถึงทุกวันนี้

ความลึกซึ้งของมองเตสกิเอออย่างหนึ่งคือ เขาศึกษาการเมืองมากกว่าหลักรัฐศาสตร์ปกครองและการใช้อำนาจรัฐ ศาสตร์อีกสองสาขาที่เขาศึกษาจนถึงแก่นและเขียนเป็นตำราไว้ให้เราอ่านจนถึงวันนี้ ได้แก่ วัฒนธรรมมนุษย์ และ มานุษยวิทยา ทำให้เขาเข้าใจธรรมชาติวิสัยของมนุษย์และวางหลักการปกครองบ้านเมืองที่สอดคล้องต่อวิถีมนุษย์ได้ นักมานุษยวิทยารุ่นหลังๆ ยกย่องมองเตสกิเออว่าช่วยวิเคราะห์แยกแยะสังคมมนุษย์ไว้อย่างละเอียด เราจึงแบ่งสังคมออกเป็นสถาบันต่างๆ จนกระทั่งวางกลไกการอยู่ร่วมกันได้ สิ่งที่สร้างปัญหาก็เห็นเด่นชัด เหมือนที่เขาแบ่งสังคมฝรั่งเศสออกเป็น ๓ ชนชั้นคือ เจ้า อำมาตย์ และราษฎร หรือแบ่งรัฐบาลทั่วไปออกเป็น ๒ ระดับชั้นคือ ผู้ปกครอง (sovereign) กับ ข้าราชการ (administrative) หรือชัดเจนและมีประโยชน์ที่สุดคือการแบ่งกลไกของรัฐออกเป็น ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ที่ใช้กันทั่วโลก

ประชาธิปไตยจึงเกิดได้และมีความเสถียร แต่ก่อนจะเสถียรคนเขียนก็โดนกระแทกกระทั้นทางสังคมจนแทบวางวาย อย่างในฝรั่งเศสกับเรื่องของ ๓ ชนชั้นใหม่นั้น แนวคิดของมองเตสกิเออเกือบจะทำลายชนชั้นเดิม (พระ อำมาตย์ ราษฎร) ลงในคราวเดียว เป็นเชื้อไฟที่นำมาสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

พูดง่ายที่สุดคือ มองเตสกิเออทำให้เกิด “ราก” ขึ้นมาหยั่งลึกใน “รัฐ” ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เป็นประชาธิปไตยนั่นเอง.

---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น