ความยุติธรรมและความเสมอภาคที่แท้จริงไม่มีในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกข้างและกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...
3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ
2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์
1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์
สด จาก เอเชียอัพเดท
วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553
ใครเป็นใครในคณะรัฐประหาร (ฉบับสมบูรณ์)
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง "ใครเป็นใครในคณะรัฐประหาร" (ฉบับสมบูรณ์)
****************************************************************************
ขณะนี้มหาอำมาตย์กำลังเข้าตาจน แก้ปมที่ตัวเองผูกไว้ไม่ได้ ข่าวการรัฐประหารจึงหวนกลับมาเป็นแฟชั่นการเมืองอีกครั้งเพื่อจะล้มกระดานแล้วเริ่มต้นกันใหม่ เผด็จการรูปแบบไหนในโลกก็คิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้ทั้งนั้น คิดว่าล้างไพ่มันเสียทั้งหมด ปัญหาทั้งปวงก็จะหมดไป ตัวเองยังเรืองอำนาจและเป็นผู้อำนวยการสร้างในทางการเมืองต่อไปได้ ไม่ยอมรับความจริงว่าเผด็จการส่วนใหญ่มักจะวินาศฉิบหายไปพร้อมกับกระดานที่ตัวล้มด้วย อย่างน้อยบารมีอันมากล้นจะสึกกร่อนลงอย่างรวดเร็วน่าใจหาย
ภาพลวงตาเช่นนี้ ทำให้อำมาตย์เขาไม่เคยเลิกคิดที่จะยึดอำนาจในบ้านเมืองด้วยกำลังอาวุธแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
มีเหตุผลเพียง ๔ ประการที่ทำให้คนพวกนี้ไม่กล้ากระทำการรัฐประหารหรือยังรีรออยู่
๑. มีเครื่องมือยึดอำนาจอย่างอื่นที่แนบเนียนและโฉ่งฉ่างน้อยกว่า เช่น อำนาจตุลาการ
องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ กลุ่มมวลชนที่ระดมมาด้วยอำนาจรัฐ บวกการบิดเบือนข่าวสารจนสาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด เป็นต้น ก็จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ไปพลางก่อน
๒. ฝ่ายอำมาตย์เกิดความแตกแยกในผลประโยชน์และในทัศนะจนไม่อาจรวมสังขารให้ติดเพื่อมายึดอำนาจจากฝ่ายประชาธิปไตยได้
๓. ฝ่ายประชาธิปไตยทำท่าจะแตกแยกกันเอง จนพลังฝ่ายประชาชนลดลงถึงระดับที่ไม่อาจต่อสู้ทัดทานเขาได้ เขาก็จะเงียบคอยดูก่อน
๔. แรงกดดันจากประชาคมโลก โดยเฉพาะจากประเทศมหาอำนาจผู้มีอิทธิพลโดยตรงต่อมหาอำมาตย์ เครือข่าย และระบอบอำมาตย์โดยรวม
นอกเหนือจากนี้แล้วเขาอยากทำรัฐประหารตลอดเวลาเพื่อนำเมืองไทยกลับสู่เผด็จการเต็มรูปกันตลอดเวลาล่ะครับ
