ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

ผู้นำการต่อสู้แนวปฏิวัติ...

3. อ.ปิยบุตร-อ.วรเจตน์-คุณดอม-ป้าโสภณ รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์ฯ

2. "ท่านวีระกานต์" รำลึกสี่ปีการจากไป...ลุงสุพจน์

1.จักรภพ รำลึกสี่ปีฯ.. ลุงสุพจน์

สด จาก เอเชียอัพเดท

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปฏิรูป...แนวทางทำลายประชาธิปไตย โดย จักรภพ เพ็ญแข


เรื่อง : ปฏิรูป...แนวทางทำลายประชาธิปไตย
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา : คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่

***************************************************************************

น่าสังเกตว่า ในระยะนี้มีการพูดถึงแนวทางในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและสมควรถกเถียงกันให้กว้างขวาง น่าจะเป็นเพราะการเคลื่อนทัพของฝ่ายประชาธิปไตยที่ผ่านมายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นัก จนมวลชนเกิดความล้าและเกิดคำถาม ในที่สุดก็ฝ่ายที่กุมการนำในขบวนการประชาธิปไตยให้คำตอบง่ายๆ ว่าเราต่อสู้เพื่อให้รัฐบาลยุบสภาและเลือกตั้งใหม่

โดยหวังจะใช้อำนาจรัฐจากการเลือกตั้งสถาปนาประชาธิปไตยในบ้านเมือง ตามแนวทางที่เรียกอย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า “ปฏิรูป”

คำๆ เดียวกับการรวมอำนาจรัฐสู่ศูนย์กลางในสมัยรัชกาลที่ ๕ ล้มอำนาจของขุนนางและรัฐบาลท้องถิ่นลงเกือบเด็ดขาด

คำๆ เดียวกับชื่อคณะทหารที่ก่อการยึดอำนาจรัฐ หลังสังหารโหดนักศึกษาและประชาชนในฝ่ายประชาธิปไตยเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙

คำๆ เดียวกับที่นักวิชาการในพระบรมราชูปถัมภ์อย่าง นายแพทย์ประเวศ วะสี ชอบใช้ เช่นเมื่อครั้งที่ผลักดันให้เกิดการ “ปฏิรูปการเมือง”

การใช้คำพ้องกันเช่นนี้มิใช่เหตุบังเอิญ แต่มีสิ่งที่เชื่อมโยงความคิดในหัวสมองแต่ละคนเข้าด้วยกัน ความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ทางความคิดที่ว่านี้ ก็มิได้หมายความว่าเขาร่วมกันวางแผนหรือนัดกันมาพูด แต่เป็นทัศนะที่สะท้อนความคิดในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ความก้าวหน้าหรือล้าหลังจึงไม่แตกต่างจากกันนัก

ถ้าเอาทัศนะทางประวัติศาสตร์มาจับ จะพบว่าการ “ปฏิรูป” ที่ผ่านมาในสังคมไทยแทบไม่ได้ก่อผลเปลี่ยนแปลงต่อระบอบประชาธิปไตยเลย การปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่งผลให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมีความสมบูรณ์และเข้มข้นขึ้น อำนาจอธิปไตยก็อยู่ที่พระมหากษัตริย์มิใช่ประชาชนส่วนใหญ่ การปฏิรูปของระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ที่เรียกว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ซึ่งความจริงคือ “ขวาฆ่าประชาธิปไตย” เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ก็ทำให้เกิดเผด็จการเต็มรูปที่กลายพันธุ์มาเป็นเผด็จการอำพรางหรือประชาธิปไตยครึ่งใบจนกระทั่งปัจจุบัน การปฏิรูปแบบของหมอประเวศและคณะก็มิได้ทำให้ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มิหนำซ้ำเมื่อเกิดการรัฐประหาร ยังไปแสดงท่าทีหนุนผู้ทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่างหน้าตาเฉย

คำว่า “ปฏิรูป” มีความไพเราะในทางภาษา แต่ในเชิงประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไทยแล้ว นี่คือคำอัปมงคลอย่างยิ่งทีเดียว

จะเรียกให้เท่ว่าเป็นศัพท์หรือวาทกรรมประเภท “ปิศาจบัญญัติ” ก็ยังได้

ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” ในเมืองไทยแทบทุกครั้งคล้ายจะแสดงเจตนารมณ์ประชาธิปไตย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับไปช่วยส่งเสริมระบอบตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยทุกทีไป เพราะท้ายที่สุดก็จะยื่นคอมาเจื้อยแจ้วกับมวลชนว่า เมืองไทยเรายังไม่พร้อม ต้องค่อยเป็นค่อยไป และรักษาโครงสร้างอำนาจที่เป็นอยู่ไปก่อน