รูปแบบการปกครองอย่างเกาหลีเหนือและเมียนมาร์นั้นชอบใจนัก ตรงกับจริตในใจและระบอบที่ตนสร้างไว้ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทุกประการ ตั้งแต่การใช้กำลังกองทัพ การล้างสมองทางวัฒนธรรมอย่างหนักหน่วง การทำลายล้างองค์กรทางสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อให้ตัวเป็นใหญ่และเป็นศูนย์กลางของรัฐ การยกตัวเองให้เท่ากับชาติ และท้ายที่สุดคือถือคติหรือลัทธิที่เรียกกันในบัดนี้ว่า บูชาบุคคล
ระบอบเผด็จการไม่ว่าจะนำโดยทหารหรือพลเรือน เจ้าหรือไพร่ก็ตามที หากเป็นเผด็จการเต็มสูบแล้วก็มีความหื่นกระหายจะก่อการรัฐประหารในเวลาที่ตนเห็นว่าสมควรหรือหมดน้ำอดน้ำทนแล้วทั้งนั้น
เพราะความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตยกับเผด็จการคือความอดทนต่อเพื่อนมนุษย์ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องมีขันติธรรมนี้และต้องมีมากพอ เพราะต้องยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งเพียรพยายามที่จะหา “มติ” ให้ได้ในทุกเรื่อง แต่เผด็จการเขาทนไม่ได้ในความเป็นมนุษย์อย่างนี้ และทารุณเฆี่ยนตีจนทุกคนต้องยอมเขา
นั่นคือความคิดที่นำมาสู่การรัฐประหารและสร้างระบอบเผด็จการขึ้น คราวนี้เอาข้อมูลสักเล็กน้อยใส่ลงไปในความคิดเพื่อให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาหน่อย ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้หาตัวเจอว่าเชื้อรัฐประหารมันแพร่จากไหนไปสู่ใคร
จะต่อต้านรัฐประหารทั้งที มันก็ต้องรู้เลาๆ ว่าใครเป็นใครในคณะรัฐประหาร
ทั้งหมดนี้ก็มิใช่การกล่าวหาต่อบุคคลใด เพียงแต่โดยประวัติศาสตร์แล้ว รัฐประหารเมืองไทยเกิดจากบุคคลในตำแหน่งเหล่านี้ทั้งนั้น ผมจึงเห็นความจำเป็นจะต้องบอกกล่าวกับพวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยไว้ก่อนชั้นหนึ่ง
ในกองทัพบกนั้น หน่วยงานที่สำคัญอย่างยิ่งในการรัฐประหารคือกองทัพภาคที่ ๑ หรือ ทภ.๑ ซึ่งเป็นกองทัพที่อยู่ตรงกลางประเทศ มีหน่วยกำลังรบขึ้นตรง ๓ กองพล คือ พล.๑ รอ. พล.ร.๒ รอ. และ พล.ร.๙
แยกลงไปใน พล.ร.๒ รอ. (ปราจีนบุรี) มีหน่วยขึ้นตรงอีก ๓ คือ ร.๒ รอ. (ปราจีนฯ) ร.๑๒ รอ. (สระแก้ว) ร.๒๑ รอ. (ชลบุรี)
พล.ร.๒ รอ./ร.๒ รอ.และ ร.๑๒ รอ. คือ ''บูรพาพยัคฆ์'' หรือเสือตะวันออก
ไข่แดงแถวนี้คือ ร.๒๑ รอ. ที่รู้กันว่าเป็น ''ทหารเสือราชินี'' สายตรงสู่อำนาจสูงส่งของบ้านเมือง แต่อำนาจส่วนตัวแต่ละคนไม่เท่ากัน สุดแต่ว่าใครจะพาตัวใกล้ชิดสนิทแนบขนาดไหน ไม่ได้หมายความว่าใหญ่โตเหนือมนุษย์กันไปหมดทั้ง ร.๒๑ รอ.
ผบ.พล.ร.๒ รอ. ที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร ส่วนใหญ่โตมาจาก ร.๒๑ รอ. ก็ด้วยแรงหนุนจาก “ลมบน”
ใส่ชื่อและหน้าคนลงไปเสียหน่อย ย้อนไปที่ตัวละครคราวรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ จะพบคนอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลอำมาตย์ อันเป็นบำเหน็จรางวัลสำหรับการโค่นรัฐบาลเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๔๙
ความจริงพลเอกประวิตรฯ เริ่มต้นที่ ร.๒๑ รอ.แต่ย้ายไปร.๑๒ รอ.ตั้งแต่เป็นพันตรี เพราะขัดแย้งกับ พันโทณรงค์เดช นันทโพธิเดช อย่างรุนแรง กรณีพิพาทกับ “ยอดดอยในดวงใจ” ดับรัศมีพลเอกประวิตรฯ ไปนาน จนมาก้าวหน้าได้ในภายหลังเพราะแรงหนุนจากคนที่ต้องเป็นหนี้บุญคุณกันตลอดไป ได้แก่ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร และ นายเสนาะ เทียนทอง บวกแรงหนุนที่เพื่อนเก่าโรงเรียนเซ็นคาเบรียล (สายธุรกิจ) ส่งมาให้
ผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เติบโตจาก ร.๒๑ รอ.แต่ไม่เคยใกล้ชิดศูนย์อำนาจ แถมเจ็บช้ำน้ำใจเพราะรุ่นน้องอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ทำการ “แซะ” ถึง ๒ ครั้งในช่วงเป็น ผบ.กรม และ ผบ.พล. เกือบจะคว่ำอยู่เหมือนกัน โชคดีได้นายกทักษิณฯ และพลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร เข้าช่วยจนได้เป็น ผบ.พล.๑ รอ. จากนั้นก็ถูกพลเอกประยุทธ์ฯ ตามมาดันแล้วดันอีกจนถึงปัจจุบัน
คบกันอยู่ได้ทั้งที่ฟาดฟันกันมาอย่างนี้เพราะถือว่าสมประโยชน์แบบพิสดาร
แม่ทัพภาคที่ ๑ พลโทคณิต สาพิทักษ์ ก้าวจาก พล.ร.๙ ย้ายมา ร.๑๒ รอ. พบพลเอกประวิตรฯ เมื่อครองยศพันตรี และใกล้ชิดกันมาแต่บัดนั้น เพื่อนฝูงคุยลับหลังว่าเป็นคนพันธุ์เอาใจนายได้สุดยอด ส่วนตัวเองยึดถือลัทธิสุขนิยม
''บูรพาพยัคฆ์'' ทั้งสามพยายามจะบินให้ถึง “ลมบน” โดยอาศัยพลเอกประยุทธ์ฯ สุดท้ายตระหนักว่าตัวเองเป็นได้เพียงข้าวนอกนา
ตัวพลเอกประยุทธ์ฯ เติบโตจาก ร.๒๑ รอ. จนกลายเป็น “เด็กสร้าง” ตอนครองยศพันเอกและกลายเป็นทหารเสือสายตรง เพื่อนฝูงพี่น้องรู้ว่าขาดศักยภาพ แต่ยอมรับกันว่าเป็นนักตอบสนองชนิดพร้อมทุกเมื่อ เจ้าอารมณ์ หุนหันพลันแล่น เก่งคนเดียว ไม่ถนอมน้ำใจใคร แต่ตาไกลพอที่จะคว้าเพื่อนร่วมรุ่นโดยสารมาด้วยหลายราย เช่น พลโทดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (หัวขบวนสาย ร.๑๑ รอ.) พลตรีวิลาส อรุณศรี (อดีต ผบ.พล.ม.๒) พลเรือเอกพะจุณน์ ตามประทีป (ณ สี่เสาเทเวศร์) เป็นต้น
สนับสนุนพลโทดาว์พงษ์ฯ เป็นแม่ทัพภาคที่ ๑ แต่ “บูรพาพยัคฆ์” กลับเลือกพลโทคณิตฯ อาการแยกวงจึงบังเกิดอยู่ภายใน
ฝ่ายประชาธิปไตยควรรู้ด้วยว่า ผบ.กรม ของพล.ร.๙ ทุกกรมมาจาก ร.๒๑ รอ. ทั้งนั้น
ขอเชิญดวงตาทั้ง ๖๔ ล้านคู่มองคนเหล่านี้ไว้ให้ดีเถิดครับ
ยุทธศาสตร์ และ/หรือ ยุทธวิธีของฝ่ายอำมาตย์ในขณะนี้ อย่างน้อยมี ๗ ประการคือ
๑. ทำอย่างไรก็ได้ มิให้สถาบันกษัตริย์มี “ภาพ” ว่าเกี่ยวข้องหรือสั่งการใดๆ ในทางการเมือง ไม่ว่าจะใช้อำนาจการเมืองผ่านกองทัพ ศาล องค์กรอิสระ หรืออื่นใดก็ตาม ยุทธวิธีที่ใช้บ่อยคือ ยั่วให้ฝ่ายประชาธิปไตยหมกมุ่นอยู่กับการโจมตีลูกน้อง นายหน้า หรือร่างทรงแทน จนลืมเป้าหมายอันแท้จริง
๒. โฆษณาชวนเชื่อแบบครอบงำผ่านสื่อของรัฐ ทำให้ความรู้สึกต่อต้านขบวนการประชาธิปไตยเกิดขึ้น ยุทธวิธีคือย้ำความเชื่อเดิมของสีเหลืองและชมพู โน้มน้าวสีขาว และทำให้สีแดงเกิดความรู้สึกไขว้เขวหรือแตกแยกทางความคิด