ครับ “ปฏิรูป” ของคนเหล่านี้หมายถึงการรักษาสถานภาพเดิม (status quo) เท่านั้นเอง

ประชาชนไม่ได้อะไรเลย มิหนำซ้ำยังถูกด่าว่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจและทำภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายเสียอีก

คนที่มักพูดว่าต้องประนีประนอมนั้น ควรถามตัวเองเงียบๆ ว่าหลักการประชาธิปไตยอันแท้จริงนั้นประนีประนอมได้จริงหรือ

ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของคนอื่นไปก่อน ประชาชนค่อยเอาทีหลังหรือไม่ต้องสูงสุดก็ได้หรือ

เสรีภาพมีบ้างไม่มีบ้าง เรื่องไหนเขาใจดีให้มี ก็มี เรื่องไหนขัดผลประโยชน์เขา เขาไม่ให้ ก็ต้องหมอบกราบยอมรับกระนั้นหรือ

หลักกฎหมายหรือนิติธรรม ที่มาของความยุติธรรม มีบ้างไม่มีบ้างก็ได้หรือ ฯลฯ

ถ้าคิดอย่างวิญญูชนแล้ว จะพบว่าหลักการเหล่านี้ประนีประนอมไม่ได้หรอกครับ มีทางเลือก ๒ ทางเท่านั้นคือ มี หรือ ไม่มีประชาธิปไตยในบ้านเมือง

มองในแง่ดี คนที่เสนอ “ปฏิรูป” บางคนอาจจะหวังให้เป็นยุทธวิธี แต่ขอให้ดูของจริงประกอบไปด้วยเถิดว่า ผู้มีอำนาจรัฐที่เข้ามาปะเหลาะฝ่ายประชาชนในอดีตให้ยอมรับ “ปฏิรูป” แทน “ปฏิวัติ” นั้น ในที่สุดแล้วเป็นหมาจิ้งจอกที่สวมขนแกะอารีมาคุยกับท่านใช่หรือไม่ สุดท้ายท่านก็ร่วมปล้นหลักการประชาธิปไตยจากมือประชาชนไปใส่มือเขา จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามใช่หรือไม่

แต่ละท่านก็อาวุโสมากแล้ว ทำบุญให้กับคนรุ่นหลังด้วยการให้กำลังใจและประสบการณ์กับเขาเถิดครับ อย่ามาหลอกล่อลูกหลานเพื่อจะได้เป็นใหญ่และลบปมด้อยอดีตของตัวเองอีกต่อไปเลย

หยุดหลอกเถิดครับว่า “ปฏิรูป” จะทำให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงในประเทศไทยได้ ล้มลุกคลุกคลานมากี่หนกี่ครั้งแล้วจำไม่ได้หรือครับ

การสถาปนาประชาธิปไตยแท้จริงในเมืองไทยได้ ต้องกระทำโดยกระบวนการปฏิวัติอย่างสันติ เป้าหมายคือโอนถ่ายอำนาจอธิปไตยในมืออำมาตย์มาเป็นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเท่านั้น ถ้าหากฟังคำว่า ปฏิวัติ แล้วสะดุ้งตกใจ ก็ควรร่วมกันอธิบายความต่อมวลชนที่ยังไม่กระจ่างให้ท่านรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าคำๆ นี้เป็นเพียงยุทธศาสตร์ของภารกิจ ส่วนเป้าหมายคือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ด้วยความเคารพนบนอบในมหาประชาชน ไม่ใช่ฆ่าฟันกันเป็นบ้าเหมือนเขมรแดง

อย่าลืมว่าถ้าเราเป็นมหาอำมาตย์ในวันนี้ เราก็ต้องคิดฮุบขบวนการเสื้อแดง ดูดกลืนเอามาเป็นของเรา เพราะสีเหลืองอย่างเดียวไม่เพียงพอเสียแล้ว เราต้องการทั้งสีเหลือง สีชมพู สีขาว และสีแดงมาเป็นฐาน เราจึงจะตั้งตัวอยู่บนนั้นได้อย่างมั่นคง

ถ้า “ปฏิรูป” แล้วอำนาจรัฐไม่เปลี่ยนมือ ได้แต่เล่นละครเป็นรัฐบาลไปวันๆ ก็เท่ากับช่วยให้แผนฮุบเสื้อแดงเป็นผลมากขึ้น

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีภารกิจต่อเนื่องจาก ดร.ปรีดี พนมยงค์ ครับ ไม่ใช่ต่อจากการปล้นบ้านเมืองตามคำสั่งนายอย่างพลเรือเอกสงัด ชลออยู่.

----------------------------------------------------------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น