๓. ใช้องค์การอิสระและตุลาการภิวัตน์อย่างต่อเนื่อง โดยให้สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เกิดภาพของความเป็น “ระบบ” และทำให้ต่างชาติเกิดความสับสนว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างเผด็จการหรือไม่
๔. เจรจานอกรอบกับแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยบางส่วน เพื่อช่วยให้เกิด “ทางลง” เพราะแกนนำที่ไม่ต่อสู้ในระดับระบอบและโครงสร้างมีแนวโน้มจะยอมเขาในท้ายที่สุด
๕. สร้างภาวะวิสัยบีบคั้นให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดความรู้สึกท้อแท้ หมดกำลัง และเลิกสู้
๖. ชะลอการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเชิงปริมาณ แอบมาใช้วิธีไล่ล่านอกกฎหมาย เพื่อลดแรงกดดันจากต่างประเทศที่จับตามองการใช้อำนาจนี้อย่างใกล้ชิดสนใจขึ้น
๗. ทำให้กองทัพให้พร้อมก่อรัฐประหาร โดยใช้ยุทธวิธีหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการกระหน่ำตี พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา ในกรณี GT200 เพื่อยกขึ้นหิ้งไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเอา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาสวมแทน หรือการใช้งบกลางของรัฐบาลเพื่อจัดหาอาวุธใหม่ของทุกกองทัพที่จะประกันความเหนือกว่าในด้านการใช้กำลัง และเติมเงินในกระเป๋าของผู้บัญชาการเหล่าทัพซื้อความจงรักภักดี
การรัฐประหารถูกกำหนดให้เป็น “ยาสลบ” ทำให้ทั้งประเทศนิ่งงัน สามารถจัดระเบียบทางอำนาจได้สะดวก ขณะเดียวกันก็จะฉวยโอกาสนั้น “reset” บ้านเมืองเสียใหม่
ระยะสั้นคือการปราบปราม ซื้อตัว จัดผลประโยชน์กับต่างชาติที่หวังประโยชน์ในทำนองสินบน
ระยะกลางคือใช้รัฐบาลพิเศษที่มีภาพลักษณ์เผด็จการน้อยที่สุด
ระยะยาวมีมาตรการหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือสำรวจสำมะโนประชากรใหม่ทั้งประเทศเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วโยนให้พรรคการเมืองที่เป็นเครือข่ายอย่างพรรคประชาธิปัตย์นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้งและจัดระเบียบหัวคะแนนตลอดจนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
รัฐประหารจึงยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง
จากตอนที่แล้ว เราเห็นได้ชัดว่าทหารหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการใช้อำนาจสนับสนุนระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย โดยเฉพาะทหารใหญ่ที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบ แต่ไปสิงสู่อยู่ในงานปาร์ตี้และมื้ออาหารค่ำที่ยืดเยื้อไปเกือบตลอดคืนจนได้ดาวมาประดับบ่า ทักษะที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ใช่ความมั่นคงของชาติและการรบ แต่เป็นร้องเพลง เต้นรำ สร้างคะแนนในโต๊ะอาหารที่มักสนทนาอย่างยาวนาน และทำลายเกียรติคุณชื่อเสียงของคู่แข่งในอำนาจ ที่มัวแต่ทำงานหนักเสียจนลืมอานุภาพของการสอพลอ
ความเจ็บช้ำน้ำใจจึงมีมากในกองทัพปัจจุบัน และอาจเป็นเหตุปัจจัยต่อการรัฐประหารได้หากไม่ระวัง นี่พูดจากมุมของอำมาตย์ที่ต้องการใช้เครื่องมือนี้
นายทหารที่เติบโตจาก ร.๑ รอ. รู้ดีว่าในระยะหลัง ผบ.กรม และ ผบ.พล ส่วนใหญ่มาจาก ร.๑๑ รอ. จนปัจจุบันลูกหม้อแท้ๆ ของ ร.๑ รอ. ต้องไปรวมกันอยู่ในกรุทัพน้อยที่ไม่มีบทบาทและกำลังจะถูกยุบ
พล.ร.๒ รอ. ที่ ผบ.พล รอง ผบ.พล ทั้งสองคน และเสธ. อีกหนึ่งคน รวม ๔ คน ล้วนมาจาก ร.๒๑ รอ. ทำราวกับว่านายทหาร ร.๒ รอ. และ ร.๑๒ รอ. ไม่มีฝีมือเลยแม้แต่คนเดียว
เช่นเดียวกับนายทหาร พล.ร.๙ ที่คงใช้การไม่ได้เลย จนต้อง “อิมพอร์ต” ผบ.กรม. มาจาก ร.๒๑ รอ.
ในระดับกองทัพภาค กว่าจะได้เป็นแม่ทัพก็ใกล้เกษียณ หลายคนยอมเกษียณคาตำแหน่งในยศพลโท แล้วไปหมอบกราบ “ป๋า” ให้ขอพระราชทานยศพลเอกให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ประจักษ์ในบุญญาบารมีของป๋า เรื่องนี้ไปถาม พลโทวิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ ๒ หรือถามแม่ทัพคนปัจจุบันที่ไม่ต้องทำอะไรยกเว้นไปคอยเสนอหน้าให้ป๋าเห็นคุณงามความดีดูก็ได้
แต่พวกที่มาแบบ “ด่วนพิเศษ” ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกแล้วยังเหลืออีกตั้ง ๓-๔ ปีกว่าจะปลดเกษียณ
โศกนาฏกรรมเช่นนี้แสดงความเห็นแก่ตัวอย่างเข้มข้นของผู้มีอำนาจในระบอบอำมาตย์ เอาแต่พรรคพวกของตนมารองเท้ารักษาอำนาจ ไม่ห่วงใยแม้แต่น้อยว่าความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพของกองทัพไทยจะเป็นอย่างไร
ยิ่งถ้าก่อรัฐประหาร ก็ยิ่งย้ำถึงความมีชนชั้นในกองทัพไทย และคงกดขี่ข่มเหงทางวิชาชีพต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนกองทัพแตกสลาย
ผมเองชิงชังการรัฐประหารและการเล่นการเมืองของกองทัพมาโดยตลอด แต่ยอมรับครับว่า นี่คือความจริงในกองทัพที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องนำมาใช้พิจารณาแยกแยะคนในกองทัพให้ชัด อย่าไปเหมารวมว่านายทหารในตำแหน่งคุมอำนาจทุกคนปรารถนาที่จะ “ตรา” เกียรติประวัติของตนด้วยการรัฐประหาร เพราะความจริงนั้นตรงข้าม กองทัพเป็นประชาธิปไตยมากแล้ว
เหมือนสังคมไทยที่เป็นประชาธิปไตยมาก แต่ถูกครอบงำด้วยทัศนะของชนชั้นนำกลุ่มน้อยที่มีอำนาจจริง จนคนส่วนหนึ่งพลอยเชื่อว่าประชาธิปไตยยังห่างไกลจากสังคมไทย
ประชาธิปไตยที่แท้อยู่แค่เอื้อม เพียงแต่กำแพงหมอกที่ขวางกั้นอยู่คือวิญญาณอาฆาตของฝ่ายอำมาตย์บางคนที่เกลียดชังฝ่ายประชาธิปไตยมานานหลายสิบปี และคอยหลอกหลอนมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จนทำให้หลายคนยังไม่กล้าจะฝ่าข้ามไป
ยุทธศาสตร์ของเราคือไล่ผีเสียทีเดียว.
---------------------------------------------------------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
แล้วบิ๊กบังมาจากสายไหนครับ
ตอบลบตาเริ่มสว่างแล้วครับ แล้วทหารอาชีพนะมีไหมครับ
เราควรพูดถึงฃื่อและความสามารถของท่านเหล่าด้วยนะครับ